Hyakkimaru
ดู Blog ทั้งหมด

ถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป 4 Part 2

เขียนโดย Hyakkimaru


มีเรื่องอะไรเล่าให้ฟัง
จม พิเศษ ถึงพี่นก ว่าด้วยจุดอ่อนของ Sotus สไตล์ " ถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป. 4 " ให้พี่นกอ่านเล่นๆ แต่ใครอยากอ่านด้วยก็เชิญนะครับ (บอกก่อนยาวมากๆ)




สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ได้มีข่าวดีมาสู่เหล่าคณะกรรมการบริหารวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รวมถึงดอลฟินและเจ้าหน้าที่วัดทุกๆคน ตลอดจนชาวบ้านทั้ง 4 หมู่บ้านรอบภูเขา เนื่องจากท่านเจ้าคุณอาจารย์พระเทพโมลี ได้รับเกียรติให้ได้รับปริญญาขั้นดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) กิตติมศักดิ์ เพราะได้ทำประโยชน์มหาศาลแก่ประเทศชาติ ทั้งแก่สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
เหล่าคณะศิษย์และคณะกรรมการบริหารวัดรวมถึงเจ้าหน้าที่และชาวบ้านทุกๆคนจึงจัดพิธีสแดงมุทิตาจิตแด่ท่านอาจารย์กันในค่ำคืนวานนี้ ซึ่งแม้แต่เจ้าป้อมปืน (น้องชายในธรรมของผมซึ่งเป็นต้นแบบกตนิธิแห่ง Dragon 's orb) ก็ได้มาร่วมงานด้วย ก็เลยได้เห็นป้อมเวอร์ชั่นเกรียน (เกรียนเพราะเข้าเตรียมทหารผมเลยเกรียน แต่นิสัยน่ารักเหมือนเดิมจนไม่อาจจะเรียกว่าเกรียนได้) ซึ่งหลังจากงานแสดงมุทิตาจิตแด่ท่านอาจารย์ พวกเราก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันมากมาย อันนับเป็นกำไรชีวิตของดอลฟินเลยก็ว่าได้ เพราะมันทำให้ดอลฟินได้รู้ว่า สิ่งที่พี่เอ้ (Sobek) ในแฟรี่แลนด์และ อาจารย์กนกพร สบายใจ (แม่ของเจ้าป้อมปืน) สอนไว้ว่า คุณภาพทางสติปัญญาของคนแต่ละคน ไม่ได้วัดเอาจากสถานที่กวดวิชาของเรา หรือสถาบันที่เราสอบติด หรือใบปริญญาที่เราได้รับมา หากแต่อยู่ที่ตัวเราเองว่า เราสามารถจะเรียนรู้อะไรๆได้ไหมและขนาดไหน , เราเรียนรู้มาแล้วเรานำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้ไหมและแค่ไหน , และเมื่อเรานำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แล้ว มันอำนวยประโยชน์แก่สังคม และประเทศชาติหรือไม่และขนาดไหน เป็นความจริงทุกประการ โดยหลักฐานก็จากการที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ ซึ่งจบแค่ชั้น ป. 4 แต่กลับได้รับปริญญาระดับดุษฎีบัณฑิต ซึ่งเหนือกว่ามหาบัณฑิตของดอลฟินเองตั้ง 1 ขั้น ด้วยเหตุจากการที่ท่านขวนขวายศึกษาสรรพวิชาต่างๆจากตำรา และนำความรู้ที่ได้มาสร้างประโยชน์มหาศาลแก่ประเทศชาติและแผ่นดินเกิด จนชาติยอมรับในความเป็นปราชญ์ของท่านและมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตนี้ให้แก่ท่าน ซึ่งหลังจากดอลฟินนำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฟังแล้ว ก็ได้ทราบว่านอกจากท่านเจ้าคุณอาจารย์แล้ว ในเกษตรยังมีผู้ทรงความรู้อีกท่านที่ได้รับปริญญาเอกลักษณะนี้ คือ ท่านอาจารย์ระพี สาคริก ซึ่งจบเพียง ป ตรี แต่ด้วยผลงานต่างๆที่อำนวยประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล ท่านจึงได้รับปริญญาเอก (รวมถึง ไทเกอร์ วูด ที่ไม่ได้เรียนเกษตร แต่ก็ได้รับปริญญาของเกษตรเช่นเดียวกัน เพราะท่านคณบดี เห็นว่ามีสายเลือดไทยและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย)

เมื่อได้รับรู้เรื่องราวดีๆเช่นนี้ ก็พาให้นึกถึง power conflict ในเรื่องกระแสการรับน้องที่เริ่มจะกรุ่นมาอีกครั้งตามระบอบการเปิดเทอมใหม่ ซึ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้พี่นกกับพี่พลอยก็เพิ่งจะอภิปรายกันไปในเวป อาค มีเดีย ซึ่ง ณ เวลานั้น พี่นกและพี่พลอยได้ให้ความเห็นต่อกันและกันว่า

คนรับฟังท่านที่ 16

แหมๆ มีซาวน์เอฟเฟคต์เยอะจริงเอก ทำซะเห็นภาพเลย กรั่กๆ

พลอย ไอ้รับน้องรวมนี่ใครเป็นคนตั้งกฎไม่ให้รับปริญญาถ้าไม่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ มันมีกฎระเบียบอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัยรองรับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า เขาเรียนจนจบแล้วมีสิทธิอะไรไปรั้งเขาไว้ไม่ให้ได้รับในสิ่งที่ควรได้ พี่คิดว่ามันเป็นอะไรที่ถือว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะ

แล้วที่ว่าฝึกความอดทนนี่ฝึกไปทำต๋อยไรมิทราบ แน่ใจนะว่านั่นมหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายฝึกทหารส่งไปรบ ส่วนไอ้การดื้อเงียบแล้วต้องถูกลงโทษด้วยนี่ ถือสิทธิอะไรไปลงโทษเขาแบบนั้น ก็ไหนว่าออกกฎห้ามตะคอกใส่หู งั้นไอ้ที่เรียกไซโคเซอร์ราวน์รอบทิศสามร้อยหกสิบองศาที่่โดมดำจนกลายเป็นซอมบี้นี่คืออะไรกัน การได้แสดงอำนาจข่มขู่บังคับบีบคั้นผู้ที่อ่อนด้อยกว่านี่มันสนุกจนลืมคิดไปแล้วหรือเปล่าว่าบาดแผลทางร่างกายอาจมองไม่เห็น แต่แน่ใจได้อย่างไรว่าไม่เกิดบาดแผลในจิตใจ เราได้ทำร้ายเขาไปโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า

การดื้อเพ่งนี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่พอใจและรับไม่ได้กับไอ้กิจกรรมที่เกิดขึ้น เคยมีการคิดทบทวนกันบ้างมั้ยว่าเพราะอะไรน้องจึงรับไม่ได้ ทำไมจึงแสดงอาการต่อต้าน ถ้ามันเป็นเรื่องดีจริงๆ คงไม่มีปฏิกิริยาแบบนี้ให้เห็นหรอกใช่ไหม




คนรับฟังท่านที่ 20

มาตอบพี่นกต่อ

เรื่องที่ถ้าไม่ผ่านการรับน้องไม่ให้รับปริญญาเป็นเรื่องจริงอ่ะพี่ เพราะเพื่อนหนูคนหนึ่งมันก็ไม่ได้เข้ารับ เลยต้องมารอรับพร้อมน้องนี่แหละ

ถ้าถามว่าอำนาจนี่ใครบัญญัติ ก็เป็นผอ. และเหล่าศิษย์เก่าที่เป็นอาจารย์ เจ้าหน้าที่ ซึ่งล้วนเป็นศิษย์เก่าแม่โจ้ด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นอำนาจเอกเทศที่เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายกฎที่เขาตั้งมากว่า 70 กว่าปีลงง่ายๆ เลย...ดังนั้น ต่อให้สังคมเปลี่ยนไปแค่ไหน จะต่อต้านการรับน้องแบบโซตัสอย่างไร กลุ่มลูกแม่โจ้จะไม่ยอมให้ใครมาทำลาย 'กฎ' ของแม่โจ้เด็ดขาด (ถ้ามันทำลายได้จริง ก็คงทำลายหมดไปนานแล้ว นี่ผ่านมากี่รัฐบาลก็ยังเหมือนเดิม...)


ก็ดูรุนแรงดีนะครับ แม่โจ้ แต่มันก็ทำให้ดอลฟินสงสัยว่า ถ้าเกิดว่ากระทรวงศึกษาหรือรัฐบาลออกหมายสั่งให้ แม่โจ้มอบปริญญาให้แก่บุคคลที่ไม่ได้สอบเข้าแม่โจ้ + ไม่ได้ผ่านการรับน้องแม่โจ้ + ไม่ได้จบแม่โจ้ แต่ได้ทำตนเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ จนรัฐบาลเห็นสมควรว่าควรได้รับปริญญาจากแม่โจ้เนี่ย จะเกิดอะไรขึ้น?

อย่างสมมุติ จา พนม ได้รับอภิสิทธิ์ให้ได้ปริญญาของแม่โจ้ ทั้งๆที่ไม่ได้สอบเข้าแม่โจ้ + ไม่ได้ผ่านการรับน้องแม่โจ้ + ไม่ได้จบแม่โจ้ แต่ได้ทำตนเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ จนรัฐบาลเห็นสมควรว่าควรได้รับปริญญาจากแม่โจ้ แบบที่ไทเกอร์ วูด เคยได้รับปริญญาจาก ม เกษตร ทั้งๆที่ไม่ได้จบเกษตร อะไรจะเกิดขึ้น?

ทางมหาวิทยาลัยจะปฏิเสธคำสั่งของรัฐบาล และยึดมั่นอุดมการณ์ Sotus ของตนเองเป็นใหญ่ หรือจะยอมทำตามหลักรู้ที่ Richard garfield ผู้ประพันธ์เรื่อง Brother war ได้ให้ตัวละครชื่อ serra สอน radiant ว่า " Believe in the ideal not your idol " แทน

ซึ่งแน่นอนถ้าทางมหาลัยปฏิเสธคำสั่งของรัฐบาล ค่า reputation และ Famous ดีกรีที่พยายามสะสมมาก็มีอันจะต้องลดฮวบลง (อย่างน้อยก็ต้องลงหน้า นสพ ไปสัก 2 อาทิตย์เป็นอย่างต่ำ และถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็น Talk of the town ไปเป็นเดือน) แต่ถ้าทำตามคำสั่งรัฐบาลก็คงจะต้องโดนมองว่าไม่แน่จริงอีกแหงๆ (แล้วก็จะต้องลงหน้า นสพ ไปสัก 2 อาทิตย์เป็นอย่างต่ำ และถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็น Talk of the town ไปเป็นเดือนเช่นกัน)

แล้วถ้าทางมหาวิทยาลัยคิดจะยอมตามรัฐบาลแต่มีข้อแม้ว่า จา พนม จะต้องไปรับน้อง ก็อาจจะมีแฟนคลับ จา พนม ตามไปเป็นเล่มเกวียนไปคอยสังเกตการณ์ + โปรเทคไอดอลของตนเอง ให้เป็นข่าวครึกโครมกันอีก

พูดมาถึงตรงนี้ก็พาให้นึกถึงเรื่องของเจ้าป้อมปืน ซึ่งมีลักษณะร่วมกับพวกเด็กพรีดีกรีในโลกแห่งความเป็นจริง และคันซากิจัง ใน GTO
เพราะแน่นอนป้อมไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่ได้เรียนหนังสือจากสถาบันใดๆ ไม่ได้กวดวิชาจากที่ไหนๆ แต่เข้าเตรียมทหารได้เพราะเป็นเด็กพิเศษ
และก็แน่นอนคือป้อมได้รับ Protection พิเศษจากสถาบันแบบที่คันซากิจังได้รับ เพราะมีผู้ใหญ่บอกป้อมตั้งแต่เข้าสู่รั้วสถาบันว่า ถ้ามีใครทำอะไรบอกครูนะ จะจัดการให้ เพราะเธอคือชื่อเสียงและความภาคภูมิใจของพวกเรา แบบเดียวกับที่คันซากิจังได้รับการปกป้องจากบรรดาครูใหญ่ ดัง ตย ใน GTO ตอนที่ โอนิซึกะจะลงโทษคันซากิ แต่รองอาจารย์ใหญ่ก็ปราดมาขวางกลางและด่าว่า " แกจะทำอะไรเด็กคนนี้ รู้เปล่าว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กพิเศษในด้านอัจฉริยะภาพทางสมองที่กระทรวงศึกษามอบสิทธิและเกียรติให้โรงเรียนของเราดูแล ถ้าอารมณ์ชั่ววูบโง่ๆของแกทำให้เด็กคนนี้เป็นอะไรไป โรงเรียนของเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!!! "

เพราะป้อมและคันซากิก็มีลักษณะเด่นที่สามารถชี้ให้เห็นจุดบอดของ Stus ได้เช่นกัน ดังตัวอย่างเหตุการณ์สมมุติ

คันซากิจัง ได้เป็นนิสิตแลกเปลี่ยนไปเรียนที่แม่โจ้ แต่ทางสถาบันต้องการให้คันซากิจังรับน้อง เพื่อจะได้เป็นลูกแม่โจ้อย่างแท้จริง คันซากิจังเห็นน่าสนุกดีเลยรับ แต่เพียงแค่รุ่นพี่ขยับเข้ามาใกล้ บอดี้การ์ดชุดดำกว่า 10 คนทั้งไทยและญี่ปุ่นที่กระทรวงศึกษาส่งไปอารักขาก็เข้ารายล้อมตัวคันซากิจัง พร้อมกับตะคอกใส่พวกรุ่นพี่ว่า " คุณจะทำอะไร!!! เด็กคนนี้เป็นเด็กพิเศษนะ!!! การที่เธอได้มาอยู่ในสถาบันของคุณถือเป็นเกียรติและชื่อเสียงของสถาบันคุณ!!! คุณคิดจะทำลายชื่อเสียงของตัวเอง รวมถึงทำลายสัมพันธภาพที่ดีระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเรอะ!!!! " ซึ่งถ้าทางรุ่นพี่ให้เหตุผลว่า " เพื่อขัดเกลาให้คันซากิจังแกร่งและอดทน สู้กะโลกภายนอกได้ " ก็อาจจะโดนตอกกลับแบบที่ อจ ฟูจิโมริ และ อจ ฟูยุซึกิ โดนใน GTO คือ " ฮ่าๆๆๆๆ!!! ตลกน่า ไอคิวไม่ถึง 100 อย่างพวกคุณจะสอนอะไรคันซากิจังได้สักแค่ไหนกันเชียว!? ไม่รู้รึไงว่าเด็กคนนี้ถึงจะอายุน้อยกว่าพวกคุณเกือบ 1 รอบ แต่เธอฉลาดกว่าพวกคุณ 20 เท่า!!! ดังนั้นคุณค่าของเด็กคนนี้น่ะมากกว่าเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงของคุณตั้งหลายร้อยเท่า!!! ดังนั้นในเรื่องต่างๆที่คุณคิดจะสั่งสอนตักเตือนเธอน่ะ หนูคันซากิเขารู้ดีอยู่แล้ว รู้ดีกว่าพวกคุณด้วย เอาเวลาของคุณไปสอนเด็กคนอื่นๆที่ต้องการคุณจะดีกว่า!!! " และผลจากการโดนหักหน้าอย่างรุนแรงเช่นนั้น ก็ทำให้ อจ ฟูจิโมริและฟูยุซึกิเสียความมั่นใจในตัวเอง โดย ฟูจิโมริถึงขั้นเครียดหนักจนประจำเดือนมาไม่ปกติ และลาออกไปเพื่อหนีปัญหา ส่วนฟูยุซึกิก็คิดจะลาออกแต่โอนิซึกะห้ามไว้ทัน
แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องในการ์ตูน ดอลฟินเลยไม่รู้ว่าในความเป็นจริงมันจะเป็นยังไง แต่คาดเดาว่าคำสอนที่ อจ ญาดา อารัมภีร์ เคยสอนที่เกษตรว่า " ที่สุดของมนุษย์คือตัวเอง " โดยการศึกษาภาพสะท้อนจิตใจมนุษย์จากละครเวทีเรื่องเสาวคนธ์ น่าจะเป็นจริง ที่สุดท้ายพอทุกอย่างถึงขั้นวิกฤ๖สุดๆแล้ว มนุษย์ทุกคนก็เลือกเอาตัวเองรอดและยอมที่จะทำลายคนอื่นได้เพียงเพื่อให้ตนเองรอด ดังนั้นแม้ว่า ผู้บัญญัติกฏรับน้องของแม่โจ้ จะเป็น ผอ หรือ อจ หรือเจ้าหน้าที่ที่เป็นศิษย์เก่า แต่เมื่อถึงสถานการณ์ที่จะต้องเจอกับเด็กพิเศษแบบคันซากิแล้ว ในที่สุดความเป็นมนุษย์ก็คงทำให้คนเหล่านั้นเลือกตัวเองมากกว่าอุดมการณ์ คงไม่ดันทุรังฝ่าทางปืนจนพบจุดจบที่น่าอนาถแบบฟูจิโมริแน่ๆ เพราะฟูจิโมริถึงจะสูญเสียความมั่นใจและหน้าที่การงานไป แต่เธอก็เป็นแค่ตัวละครในการ์ตูน ไม่มีลูกเมียต้องรับผิดชอบ ไม่มีชื่อเสียงเกียรติยศ ต้องแบกไปโชว์สังคม ดังนั้นก็คงจะยอมให้คันซากิได้รับปริญญาโดยไม่ต้องผ่านการรับน้อง และอ้างว่าคันซากิจังเป็นเด็กญี่ปุ่น คงไม่เหมาะกะ Sotus ของไทย ให้กลับไปรับ Sotus ของญี่ปุ่นแทนดีกว่า หรืออาจจะอ้างตามบทที่บอดี้การ์ดจากกระทรวงบอกไว้ก่อนก็ได้ว่า " คันซากิจัง ไม่จำเป็นต้องผ่านการรับน้องเพื่อให้คุ้นเคยกะรุ่นพี่จะได้รับความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ได้ และจะได้มีใจที่กล้าแกร่งรับเรื่องร้ายๆในอนาคตได้ เนื่องจากคันซากิจังเป็นเด็กที่มีสมองเป็นอัฉริยะภาพ เธอจึงสามารถกระทำการต่างๆด้วยวิธีที่ปลอดภัยจากปัญหานานาประการ และสามารถรับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยสติปัญญาที่เยี่ยมยอดอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการทำความคุ้นเคยจากรุ่นพี่และความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ก็คงไม่จำเป็น เพราะเธอมีความสามารถต่างๆเหนือกว่ารุ่นพี่ทุกคนเสียอีก ส่วนเรื่องอุปกรณ์และความร่วมมือก็ไม่มีปัญหา เพราะถ้ารุ่นพี่หรือ อจ คนไหนไม่ให้ความร่วมมือหรือไม่ช่วยเหลือ ทางกระทรวงศึกษาจะส่งบุคลากรที่ดีกว่าไปให้เอง... " แน่นอนเมื่อลองอ่านประโยคสุดท้ายที่ดอลฟินคัดลอกมาจาก GTO ว่า

" ถ้ารุ่นพี่หรือ อจ คนไหนไม่ให้ความร่วมมือหรือไม่ช่วยเหลือ ทางกระทรวงศึกษาจะส่งบุคลากรที่ดีกว่าไปให้เอง... " แล้วลองคิดลึกๆ + มองหลายๆด้าน จะสังเคราะห์ออกมาได้ว่า

1. ถ้ารุ่นพี่หรือ อจ คนไหนไม่ให้ความร่วมมือหรือไม่ช่วยเหลือ เด็กพิเศษอย่างคันซากิก็ไม่เดือดร้อนอะไรอยู่ดี เพราะกระทรวงศึกษาและรัฐบาลจะจัดให้เรียบร้อยเอง

แต่...ผลสะท้อนมันต้องมีแน่นอน กล่าวคือ

2. รุ่นพี่ หรือ อจ หรือ เจ้าหน้าที่ ทุกๆคนที่ไม่ให้ความช่วยเหลือ... คงจะต้องได้รับอะไรๆจากบ้านเมืองเป็นแน่แท้ ในฐานะที่ขัดขวางผลประโยชน์ทางด้านเกียรติยศและชื่อเสียงของบ้านเมือง เช่น อาจจะต้องสูญเสียเกียรติยศ ชื่อเสียงของตนเองเป็นข้อแลกเปลี่ยน หรือร้ายกว่านั้น อาจสูญเสียหน้าที่การงานที่มั่นคงที่มีอยู่ไป (ภาษานักข่าวเรียกเจอปลดกระทันหัน หรือเจอปลดสายฟ้าแลบ)
แน่นอนถ้าผู้คุมกฏรับน้องเป็น ผอ มหาลัยซะเอง และฉลาดพอ เขาหรือเธอก็คงจะทำตามแบบที่ตัวละครทุกตัวในเรื่องเสาวคนธ์ทำคือเลือกให้ตัวเองรอด ใครจะว่าไงช่างมัน เพราะความอยู่รอดของเราหมายถึงความมั่นคงในชื่อเสียง ตำแหน่ง หน้าที่และรายได้ของเรา ซึ่งนั่นหมายถึงความอยู่รอดและมั่นคงของลูกเมียและครอบครัวเราด้วย เพราะไม่ว่าจะเงินเดือนสูงแค่ไหน แต่ถ้าไปทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองที่กำลังจะมีขบวนเสด็จระดับชาติระดับอินเตอร์ผ่านมา เงินที่มีทั้งหมดก็คงไม่อาจปกป้องหรือซื้อความมั่นคงในหน้าที่การงานได้ และไม่อาจซื้อครอบครัวที่ร้าวฉานไปแล้วให้ฟื้นกลับคืนมาได้

ทีนี้อาจจะมีความเห็นแย้งว่า เด็กอย่างคันซากิมีไม่กี่คน และ % ที่รัฐจะส่งเด็กแบบนั้นไปแม่โจ้มีต่ำมากๆ ซึ่งอาจจะต่ำกว่า 5 % เสียอีก เพราะกรณีของเด็กพิเศษแบบนั้นรัฐน่าจะส่งไปที่จุฬา หรือมหิดล หรือธรรมศาสตร์มากกว่า และผู้ที่เก่ง + บำเพ็ญประโยชน์ให้ชาติอย่างมหาศาลระดับนั้นก็มีได้ยาก และถ้ามีเขาก็คงไม่ส่งไปรับปริญญาแม่โจ้หรอกน่าจะส่งไปจุฬาหรือ เกษตร หรือมหิดล หรือธรรมศาสตร์มากกว่า

แต่...อย่าลืมนะครับว่า กฎธรรมชาติที่ตายตัวที่สุดในจักรวาล มีอยู่ 2 ประการว่า " ทุกอย่างในโลกนี้ย่อมมีจุดอ่อนเสมอ " ซึ่ง อจ พนมเทียน ได้เคยสอนไว้ในเรื่องเพชรพระอุมา และ อจ น้อย อินทนนท์ได้เคยสอนไว้ในล่องไพรประการหนึ่ง และทุกสิ่งทุกอย่งในโลกนี้ล้วนมีธรรมชาติ ต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อีกประการหนึ่ง

ซึ่งจาก 2 ตัวอย่างใหญ่ๆที่ดอลฟินยกมาโดยอาศัยมูลเหตุจากข่าวดีที่ท่านอาจารย์ได้รับปริญญาเอกทั้งๆที่จบเพียงชั้น ป .4 ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า Sotus มีจุดอ่อน
คือไม่สามารถบังคับให้คนที่ได้รับอภิสิทธิ์ให้ได้รับปริญญาจากสถาบันทั้งๆที่ไม่ได้จบจากสถาบันและไม่ได้ผ่านการรับน้องจากสถาบัน ไม่ให้ได้รับปริญญาได้ (เพราะถ้าฝืนก็รังแต่จะมีเรื่อง และเป็นเรื่องใหญ่ๆซะด้วยสิ) ประการหนึ่ง และ Sotus ไม่อาจบังคับให้เด็กพิเศษที่มีคุณภาพทางสมองดีกว่าพวกรุ่นพี่และ อจ ซึ่งกระทรวงศึกษายอมรับและให้การคุ้มครองไปร่วมกิจกรรมได้ นอกจากนั้น Sotus ยังไม่มีคุณค่าและไม่มีตัวตนในสายตาของเด็กพิเศษระดับนั้น รวมถึงผู้ให้การสนับสนุนเด็กคนนั้นเลยอีกด้วย อีกประการหนึ่ง

แต่....จุดอ่อน 2 อันที่ยกมานั้นก็ยังมีจุดบอดคือยังไม่อาจพิฆาตหรือสยบ Sotus ขั้นเด็ดขาดได้ ไม่เหมือนอีก 1 ตัวอย่างที่ดอลฟินจะขอกล่าวถึง เพราะได้พูดถึงไปแล้วคร่าวๆ ซึ่งก็คือพวกพรีดีกรี...

พรีดีกรี คือ อะไร?
พรีดีกรีก็คือเด็กที่ผ่านการสอบและการศึกษาแบบใหม่ ซึ่งจะต้องเริ่มศึกษาและสอบตั้งแต่ชั้น ม. 3 ซึ่งหากทำสำเร็จจะสามารถพาสชั้น จาก ม. 6 ไปที่ ปริญญาโท ปี 1 ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านคอร์สปริญญาตรี... ซึ่งระบบนี้มีมาตั้งแต่ตอนที่ดอลฟินเข้าศึกษาระดับ ป โท ปีแรกแล้ว โดยในวันแรกของการศึกษาปีนั้น ณ ห้องปฐมนิเทศน์ ท่านหัวหน้าภาค ก็ได้แนะนำดอลฟินและเพื่อนๆให้ได้รู้จักกับน้องคนหนึ่งซึ่งอายุเพียง 17 - 18 ปี (เห็นหน้ารู้เลยว่าเด็กจบ ม ปลายหมาดๆ เพราะใสมากๆ) ว่าน้องคนนี้จะมาร่วมคณะกับพวกเราในฐานะนิสิตปริญญาโทด้วยกัน และอาจารย์หัวหน้าภาคก็ได้อธิบายว่า น้องเขาเป็นเด็กพรีดีกรี คือเด็กพิเศษที่ผ่านการสอบพรีดีกรี (สอบเทียบวุฒิปริญญาตรี) จนไม่จำเป็นต้องเรียนปริญญาตรี และสามารถเข้ามหาวิทยาลัยในระดับปริญญาโทได้เลย หลังจากจบ ม. 6
ตอนนั้นพวกเราก็อึ้งและก็คิดว่าเด็กพึ่งจบ ม. 6 จะเรียน ป โทไหวได้ไง แต่น้องเขาก็เรียนร่วมกับพวกเราได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ นอกจากนั้นอาจารย์ยังคอยมาตามดูแลและให้ความช่วยเหลือน้องเขาเรื่อยๆอีกด้วย จนสุดท้ายน้องเขาก็จบและรับปริญญาโทพร้อมพวกเราด้วยวัยเพียง 19 - 20 และปัจจุบันก็ทำงานแล้ว แถมมีงานและรายได้ที่มั่นคงอีกด้วย

และจากปีนั้น ( 2545 - 2552 ) ก็ 7 ปีมาแล้ว ซึ่งดอลฟินทราบมาว่านอกจากที่เกษตรและรามแล้ว ปัจจุบันระบบพรีดีกรีได้กระจายไปตามมหาวิทยาลัยหลายๆแห่ง เช่น ที่มหิดล ซึ่งก็ได้ยินมาว่า เหล่าผู้ปกครองที่ขยาดกับระบบ Sotus มากมาย ก็พยายามส่งลูกสอบพรีดีกรี เพื่อที่จะกระโดดข้ามการศึกษาขั้น ป ตรี ไปจะได้ไม่ต้องโดนรับน้อง และได้หน้าตา + ชื่อเสียงมาว่า ลูกฉันเก่งจบ ม. 6 ก็ข้ามไปเรียน ป โท ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเรียน ป ตรี เป็นโบนัส

ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วระบบพรีดีกรีนี้ น่าจะเป็นตัวห้ำเบียนที่เหมาะสมมากที่สุดสำหรับระบบโซตัส เพราะ Sotus ไม่สามารถต่อกรกับพรีดีกรีได้เลย เนื่องจากพรีดีกรีมาเหนือเมฆ พาเหล่าเฟรชชี่เหาะเหินฟ้าผ่าอากาศจากชั้น ม. 6 ข้ามหัวโซตัสไปที่ชั้น ป ตรีเลย โดยที่โซตัสไม่อาจทำอะไรได้ และเด็กพรีดีกรีก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากสถาบันและอาจารย์ (อย่างที่ได้ยินมาว่าบางแห่งดูแลดีมากๆ จนเด็ก ป ตรี ธรรมดาอิจฉา) ซ้ำยังมีฐานะเป็นรุ่นพี่พวกว้ากเกอร์ซีเนียร์อีกด้วย ทั้งๆที่อายุน้อยกว่า

และตามกฏธรรมชาติ ที่ทุกอย่างต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พรีดีกรีได้เกิดมาแล้วเมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว และตั้งตัวอยู่แล้ว และขณะนี้กำลังเจริญขึ้น ต่อไปมหาวิทยาลัยต่างๆที่ไม่มีระบบพรีดีกรีก็จะต้องอัพเกรดตัวเองให้ตามยุคสมัยทัน เพื่อจะได้ไม่ล้าหลัง (เพราะถ้าถูกมองว่าล้าหลัง ก็จะไม่เป็นเป้าหมายให้เด็กอยากสอบเข้า) ดังนั้นดอลฟินจึงมองว่าความเจริญรุ่งเรืองของพรีดีกรี คือกาลแห่งการแตกดับของ Sotus เพราะคิดกันเล่นๆว่า สมมุติว่าถ้าสถาบันนึง มีเด็กพรีดีกรีสอบเข้า 100 % ขณะที่จำนวนเด็กสอบเข้าปกติในระดับ ป ตรี เป็น 0 จะเกิดอะไรขึ้น...?

แน่นอนขบวนการล้างเจเนอเรชั่นเกิดขึ้นแล้ว เพราะไม่มีเฟรชชี่มาโดนรับน้อง จึงไม่มีการถ่ายทอดกระบวนการทางความคิด และถ้าปีต่อไปเกิดจับพลัดจับผลูมีแต่เด็กพรีดีกรีสอบเข้ามาอีก และไม่มีเด็กปกติเข้ามาเป็นเฟรชชี่อีก รุ่นพี่จะเหลือเพียงแค่ 2 รุ่นเท่านั้น และถ้าอีก 2 ปีประวัติศาสตร์ย้อนรอยอีก Sotus ของสถาบันนั้นก็จะตายไปอย่างสมบูรณ์ เพราะถึงแม้พวกศิษย์เก่าจะมาทำตัวเป็นว้ากเกอร์แทนในรุ่นที่ 5 แต่...Reflection ที่ว้ากเกอร์ลูกหม้อ (ยังศึกษาอยู่ในมหาลัยนั้น ณ เวลานั้น) ต่างจากที่พวกว้ากเกอร์ดาวค้างฟ้า (จบแล้วไม่ยอมจบ จะมารับน้องเพื่อสานต่อโซตัส) ได้รับ ย่อมต่างกันอย่างแน่นอน เพราะหากคุณยังเป็นนิสิตมหาลัย เวลามีคดีไรเกิดขึ้นมา สังคมยังพอให้อภัยเพระมองว่ายังไงคุณก็ยังเด็กยังไม่ Mature แต่สำหรับคนที่จบไปเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว มาก่อคดีขึ้น สังคมจะเอาผิดเต็มที่ประการหนึ่ง และสถาบันก็จะไม่ช่วยเหลือหรือปกป้องอีกประการหนึ่งเพระถือว่าคุณจบไปแล้ว

พรีดีกรีจึงน่าจะเป็นตัวทำลายโซตัสอย่างสิ้นเชิง เพราะพ่อแม่ปัจจุบันก็ล้วนแต่อยากให้ลูกตัวเองเรียนเก่งจะได้เป็นหน้าเป็นตาในสังคม เด็กๆสมัยใหม่เองก็อยากจะอวดเทพว่าตนเองเก่งกว่าเพื่อนๆ ดังนั้น % ที่ต่อไปทุกมหาวิทยาลัยในไทยจะรับเด็กพรีดีกรีหมด ไม่ใช่ความฝันเลย หากแต่เป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง และมหาลัยใดที่มุ่งมั่นใน Sotus อย่างถึงที่สุดจนปฏิเสธพรีดีกรี ก็จะได้รับความวิเวกวังเวงเป็นรางวัลไป เพราะจะไม่มีใครไปเรียน (เหมือนสมัยดอลฟินเด็กๆ แล้วดูละครหลังข่าว สมัยที่แทกซี่ยังไม่มีมิเตอร์ และแทกซี่ทุกคนยังไม่ได้มีแอร์เสียทุกคัน ในละครเรื่องแทกซี่ทีเด็ด ซึ่งพระเอกเป็นหนุ่มลูกทุ่งขับแทกซี่ และยากจนไม่มีเงินซื้อแอร์ติดรถ พอคนโบกเรียกเปิดประตูมาไม่เจอแอร์ ก็จะบอกว่า ไป๊!!! ไม่มีแอร์ฉันไม่นั่ง!!!)
Flash back มาเป็นเหตุการณ์ ตย ในอีกประมาณ 2 - 10 ปีข้างหน้า
คุณหญิงแม่ถามลูกชายว่า " ชายอ๊อฟจ๋า ตอนนี้หนูก็ม. 3 แล้วคิดยังจ๊ะว่าจะเข้ามหาลัยไหน " อ๊อฟ (ชี้ที่มหาลัยแห่งหนึ่ง) คุณหญิงแม่จึงบอกว่า " ต๊ายไม่ดีค่ะคุณลูกขา มหาลัยนี้ไม่มีพรีดีกรี ถ้าชายอ๊อฟเข้าไป ก็จะต้องเรียนตั้งแต่ระดับ ปตรี เสียเวลาไป 6 ปีถึงจะได้ ป โท ขณะที่เพื่อนๆเขาจะเรียนแค่ 2 ปีก็ได้ ป โท แล้วนะคะ " อ๊อฟ " แบบนั้นอ๊อฟก็เป็นไอ้อ่อนในหมู่เพื่อนๆสิครับ คุณหญิงแม่!!! " คุณหญิงแม่ " ถูกต้องนะค้า คุณลูกขา...!!! " อ๊อฟ " งั้นไม่เข้าแม่งละ มหาลัยเส็งเคร็ง ให้คุณหญิงแม่เลือกให้ดีกว่า!!! "

แน่นอนหากเทรนพรีดีกรีมาแรง Sotus จะหรี่แสงลงจนดับไป ตามกฎธรรมชาติที่ว่าทุกอย่างต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เหมือนกับแม่น้ำเนรัญชราที่เคยลึกและไหลเชี่ยว จนพระพุทธองค์สามารถลอยเสี่ยงถาดได้ บัดนี้ตื้นเขินเหมือนแอ่งน้ำริมหาดทรายยามเช้า รอวันที่จะดับสูญไปแบบเเม่น้ำสรัสวดี และแม่น้ำในอดีตอีกหลายสาย
เหมือนสหภาพโซเวียตที่เคยเป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่ทัดเทียมอเมริกา บัดนี้เหลือเพียงความทรงจำว่าในโลกนี้เคยมีธงของชาติสหภาพที่ใช้ตราว่า USSR แม้แต่เด็กพิเศษด้านสมองที่จำอะไรแล้วติดแน่นทนนานอย่างพวก Record keeper ก็ใช่ว่า สมองของพวกเขาจะจำอะไรได้นิรันดรตามทฤษฎี เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาตาย สมองที่เคยจำอะไรติดแน่นทนนานจนมาเล่าย้อนหลังได้เรื่อยๆ ก็จะไม่สามารถจดจำหรือบอกเล่าอะไรเป็นฉากๆได้อีกต่อไป แม้แต่คำทำนายของนอสตราดามุสทีว่ากันว่าแม่นหนักหนาก็ยังมาพลาดเอาในปี 1999 ดังนั้นทุกอย่างเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสมอ และเมื่อ Sotus ถึงกาลใกล้ดับ แม้พวกบูชาโซตัสจะพยายามต่อสู้ยังไง ผลก็คงเหมือนกับไอดอลค้างฟ้าที่รับบทโดยชารอน สโตน ในเรื่อง Cat woman ที่พยายามต่อสู้กับความแก่ชราและความเหี่ยวย่นของ่รางกายทุกวิถีทาง สุดท้ายธรรมชาติก็ลงโทษให้ต้องกลายเป็น Monster ไป และต้องตายอย่างน่าอเนถอนาจ

ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกกำหนดบทบาทโดยธรรมชาติ และเราควรปล่อยให้ธรรมชาติได้แสดงบทบาทของมัน จริงไหมครับพี่นก
ไฟล์ที่แนบมาด้วย
ดอลฟิน
01/06/2009 16:33
ปราชญ์มือทองเดินดินกินเก๊กฮวย หิ้วเฉาก๊วยถ้วยใหญ่ๆไปรอบแดน

คนรับฟังท่านที่ 1
อืม รามมีทั้งเรียนเก็บหน่วยกิตตั้งแต่ ม.3 เก็บจนพอใจก้เอาไปเทียบเข้าป.ตรี เรียนอีกไม่เท่าไหร่ก้จบ บางทีก็เก็บจนครบหน่วยกิต พอเทียบป.ตรีก็จบเลยสบายแฮ

ส่วนป.โท ตามที่เอกว่าดูเหมือนว่าจะมี ไม่ได้ตามข่าวนาน
..You have failed me yet again Starscream!!!... A1&B2
01/06/2009 16:51
อิสตรีรูปงามนาม "เมฆาวารี" ฝีเท้าไวดั่งไฟสุมทรวง

คนรับฟังท่านที่ 2
โอ้ย ร้อนจริงๆ(อากาศก็ร้อนตามไปด้วย)

รับน้องก็เอาที่เป็นอยู่กับปัจจุบันก็พอครับ คิดมากแก่เร็ว...
Tanu~NaJa
01/06/2009 19:42
จอมโจรแห่งคุณธรรม น้ำใจเปี่ยมล้ำดุจฟากฟ้า

คนรับฟังท่านที่ 3
ผมแก่อยู่แล้วครับ
แต่ถึงแก่ก็แก่คุณภาพแบบพี่นก
ไม่ได้แก่กระโหลกกะลา แบบพวกที่ชอบฝืนกฏธรรมชาติ
โฮะๆๆๆๆๆ
ดอลฟิน
01/06/2009 20:50
ปราชญ์มือทองเดินดินกินเก๊กฮวย หิ้วเฉาก๊วยถ้วยใหญ่ๆไปรอบแดน

คนรับฟังท่านที่ 4
ปล เอาสาระมาฝากสำหรับผู้ที่ กลัว ความแก่
(แบบชารอนสโตนในเรื่อง Cat woman ที่ได้ยก ตย ไป )
เผื่อว่าบางท่านจะพยายามสู้กะความแก่แบบเจ๊ชารอนในเรื่องนั้นบ้าง
จะได้สู้อย่างถูกวิธี ไม่ต้องถูกธรรมชาติลงโทษจนกลายเป็นมอนสเตอร์ไปแบบเจ๊คนนั้น
กรีนเวฟให้สาระว่า การที่คนแก่เร็วก็เพราะฮอร์โมนเสื่อมไวกว่าปกติ อันมาจากความเครียดบ้าง นอนดึกบ้าง นอนไม่เป็นเวลาบ้าง ดังนั้นใครก็ตามที่กลัวแก่... ก็ไปฉีดฮอร์โมนเพิ่มซะนะครับ
แต่ผมไม่สนหรอก เพราะผมเชื่อมันว่าธรรมชาติได้กำหนดบทบาทให้ทุกสรรพสิ่ง เกิดและดับอย่างถูกต้องแล้ว จริงไหมครับพี่นก
ดอลฟิน
01/06/2009 20:54
ปราชญ์มือทองเดินดินกินเก๊กฮวย หิ้วเฉาก๊วยถ้วยใหญ่ๆไปรอบแดน

คนรับฟังท่านที่ 5
กฎทุกกฎมีข้อยกเว้นได้ อย่างการประสาทปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ที่สร้างชื่อเสียงคุณงามความดีเป็นที่ปรากฎ หรือผู้ที่ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อสังคม บุคคลเหล่านี้แน่นอนถือเป็นเสมือน "ท่านผู้มีเกียรติยิ่ง" คำว่ากิตติมศักดิ์ก็บอกอยู่แล้วว่าคือการยกย่องให้มีเกียรติเป็นการพิเศษใช่มั้ย ซึ่งไม่ว่าสถาบันไหนๆ คงไม่หาญกล้าบ้าบิ่นบังคับหักคอให้เข้าร่วมพิธีกรรมรับน้องเพื่อจะได้ซึมซับเอาโซตัสเข้าร่างเหมือนบรรดาเด็กน้อยไร้เดียงสาที่แสดงความจำนงอันแรงกล้าว่าอยากอยู่ร่วมสถาบันโดยยอมทิ้งชีวิตได้

ผู้ที่ได้รับเชิญย่อมไ้ด้รับการปฏิบัติในฐานะที่แตกต่างกว่าเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ท่านที่ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์แน่นอนว่าคงมิได้ดิ้นรนอยากจะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ผู้มีเกียรติร่วมสถาบันมาแต่ต้น ดังนั้นกฎเกณฑ์ที่เหลวไหลใดๆ ก็คงนำมาใช้กับท่านเหล่านี้ไม่ได้หรอก

พี่ไม่รู้ได้หรอกว่าการประสาทปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์นี่รัฐบาลมีเอี่ยวบังคับหักคอได้หรือเปล่า เห็นได้ยินบ่อยๆ ว่าเป็นสภามหาวิทยาลัยนั้นๆ ลงมติมอบให้เอง เหตุผลก็คงเป็นไปเพื่อเพิ่มพูนชื่อเสียงของสถาบันเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อน้ำหนักของความอยากมีหน้าตามีตาบวกกับ “กฎทุกกฎมีข้อยกเว้นได้” ไอ้โซตัสที่มากับพิธีกรรมรับน้องสุดขลังก็เลยไร้สิ้นอิทธิฤทธิ์ไปทันใด

ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์อย่างโซตัสกับพิธีกรรมรับน้องแบบงมงายในสถาบันอุดมศึกษาไทยนี่มันจะหายสูญไปจากโลกนี้ได้ด้วยระบบพรีดีกรีได้จริงหรือ พี่เห็นว่าคงเป็นเรื่องที่ยากอยู่มาก ในความเป็นจริงต้องอย่าลืมว่าไม่ใช่เด็กทุกคนจะสามารถเข้าร่วมในโครงการนี้ได้หมดทั้งประเทศ ระดับสติปัญญาและความมานะพยายามของแต่ละคนมีไ่ม่เท่ากัน ยังไงการศึกษาตามลำดับขั้นในระดับปริญญาตรีเต็มๆ ก็ยังต้องมีอยู่เพื่อรองรับคนส่วนหนึ่งที่ตะกายไปไม่ถึงพรีดีกรี ซึ่งพี่เชื่อว่าก็คงมีจำนวนไม่น้อยเลย และสถาบันที่ให้ความสำคัญแก่พิธีกรรมรับน้องอันแสนศักดิ์สิทธิ์นี้ราวเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งชีพ ขนาดตรากฎไว้ว่าผู้ถือครองปริญญาบัตรทุกลำดับชั้นต้องผ่านพิธีกรรมนี้ ก็คงไม่ใส่ใจอันใดหรอกว่าจะถูกพรีดีกรีทำลายล้าง

ความดื้อรั้นของผู้บริหารวิสัยทัศน์สั้นที่เอาแต่จมปลักดักดานกับความคิดแบบเดิมๆ ที่ฝังหัวมาแต่โกฎิปีชาติ ยึดถือระบบอุปภัมภ์ค้ำชูเล่นพรรคเล่นพวกเอาแต่ตัวรอดไปวันๆ มันส่งผลสะท้อนไปถึงความเจริญก้าวหน้าขององค์กรด้วย ดูเอาเถอะว่าในการจัดลำดับสถาบันอุดมศึกษาในระดับภูมิภาค เราไปติดอยู่ในลำดับไหน

หวังว่าคงมีซักวันที่อวิชชาจะสิ้นไปแล้วมีผู้ที่สามารถคิดอ่านชี้แนะให้พิธีการรับน้องในสถาบันอุดมศึกษาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่สร้างสรรค์กว่านี้ได้ในทางปฏิบัติ ไม่ถูกมองว่าเป็นการละเล่นเหลวไหลของเหล่าเด็กน้อยด้อยวุฒิภาวะที่มีผู้ใหญ่หัวดื้อให้การหนุนหลัง บางทีอาจต้องใช้เวลาซักสองสามพันปีเหมือนแ่ม่น้ำเนรัญชราที่ค่อยๆ แห้งเหือดไปด้วยฝีมือการตัดไม้ทำลายป่าของมุนษย์กระมัง
NoxNoctis
02/06/2009 00:43
พลทหารมหัศจรรย์ กองพันดาวตกครกดินระเบิด

คนรับฟังท่านที่ 6
แม่น้ำเนรัญชราไม่ได้แห้งเพราะการตัดไม้ครับ แต่เป็นเพราะลมหอบเอาทรายมาถม แล้วไม่มีใครมาขุดลอก จนสุดท้ายทรายที่เข้ามาแต่ละปีๆ ก็มากขึ้นๆ จนตื้นเขินเกินจะลอก ส่วนแม่น้ำสรัสวดีนี่ไม่รู้ เพราะไม่ได้ไปเที่ยวเลยไม่มีข้อมูล
ส่วนเรื่องพรีดีกรี มันไม่ได้ยากอย่างที่พี่นกคิด เพราะอย่างตอนนี้ที่มหิดล อินเตอร์ เขามีพรีดีกรีที่เหนือชั้นกว่าเกษตร และ รามมากๆ คือมีการอุ้มเด็กที่สมัครแต่ต้นเลย คือขอเพียงเธอมีความมุ่งมั่นที่จะเข้าโครงการ อย่างแท้จริง ไม่เกกมะเหรกเกเร หนีเที่ยว พวกครูก็จะช่วยหนุนช่วยดันเอง
เท่าที่ได้ยินมาจากท่านเมมเบอร์เก่า 6 ดาวท่านหนึ่งที่ยังคงไอดีแบบเวอร์ชั่น 1 ไว้ ท่านผู้นั้นได้บอกว่า เด็กพรีดีกรีของมหิดลจะได้รับการดูแลอย่างดีมาก ยิ่งตั้งใจเรียน (คำว่าตั้งใจเรียนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงหัวดี แต่หมายถึงขยัน) ก็จะได้รับการดูแลอย่างดี จนเรียกว่า ไม่ต้องกลัวคำว่า F และเท่าที่ติดตามเรื่องพรีดีกรีมา มันไม่ได้ยากเย็นสักเท่าไหร่ เพราะก่อนไอดีเก่าที่เด็กดีพังเคยตั้งกระทู้สำรวจว่ามีเด็กพรีดีกรีในบอร์ดนักเขียนกี่คน ก็มาลงชื่อกันเกือบ 500 และแต่ละคนก็บอกว่ามันไม่ได้ยากเย็นแบบที่คนไม่เคยเรียนคิด และที่ทุกๆคนเข้าโครงการ ก็เพราะไม่อยากเข้าระบบ Sotus ที่น่ารำคาญ และน้องบางคนถึงกับเอาประวัติของ Sotus มาแสดงเลยด้วยว่า เดิมทีมันเป็นวิธีที่คนป่ากลุ่มหนึ่งแถบอินโด ใช้กับพวกนักรบวัยรุ่นที่ถึงวัยจะออกป่าล่าสัตว์ได้แล้ว แล้วพวกฝรั่งที่เจอเลยเอาไปใช้กะสถาบันตัวเอง ซึ่งด้านฝรั่งเขาก็ทำตามคนป่าพวกนั้น คือใช้กะผู้ชาย ที่มี ability พอจะออกป่าไปชนกะไอ้โคร่งหรือไอ้เข้ได้เท่านั้น ต้นแบบของโซตัสจึงมีเฉพาะในสถาบันชายล้วน เช่น หลักสูตรรีคอน (สารคดีไทย เนเชอรัล กราฟฟิค เคยให้ฉายาว่า " หลักสูตรเลือดเดือด ") เป็นหลัก แต่พอคุณคนไทยไปเจอแล้วก็ตามสไตล์ไทย คือรับวัฒนธรรมต่างชาติแบบไม่กลั่นกรอง เห็นว่าน่าจะดีกว่าของไทยเรา เลย Suck เข้ามาเต็มที่ยิ่งกว่าน้อง Rogue ใน X men ดูดชีวิตคน
และ Suck เข้ามาแบบไม่ได้กลั่นกรอง เหมือนปลาโง่ๆที่รีบตะครุบเหยื่อโดยไม่ทันดูว่ามีตะขอเบ็ดอยู่ข้างใน เลยเอามาใช้กะเด็กไทยแบบไม่แบ่งแยกกลุ่มและเพศ (ซึ่งต้นแบบเขาก็ไม่ได้ทำ เพราะมันเป็นเรื่องของผู้ชาย แถมเป็นผู้ชายเฉพาะกลุ่มด้วย) พวกผู้หญิงกับพวกผู้ชายตัวบางเลยซวยไป

ส่วนเรื่องที่พี่นกสงสัยว่า ทำไมพวกผู้ใหญ่พวกนั้นถึงไม่ยอมเลิกระบบ ขอยกคำพูดของคุณ Moonyforever มาว่า " พวกที่พอจะมีอำนาจอยู่บ้าง แต่ไม่มากพอจะใหญ่คับแผ่นดินเกิดได้ และไม่เป็นที่สนใจจะรู้จักของสังคม มักจะชอบหาทางแสดงอำนาจ เพื่อให้คนที่ด้อยกว่ารู้สึกว่าตนมีอำนาจ โดยไม่สนใจว่าการแสดงอำนาจนั้น มันถูกหรือผิด และทำให้ใครเดือดร้อนหรือเปล่า คนเฒ่าคนแก่เขาเลยบอกว่า ผู้ใหญ่พูดค่อย ผู้น้อยพูดดัง และต่อมาก็เป็นโคลงโลกนิติ ว่าด้วย นาคีมีพิษเพียงสุริโย เลื้อยบ่ทำเดโชแช่มช้า พิษน้อยยิงโยโสแมงป่อง ชูแต่หางเองอ้าอวดอ้างฤทธี " ซึ่งหากเอาแนวคิดของคุณมูนนี่มามอง ผมว่าพี่นกควรจะสมเพชคนพวกนั้น (เพราะเขามีโอกาสแสดงฤทธิ์ว่าข้าใหญ่ได้แค่ ปีละครั้ง และไม่ว่าจะแสดงยังไง โลกก็ไม่มองเขาอยู่ดี เพราะโลกมีทัศนคติว่า ถ้าจะมองหรือจดจำคนพวกนี้ไว้ใน Data ให้ชนรุ่นหลังได้ประทับใจ ชื่นใจ และเอาเป็นแบบอย่าง สู้จดจำ จา พนม หรือ ลีซอ หรือ เมนเดล หรือ เอดิสัน หรือ แม่ชีเทเรซ่า คงจะดีกว่า

และถ้าเอาแนวคิดของคุณมูนนี่เป็นหลักตามด้วยแนวคิดเรื่องอวิชชาของพี่นกเป็นตัวตาม ไอ้การถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อต่อสู้กับกฎธรรมชาติที่ทุกอย่าง ต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั้น
เกิดจากอวิชชาที่เข้าใจว่า ไอ้นี่ยังดำรงอยู่ได้เพราะมีกูช่วยค้ำจุน ดังนั้นถ้ากูทำให้รุ่นต่อไปรักษามันไว้ได้ ก็เท่ากับว่ากูมีผลงานที่ปกป้องรักษาระบบนี้ไว้ได้ ดังนั้นมันจะต้องมีต่อไปจนโลกแตก

เขาก็เลยพยายามรักษามันไว้ เพื่อให้โลกได้รู้ว่ากูมีอำนาจ กูมีผลงาน กูแสดงอำนาจได้ และก็เข้าใจอยู่อย่างนั้นว่า สังคมเห็นแล้ว โลกเห็นแล้วว่ากูมีอำนาจ
แต่...ในความเป็นจริง ถึงโลกชายตาหันมาจะมอง ก็จะมองและสนใจแค่ในข่าวว่า " เอาอีกแล้วเหรอ Sotus ทำเรื่องฉิบหาย น่ารำคาญอีกแล้วเหรอ ไร้สาระ...น่าเบื่อ... " แล้วก็หันหัวกลับไป ไม่มีใคร (แม้แต่นักข่าวคนที่เขียนข่าว) จะใส่ใจหรือสนใจมาสืบมาค้นว่า ไอ้คนที่ริเริ่มให้มีระบบนี้ในสถาบันนี้คือใคร ชื่ออะไร มีเมียกี่คน เมียชื่อไรบ้าง เมียแต่ละคนมีลูกกี่คน ลูกแต่ละคนชื่อไรบ้าง และอีคนนี้ดำรงตำแหน่งอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ ใหญ่แค่ไหน มีอำนาจแค่ไหน???
และแน่นอนเขาไม่สนใจด้วยว่า ไอ้คนที่พยายามรักษาระบอบนี้ไว้ทุกๆคน คือใคร ชื่ออะไร มีเมียกี่คน เมียชื่อไรบ้าง เมียแต่ละคนมีลูกกี่คน ลูกแต่ละคนชื่อไรบ้าง และอีคนนี้ดำรงตำแหน่งอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ ใหญ่แค่ไหน มีอำนาจแค่ไหน???
เพราะทั้งโลกและสังคมรวมถึงสื่อมวลชน มีความเห็นว่า ถ้าจะเสียวเลาไปใส่ใจพวกพญาหุ่นกระบอก พวกเป็นพญาได้แค่หัวโขนที่สวมไว้ พอหมดอำนาจคนก็ลืม) พวกนี้
สู้เอาเวลานั่นไปสนใจหรือไปทำข่าว คนดังๆที่ทั้งดังและมีอำนาจจริงๆ ที่แม้จะหมดอำนาจแล้วคุณก็ยังรัก ยังสนใจ ยังติดตามข่าวสาร ยังจะดีกว่า + สร้างเรตติ้งมากกว่า

แต่ก็อย่างที่พี่นกคิดแหละครับ อวิชชามันคงคลุมอยู่ เลยไม่รู้ว่าที่ตัวเองพยายามจะขึ้นหลังเสือ เพื่อแสดงอำนาจให้คนรู้จักอะ สุดท้ายได้แค่ขึ้นหลังแมว เพราะแม้แค่จะทำให้ชาวบ้านร้านตลาดในท้องที่ที่สถาบันตัวเองตั้งอยู่รู้จักตัวเองครบ และรู้ว่าตัวเองใหญ่แค่ไหน มีอำนาจแค่ไหน ยังไม่อาจทำได้เลย (เผลอๆไปเดินตลาด ก็จะถูกทักลับหลังโดยพวกแม่ค้าว่า " อีตาลุงนั่นใคร ท่าทางเต๊ะจุ๊ยจังเลยนะเธอ " )

ไม่เหมือนท่านผู้มีทั้งบารมีและอำนาจโดยธรรมที่ดอลฟินอยู่ด้วย ที่เพียงแค่มีข่าวว่าท่านจะมาเยี่ยมเยือน ชาวบ้านและประชาชนทั้งจังหวัด ก็โจษจันกันเซ็งแซ่แล้วว่า

" พี่ในหลวงจะมาแล้วๆๆๆ " หรือ " หลวงพ่อใหญ่ พระพี่ในหลวงจะมาแล้วๆๆๆ "

ซึ่งท่านเหล่านั้น ก็จะยิ้มรับศรัทธาของประชาชนด้วยเมตตา ไม่ได้ทำเบ่งว่ากูใหญ่กูดังแต่อย่างใด
ในขณะที่พวกขึ้นหลังแมวที่ดอลฟินเจอมา ในโครงการปฏิบัติธรรมของทุกปี จะเป็น...

อจ วิทยากร : คุณลุงคะ เวลาพุธโธอย่าข่มลมหายใจค่ะ ทำให้เป็นธรรมชาตินะคะ
ท่านผู้นั้น ซึ่งดอลฟินยังคงจำบรรดาศักดิ์ไม่ได้ : คุณไม่มีสิทธิ์มาเรียกผมว่าลุง ผมคือ.........แห่ง.........มีอำนาจมากกว่าคุณหลายเท่า คุณต้องเรียกผมว่า........และจำไว้คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม เพราะผมใหญ่กว่าคุณ!!!!
อจ วิทยากร : ค่ะๆๆๆ (เดินจากไป ทำหน้าปลงสังเวชในกิเลสมนุษย์ ที่กรรมไม่ได้กำหนดมาให้ใหญ่ให้ดัง แต่อยากดังซะเหลือเกิน)

มันก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ
ดอลฟิน
02/06/2009 08:24
ปราชญ์มือทองเดินดินกินเก๊กฮวย หิ้วเฉาก๊วยถ้วยใหญ่ๆไปรอบแดน

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น