การดูแลทางด้านจิตใจในผู้ป่วยมะเร็ง
โรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ได้ละเลยสิ่งเหล่านี้แม้ในบางโรคหรือบางระยะไม่สามารถ
รักษาให้หายขาดได้ก็ตามหรือแม้แต่ในระยะที่ใกล้ตาย ผู้ป่วยก็ยังคงต้องการความรัก
ความเอาใจใส่ และความสบายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ดังนั้นการดูแลในส่วนนี้จึงมีความสำคัญซึ่งจะแบ่งการดูแลตามสภาพการเกิดผลกระทบ
ทางจิตใจของผู้ป่วยดังนี้
- ระยะก่อนและขณะที่ได้รับทราบการวินิจฉัย ผู้ป่วยมะเร็งมักจะอยู่ในวัยที่ต้องรับผิดชอบ
ต่อครอบครัว ดังนั้นความตึงเครียด และกังวลต่อโรคที่ได้รับวินิจฉัย
ความรู้สึกในวันก่อนทราบการวินิจฉัยจึงมีลักษณะขัดแย้งกันในตัวเอง มีความสับสนทั้งต้องการทราบ
ผลการวินิฉัย แต่ก็กลัวที่จะเป็นมะเร็ง เป็นลักษณะความขัดแย้งในอารมณ์
เมื่อแพทย์บอกการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง ด้วยความรู้สึกและมีเจตคติต่อโรคมะเร็ง
ว่าเป็นโรคที่ผู้ใดเป็นแล้วต้องตายไม่มีทางรักษาพฤติกรรมก็อาจจะแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆกันดังนี้
ระยะที่ 1 การปฏิเสธและการแยกตัว (The stage of denial isolation)
ผู้ป่วยจะไม่ยอมพูดหรือรับฟังเรื่องโรคที่เขาเป็นอยู่ มีปฏิกิริยา 2 แบบ คือ
- เศร้าโศก ร้องไห้อาลัยชีวิตที่กำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อมีผู้พูดถึงโรคของเขา
- ซึมเศร้า เฉยเมยไม่พูดจากับใคร แยกตัวเองจากสิ่งแวดล้อม จะพูดด้วยเฉพาะผู้ที่เข้าใจเขาเท่านั้น
ระยะที่ 2 โกรธ (the stage of anger) ผู้ป่วยมีอาการขุ่นมัว ใครทำอะไรไม่ค่อยถูกใจ
โกรธง่าย โกรธที่ตนเองกำลังจะสูญเสียทุกอย่างในชีวิต คิดว่าตนนั้นโชคร้ายกว่าใครๆทั้งหมด
ไม่เหมือนผ็อื่นเขา ครอบครัวและญาติต้องเข้าใจไม่แสดงอาการโกรธตอบ
พยายามหาทางให้ระบาย การให้อภัยเห็นอกเห็นใจการพยาบาลที่สุภาพละมุนละไม
และการแสดงความรัก ความห่วงใยของญาติ ครอบครัว
ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยคลายความขุ่นมัว หงุดหงิดได้
ระยะที่ 3 การต่อรอง (The stage of bargaining) เมื่อไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ก็มักจะต่อรอง
ขอให้ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก แม้จะไม่นานก็ตามส่วนมากมักเกี่ยวข้องกับศาสนา
และความเชื่อ เช่น การบน ญาติควรให้โอกาสได้พบพระ ทำบุญ และสิ่งที่เขาประสงค์ในทางที่ควร
ระยะที่ 4 ซึมเศร้า (The stage of depress) ผู้ป่วยมักเงียบขรึม ซึมเศร้าไม่ต้องการให้ใครเยี่ยม
การชวนคุยหรือเบนความสนใจมักไม่ได้ผล การนั่งเป็นเพื่อนเงียบๆ สัมผัสมือเบาๆ
ทำการพยาบาลอย่างสุภาพอ่อนโยน ก็เป็นการเพียงพอ
ระยะที่ 5 การยอมรับ (the stage of acceptance) ถ้าผู้ป่วยผ่านมาสู่ระยะนี้การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด
การโกรธเคือง เศร้าโศกจะหายไปหมด เป็นระยะที่ผู้ป่วยต้องการพักผ่อนเงียบๆ
เป็นครั้งสุดท้ายกับผู้ที่เขารักตามลำพัง ควรให้การดูแลสัมผัสอย่างแผ่วเบา
และอ่อนโยนมากกว่าการใช้คำพูด
ระยะต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจเรียงหรือไม่เรียงตามลำดับก็ได้ เช่น ผู้ป่วยอาจจะซึมเศร้า
ก่อนหรือหลังการยอมรับ การวินิจฉัยก็ได้ ภาวะต่างๆเหล่านี้ ตั้งแต่การปฏิเสธความจริง
การต่อรอง หรือการหลบหนีความจริง ล้วนแล้วแต่สร้างความกังวลใจให้ผู้ป่วย
ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วยก็ได้
ระยะที่ให้การรักษา เป็นที่ทราบกันดีว่า การรักษาโรคมะเร็งมีวิธีการได้ต่างๆกัน
ตั้งแต่การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด และการฉายรังสี ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยไม่ค่อยเข้าใจและกลัวต่อภาวะแทรกซ้อนมาก
จากการศึกษาวิธีการต่างๆในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง รังสีรักษา เป็นวิธีที่ผู้ป่วยสับสนและค่อนข้างกังวล
มากที่สุด กลัวตาย กลัวเครื่องฉายรังสี กลัวผิวหนังไหม้เกรียม กลัวผลต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากรังสี
ระยะติดตามการรักษา ระยะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีความสบายใจ
และมั่นใจมากขึ้น เนื่องจากผลการรักษา มักจะขจัดอาการต่างให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน เช่น อาการปวด
หอบเหนื่อย หรืออาการทางระบบประสาท เช่น ตาเหล่ ในระยะนี้ผู้ป่วยมักจะมีความสบายใจมากขึ้น
แต่ก็มีความกังวลใจเกี่ยวกับการกลับเป็นใหม่หรือการกระจายของโรค
ดังนั้นจึงมักจะแสวงหาสิ่งอื่นๆ มาเสริมสร้างกำลังใจ เช่น ใช้ยาสมุนไพร
ตลอดจนยาพระ ยาหม้อ ซึ่งหากแพทย์ผู้ให้การรักษาไม่อนุญาต จะสร้างความขัดแย้งต่อจิตใจผู้ป่วยมาก
ระยะสุดท้าย ระยะนี้ผู้ป่วยจะท้อแท้ บางครั้งมีความรู้สึกอยากตาย บางครั้งรู้สึกไม่อยากตาย
รู้สึกยังมีสิ่งที่ยังไม่ได้รับการจัดการอีกมาก ในระยะนี้ ผู้ให้การรักษา
ควรอธิบายให้ญาติเข้าใจ และจัดสิ่งแวดล้อมตามความพอใจของผู้ป่วย แม้แต่สถานที่ที่จะตาย
ความคิดเห็น