sagime
ดู Blog ทั้งหมด

สวดมนต์ข้ามปี “ดี” กับชีวิตอย่างไร

เขียนโดย sagime

 


 

เมื่อถึงช่วงเวลานี้ จึงมีหลายคนทีเดียวที่ใช้ ‘เดือนสุดท้ายของปี’ เพื่อทบทวนเรื่องราวชีวิตของตนเอง พร้อมทั้งตระเตรียมเป้าหมายในปีหน้า รวมถึงเตรียมฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง โอกาสนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายร่วมสร้างสรรค์สังคมน่าอยู่ ก็ได้เตรียมจัดงาน สวดมนต์ข้ามปี 2556-2557 ณ ท้องสนามหลวง ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในคืนส่งท้ายปีเก่า เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะ‘ต้อนรับปีใหม่’ ด้วยความเป็นสิริมงคล

โดย ‘อานิสงส์’ ของการสวดมนต์จะเป็นอย่างไร ได้บุญ และมีคุณประโยชน์กับชีวิตเช่นไรบ้าง พระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา อธิบายไว้ว่า การเจริญพระพุทธมนต์ หรือการสวดมนต์นี้ จะช่วยทำให้จิตของเรามีความอ่อนโยน สะอาด สว่าง และสงบ เมื่อสงบก็จะเกิดสมาธิ ซึ่งมีคุณประโยชน์แก่ชีวิตมากมาย เพราะในขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่นั้น จิตจะมีความนุ่มนวล อ่อนโยน เกิดเป็นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น

“นอกจากนี้ การสวดมนต์ยังมีคุณประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมด้วย กล่าวคือช่วยให้ผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปฏิบัติกรรมฐานได้ง่ายขึ้น เพราะ ‘จิต’ จะมีความสว่างแน่วแน่และนิ่งอยู่ในครรลองแห่งการบำเพ็ญบุญกุศลที่ประสงค์ ดังนั้น ยิ่งเจริญพุทธมนต์บ่อยหรือเจริญพุทธมนต์อยู่ทุกวัน ก็จะยิ่งช่วยโน้มนำจิตของผู้กระทำให้อยู่ใน ‘กรอบของความดีงาม’ ทำให้ชีวิตมีสติและปัญญาไว้แก้ไขปัญหาที่ผ่านเข้ามา

แม้ว่าการสวดมนต์นั้น จะเป็นบทอวมงคลก็ตาม ก็ย่อมให้ผลในทางกุศล เนื่องจากเป็นบทสวดที่ทำให้เห็น ‘ความจริง’ ของชีวิต ที่มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทำให้เห็นว่า ‘ชีวิตนี้ไม่เที่ยง’ จึงไม่ควรที่จะไปยึดมั่น ถือมั่นอะไรมาก เมื่อเราพิจารณาได้เช่นนี้ ก็จะทำให้เราไม่ประมาทในชีวิต มัวแต่ไปแก่งแย่งแข่งดี เอารัดเอาเปรียบ หรือจองเวรกรรมกันเอง เพราะ ‘เวรกรรม’ นั้นไม่เคยระงับได้ด้วยการจองเวร หากแต่ระงับได้ด้วยให้อภัยซึ่งกันและกัน” กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กล่าว

ทั้งนี้ มองตามรูปธรรมแล้ว การสวดมนต์ข้ามปีไม่น่าจะมีผลกับชีวิตเสียเท่าไร แต่หากมองลึกซึ้งเข้าไปถึง ‘จิตวิญญาณ’ แล้วล่ะก็ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก

พระพรหมวชิรญาณ อธิบายเพิ่มเติมว่า หลักของพระพุทธเจ้าเรื่องหนึ่งสอนไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จแล้วที่ใจ เมื่อใจเป็นกุศล เราจะคิด จะพูด จะทำอะไร ก็เป็นไปในทางที่ดีที่งาม ฉะนั้น ‘จิต’ ที่ตั้งไว้ด้วยดีในบุญกุศลจึงย่อมมีคุณประโยชน์แก่ตนเอง ปูชนียบุคคล และประเทศชาติบ้านเมือง

“ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ที่เวียนมาอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเราได้ตั้งจิตของเราให้เป็นกุศล ก็เท่ากับเราจะได้ชำระล้างในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้พ้นไปกับปีเก่า ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นเวลาที่จะทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำความดีตั้งแต่วินาทีแรกของปีใหม่ ชำระจิตให้สะอาดผ่องใส ไม่คิดร้ายหมกมุ่นมัวเมาในการทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย รวมถึงไม่เบียดเบียนกันในทางทรัพย์สิน ความรัก และสัจธรรม แต่ตั้งตนอยู่ในปิยวาจา สติ และรู้เท่าทันสิ่งมัวเมาทั้งหลาย

เมื่อชีวิตไม่หลงทาง ก็จะนึกถึงการแบ่งปัน หรือมี ‘เมตตาธรรม’ ให้กับคนอื่น ซึ่งเป็น ‘หลักธรรม’ ที่จะทำให้เกิดสันติภาพในโลกนี้ โดยหากได้ศึกษาหลักธรรมในทางพุทธศาสนาให้ดี แล้วนำมาประกอบใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ก็ย่อมให้ผลดีที่เพิ่มพูนมากขึ้น ดังนั้นการที่เราร่วมกันร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว เพื่อจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าด้วยการเจริญพุทธมนต์ พร้อมตั้งความปรารถนาดีเป็นหนึ่งเดียว จึงเป็นการหลอมรวมความดีงาม ความบริสุทธิ์ใจของทุกคนให้เกิดเป็น ‘พลังใจ’ อันสำคัญ ที่จะช่วยแปรเปลี่ยนเหตุการณ์ร้ายให้ผ่อนหนักเป็นเบาได้ด้วย”

เพราะดวงจิตที่มี ‘ธรรม’ เป็นที่พึ่งพิง ย่อมมี ‘สันติสุข’ หยั่งรากแก้วลง ณ ที่แห่งนั้น

ที่มา http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/situations/37908
 

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น