COLLONIL
ดู Blog ทั้งหมด

ทำความรู้จักกับประเภทของหนังชนิดต่างๆ

เขียนโดย COLLONIL
ก่อนอื่นขอแนะนำว่า เราควรมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเครื่องหนังกันสักหน่อยนะคะ ถ้าเพื่อนๆมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องหนังกันบ้าง เพื่อนๆก็จะเข้าใจวิธีการดูแลรักษามัน ให้มีสภาพสวยงาม คงทน ยืดอายุการใช้งานได้ ซึ่งตรงนี้เราจะขอไม่ลงในรายละเอียดลึกๆ เอาแค่ในส่วนผู้ใช้ ผู้บริโภค รู้ที่มาที่ไป พอเข้าใจพื้นฐานของวัสดุ รู้ว่าควรระวัง รักษามันอย่างไร ก็โอเคแล้วค่ะ

เรามาเริ่มด้วยการแบ่งประเภทของหนังคร่าวๆกันค่ะ
หนังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
1. หนังแท้
2. หนังเทียมหรือหนังสังเคราะห์


1.หนังแท้ ก็คือหนังธรรมชาติที่ได้จากสัตว์ เช่น หนังวัว หนังแกะ หนังแพะ หนังจระเข้ หนังปลากระเบน หนังนกกระจอกเทศ หนังสัตว์อื่นๆอีกมากมาย การนำมาใช้ประโยชน์จะแบ่งออกเป็น
- หนังดิบ คือการนำมาใช้ประโยชน์โดยตรงกันแบบดิบๆ เช่น หนังตะลุง หนังที่ใช้ทำหน้ากลอง
- หนังฟอก คือการนำหนังดิบเข้าสู่กระบวนการฟอกหนังแบบต่างๆ เพื่อไม่ให้เน่าเปื่อย เป็นการเตรียมแผ่นหนังให้พร้อมต่อการนำไปใช้ผลิตสินค้า เช่น การปรับผิวให้เรียบสม่ำเสมอ ปรับสภาพให้มีความอ่อนนุ่ม สีสันสวยงาม มีความหนา-บางตามต้องการ

หนังแท้จะมีลักษณะตามธรรมชาติ มีความสวยงามตามธรรมชาติเป็นเอกลักษณ์ของหนัง สังเกตได้เช่น มีกลิ่นหนัง ผิวมีรูขุมขน ซึมซับน้ำ ด้านหลังมีขนคล้ายผิวสักหลาด ลายหนังไม่สม่ำเสมอเป็นไปตามธรรมชาติ มีรอยยับย่น มีตำหนิตามธรรมชาติ แต่หนังแท้บางชนิดที่มีเนื้อแน่นหรือแข็งที่เป็นหนังคุณภาพดี ก็อาจจะไม่มีรอยย่นของผิวเหมือนหนังปกติทั่วไป หนังแท้จะมีขนาดของแต่ละแผ่นหนังไม่แน่นอนเพราะเป็นไปตามธรรมชาติ และหนังแท้จะไม่ติดไฟ หรือถ้าติดก็จะดับได้เอง

หนังแท้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท

1.1 Full grain
เป็นหนังชั้นแรกที่มีลวดลายของหนังตามธรรมชาติ หลังจากผ่านกระบวนการฟอกหนังแล้ว จะทำการตกแต่ง พ่นเงา เน้นลวดลายของตัวหนังขึ้นมาเอง เหมาะกับการนำไปผลิตเป็นหนังหน้าของสินค้าและผลิตภัณฑ์เครื่องหนังต่างๆ

1.2 Split
เป็นหนังที่อยู่ชั้นกลาง ซึ่งโครงสร้างของเนื้อหนังยังคงมีโครงสร้างที่ดี จึงนำไปผลิตเป็นหนัง Nubuck หรือ Suede และยังสามารถนำไปโค๊ตพียูเพื่อสร้างลวดลายเทียมได้ เหมาะสำหรับนำไปใช้เป็นหนังหน้าในการผลิตเครื่องหนัง แม้คุณภาพของหนังส่วนนี้จะสู้หนังประเภทอื่นไม่ได้ แต่ก็มีความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ คุณสมบัติเด่นของหนังประเภทนี้คือ เบาและระบายอากาศได้ดี
สำหรับหนัง Nubuck และ Suede จะมีข้อแตกต่างกันเล็กน้อยคือ
- Suede ทำมาจากแผ่นหนังวัวด้านใน (inner leather) จึงเป็นส่วนที่ไม่ค่อยคงทน ดูแลรักษายาก (เป็นรอยถลอกง่าย โดนน้ำไม่ได้) เพราะหนังส่วนนี้จะไม่เคยเจอแดด,ฝน เป็นลักษณะกลับหนังเอาด้านในออกมาไว้ข้างนอก จึงเรียกว่า หนังกลับ
- Nubuck จะมีความคงทนมากกว่า Suede หลายเท่า เพราะทำมาจากแผ่นหนังวัวด้านนอก (outer leather) นำมาขัดทรายจนมีลักษณะคล้ายกำมะหยี่ แล้วจึงนำไปย้อมสี โดยทั่วไปหนัง Nubuck จะมีราคาแพงกว่า Suede

1.3 Lining
เป็นหนังชั้นสุดท้าย ซึ่งมีโครงสร้างไม่เหมาะสำหรับนำไปทำหนังหน้า ส่วนใหญ่จะถูกนำไปทำซับในในผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง

1.4 Bonded leather
เป็นเศษหนังที่ถูกกักไว้ในขั้นตอนการตัดหนัง Full grain, Split และ Lining นำไปผสมกับกาวและนำมาทำเป็นม้วนหรือแผ่น หลังจากนั้นก็ผ่านการโค๊ตด้วยพียู หนังประเภทนี้สามารถนำไปใช้ได้ทุกส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง


2.หนังเทียม คือหนังที่ได้มาจากกระบวนการปิโตรเลี่ยม (พลาสติก) ซึ่งเนื้อสัมผัสจะไม่เป็นธรรมชาติแบบหนัง Full grain แต่จะไม่มีตำหนิหรือแผลเป็น ผิวเรียบสม่ำเสมอ ข้อดีคือมีราคาไม่แพงนัก ให้ความรู้สึกคล้ายหนังแท้ แต่อายุการใช้งานจะสั้นกว่าหนังแท้
หนังเทียมจะมีหลักๆอยู่ 3 ประเภทคือ PU, semi-PU และ PVC
แต่หนังที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตเครื่องหนังจากหนังเทียมมากที่สุดคือ หนัง PU เนื่องจากมีผิวสัมผัสคล้ายกับหนังแท้มากที่สุด


ข้อดีของหนังเทียม
1. มีราคาถูกกว่าหนังแท้
2. ทนแดด และความชื้นมากกว่าหนังแท้
3. มีพื้นผิวสม่ำเสมอ ไม่เสียเศษ ไม่ต้องเลือกตำแหน่งที่จะตัดใช้งาน
4. ดูแลรักษาง่าย

ข้อเสียของหนังเทียม
1. รับน้ำหนักได้ไม่เท่าหนังแท้
2. ฉีกขาดง่ายกว่าหนังแท้
3. มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าหนังแท้


ข้อมูลคร่าวๆในการแยกประเภทหนังนี้ คงทำให้เพื่อนๆพอเข้าใจธรรมชาติของหนังและความแตกต่างของหนังแต่ละประเภท เพื่อที่เราจะได้ทำความเข้าใจในการดูแลรักษามันให้ถูกวิธีต่อไปได้นะคะ

แหล่งข้อมูล:
http://vintageblog.scf-vintage.com/blogvintage/vintage-knowledge/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87-leather/


 




ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น