ความรักและการเมือง
บนถนนชีวิต 'อภิสิทธิ์-พิมพ์เพ็ญ'
ตลอดระยะเวลา 13 ปี บนถนนสายการเมืองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นที่ทราบกันอย่างดีว่า เขามี 'หลังบ้าน' ที่อบอุ่น ช่วยส่งเสริมการทำงานทางการเมือง ขณะเดียวกัน เขาก็ทำหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
จากบทสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกี่ยวกับแง่มุมชีวิตส่วนตัวที่ไม่ค่อยได้เปิดเผยต่อสาธารณะของอภิสิทธิ์กับคู่ชีวิต ซึ่งไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากเจ้าตัวเอง "ต้องการใช้ชีวิตครอบครัวด้วยความเป็นส่วนตัว"
เราจึงไม่ได้เห็นภาพอภิสิทธิ์กับภรรยา และลูกสาว-ลูกชาย ปรากฏตัวทำกิจกรรมร่วมกันผ่านทางสื่อต่างๆ เหมือนครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย
ล่าสุด หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพิ่งเปิดปากเล่าเรื่องคนอยู่ที่บ้านไว้ใน 'บางกอกทูเดย์' ว่า ภรรยาเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ประเภทหวานเจี๊ยบ
"เป็นคนจริงจัง จริงๆ นิสัยจะคล้ายกันอยู่หลายเรื่อง เช่นไม่ชอบไปสถานที่คนเยอะๆ แต่ว่าถ้ากับเพื่อนฝูงที่สนิท เขาจะเฮฮา และชอบวิชาการอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหลายเรื่องที่ดูอ่อนหวาน เขาจะเห็นว่าไม่ค่อยมีสาระ"
การปรับตัวในชีวิตครอบครัว ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้น เพราะเมื่อย้อนกลับไปปี 2535 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส.ใหม่ๆ ก็มีปัญหาอยู่บ้าง
"คนการเมืองกลายเป็นคนในสายตาสาธารณะมากกว่าเมื่อก่อนเยอะ แล้วเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงความจริง เมื่อก่อนนักการเมืองจะต้องเฉพาะระดับผู้นำจริงๆ ถึงจะอยู่ในสายตา หรือในความรับรู้ของคนมากกว่า ผมเป็น ส.ส.ในสมัยที่มันเปลี่ยนแปลง บวกกับพอครั้งแรกเป็น ส.ส.คนเดียวของพรรคด้วย ก็เลยเป็นเป้าความสนใจของสื่อ ยอมรับว่าตั้งตัวกันไม่ค่อยทันเหมือนกัน เราสูญเสียความเป็นส่วนตัวเร็วมาก" อภิสิทธิ์กล่าวสรุป หลังจากก้าวเดินไปบนทางสายการเมืองเกินกว่าหนึ่งทศวรรษ
0 0 0
'มาร์ค' อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ 'แตง' พิมพ์เพ็ญ ศกุนตาภัย (นามสกุลเดิม) เหมือนฟ้าส่งให้เกิดมาเป็นคู่สามีภรรยา เพราะมีหลายสิ่งที่คล้ายกัน ทั้งคู่เกิดในปีเดียวกัน คือปี 2507 เพียงแต่ฝ่ายชายเกิดวันที่ 3 สิงหาคม และฝ่ายหญิงเกิดวันที่ 5 สิงหาคม
ตอนเรียนหนังสือระดับประถม ก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน คือโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่อยู่กันคนละห้อง ยกเว้น ตอน ป.6 ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้วยกัน เพราวิชานี้ครูจัดเรียนเป็นหมู่
เมื่อหนุ่มมาร์คเดินทางไปเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ ETON COLLEGE ประเทศอังกฤษ ช่วงปิดเทอม ประมาณปี 2526 หนุ่มน้อยกลับมาเยี่ยมบ้าน พอดีเพื่อนๆ สมัยเรียนที่สาธิตจุฬาฯ จัดงานวันเกิด จึงไปพบกับแตง-เพื่อนนักเรียนสาวที่เคยเห็นหน้าคนนั้น
นับจากปีนั้น เขาและเธอก็ติดต่อกันข้ามทวีป ด้วยจดหมายเป็นส่วนใหญ่ นานๆ จึงจะใช้โทรศัพท์สักหนหนึ่ง ครั้นฝ่ายชายเรียนจบกลับมาปี 2529 และไปสอนหนังสือที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ความสัมพันธ์แบบคนรู้ใจ ก็เพิ่มทวีขึ้นทีละขั้น
ฝ่ายหญิงฉายภาพรักข้ามขอบฟ้าว่า "ใหม่ๆ มาร์คเขาจะเขียนจดหมายมาคุยด้วย เฉลี่ยอาทิตย์ละฉบับ ตอนหลังๆ ก็ถี่เข้าเป็นวันเว้นวัน"
กระทั่งถึงยามที่รักสุกงอม ปี 2531 หนุ่มมาร์คกับสาวแตง ได้เข้าพิธีวิวาห์ ขณะที่ทั้งสองอายุยังน้อย ซึ่งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่คัดค้าน เพราะเห็นว่าโตแล้ว
"ความจริงคุณแม่แตง รู้จักคุณพ่อเขาอยู่แล้ว เป็นนักเรียนอังกฤษ เขาก็เคยเจอกัน ก็รู้ว่าเป็นคนไทย แต่ไม่ค่อยสนิทกัน คุณพ่อคุณแม่มาร์คเขาเป็นหมอ คุณพ่อคุณแม่แตงเรียนรัฐศาสตร์ กับเศรษฐศาสตร์ ซึ่งความจริงก็ตรงกับมาร์ค พี่ชายแตงกับแตงก็เป็นหมอกันทั้งคู่ ก็มีการไขว้กันเล็กน้อย" พิมพ์เพ็ญ เล่า
ฝ่ายชาย เป็นบุตร ศ.นพ.อรรถสิทธิ์-ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ ส่วนฝ่ายหญิง เป็นบุตรสาว รศ.พงศ์เพ็ญ-ประภาพิมพ์ ศกุนตาภัย อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
หลังจากแต่งงาน อภิสิทธิ์กลับไปเรียนปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เนื่องจากได้ทุนเรียนต่อ เพราะผลการเรียนดีเยี่ยม ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เขาไปแบบนักศึกษามีครอบครัว มีภรรยาพักอยู่ที่หอในมหาวิทยาลัย ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนักศึกษาหนุ่มโสดเหมือนเก่า
เมื่อเรียนจบปริญญาโท มิถุนายน 2533 พอดีกับภรรยาตั้งครรภ์ลูกคนแรก ทั้งคู่เดินทางกลับมาถึงเมืองไทย และพฤศจิกายน 2533 ภรรยาคลอดลูกคนแรกเป็นผู้หญิง
"การมีลูกนั่นคือการทำให้ชีวิตเปลี่ยนมากที่สุด ถึงวันนี้ 40 ปี ที่เปลี่ยนชีวิตมากที่สุดนั่นคือการมีลูก มุมมองต่างๆ ก็เปลี่ยนไป การใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป เช่นหลังจากมีลูก เราก็แทบจะไม่ได้เที่ยวเหมือนก่อนเลย อย่างการเที่ยวกลางคืน ไปกินอาหารแล้วไปต่อที่ดิสโก้เธค สมัยนั้นจะไปเดอะ พาเลส แต่พอมีลูก ยกเลิกหมด"
ขณะนั้น อภิสิทธิ์เป็นนักวิชาการหนุ่มในคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งถือเป็นจุดพลิกผันของชีวิต ก่อนเข้าสู่ถนนการเมือง โดยเริ่มมีบทบาททางการเมือง จากเหตุการณ์ รสช.ยึดอำนาจ ระหว่างที่สอนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ได้ปีกว่า และเมื่อมีการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2535 ตอนนั้นอายุย่างเข้า 27 ปี เขาก็ได้ตัดสินใจสวมเสื้อประชาธิปัตย์มาจวบจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงเวลาการหาเสียง เขามักมีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลง ด้วยภารกิจหน้าที่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่การดูแลภรรยาและลูก ก็ยังถือเป็นสิ่งสำคัญที่เขาปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
"ระหว่างหาเสียง อภิสิทธิ์จะกลับมาตอนช่วง 4-5 ทุ่ม ซึ่งน้องปราง-ลูกสาว ก็จะตื่นพอดี พ่อกับลูกก็จะเล่นกันไปจนถึงตี 1 ตี 2 จึงพากันหลับไปทั้งคู่ ก่อนหน้านี้อภิสิทธิ์จะใช้เวลาที่เหลือจากงานสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยมาอยู่บ้าน ตามนิสัยคนรักครอบครัว" พิมพ์เพ็ญเคยเล่าให้นักข่าวฟัง
อีกทั้งสื่อมวลชนมักจะเอ่ยถึงความหล่อแบบมี 'กึ๋น' กระทั่งมีข่าวทำนองว่า ไปหาเสียงที่ไหน สาวๆ กรี๊ดที่นั่น
"สมัยก่อนไม่มีสาวคนไหนมากรี๊ด ไม่มีเลย คงเป็นเพราะไม่มีใครรู้จักเขา ตอนแรกที่เขาสอนนักเรียนนายร้อย ก็ไม่มีสาวๆ ไม่มีเรื่องกรี๊ด มีแต่นักเรียนทหาร เพิ่งเริ่มตอนที่เขาสอนธรรมศาสตร์ ที่คนอื่นชอบมาเล่าให้ฟัง คนที่รู้จักเราก็ชอบมาเล่าว่าเป็นที่ฮือฮา นักเรียนสาวชอบ เพราะตอนนั้นแตงเรียนอยู่ธรรมศาสตร์ เดินอยู่ในนั้นก็ได้ยินเองกับหู...
"เขาเคยเอาการ์ดวาเลนไทน์ที่ได้รับจากลูกศิษย์สาวๆ มาให้ดู แต่ระยะหลังๆ นี้ไม่มีอีกแล้ว คือหลังจากแตงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์ทางด้านสถิติ" อาจารย์สาวลูกสองเล่าให้นักข่าวฟังเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว
ปัจจุบัน พิมพ์เพ็ญ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีหน้าที่ดูแลบุตรสองคน คือ ด.ญ.ปราง และ ด.ช.ปัณณสิทธิ์ ระหว่างที่สามีไปทำงานการเมือง
"ลูกบอกว่าพ่อใจเย็นทุกเรื่อง ยกเว้นติวลูก เรื่องการติว จะวิ่งหาแม่ทั้งคู่เลย เรื่องใจดี พ่อกับแม่พูดยากนะ บางทีแข่งกันประชานิยมทั้งคู่ แต่ว่าเราถือมากในเรื่องความรับผิดชอบ ความสุภาพ ความซื่อตรง เพราะฉะนั้นเราจะไม่เคี่ยวเข็ญว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้"
ว่าที่ผู้นำรัฐบาลในอนาคต กล่าวถึงการเลี้ยงดูลูก ซึ่งบางเวลาก็ใช้นโยบายประชานิยมเหมือนกัน ซึ่งก็คงแตกต่างจากประชานิยมของ 'บ้านจันทร์ส่องหล้า' แน่นอน เพราะที่นั่น 'ทุนนิยมจ๋า'
(ล้อมกรอบ)
ประเด็น
"เขาเป็นคนรักเดียวใจเดียว"
เนื้อเรื่อง
เชื่อว่ามีหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารนับฉบับได้ ที่จะได้สัมภาษณ์ 'พิมพ์เพ็ญ' ภรรยาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 มีนาคม-5 เมษายน 2535 ซึ่งอภิสิทธิ์ ส.ส.หนุ่มสมัยแรก ได้เปิดบ้านเลขที่ 174 ซอยสวนพลู ให้นักข่าวเข้าไปพูดคุย รวมถึงการเปิดใจคู่ชีวิตนักการเมืองหนุ่มหล่อที่สุดใน พ.ศ.นั้น
'เนชั่นสุดสัปดาห์' จึงขอนำมาฉายซ้ำอีกครั้ง เพราะโอกาสที่จะได้พูดคุยกับแม่น้องปราง เหมือนอย่างวันนั้น คงยากเต็มที เนื่องจากตัวอาจารย์พิมพ์เพ็ญมีงานสอนหนังสือแน่นเอี้ยด และไม่พร้อม ไม่อยากจะเป็นข่าว
0 คุณอภิสิทธิ์เคยมาเล่าเรื่องที่สาวๆ มาให้ความสนใจหรือเปล่า
เขาไม่ได้เล่าเอง ส่วนใหญ่คนอื่นมาเล่า เขาบอกว่าไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ไก๋หรือเปล่า (หัวเราะ) คือคนอื่นคุยกัน แล้วเขาก็มาเล่า แต่เขาก็ไม่ได้มาทำอะไรกับอาจารย์ แต่ก็มีบ้างวันวาเลนไทน์ก็มีการ์ด เขาก็มาให้ดู คือเขามีอะไร เขาไม่ปิดบังเรา
0 คุณอภิสิทธิ์ เคยบ่นว่าเหนื่อยให้ฟังบ้างหรือเปล่า
เขาไม่ค่อยบ่น เพราะเขาสนุกด้วย เขาชอบอยู่แล้ว แต่เขาก็เหนื่อยมากจริงๆ
0 คุณแตงไปช่วยหรือเปล่า
ไปช่วยบ้างก็แล้วแต่กรณี บางทีก็อยู่ที่บ้านทำจดหมายหาเสียง
0 แล้วห่างครอบครัวหรือเปล่า
ค่ะ ก็ห่าง แต่ว่าก็อยู่ให้มากที่สุดเท่าที่คนจะทำได้ คือความตั้งใจเขาคือที่เขาไม่อยู่กับเรา เพราะเป็นงานจริงๆ ไม่ใช่ไปที่ไหน คือไม่มีเวลาออกไปที่อื่นเลย มีแต่เวลางาน
0 ตอนที่คิดจะคบคุณอภิสิทธิ์เป็นแฟน มองจุดไหนเป็นหลัก
ถ้ายังไม่เคยคุยเลยก็มองแต่หน้า แต่ว่าก็ยังไม่รู้จัก แต่ก็จำได้ว่าคนนี้เป็นคนเก่ง เพราะว่าตอนเรียนอยู่สาธิตฯ (สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เขาได้ที่หนึ่งตลอด คือเขามีชื่อเป็นที่ฮือฮาของชั้นเรียน แล้วก็จำได้ว่าออกไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไม่รู้จักกันเลย แต่ก็สนใจในลักษณะที่เป็นผู้ชายเก่งด้วยเพราะว่าชอบผู้ชายที่เก่ง พอรู้จักกันได้พูดคุยก็นิสัยใจคอเขาก็ดี น่ารัก แล้วเขามีความจริงใจกับเรามาก ความคิดความอ่านก็สอดคล้องกันเกือบทุกเรื่อง อย่างเรื่องการเมืองก็แนวเดียวกัน คือถ้าคนละเรื่องก็คงจะคบกันไม่ได้ (หัวเราะ) แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะคบกับเราหรือเปล่า (หัวเราะ)
0 ตอนที่คุณอภิสิทธิ์จะลงสมัคร ส.ส. คิดว่าเราจะสูญเสียเวลาของสามีเป็นหรือเปล่า
คิด แต่ก็ยอม ก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการ เป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน คือคิดว่าเขาทำอย่างนี้แล้วประสบความสำเร็จ มันก็จะเป็นความสุขของเขา แล้วเราก็สุขไปด้วย ก็คงจะเป็นประโยชน์ขึ้นเยอะ ที่เขาจะได้ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าเขาทำได้ดีที่สุด
0 นอกจากช่วยในด้านการหาเสียง
ก็ต้องช่วยให้กำลังใจเขา เขาจะเหนื่อยมาก คือพยายามไม่ให้เขาท้อถอย แต่ปกติเขาก็ไม่ท้อถอย คือไม่ว่าจะมีข่าวอะไรมาเขาจะเฉย ไม่รู้สึกท้อถอย เขาสู้ตลอด เราก็เลยรู้สึกไม่ค่อยลำบากใจ
0 โดยลักษณะคุณอภิสิทธิ์เป็นคนสุขุมเเงียบ
ไม่เงียบหรอกค่ะ คือดูภายนอกเป็นคนเงียบ สุขุม แต่จริงๆ เป็นคนพูดเก่ง
0เมื่อไม่ได้อยู่กับคนนอก เขาเป็นคนอย่างไร
ขี้เล่น รักเด็ก ชอบเล่น เป็นคนรักลูก เป็นคนสนุก ไม่ขรึมอย่างที่คิด
0 คิดว่าเขาโตเร็วเกินไป สำหรับการเป็นส.ส.หรือเปล่า
ไม่ค่ะ คือความคิดอ่านของเขาค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ อย่างเรื่องการเมืองเขาก็สนใจมาตั้งแต่เด็กเลย ตั้งแต่ 14 ตุลา ตอนนั้นก็อยู่ ป.4 เองในขณะที่เราอยู่ชั้นเดียวกัน เราก็ไม่สนใจ คือรู้ว่ามันเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากอย่างเขา ก็คิดว่ามันสมควรแล้วที่เขาได้ทำงานในอายุขนาดนี้ คือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเขาสามารถทำได้ บางครั้งก็มีพูดเล่นคุยสนุก แต่มันก็ไม่ใช่แบบเด็ก
0 การเป็นหัวหน้าครอบครัวของคุณอภิสิทธิ์ เป็นอย่างไรบ้าง
สิ่งที่เขาทำกับครอบครัว คือไม่ใช่การทำอะไร แต่ว่าเขาให้ความเอาใจใส่มาก ให้ความรัก ความอบอุ่นมากคือเขาทุ่มเทเวลาให้กับเรามาก ไม่รู้ว่าอย่างนี้เรียกว่าหัวหน้าหรือเปล่า คือเขาเป็นคนรักครอบครัวมาก ให้ความสำคัญไม่แพ้งาน
0 คุณอภิสิทธิ์ไม่มีนิสัยเจ้าชู้
ไม่เลย (หัวเราะ) นี่เป็นเหตุผลที่เบาใจอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงแย่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงมีปัญหา
0 แล้วที่คนชอบมาเล่าให้ฟังว่ามีสาวๆ กรื้ดเขารู้สึกอย่างไร
ก็รู้จักเขาดี เลยไม่หนักใจเท่าไร
0 ก่อนหน้านี้คุณอภิสิทธิ์เคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่า
ไม่รู้ ต้องถามเขาดู (หัวเราะ)
0 แล้วตอนที่คบเราเขาไม่หวั่นไหวกับคนอื่น
ไม่เลย เขาค่อนข้างเป็นคนรักเดียวใจเดียว (หัวเราะ)
0 จุดที่ชอบคุณอภิสิทธิ์มากที่สุด
ชอบเขามากที่สุดคือ เขารักเราจริง คือเขามีความจริงใจมาก ประทับใจมาก ใหม่ๆ ยังไม่สนิทกัน แต่ตั้งแต่สนิทกันดูออกว่าเขาเป็นคนเปิดเผย แล้วเขาคิดอะไรเขาเป็นคนตรงไปตรงมา เสมอต้นเสมอปลายสำหรับจิตใจเขาเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอด
0 ที่คุณอภิสิทธิ์เป็น ส.ส. รู้สึกว่าเราถูกเบียดบังเวลาบ้างหรือเปล่า
เป็นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องปรับตัว
0 คิดว่าต่อไปนี้เราต้องมีหน้าที่ช่วยงานอะไรคุณอภิสิทธิ์บ้าง
นี่ก็ยังงงอยู่ เขาก็อยากให้ช่วยหลายอย่าง เพราะว่าภาระเขาเยอะมาก เพราะงานเขาจะต้องหนักมาก เพราะเขาเป็น ส.ส.คนเดียวของพรรค (ตอนนั้นผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หนึ่งเดียวในเขต กทม.) ไม่ใช่ในกรุงเทพฯ ในภาคกลางด้วยซ้ำ อย่างการหาเสียงใน กทม.เขาก็ต้องเป็นคนออกตลอด เพราะว่าติดคนเดียว งานท้องถิ่นก็เยอะแยะ เพราะถ้าเขามีเพื่อนร่วมทีมติดมาด้วย มันจะช่วยแบ่งเบาภาระงานที่ทำเกี่ยวกับท้องที่ เขาก็หนักใจพอสมควรว่างานเขาจะต้องเยอะมาก เราก็รอฟังอยู่ว่าเขาต้องการให้เราช่วยอะไร คือตอนนี้เขายังไม่ลงตัว ก็ไม่แน่ใจว่าจะให้เราทำอะไร ก็เลยยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไร
0 แต่ตอนนี้ก็คิดว่าจะช่วยเขาก่อน
ก็ให้เขาก่อน ให้เขาตัดสินใจก่อนว่า เขาจะให้เราช่วยอะไรหรือเปล่า ถ้าเราเห็นว่าเรามีเวลาเหลือเราก็คงเรียนต่อ แต่ถ้าเขาเห็นว่าเราควรจะะช่วยเขาแล้ว เวลาเรียนไม่พอ เขาก็คงให้เราพักการเรียนก่อน อันนี้ต้องปรึกษาเขาอีกที เมื่อตอนที่เขาสมัคร ส.ส. อาจารย์ที่ปรึกษาของแตง ก็แนะนำว่าถ้าจะพักการเรียนก่อนก็ได้ เห็นใจว่าควรจะมาช่วยเหลือเขา แต่เราก็เห็นว่า เสียดายเรียนมาตั้งครึ่งเทอมเราก็เลยตัดสินใจดรอปวิชาเลือกไปหนึ่งวิชา
0 ตอนนี้เข้ามาจัดคิวสัมภาษณ์ให้คุณอภิสิทธิ์
เมื่อก่อนไม่ได้จัด เพราะว่าสาขาพรรคจัด แต่ตอนนี้เป็น ส.ส.แล้ว เราก็คอยรับโทรศัพท์ เพราะบางทีมีรายการทีวีเราก็ต้องคอยประสานงานให้
0 เขาเหนื่อยมาก
เขาไม่ค่อยบ่นเพราะว่าเขาชอบ เขาคงเห็นว่าเห็นผล เขาก็หายเหนื่อยขึ้นเยอะ แต่ความจริงเหนื่อยค่ะ ผอมไปเยอะเดิมก็ผอมอยู่แล้ว แล้วนี่มาเดินหนักจริงๆ ก็คล้ำไป
0 เห็นว่าคุณพ่อเคยลงสมัคร ส.ส.
คุณพ่อลงตอนหลัง 14 ตุลา พรรคพลังใหม่ เขตพญาไท แต่พ่อไม่ได้รับการเลือกตั้ง
0 คุณอภิสิทธิ์เป็นคนโรแมนติก
เขาก็พอมี อย่างวันเกิดเรา เขาก็จะสั่งดอกไม้มาให้ คือไม่ให้เราเอง ให้คนมาส่งทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่คนชอบพูดหวาน เป็นคนชอบพูดตรงไปตรงมา
ความคิดเห็น
เอิ้ก.. เป็นบ้าไปแย้วว หวังอะไรลมๆแล้งๆ555+
รักกานนานๆนะคร้า
ดีใจมั่กๆ รักมาร์ค เพราะมาร์คเป็งคนดี๊..ดี ฮิๆๆ
คุณเป็นน่ารักจังเลย เป็น family man มั่กๆ
*คุณอภิสิทธิ์
พิมพ์ตกๆ แหะๆ
เพอร์เฟคแมน เอ้ย แฟมิลี่แมน มากมาย
หน้าตาดี
ผมชื่อ ณัฐ ณัฐกรณ์
ผมอยากให้ทุกฝ่ายทุกคน (ทุกตัวด้วย สำหรับบางคน)
หันกับมารักกันมาสามัคคีกัน
มาช่วยกันพัฒนาประเทศชาติของเรา (ของเราทุกๆคนจำใว้ทุกๆคน)
ให้มีความเจริญผาสุขและความสงบสุขเรียบร้อย
เจ๋งมากมาย :P