การตั้งชื่อในนิยาย

               สำหรับการแต่งนิยายแล้วจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า 'ชื่อ' มีความสำคัญและเป็นปัจจัยดึงดูดนักอ่านขนาดไหน หากชื่อเรื่องไม่ดึงดูดไม่มีความน่าสนใจ ชื่อตัวละครก็โหล ชื่อตอนยิ่งแล้วใหญ่ แล้วแบบนี้นิยายของคุณมันจะสมบูรณ์แบบได้อย่างไร ? คราวนี้เราจะมาบอกวิธีการตั้งชื่อต่าง ๆ ในนิยายเหล่านี้ให้เพื่อที่จะให้คุณนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับนิยายของคุณ

                ชื่อเรื่อง สำหรับชื่อเรื่องถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในกระบวนการตั้งชื่อทั้งหมด มันคือประตูบานแรกในนิยายของคุณ และเป็นจุดขายอย่างแรกเสียด้วย หากคุณเจอประตูสลักลายละเอียดอ่อนมองมุมไหนก็วิจิตรตระการตา แต่พอเปิดออกมากลับเจอโรงพยาบาลผีสิงที่มีนางพยาบาลไล่เอาเข็มฉีดยาจิ้มแขนคนไข้มันก็คงไม่เหมาะกันเท่าไหร่...เพราะฉะนั้นหากคุณไม่มีภาษาที่สวยงามหรือดึงดูดในการตั้งชื่อแล้วคงเป็นเรื่องยากที่นักอ่านจะหันมาสนใจและเปิดนิยายของคุณ แนะนำว่าคุณอาจจะตั้งชื่อเรื่องหลังจากที่คุณแต่งนิยายจนจบก่อนก็ได้เพื่อให้ชื่อเรื่องสอดคล้องกัน แต่สำหรับคนที่ต้องการจะลงนิยายของตัวเองลงในเว็บก่อนแล้วค่อยมาตามแต่งทีหลังให้จบ เราก็มีสำหรับหลักตั้งชื่อเรื่องแบ่งเป็นหมวดหลัก ๆ ได้ดังนี้

ตั้งตามตัวละครหลัก หากเนื้อเรื่องของคุณเน้นหนักไปที่ตัวละครเป็นหลัก ไม่ว่าใครจะไปทำอะไรที่ไหนอย่างไรตัวละครเอกของคุณจะต้องมีส่วนร่วมด้วยทุกครั้ง และดำเนินเรื่องไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ นี่เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่คุณจะเลือกตั้งชื่อเรื่องให้กับนิยายของคุณ นิยายที่ตัวละครถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรื่องก็มีให้เห็นถมเถไปค่ะ อาทิเช่น สไปเดอร์แมน โดราเอมอน สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด แฮรี่พอตเตอร์ เป็นต้น หรือแม้แต่การนำเอานิสัยหรือเอกลักษณ์เฉพาะของตัวละครมาตั้งก็ถือว่าเป็นการตั้งตามหลักนี้ค่ะ จะสังเกตเห็นจากนิยายรักส่วนมากมักจะใช้วิธีนี้ เช่น ยัยเฉิ่มกับหนุ่มฮ๊อต คุณหนูยากูซ่ากับเด็กคนรถสองแถว เป็นต้น ซึ่งเป็นการให้คนอ่านได้รู้เลยว่านิสัยของตัวละครจะเป็นประมาณไหนและอารมณ์ไหน

ตั้งตามเหตุการณ์สำคัญ ชื่อเรื่องซึ่งตั้งตามเหตุการณ์สำคัญในเรื่องก็จะเป็นเนื้อเรื่องที่เน้นไปที่สถานที่ในเรื่องเป็นหลัก เหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนเกิดในสถานที่นี้ทั้งสิ้นหรือแทบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะสู้รบ แย่งชิง พบรัก ก็ล้วนแต่เกิดและเน้นที่สถานที่นั้นเป็นสำคัญ แนะนำให้ใช้ชื่อของสถานที่สำคัญนั้นได้เลยค่ะ จะเห็นตัวอย่างได้อย่างเช่น เพิร์ลฮาร์เบอร์ (สงครามปากอ่าว) ไซเล้นฮีล (เมืองผีสิง) ทรอย (อาณาจักร) เป็นต้น 

ตั้งตามความพอใจ อันนี้ก็สุดแล้วแต่คุณในเมื่อคุณไม่ถูกใจหลักอันไหนสักหลักในสามข้อแรก หลักนี้เป็นหลักสุดท้ายที่เราแนะนำให้คุณ อยากจะตั้งแบบไหนก็แล้วแต่เลยค่ะ แต่อย่าลืมว่าชื่อเรื่องของคุณจะต้องน่าสนใจและไม่หลุดจากเนื้อเรื่องของคุณด้วย ไม่ใช่ว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัย แต่ชื่อเรื่องกลับออกไปทางแนวรัก แบบนี้จะทำให้ผู้อ่านสับสนได้ เพราะบางทีผู้อ่านอาจจะชอบแนวผจญภัยแต่ว่าชื่อเรื่องของคุณมันออกจากแนวที่เขาไม่ชอบ ก็อาจจะทำให้นิยายคุณต้องถูกเก็บเข้ากรุไปตามระเบียบ

               ชื่อตัวละคร แน่นอนว่าสำหรับนักอ่านแล้วสิ่งที่มักจะทำให้พวกเขาสนใจก็คือตัวละครที่คุณนำมาสรรค์สร้างพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมา ไม่จำเป็นว่าชื่อตัวละครของคุณจะต้องเลิศเลอสวยหรูแบบว่าไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนก็ได้ค่ะ เพียงแต่ให้มันอ่านแล้วติดหู ติดตา ติดปากและไม่โหลหรือคล้ายคลึงกับตัวละครเรื่องอื่นจนเกินไป เพื่อให้ตัวละครของคุณเป็นที่น่าจดจำและไม่ซ้ำกับใคร หลักในการตั้งชื่อตัวละครก็มีดังนี้ค่ะ

ตั้งตามตัวละครที่ชอบ ถ้าคุณมีตัวละครตัวไหนที่ชอบหรือตัวละครในดวงใจแล้วล่ะก็สามารถนำมาตั้งหรือพลิกแพลงชื่อได้ครับ แต่ไม่แนะนำให้ตั้งเป็นตัวละครเอกนะคะ เพราะตัวละครเอกน่าจะเป็นตัวละครที่คุณคิดชื่อและสรรหาชื่อเขามาเอง เพื่อให้เขาเป็นตัวละครพิเศษสำหรับคุณเท่านั้น ตัวละครที่เคยมีคนนำมาตั้งชื่ออย่างการ์ตูนชื่อดังเลยครับ โคนัน ยอดนักสืบ ชื่อ โคนัน จริง ๆ แล้วตัวผู้แต่งเขาเอามาจาก เซอร์โคแนน ดอยล์ คนเขียนเชอร์ล๊อกโฮมส์นักสืบคลาสสิกชื่อดังก้องโลกค่ะ

ตั้งตามเนื้อเรื่อง อันนี้เป็นการตั้งชื่อตัวละครให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง อย่างเช่นเนื้อเรื่องของคุณอาจจะเล่าเดี่ยวกับสาวน้อยเจ้าของร้านขายดอกไม้ร้านเล็ก ๆ ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งคุณเลยตั้งชื่อเธอว่า โรส ที่แปลว่าดอกกุหลาบ เพื่อให้ชื่อตัวละครสอดคล้องกันมากขึ้นเป็นการเพิ่มบรรยากาศให้กับเนื้อเรื่องได้ดีอีกทางหนึ่งค่ะ ตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างเช่น เรื่องเซเลอร์มูน ตัวเอกมีชื่อว่า อุซางิ ที่แปลว่ากระต่าย ซึ่งตัวผู้แต่งต้องการสื่อความหมายว่าเธอคือกระต่ายน้อยผู้พิทักษ์ดวงจันทร์นั่นเอง

ตั้งตามความหมาย หากเนื้อเรื่องของคุณต้องการเน้นชื่อตัวละครให้มีความหมายสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง แนะนำให้ใช้วิธีนี้เพราะตัวละครของคุณจะมีความหมายดีและเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง นักเขียนแนวแฟนตาซีบางคนนิยมชื่อที่ไม่เหมือนใครจึงใช้วิธีนำคำที่มีความหมายดี ๆ มาใช้ดัดแปลงให้กลายเป็นชื่อไพเราะไม่ซ้ำใคร เช่น Fire ทำไมต้องอ่านว่า ไฟ ให้ดูเชย อ่านว่า ฟีเร ก็หมดเรื่อง นอกจากจะไพเราะแล้วยังมีความหมายแฝงว่า ไฟ อีกด้วย หรือถ้าสั้นเกินไป อาจจะเติมหน้าเติมหลังเพิ่มนิดหน่อยเป็น ฟีเรอา ก็ได้ โดยตัวละครตัวนี้อาจเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับไฟในทางใดทางหนึ่ง

ตั้งตามความพอใจ อันนี้ก็แล้วแต่คุณเลยค่ะจะตั้งตามชื่อตัวเอง ชื่อเพื่อน มาจากไหนก็ตามสบาย แต่ถ้าเป็นตัวละครเด่นของเรื่องแนะนำให้ตั้งชื่อที่น่าสนใจเวลาอ่านรู้สึกดีหน่อยนะคะ แล้วชื่อตัวละครมันกระทบกระเทือนจิตใจคนอ่านขนาดไหนลองนึกภาพตัวเองนะคะสูงยาวเข่าดีหน้าตาหล่อลากไส้แต่ชื่อ ตะขบ... ความหล่อลดลงเลยใช่ไหมล่ะคะ คุณอาจจะนำชื่อตัวละครนั้นมาจากเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่คุณชอบก็ได้ แต่ขอแนะนำให้เปลี่ยนอุปนิสัย รูปร่างท่าทางของตัวละครนั้นเสีย ไม่ใช่ไปลอกของเค้ามาทั้งชื่อทั้งหน้าตานิสัยเหมือนกันทั้งดุ้น หรือลอกมาแล้วเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่สักนิด ข้อนี้ไม่แนะนำอย่างสุดซึ้งค่ะ เพราะถึงยังไงก็เป็นการลอกอยู่ดี

                 ชื่อตอน เป็นส่วนเล็ก ๆ ที่ไม่ควรละเลยอีกส่วนหนึ่งเลยค่ะสำหรับชื่อตอน เพราะชื่อตอนสามารถกระตุ้นให้คนอ่านอยากจะอ่านเนื้อเรื่องข้างในตอนต่อทั้งที่เป็นแค่ชื่อตอนแท้ ๆ อีกอย่างชื่อตอนยังเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องช่วยจำได้ด้วย ว่าตอนนี้ ๆ เนื้อเรื่องไปถึงไหนมีอะไรบ้าง เผื่อบางครั้งคุณหรือนักอ่านอยากจะอ่านตอนไหนซ้ำแค่อ่านชื่อตอนก็จะช่วยเตือนความจำได้เช่นกันครับ ดีกว่าปล่อยให้นักอ่านงมโข่งคลิ๊กเข้าคลิ๊กออกจนไม่เป็นอันได้อ่าน (ดีไม่ดีชั่วโมงเน็ตหมดก่อนได้อ่านเสียอีก) อาจจะกำหนดเป็นตอนที่ ๑ ตอนที่ ๒ ตอนที่ ๓ ไปเรื่อย ๆ แบบนั้นก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องมีชื่อตอนเสมอไป เพราะนักอ่านสามารถจำหมายเลขตอนได้เหมือนกัน เพียงแต่ชื่อตอนเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมได้อีกทางสำหรับนักเขียนที่อัพในเว็บให้ตอนต่อไปน่าสนใจมากขึ้น

"Slow but Sure = ช้าๆ ได้นิยายเล่มงามเจ้าค่ะ อิอิอิ"

o(.>...<.)o