ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอยรักข้ามเวลา (Boy's Love)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.06K
      8
      25 ม.ค. 49

    รอยรักข้ามกาลเวลา
    Cookie…
    ตอนที่ 1


    “กิ” ไปกันหรือยังลูก? เสียงแม่เรียกอยู่หน้าห้องนอนเพื่อเร่งให้หนุ่มน้อยเตรียมตัวเดินทาง
    “เดี๋ยวแม่ แป๊บเดียว จะเสร็จแล้ว” หนุ่มน้อยตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส กิรติ เด็กหนุ่มอายุประมาณ 19 ปี กำลังพิถีพิถันแต่งตัวเป็นพิเศษ เพราะวันนี้แม่จะพาเขาไปเยี่ยมยายที่นครชัยศรี กิรติต้องการอยากไปเยี่ยมยายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะบ้านของยายอยู่ติดแม่น้ำนครชัยศรีซึ่งเป็นบรรยากาศที่กิรติคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก และดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มอย่างเขาจะชอบบรรยากาศที่นั่นเป็นพิเศษ
    “เตรียมเสื้อผ้าพร้อมรึยังลูก” แม่เปิดประตูห้องเข้ามา
    “พร้อมแล้วแม่” หนุ่มน้อยตอบพร้อมกับเดินออกมาจากห้อง
    “ไปกันได้แล้วจ๊ะแม่”

    พ่อเป็นคนขับรถพาครอบครัวไปพักผ่อนและเยี่ยมยาย ก่อนออกจากบ้านแม่ไม่ลืมที่จะสั่งให้กั้งลูกสาวคนโตดูแลบ้านและน้องชายคนเล็ก
    “กั้งดูแลบ้านกับน้องให้ดีๆนะลูก วันอาทิตย์เย็นๆแม่จะกลับ” แม่กำชับลูกสาวคนโต
    “ส่วนเรา กบ อยู่บ้านดีๆอย่าซนนะลูก แล้วก็ตั้งใจเรียนกวดวิชาจะได้สอบเข้าเตรียมได้” พ่อกำชับกบลูกชายคนเล็กเช่นกัน
    “ไม่ต้องห่วงค่ะคุณพ่อคุณแม่ ทางนี้กั้งจัดการเอง ฝากกราบสวัสดีคุณยายกับคุณป้าด้วยนะคะ” กั้งไหว้ลาพ่อกับแม่
    “นี่ถ้ากบไม่ติดเรียนกวดวิชาก็ไปด้วยละครับ”
    “วันหลังก็ยังไปได้น่า” กิรติบอกน้องชาย
    “แต่กบรู้สึกว่า พี่กิไปคราวนี้ จะไปนานนะ” กบพูดตรงๆจากใจเพราะเป็นนิสัยส่วนตัวอยู่แล้ว
    “นี่แนะ” กั้งเขกหัวน้องชายเบาๆ
    “พูดอะไรไม่สร้างสรรค์เลย”
    “ก็กบรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนี่ครับพี่กั้ง” กบยิ้มแหยๆ
    “เอาเหอะๆ พี่กั้งก็ดูแลมันดีๆละกัน กิไปละครับ” กิรติไหว้ลาพี่สาวก่อนที่จะขึ้นรถ กั้งรู้สึกขึ้นมาเหมือนกันกับกบ มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ


    วันนี้เป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ การเดินทางจากบ้านเพื่อไปนครชัยศรีนั้นเป็นไปโดยสะดวกเพราะการจราจรไม่ติดขัด และบรรยากาศสองข้างทางก็เต็มไปด้วยธรรมชาติ ซึ่งเป็นความงามที่คนกรุงโดยมากจะไม่ค่อยได้เห็น ท้องนาเต็มไปด้วยต้นข้าวเขียวขจี โอนลู่ตามแรงลมพัด รอให้ชาวนามาเก็บเกี่ยวเพื่อนำผลผลิตไปเลี้ยงประชาชนทั่วประเทศ
    “ป้าเค้าเตรียมทำขนมดอกโสนไว้แล้วนะ” แม่บอกกับกิรติขณะที่รถใกล้จะถึงบ้านยาย
    “โห ดีจังเลยแม่ ยิ่งหิวๆอยู่ด้วย”
    “ส่วนของพ่อก็มีปลาราดพริกที่พ่อชอบด้วยนะ” แม่หันมาเอาใจพ่อที่กำลังเลี้ยวรถเข้าสู่ทางโรยกรวดที่ทอดยาวไปสู่ตัวเรือนไทยใต้ถุนโปร่งที่รายล้อมไปด้วยไปแมกไม้นานาพันธุ์
    “อย่างนี้สงสัยพ่อต้องมาค้างบ่อยๆแล้วสิ” พ่อหันมายิ้มพร้อมกับจอดรถอย่างนุ่มนวล
    “ก็ดีนะพ่อ กิชอบบ้านยาย อยากมาอยู่ที่นี่จังเลย”
    “ก็รอให้เรียนจบก่อนสิลูก ช่วงปิดเทอมก็มาอยู่เป็นเพื่อนยายเค้าก็ได้” พ่อเสนอแนะ กิรติยิ้มรับพลางช่วยพ่อกับแม่ขนกระเป๋าลงจากรถ


    บ้านของยายเป็นบ้านเรือนไทยใต้ถุนโล่ง ปลูกอยู่ริมแม่น้ำนครชัยศรี บริเวณรอบบ้านร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่อย่างประดู่ อายุนับร้อยปี ต้นไม้ไทยต่างๆปลูกไว้อย่างมีระเบียบรอบบริเวณบ้านส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ทั้งราชาวดี ราตรี ปีป โมก คุณยายเป็นคนชอบไม้ไทยมาก ประกอบกับคุณตาเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิต คุณตาจะปลูกต้นไม้ไว้มากมาย เพราะคุณตาชอบของไทยๆ ไม่นิยมของต่างประเทศ และคุณตายังเป็นคนที่มีฝีมือในการเล่นเครื่องดนตรีไทยมาก ทั้งจะเข้ ซอ ซึ่งลูกหลานก็ซึมซับได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกิรตินั้นจะชอบเล่นเครื่องดนตรีไทยมาก ที่ถนัดที่สุดก็เป็นซอด้วง เวลามาบ้านยายเขาจะชอบมาเล่นซอที่นี่เป็นประจำ เพราะคุณยายจะชอบมาก และหนุ่มน้อยก็มีความสุขที่ได้เล่นทุกครั้งเสียงสุนัขที่คุณป้าเลี้ยงไว้เห่าต้อนรับกันขรม ผู้เป็นป้าลงมาต้อนรับพร้อมกับไล่ลูกน้องไปที่อื่น คุณยายนั่งเคี้ยวหมากอยู่บนชานเรือน ส่วนคุณป้าขอตัวไปเข้าครัวทำกับข้าว เตรียมต้อนรับน้องสาวและหลาน หลังจากที่ทักทายคุณป้าและคุณยายแล้วกิรติก็ลงมาเดินเล่นรอบๆบ้าน เพื่อรอเวลาอาหารเย็น คุณพ่อกับคุณแม่นั่งเล่นอยู่ที่ศาลาท่าน้ำกับคุณยาย เวลานี้บรรยากาศช่างสดชื่นและงดงามมาก ลมเย็นๆจากแม่น้ำโชยแผ่วเข้ามาเป็นระยะๆ เรือหางยาวและเรือแจวแล่นผ่านไปมาก่อให้เกิดคลื่นน้ำพัดเข้ากระทบฝั่งเป็นระลอกริ้ว คุณยายดูมีความสุขมากที่มีลูกๆหลานๆมาอยู่ใกล้ในเวลานี้


    แสงแดดยามใกล้ย่ำค่ำอ่อนแสงลงเรื่อยๆ กิรติเดินเล่นไปรอบๆบ้านด้วยความเพลิดเพลิน กลิ่นหอมของไม้ไทยชนิดต่างๆโชยมาเป็นระยะๆ เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงต้นไทรต้นใหญ่ริมแม่น้ำ กลางลำต้นเป็นรูกลวงขนาดที่คนหนึ่งคนสามารถที่จะลอดเข้าไปได้ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ก็เหมือนกับมีแรงบางอย่างมาดึงดูดให้หนุ่มน้อยเข้าไปใกล้ต้นไทรมากยิ่งขึ้น เขาเพ่งมองที่กลางลำต้น รู้สึกเหมือนกับมีลำแสงบางอย่างสว่าง สดใส ลอยหมุนวนอยู่ด้านใน กิรติเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อที่จะผ่านเข้าไปยังแสงนั้น หนุ่มน้อยรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างสั่งให้เขาเดินเข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งเดินเข้าไปแสงนั้นก็ยิ่งสว่างขึ้นทุกทีจนกลายม่านหมอกสีขาวสว่างเจิดจ้า เขาสาวเท้าเข้าไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่ม่านหมอกเริ่มจางลง เบื้องหน้าของเขาปรากฎเรือนไทยหมู่มากมายเรียงรายกันอยู่หลายหลัง ผู้คนทั้งหญิงชายเดินกันอย่างพลุกผล่าน ที่น่าแปลกก็คือการแต่งกายของคนเหล่านั้นเหมือนกับพวกทาสในสมัยก่อน ผู้หญิงไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม นุ่งโจงกระเบน คาดผ้าแถบสีมอ ผู้ชายนุ่งผ้าโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ กำลังทำงานง่วนอยู่ หนุ่มน้อยเดินออกมาเรื่อยๆจนใครบางคนในกลุ่มนั้นตะโกนเสียงดังโหวกเหวก พร้อมกับเรียกคนอื่นๆให้มาดู พวกผู้ชายวิ่งกรูกันเข้ามาจับตัวเขาไว้
    “เฮ้ย จะทำอะไรผมน่ะ?” กิรติร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
    “มึงเป็นใคร?” ใครคนหนึ่งถามเขาด้วยภาษาสมัยพ่อขุน
    เด็กหนุ่มสะบัดหนีเพื่อที่จะให้พ้นจากการจับกุม ถึงตอนนี้เขางัดเอาวิชาป้องกันตัวที่เคยเรียนมาเอามาใช้หมดทุกรูปแบบ คนที่เข้ามาต่างก็โดนกันเข้าไปจนจุก
    “ฝีมือเอ็งดียิ่งนัก ไอ้หนุ่ม” ชายคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงแกมประชดประชัน
    “แต่เอ็งจะสู้มีดเล่มนี้ของข้าได้รึเปล่า” ชายวัยกลางคนถือมีดดาบสมัยโบราณชูขึ้น แสงแปลบปลาบจากคมมีดสะท้อนให้เห็นว่าคมไม่ใช่เล่น
    “เอาละสิ” กิรตินึกเสียววาบอยู่ในใจ ภาวนาขอให้พ้นจากคมมีดนี้ไปโดยเร็ว
    “หยุดนะ สิงห์” เสียงตวาดจากด้านหลัง ทำให้ชายหน้าเหี้ยมลดมีดลง ทุกคนหันไปหมอบนั่งอยู่กับพื้น มีแต่กิรติคนเดียวเท่านั้นที่ยืนเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงสวรรค์เมื่อสักครู่
    “เจ้าเป็นใคร?” ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้า ใบหน้าคมเข้มแต่แฝงด้วยแววแห่งความอ่อนโยนถามกิรติด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ด้วยท่าทางที่องอาจและดูมีสง่าราศีประกอบกับเครื่องแต่งกายที่เป็นชุดราชปะแตน กิรตินึกเดาเอาว่าเขาคงจะเป็นนายของพวกทาสพวกนี้ ชายหนุ่มพิจารณาดูกิรติด้วยสีหน้าราบเรียบปราศจากความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
    “ดูท่าทางการแต่งตัว เจ้าคงจะไม่ใช่คนแถวนี้” ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต เสื้อสีกรมท่าแขนสามส่วนเข้ารูปกับกางเกงสแลคสีดำ ตัดกับผิวสีขาวของหนุ่มน้อยเป็นอย่างดี ทำให้ดูมีสง่าไม่แพ้กับพ่อหนุ่มมาดเข้มที่กำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่
    “เอ่อ… ผมเดินหลงทางมาครับ” เป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่กิรติจะตอบได้ตอนนี้ เขาไม่อยากคิดว่าตัวเขาจะได้เจอไทม์แมชชีนของโดราเอมอนโดยบังเอิญ อะไรกันเดินอยู่บ้านยายดีๆ พอเดินเข้ามาในต้นไทรกลับมาโผล่อีกฟากหนึ่งของอดีตที่ไหนก็ไม่รู้ หนุ่มน้อยเหลียวหลังกลับไปมองที่ต้นไทร พบว่าแสงสว่างสีขาวๆนั้นหายไปแล้ว คงเหลืออยู่ก็แต่รูกลวงๆเท่านั้น เร็วเท่าความคิด หนุ่มน้อยสาวเท้ากลับไปที่ต้นไทรพร้อมกับชะเง้อหาม่านหมอกสีขาว จิตใจของเขาสับสนไปหมด คิดที่จะหาทางกลับบ้านแต่ก็คงหมดหนทาง กิรติทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรง
    “บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน?” เสียงทุ้มนุ่มๆแว่วมาจากทางด้านหลัง
    “นครปฐม ครับ” หนุ่มน้อยหันกลับไปตอบอย่างสุภาพ
    ใบหน้าที่คมเข้มนั้นจ้องมองมาทางหนุ่มน้อย สีหน้าเขาดูอ่อนโยนลง บ่งบอกถึงความปราณี
    “เจ้าใช่หมายถึง มณฑลนครชัยศรีใช่หรือไม่”
    “เอ่อ…ใช่ครับ” กิรติใช้ความคิดนึกทบทวนวิชาประวัติศาสตร์อยู่นานก่อนที่จะตอบกลับไป
    “พวกเจ้าไปทำงานของเจ้ากันต่อได้แล้ว” ชายหนุ่มออกคำสั่งกับบรรดาบริวารทั้งหมดที่หมอบราบอยู่ที่พื้น พวกนั้นมองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนที่จะถอยกลับไป
    “ข้าว่าเจ้าตามข้าขึ้นไปบนเรือนเสียก่อนจะดีกว่า” ชายหนุ่มพูดคล้ายกับออกคำสั่ง กิรติจึงจำเป็นต้องเดินตามเขาไปเรื่อยๆ มีคำถามเกิดขึ้นในใจของหนุ่มน้อยมากมายแต่คำถามที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือจะหาทางกลับบ้านได้ยังไง


    บนเรือนหลังใหญ่เต็มไปด้วยบ่าวไพร่ที่เป็นผู้หญิงมากมาย บ้างก็นั่งร้อยดอกไม้ บ้างก็นั่งเย็บปักถักร้อย โดยมีผู้ควบคุมคือหญิงวัยชรารูปร่างท้วมคนหนึ่ง บนตั่งกลางมุขของบ้านหญิงวัยกลางคนท่าทางดูมีสง่านั่งเอนหลังอยู่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้รอบๆ ใบหน้าของเธอเกิดความสงสัยขึ้นที่บุตรชายพาคนแต่งตัวเหมือนพวกฝรั่งขึ้นมาบนเรือน
    “พ่อบดี พาใครมาด้วยน่ะลูก” เธอเอ่ยปากถามบุตรชายเมื่อมานั่งอยู่ตรงหน้าเธอ
    “เจ้าคนนี้หลงทางมาครับ เห็นบอกว่ามาจากนครปฐมขอรับ” ชายหนุ่มรายงานกับผู้เป็นมารดา
    “แต่เขาออกจะดูแปลกไปสักหน่อยดูการแต่งตัวไม่เหมือนพวกเรา” ชายหนุ่มบอกกับผู้เป็นมารดา กิรติกราบท่านผู้หญิงซึ่งนั่งมองอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์
    “ไหว้พระเถอะจ๊ะ” ท่านหญิงผู้รับไหว้
    “แล้วเราเข้ามาที่นี่ได้ยังไงล่ะจ๊ะ” ท่านผู้หญิงซักถามด้วยความสงสัย
    “เอ่อ… คือว่า” หนุ่มน้อยนึกคำพูดที่จะพูดออกมาเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจมากที่สุด
    “ประทานโทษครับ คือกระผมอยากทราบว่าปีนี้เป็นปีพุทธศักราชที่เท่าไหร่ครับ?”
    “2464” ชายหนุ่มเป็นผู้ตอบด้วยสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม
    “นี่ผมมาสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกเหรอเนี่ย” กิรติพูดเหมือนกับรำพึงกับตัวเอง แต่ก็พอที่ทุกคนในที่นั้นจะได้ยิน
    “เจ้าพูดถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองอะไร” ชายหนุ่มตรงหน้าถามเหมือนคาดคั้น
    “เอ่อ ไม่มีอะไรครับ” หนุ่มน้อยรีบตัดบท เพราะคิดว่าถ้าอธิบายไปคงใช้เวลาอีกนานกว่าทุกคนจะเข้าใจ
    ท่านผู้หญิงและบ่าวไพร่คนอื่นๆมีหน้าสงสัยไปตามๆกัน บ้างก็จับกลุ่มนินทาว่า กิรติคงเป็นคนสติไม่ดี บางคนก็มองหนุ่มน้อยเหมือนกับตัวประหลาด
    “พ่อหนุ่มคนนี้สงสัยคงสติจะไม่สมบูรณ์นะเจ้าคะ” บ่าวคนหนึ่งท่าทางจะเป็นคนสนิทของท่านผู้หญิงกระซิบเบาๆพอได้ยินกันสองคนกับท่านผู้หญิง
    “เอ่อ คือผมอยากอธิบายครับ” กิรติพยายามรวบรวมสติและคำพูด
    “เจ้าต้องการอธิบายอะไรก็ว่ามา” ท่านชายเปิดโอกาส
    “คือผมมาจากอนาคตข้างหน้าครับ ปีพุทธศักราช 2545 ครับ” กิรติโพล่งออกมาทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างฮือฮากันยกใหญ่ พวกบ่าวไพร่ต่างซุบซิบกันไปทั่ว มีเพียงท่านผู้หญิงและท่านชายเท่านั้นที่นั่งนิ่ง มองหนุ่มน้อยแปลกหน้าด้วยความพิศวง
    “เจ้าว่า เจ้ามาจากอนาคต แล้วเจ้ามาได้ยังไงกันล่ะ” ท่านชายถามขึ้นอย่างเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่
    “คืออย่างนี้ครับ” กิริตค่อยๆลำดับเหตุการณ์
    “ผมเดินอยู่ที่บ้านยายผมที่นครชัยศรี เผอิญเดินผ่านต้นไทรที่ปลูกอยู่ริมแม่น้ำ ผมเห็นลำต้นตรงกลางกลวง มีแสงสว่างเหมือนกับหมอกอยู่ข้างใน ผมลองเดินเข้ามาดู ก็เลยหลุดผ่านเข้ามาที่ต้นไทรใหญ่ท้ายวังนี้แหละครับ” หนุ่มน้อยบอกตามจริงโดยไม่อ้อมค้อม ทุกคนยังนั่งงงกันต่อไป ท่านชายยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ
    “แล้วในอนาคตที่เราอยู่น่ะเป็นยังไงบ้างล่ะ?” ท่านผู้หญิงถามอย่างสงสัยไม่แพ้กัน
    “บ้านเมืองเจริญก้าวหน้ากว่านี้มากครับ มีสิ่งปลูกสร้างต่างๆที่ทันสมัย มีเทคโนโลยีด้านต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทุกประเทศสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้หมดครับ” หนุ่มน้อยอธิบายอย่างออกรส เผอิญมือไปตบเข้ากับกระเป๋ากางเกง เขารู้สึกถึงสิ่งของบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋า จึงค่อยๆล้วงออกมา เจ้าโทรศัพท์เครื่องเล็กๆของเขานั่นเอง สิ่งที่เขาแปลกใจก็คือ ทำไม? สัญญาณโทรศัพท์ยังเต็มอยู่ ทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
    “นั่น อะไรน่ะ” ท่ายชายถามด้วยความสงสัย
    “สิ่งนี้เขาเรียกว่าโทรศัพท์มือถือครับ”
    “ลักษณะก็คล้ายกับโทรศัพท์ธรรมดานี่แหละครับ” กิรติอธิบาย หนุ่มน้อยคิดว่าสมัยที่เขาอยู่ตอนนี้น่าจะมีโทรศัพท์เข้ามาบ้างแล้ว
    “แม่ชักเชื่อแล้วสิ ชาย…ว่าไงล่ะลูก” ท่านผู้หญิงถามบุตรชายซึ่งยังคงไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของหนุ่มน้อย
    “ผมก็ว่าน่าจะเป็นไปได้ขอรับ ท่านแม่” ชายหนุ่มรับคำด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอัศจรรย์ใจ
    “แม่ว่า พ่อหนุ่มคนนี้ท่าทางจะเหนื่อยๆนะ ลูกพาเขาไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เออที่ห้องของลูกพอจะมีที่ว่างอยู่ แม่ว่าให้เขาอยู่ที่ห้องลูกไปก่อน แล้วค่อยคิดหาทางกับพ่อของลูกอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป อ้อลืมไปคุยอยู่ตั้งนาน ยังไม่รู้จักชื่อเลยนะพ่อหนุ่ม” ท่านผู้หญิงถามขึ้น
    “ผมชื่อกีรติขอรับ เรียกสั้นๆว่ากิ ก็ได้ครับ”
    “อือ รูปงาม นามเพราะดีนะ” ท่านผู้หญิงชม หนุ่มน้อยกราบลาแล้วจึงเดินตามนชายหนุ่มไปที่เรือนของเขา ดูท่าทางชายหนุ่มมีท่าทีเอ็นดูกิรติมากขึ้น สังเกตจากการซักถามถึงเรื่องต่างๆในโลกอนาคตที่กิรติอาศัยอยู่
    “ขอโทษนะครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อของคุณเลย” กิรตินึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้จักกับชายหนุ่มอย่าง
    เป็นทางการ
    “ชั้นชื่อ นฤบดี” ชายหนุ่มแนะนำตัวสั้นๆ
    “ท่านชายนฤบดี” กิรติทวนคำเบาๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×