Ataari
ดู Blog ทั้งหมด

เรียกผมว่า Trainee ไอ้เด็กนี่มาฝึกงาน(2)

เขียนโดย Ataari

 

        หลังจากผ่านการซักซ้อม ฝึกฝน เรียนรู้กระบวนการอัพคอนเทนต์ต่างๆ ในเว็บมาพอสมควรแล้ว รู้วิธีการใช้งานระบบต่างๆ ในเว็บมากขึ้น งานในช่วงที่ผ่านมาคือการเขียนบทความอีกหลายชิ้นในไรเตอร์ ที่ไม่ว่าจะเป็น แอบอ่านหนังสือใหม่ ข่าววงใน อัพเดทไฮไลท์ไรเตอร์ เป็นต้น ซึ่งตอนแรกๆ นั้นก็เกิดความทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็สามารถเรียนรู้และทำงานได้ดีขึ้น

        แต่กระนั้น ข้อผิดพลาดก็ยังมีอยู่ดี ผมยังขาดนั่นขาดนี่ ลืมนี่บ้าง ทำเกินบ้าง ยังไม่พอดี ยังมีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ จำได้ว่าช่วงนั้นสมุดโน๊ตที่พกมามีร่องรอยบันทึกข้อผิดพลาดและรายละเอียดปลีกย่อยไปหลายหน้าอยู่เหมือนกัน

        เอาน่ะ บอกกับตัวเอง ว่าจะไม่เอาแบบนี้แล้ว แก้ตัวใหม่งานหน้า คราวนี้จะไม่ให้พี่ว่าได้เลย คอยดู

        พี่ยังคงแจกงานมาให้อยู่เรื่อยๆ ลองเขียนข่าววงใน ลองรีไรท์จากข่าวที่พี่เค้าส่งมาให้บ้าง ลองหาข่าวเองบ้าง เลือกรูป ทำแบนเนอร์ เขียนคำโปรยลงหน้าบทความ รู้จักวิธีการเลือกนิยายและบทความมาลงในไฮไลท์ รวมไปถึงการสรรหาหนังสือดี น่าแนะนำมาลงในคอลัมน์แอบอ่านหนังสือใหม่

        กระบวนการเรียนรู้คอนเทนต์ทั้งหมดในไรเตอร์ใช้เวลาทั้งหมด 1 สัปดาห์ พี่ปัดก็ดูเหมือนจะวางใจให้ผมรับผิดชอบหน้าที่นี้มากขึ้น บทความต่างๆ ที่ส่งให้พี่เค้าเริ่มไม่มีคำติแล้ว(แต่ยังไม่มีคำชมอยู่ดี) และเริ่มคล่องตัวกับงานมากขึ้นพอสมควร

        เมื่อย่างเท้าเข้ามาที่ฝึกงาน ครั้นจะไม่ให้พูดถึงเพื่อนร่วมชะตากรรม ก็คงยังไงอยู่ เรามาเผาเพื่อนกันเถอะครับ! เพื่อนคนแรกที่ผมเจอชื่อ(พลโท)ไนท์ ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมต้องพลโท พลเอกได้มั้ย ไนท์มาฝึกงานในตำแหน่งช่างภาพ(และควบกับเว็บคอนเทนต์ ตัดต่อวิดีโอ ไปโดยปริยาย) เรียนที่ มอ. เป็นคนเซอร์ๆ ชอบฟังเพลงพี่เล็ก อ่านหนังสืออินดี้ และคุยกันถูกคอมาก คิดในใจตอนนั้นว่า เออ เจอเพื่อนแล้วเว้ย

        ช่วงพักกลางวัน เราก็ไปกินข้าวตามพี่ๆ เค้าไป วันแรกก็เงียบๆ ติ๋มๆ ไม่ค่อยคุยกับใคร ก็นั่งฟังพี่เค้าคุยกันตาปริบๆ เอ๊ พี่คุยเรื่องอะไรกันครับ งงเลย พี่บางคนก็ชวนคุย ถามว่ามาจากไหน เรียนคณะอะไร ก็พอจะมีเรื่องคุยได้บ้าง ไม่เงียบเหงาว้าเหว่จนเกินไป

        สัปดาห์ถัดมา มีเพื่อนเข้ามาใหม่อีก 2 คน เป็นเว็บดีไซเนอร์ อยู่ปี 4 เท่ากัน ชาย 1 หญิง 1 เลยมีเพื่อนร่วมโต๊ะเพิ่มเข้ามาอีก 2 คน ทำให้บรรยากาศดูมีสีสันมากยิ่งขึ้น สเต็ปเดิมครับ วันแรกๆ เกร็งๆ กันทุกคน ไม่ค่อยมีใครพูดคุยกันเท่าใดนัก เงียบๆ จ่อมจมอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตนไป กินข้าวไป

        เราใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันไม่นานครับ ด้วยความที่ชอบอะไรคล้ายกันมาก ที่เข้ากันมากที่สุดคงจะเป็นเรื่องหนังสือ เพราะแต่ละคนก็ชอบอ่านหนังสือกันพอสมควร เลยพอจะหาเรื่องคุยได้(ไม่ใช่อะไร ช่วงนั้นมีหนังสืออะไรเข้ามาก็จะเอามาไว้ที่โต๊ะฝึกงาน เลยมีหนังสือให้เลือกอ่านกันเยอะมากๆ)

        มีอยู่วันหนึ่ง เป็นวันบุฟเฟ่ต์เดย์ ซึ่งเป็นความฟินขั้นสูงสุดของผมที่ได้มาฝึกงานที่นี่ ซึ่งเดือนนี้เราได้ไปกินกันที่เอ็มเคบุฟเฟ่ต์ โรบินสัน(แถวๆ นั้น จำสาขาไม่ได้) การนั่งกินบุฟเฟ่ต์ ใช้วิธีจับสลาก เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของคนในองค์กร จะได้รู้จักกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น ทำงานกันได้ดีขึ้น ซึ่งผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยนะ เจ๋งดี ได้รู้จักเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ พี่ๆ ที่ไม่เคยรู้จัก หรือบางคนอยู่คนละห้องกัน(พี่ๆ โปรแกรมเมอร์อยู่ชั้น 2 ผมอยู่ชั้น 3)

        พวกเราทำการสั่งเมนูอาหารไว้ล่วงหน้า พอไปถึงร้านจะได้เอามาเสิร์ฟเลย ผมก็ไม่ได้เลือกอะไรมาก เห็นพี่ๆ เค้าเลือกกันมาเยอะแล้ว กินไปตามนั้นน่าจะโอเค บรรยากาศในตอนแรกยังคงอบอวลไปด้วยความแปลกหน้า และไม่คุ้นเคยกัน แต่พออาหารเริ่มเข้าปากไปเท่านั้น ทุกคนก็เริ่มคุยกันมากขึ้น มีเรื่องเล่าตลกๆ มากขึ้น มีเสียงหัวเราะดังขึ้น ซึ่งทำให้รู้จักกับพี่ๆ มากขึ้นมาอีกในระดับนึงเลยล่ะ    

        พอทุกคนเริ่มอิ่ม ก็มีการถ่ายรูปบ้างตามประสาคนทำงานเว็บไซต์ ที่ชีวิตผูกติดไปกับการอยู่บนโลกออนไลน์ อัพปุ๊บ ลงปั๊บ ไลก์กันเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็ให้ความรู้สึกสนุก และไม่แตกต่างจากวิถึชีวิตของผมและคนรอบข้างเท่าใดนัก หรือว่าคนเราสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้ ชอบแชร์ ชอบอัพ ชอบคอมเมนต์ เป็นธรรมดา

        เมื่อกินเสร็จ ก็กลับออฟฟิศกันด้วยความอิ่มตื้อ หนังท้องตึง หนังตาหย่อน บรรยากาศในการทำงานเลยเป็นไปอย่างเนือยๆ เนิบช้า บางคนแอบงีบก็มี ผมเห็น(ตัวเองก็เกือบไปแล้วเหมือนกัน) ผมทำงานที่ได้รับมอบหมายต่อจนเสร็จ และได้เวลากลับบ้านพอดี

        การเดินทางนั้น พอลงบีทีเอส(สะพานตากสิน)มาแล้ว จะต้องเลือกระหว่าง นั่งเรือข้ามฟาก หรือเดินขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งมีระยะที่ค่อนข้างไกล(มากๆ เลยแหละ เดินขึ้นบันไดก็ลมจับแล้ว) แต่ขึ้นเรือ ก็รอนาน คนเยอะ รอนั่งท่องเที่ยงต่อเรือไปเที่ยวกันอีก ถ้าหากไม่เผื่อเวลาเอาไว้ ยังไงก็สายแน่นอน

          ในช่วงเย็น การเดินทางกลับตรงบีทีเอสหมอชิต(shit!) มันเป็นอะไรที่โคตรนรกมากๆ ติดโคตรๆ คนก็เยอะ ทั้งมาจากรถไฟบนดินและใต้ดิน(แต่ไม่มีหวยใต้ดินขาย) เรียกได้ว่าแน่นไปหมด เดินสวนกันไปมาวุ่นวาย ทั้งวัยเรียนและวัยทำงาน ช่วงนี้ยังดีที่นักเรียนและนักศึกษายังไม่เปิดเทอม ไม่งั้นต้องตื่นเช้ากว่าเดิมแน่ๆ

        ส่วนเรื่องการเดินทางบนบีทีเอส ก็ขอเขียนหน่อยแล้วกัน เป็นการเดินทางโดยรถไฟฟ้าไปทำงานครั้งแรก และเห็นตอนเช้าจากเรื่องเล่าเช้านี้ว่าแน่นมากๆ แต่เห็นจากตอนกลับจากสยามตอนไปเที่ยวก็สยองแล้ว นี่จะต้องให้เราไปเบียดแบบนั้นทุกเช้าจะไหวได้ยังไงวะ แต่ก็ทำไงได้ล่ะ ออฟฟิศอยู่ห่างจากบ้านขนาดนั้น ถ้าจะให้ขึ้นรถเมล์ ก็ไม่รู้ว่าจะถึงตอนไหน คำตอบคือเส้นทางเดิมดีที่สุด

        เมื่อได้ลองโดยสารแบบนี้แล้วก็คิดว่ามันโอเคนะ แม้ว่าจะเบียดไปหน่อย อึดอัดไปบ้างบางที เพราะบางขบวนก็เบียดกันมากเหลือเกิน ทุกคนต่างเร่งรีบ และมีโลกส่วนตัวเป็นของตัวเอง เสียบหูฟัง ถูขึ้นถูลงสมาร์ทโฟนของตนอย่างสนุ วิถีชีวิตของคนในเมืองเปลี่ยนไปมาก อยู่ข้างๆ กันแท้ๆ ยังไม่ยอมคุยกันเลย เอาแต่เล่นโทรศัพท์(ทั้งที่จริงอาจจะคุยกันอยู่ก็ได้) ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของคนไกล้ตัว

        เทคโนโลยีทำให้เราใกล้โลกมากขึ้น แต่ทำให้คนไกลเรามากเช่นกัน

       

        ผลตอบรับของบทความชิ้นถัดไปของผมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ มีคนอ่านมากขึ้น และนำสิ่งที่เขียนไปใช้ แค่คอมเมนต์ว่าขอบคุณ มันก็มีความสุขจริงๆ นะ เหมือนกับว่า สิ่งที่เราเขียน สิ่งที่เรานำเสนอนั้นสามารถเอาไปใช้ได้จริง ให้อะไรกับคนอ่าน ก็เป็นอะไรที่ดีใจมากๆ แล้ว นี่เป็นอีกข้อดีนึงในการเขียนงานบนอินเตอร์เน็ต มันช่วยให้เรารับรู้ฟีดแบคของงานได้อย่างรวดเร็ว และสามารถโต้ตอบกับผู้อ่านได้แบบเรียลไทม์(กดรีเฟรชบ่อยมากๆ ดูว่ามีคอมเมนต์อะไรบ้าง และคนอ่านเท่าไหร่แล้ว) ซึ่งเมื่อลงไปแล้ว ก็จะรู้สึกดีทุกครั้ง ที่มีคนนำเอาคำแนะนำของเราไปใช้ ปลื้มมากๆ

        เมื่องาน content ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อย เวลาที่พี่ปัดคอยดูแลผมก็เริ่มน้อยลงไปทุกที ยังรู้สึกเลยว่าได้เรียนรู้จากพี่เค้าน้อยเกินไป ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงได้เรียนรู้อะไรเยอะมากขึ้น แต่ไม่เป็นไร เวลาเท่านี้ก็ดีเหมือนกัน ช่วยหล่อหลอมให้เราโตเร็วขึ้น ตัดสินใจเอง เลือกนำเสนอเอง กล้าคิด กล้าทำ ดีกว่ามีคนคอยบอกให้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้เยอะเลย

        วันถัดๆ มาก็ยังคงทำงานเหมือนเดิม(เปิดเฟสบุ๊ก เข้ามายไอดี อ่านกระทู้ในบอร์ดนักเขียน หาไอเดียมาเขียนบทความ) เหลือเวลาอีก 2 วันที่พี่ปัดจะลาออก และไม่มีวี่แววเรื่องพี่ บก.ไรเตอร์คนใหม่ นั่นหมายความว่าต่อจากนี้จะเป็นหน้าที่ของผมใช่มั้ย

        ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด หน้าที่เขียนบทความนั้นไม่เท่าไหร่หรอก ไอ้เรื่องที่พี่เค้าจะพูดต่อไปนี่แหละ เครียดที่สุด

        “เตรียมสมุดกับปากกาแล้วเอาคอมมาที่โต๊ะพี่ด้วยนะ เดี๋ยวจะมาดูเรื่องการดูแลระบบและแบนนิยายกัน

        อืม ต้องทำจริงๆ สินะ.   

ความคิดเห็น

mejune
mejune 13 พ.ค. 56 / 11:26
แล้วพี่ล่ะๆๆๆ 55555
Lookwhai
Lookwhai 13 พ.ค. 56 / 12:04
กำลังจะตามมาในตอนต่อๆ ไปคร้าบ ^_^