[[SF-SNSD]] :+:Promise:+: (Yuri) - [[SF-SNSD]] :+:Promise:+: (Yuri) นิยาย [[SF-SNSD]] :+:Promise:+: (Yuri) : Dek-D.com - Writer

[[SF-SNSD]] :+:Promise:+: (Yuri)

ตอนพิเศษของแม่หมอชุดดำมาแล้วค่ะ!! ความจริงเป็นยังไง อยากรู้ก็คลิ๊ก ^^ (SooSun)

ผู้เข้าชมรวม

5,412

ผู้เข้าชมเดือนนี้

9

ผู้เข้าชมรวม


5.41K

ความคิดเห็น


71

คนติดตาม


12
เรื่องสั้น
อัปเดตล่าสุด :  3 ต.ค. 52 / 09:43 น.


ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้



หวัดดีค่ะ ^^// ถึงคิวซะทีกับ SF ที่ถูกลืม
ในเซ็ท believe ที่บุงผลัดแล้วผลัดอีก
ลัดคิวแล้วลัดคิวอีก จนซูซันคงน้อยใจไปแปดตลบ ฮ่าๆ
SF เรื่องนี้ไม่ได้เป็นพาร์ทต่อค่ะ ถึงไม่อ่านเรื่องอื่นก็เข้าใจได้
แต่ถ้าอยากรู้ว่าในโปรเจ็คต์นี้มีเรื่องอะไรบ้าง
กด shift แล้วคลิกลิงค์นี้ได้เลยค่ะ
http://writer.dek-d.com/bung/writer/view.php?id=545642

เอาล่ะ ไปสนุกกับ promise กันดีกว่า ><



****************************************





ชเว ซูยอง

...ฉันรู้ตัวทุกอย่างในสิ่งที่ฉันพูด
แต่คำสัญญานั้น ฉันอาจรักษามันไม่ได้ตลอดไป...



ลี ซุนคยู (ซันนี่)

...จะให้โลกนี้เปลี่ยนไปยังไง
คำสัญญาของเธอก็ห้ามเปลี่ยนแปลง...


**************************

"คำสัญญา...จะผูกพันหัวใจสองดวงไว้คู่กัน
ตราบจนนิรันดร์..."

ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ




    [[SF-SNSD]] :+:Promise:+: (Yuri)

     

    Do you believe in Promise?

    I do…

      

    เขาว่ากันว่า คำสัญญาเป็นบ่อเกิดแห่งความผูกพัน

    แล้วระหว่างฉันกับเธอล่ะ

    เธอยังจำคำสัญญาที่เคยให้ไว้ได้มั้ย...

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

                    [In the past]

               

                สนามเด็กเล่นแห่งหนึ่ง

               

                    แสงอาทิตย์ที่ทองเรื่อด้วยยามเย็น ทำให้บรรยากาศที่ดูวุ่นวาย แต่เต็มไปด้วยความสุขของเด็กต่างวัย ณ ที่แห่งนี้ ครึกครื้นเป็นพิเศษ ผู้ปกครองหลายท่านเลือกที่จะปล่อยบุตรหลานของตนให้สนุกกับเครื่องเล่นเช่น ชิงช้า หรือสไลเดอร์ไปตามวัย ด้วยการพูดคุยกันบนม้านั่งแทน นับเป็นความผูกพันสั้นๆ ระหว่างหลายต่อหลายครอบครัว ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กันทุกวันในที่แห่งเดิม และเวลาเดิม

                   

                ...ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรเลยกับพวกเด็กๆ ที่มีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าเช่นนี้...

               

                    เด็กตัวเล็กที่กำลังนั่งเหงา ไกวชิงช้าเบาๆ ด้วยขาสั้นๆ ที่เกือบจะไม่ถึงพื้น เธอก้มหน้ามองตักตัวเองราวกับมันเป็นสิ่งประหลาด หากก็ต้องสะดุ้งเมื่อรับรู้ถึงแรงผลักจากทางด้านหลัง พร้อมด้วยเสียงหัวเราะของคนคุ้ยเคยขี้แกล้งทั้งสอง ร่างเล็กจึงหันไปแหวกลับเบาๆ

                   

                    “พี่แทแทกับพี่ซูอ่ะ... เค้าเกือบตกแล้วนะ” ซันนี่ว่าพลางทำแก้มป่อง แม้ว่าแทยอนกับซูยองจะอายุมากกว่าเธอแค่เพียงปีเดียว แต่ทั้งคู่กลับชอบแกล้งเธอเหมือนเป็นเรื่องสนุก หากถึงกระนั้น ทั้งแทยอนและซูยองก็ดูแลเธอเป็นอย่างดีไม่เคยขาดตกบกพร่องเลย ตั้งแต่รู้จักกันมา อาจเพราะบ้านของทั้งสามอยู่ใกล้กัน พ่อแม่ก็ค่อนข้างสนิทกัน เลยทำให้รักใคร่กันมากเป็นพิเศษ ถึงแม้พวกเธอจะอยู่ในวัยเพียง 6-7 ขวบเองก็ตาม

                   

                    “พี่ไม่เกี่ยวนะซัน นู่นเลย หยองมันเป็นคนผลักต่างหาก” แทยอนโยนความผิดให้เพื่อนสนิทได้อย่างหน้าตาย

                   

                    “อ้าว ไหงพูดงี้ แทแทนั่นแหละผิดไม่ใช่หรอ” ซูยองโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ แต่คนที่กำลังน้อยใจและงอนอยู่ ไม่แคร์แล้วว่าทั้งสองจะเถียงกันแค่ไหน

                   

                    “พอที! ผิดทั้งคู่นั่นแหละ ปล่อยให้เค้ารอตั้งนาน เค้างอนแล้วด้วย” พูดเสร็จก็สะบัดหน้าหนี หวังจะให้คนง้อ ทว่าคนอายุมากกว่ากลับมองว่ามันตลกสิ้นดี เหมือนถูกกระรอกตัวเล็กๆ เชิดใส่ยังไงก็ไม่รู้

                   

                    “โอ๋ ไม่งอนนะ เดี๋ยวพี่ซูจะเลี้ยงไอติม” แป่ว! คำพูดของแทยอน ทำให้ซูยองส่ายหน้าหนีแทบไม่ทัน เด็กเจ็ดขวบอย่างเธอได้ค่าขนมวันละกี่บาทเอง พอกลับจากโรงเรียนแล้ว คิดว่ามันจะเหลืออยู่พอมาเลี้ยงกระรอกที่กำลังงอนมั้ยล่ะ

                   

                    “จริงนะ พี่ๆ สัญญากับเค้าแล้วด้วย งั้นไปกินไอติมกันเถอะ” คนโกรธอยู่ พอได้ของกินชิ้นโปรดมาล่อก็ทิ้งฟอร์มไปจนหมดสิ้น รีบจูงมือซูยองไปทางรถเข็นขายไอศกรีมที่จอดอยู่ในละแวกนั้นทันที ขณะคนก่อเรื่องทุกอย่างก็เตรียมชิ่งคนแรก

                   

                    “กินกันให้อร่อยนะ วันนี้ต้องรีบกลับไปทำการบ้านก่อน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเล่นกันใหม่นะ” แทยอนเองแม้ยังไม่อยากกลับ แต่ดูท้องฟ้าที่เริ่มใกล้เปลี่ยนสีทุกทีก็ชักหวั่นๆ การบ้านแบบฝึกหัดเธอยังไม่ได้ทำเลย แล้วเธอเองก็ไม่อยากจะถูกคุณครูดุพรุ่งนี้ด้วยสิ

                   

                    เมื่อแทยอนไปแล้วก็เหลือเพียงซูยองที่กำลังนั่งกลุ้มกับเงินในกระเป๋าเสื้อของตนเอง หากซันนี่กลับเลือกไอศกรีมอย่างสนุกสนานซะอย่างนั้น

                    จนในที่สุด เมื่อต่อรองกันเป็นที่เรียบร้อย ซันนี่ก็ได้ลิมิตแค่ไอศกรีมแท่งที่ถูกที่สุดในรถเข็นเท่านั้น แต่ร่างเล็กก็ค่อนข้างพอใจไม่น้อย แถมยังละเลียดกินด้วยความเอร็ดอร่อยยั่วซูยองที่ไม่มีเงินพอจะซื้อให้ตัวเองกินอีกต่างหาก

                   

                    “อร่อยมากเลยนะพี่ซู”

                   

                    “อืม พี่รู้แล้ว”

                   

                    “งอนบ่อยๆ ก็ดีเหมือนกันเนอะ มีคนเลี้ยงไอติมด้วย อิอิ” เด็กน้อยยังคงหัวเราะร่า  ทว่าซูยองตบะแตกซะแล้ว

                   

                    “พี่กินด้วยสิ นี่ก็เงินพี่นะ!” พูดเสร็จก็เตรียมแย่งสิ่งที่อยู่ในมือของซันนี่คืนมา หากอีกคนไหวตัวทันจึงวิ่งหนีพร้อมของกินสุดหวง แต่ด้วยช่วงขาที่ยาวกว่าของซูยอง มีหรือจะตามคนตัวเล็กไม่ทัน

                   

                    มือรวบซันนี่ไว้ในอ้อมกอด พร้อมก้มลงไปงับไอศกรีมคำโตทันทีจนเกือบหมดแท่ง “อร่อยจริงๆ ด้วย” ซูยองยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ได้ลิ้มรสไอศกรีมจากเงินตัวเองเสียที

                   

                    “แง้! เค้าไม่ยอมนะ พี่ซูยองเอาคืนมา” ซันนี่ร้องด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนเธอจะโน้มคออีกฝ่ายลงมาแล้วชกชิงหาความหวานจากไอติมในริมฝีปากของอีกฝ่ายทันที ให้ซูยองได้แต่นิ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง อาจด้วยเพราะซันนี่ยังเด็กอยู่ล่ะมั้ง เลยทำอะไรลงไปเช่นนี้

                   

                    เมื่อลิ้มรสความหวานจนพอใจ ซันนี่จึงยอมคลายเรียวปากออก “เค้าได้กินไอติมแล้วล่ะ”

                   

                    “กระรอกน้อย รู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป” ซูยองกล่าวเขินๆ ถึงเธอจะแค่ 7 ขวบ ทว่าพอรู้เรื่องแบบนี้บ้างแล้ว

                   

                    “ทำอะไรหรอ เค้าก็กินไอติมไง” ซันนี่ถามกลับด้วยความใสซื่อ ต่างจากอีกคนลิบลับ

                   

                    “ไม่ใช่...คือทำแบบนี้น่ะ มันเอ่อ...” คนตัวสูงกระอักกระอ่วนใจยิ่งขึ้น เมื่อเห็นท่าทางอยากรู้ของร่างเล็ก

                   

                    “เอ่อ...อะไรหรอคะ ไม่บอกแล้วเค้าจะรู้มั้ย”

                                   

                    “คือ...เฮ้อ มันเรียกว่าจูบน่ะ อย่าไปทำอย่างนี้กับใครอีกนะเข้าใจมั้ย” เธอย่อเข่าลง มือโคลงหัวเล็กๆ ไปมาอย่างอ่อนโยน ให้ซันนี่ได้แต่ย่นหน้าด้วยความหงุดหงิดใจที่ผมของตนกำลังยุ่งเหมือนหางกระรอกเข้าไปทุกที

                   

                    “อ้าว จูบแล้วทำไมหรอ”

                   

                    “ก็... เค้าเอาไว้ทำกับคนที่รัก คนที่อยากดูแลน่ะ” ซูยองบอกทั้งที่ไม่มองหน้าคนฟัง นิ้วยกขึ้นเกาแก้มใสแก้เก้อ

                   

                    “หรอ... งั้นพี่ซูห้ามไปทำอย่างนี้กับใครเหมือนกันนะ!” ซันนี่ว่าแก้มป่อง เธออาจเด็กเกินไปที่จะรู้จักอารมณ์หึงหวงหรือหลงใหล แต่อย่างน้อยๆ เธอยังพอรู้จักความผูกพัน ที่เธอและซูยองใกล้ชัดกันมาโดนตลอด เด็กน้อยจึงไม่ประสงค์ที่จะให้ซูยองไปทำอย่างนี้กับคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ อารมณ์คงเหมือนประมาณเด็กหวงของเล่นล่ะมั้ง

                   

                    “อื้อ มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ซันจะให้พี่ไปจูบกับใครล่ะ” ซูยองยิ่งพูดยิ่งรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นทุกที

                   

                    “เค้าไง...ถ้าพี่อยากจูบใคร พี่จูบได้แค่เค้า คนที่พี่รักเป็นเค้าได้แค่คนเดียวเท่านั้น คนที่พี่ซูจะดูแลก็ต้องเป็นเค้าด้วย สัญญานะ” ซันนี่กล่าวอ้อนๆ ไม่รู้ล่ะ เธอไม่ยอมให้เสาไฟฟ้าต้นนี้ไปรักหรือเทคแคร์คนอื่นแน่ อาจเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เธอเลยอยากให้ซูยองดูแลเธอเหมือนที่ผ่านมาตลอดไป

                   

                    “...สัญญาค่ะ” ซูยองเกาแก้มอย่างเขินอาย รอยยิ้มหวานๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของเด็กน้อย เธอคงไม่รู้ว่าเพราะคำสัญญาอย่างเล่นๆ ในสมัยเด็ก มันจะทำให้เกิดความผูกพันกับใครในหัวใจได้อย่างมากมายจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว...

     

                   

     

     

     

     

                [Present time]

                   

                    ดวงตาสีน้ำตาลทอดมองไปยังหน้าต่างบนใหญ่ของตึกที่สูงนับสิบชั้นอันเป็นที่ทำงานของตน มือเรียวพลิกเอกสารบนโต๊ะไปมาอย่างเหม่อลอย ไม่มีกระจิตกระใจจะจรดลายเซ็นอะไรลงไปทั้งสิ้น เพราะงานในวันนี้เสร็จหมดแล้ว หากเจ้าตัวยังคงไม่ยอมกลับบ้าน หนำซ้ำยังเอาแต่พลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาซ้ำไปซ้ำมา ราวกับจะเปลี่ยนความเร็วของเข็มวินาทีไปได้ ถอนหายใจช้าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน ขณะปล่อยใจนึกถึงในอดีต

                   

                จะมามั้ยน้า...ฉันลี ซุนคยู หรือที่ใครเรียกทั่วไปว่าซันนี่ คิดในใจ เธอต้องมาสิ ในเมื่อเธอสัญญากับฉันไว้แล้ว และไม่ว่าเรื่องใด เธอก็ไม่เคยลืมมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว รวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน...

                   

                    “คุณซันนี่คะ” เลขาส่วนตัวเปิดประตูเข้ามาพรวดพราดอย่างไม่กลัวจะโดนหักเงินเดือน ให้ฉันได้แต่เลิกคิ้วเป็นเชิงถามด้วยความสงสัยว่าอะไรทำให้เธอรีบร้อนได้ขนาดนั้น

                   

                    “คุณชเว ซูยองขอเข้าพบค่ะ” สิ้นคำ เรียวปากที่เคยแนบสนิทมาเนิ่นนานก็แย้มออกเสียที ฉันบอกแล้วว่าเธอไม่เคยผิดสัญญากับฉัน นั่นรวมถึงสัญญาที่ว่าจะมารับฉันกลับบ้านทุกเย็น

                   

                    “ขอบคุณมาก งั้นฉันไปก่อนนะ” รีบคว้ากระเป๋าถือขึ้นมาอย่างเร็ว แฟ้มที่เปิดค้างๆ ไว้ถูกปิดลงลวกๆ ฉันลุกพรวดพราดแล้ววิ่งออกจากประตูไปทันที ดีใจแค่ไหนใครจะรู้บ้าง ที่ซูยองยังคงทำดีต่อฉันเสมอมา ถึงเธอจะชอบแกล้งฉันตั้งแต่ตอนเด็ก แต่ไม่ใช่เธอหรอที่คอยปลอบโยนยามฉันร้องไห้ ถึงเธอจะเป็นคนพูดน้อย เหมือนไม่ใส่ใจใคร แต่ทุกครั้งที่ฉันกลุ้มใจ ไม่ใช่เธอรึไงที่รับรู้ได้เป็นคนแรก

                   

                ...เพราะเธอเป็นเธออย่างนี้ไงล่ะ...ฉันถึงไม่สามารถตัดเธอออกจากใจได้เสียที ทั้งที่ไม่รู้ตัวเหมือนกัน ว่าเผลอรับเธอเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่...

     

               

     

     

     

     

                    “เมื่อไหร่พี่ซูจะกินซะทีล่ะคะ” ฉันถามเสียงใส เมื่อเธอไม่ยอมกินอาหารในจานเสียที ได้แต่ใช้ช้อนเขี่ยมันไปมาอย่างซังกะตาย เธอคงไม่ได้คิดว่าอยู่กับฉันมันน่าเบื่อนักใช่มั้ย

                   

                    “ไม่ค่อยหิวน่ะ” ซูยองตอบเรียบง่าย ดวงตาคู่คุ้นเคยยังคงจ้องมองหน้าฉันจนเขินอายไปหมด หัวใจเต้นแรงให้ควบคุมไม่ได้ เมื่อไหร่เธอจะเลิกมองฉันด้วยสายตาที่ห่วงหา แคร์ และเต็มไปด้วยความรักอย่างนั้นซะทีนะ ไม่ใช่ไม่อยากให้เธอคิดแบบเดียวกับฉัน เพียงแต่เพราะเธอไม่เคยพูดคำนั้นออกมา ฉันจึงไม่อยากเผลอคิดไปเองให้ต้องเจ็บหัวใจเล่นเปล่าๆ

                   

                    “เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ” เปรยเหมือนพูดคนเดียว ฉันเองใช่ว่าจะเก่งเรื่องแสดงความรู้สึก ห่วงใยแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยพูดคำนั้นออกไป มีเพียงการกระทำอ้อมๆ เท่านั้น ที่ถ้าหากลองมองดูดีๆ จึงรู้ว่าฉันคิดอะไร

                   

                    เธอพูดไม่เก่ง...ฉันแสดงออกไม่เป็น... เมื่อเราเป็นซะแบบนี้ จะให้ความสัมพันธ์พัฒนาไปเกินเลยมากกว่าคำว่าพี่น้องมันก็คงไม่มีทาง

                   

                    “ขอโทษนะที่วันนี้พี่ไปรับช้า หิวข้าวแย่เลยรึเปล่า” ถามอย่างห่วงใย ขณะยืดกายขึ้นสูง เธอโน้มตัวต่ำลงจนฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมแบบอบอุ่นจากคนตรงหน้า ยิ่งเราใกล้กันมากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นทุกที จนฉันต้องหลับตาแน่นด้วยความเขินอายกับการกระทำของเธอ

                   

                    สัมผัสร้อนๆ ข้างใบหู ขณะนิ้วมือของเธอบรรจงทัดไรผมที่หลุดลุ่ยออกมาของฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกลับลงไปนั่งที่เดิม ให้ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

                   

                    “ไม่ค่ะ” ฉันส่ายหน้าเบาๆ “พี่ซูนั่นแหละ ทำงานเหนื่อยๆ ทำไมไม่หิวล่ะคะ” ถามย้อนกลับ งานวิศวกรของเธอใช่จะเบาเสียเมื่อไหร่ล่ะ เพราะซูยองเป็นคนทุ่มเท กว่าจะวางแบบแผนควบคุมการก่อสร้างให้เสร็จแต่ละงาน ฟังแล้วฉันยังเหนื่อยแทนเลย มันเทียบกับงานสบายๆ ที่นั่งเซ็นเอกสารในห้องแอร์เย็นๆ อย่างฉันไม่ได้เลยซักนิด

                   

                    “เห็นหน้าซัน...พี่ก็อิ่ม...แล้วล่ะ” เธอชะงักชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ แต่ฉันก็ยังพออ่านปากเธอได้ เธอคงอยากพูดคำว่า อิ่มใจล่ะมั้ง ถ้าอยากพูด ทำไมไม่พูดออกมาซะทีล่ะชเว ซูยอง มันยากนักหรือไง กับแค่ความรู้สึกของเธอ การกระทำทุกอย่างมันแสดงออกชัดเจนดีอยู่แล้ว หากฉันก็แค่อยากได้ความมั่นใจ อยากได้คำยืนยันจากปากเธอ

                   

                ...ให้ฉันไม่ได้หรอ คำสั้นๆ ที่มีความหมายมากกว่าคำสัญญาที่เธอชอบพูดบ่อยๆ นั่นน่ะ...

                   

                    “ซัน...วันนี้ไม่รีบกลับบ้านใช่มั้ย ไปกับพี่ที่หนึ่งก่อนนะ” ดวงตาคู่สวยของเธอเต็มไปด้วยการขอร้อง มือเล็กของฉันถูกกุมไว้ด้วยมือใหญ่นุ่มๆ ของเธอ

                   

                    ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมต้องใจเต้นแรงกับประโยคเรียบๆ ที่ไม่เคยปรุงแต่งให้หวานสวยหรูเหมือนคนอื่นๆ ไม่ใช่ฉันไม่เคยถูกใครจีบ แต่ฉันรู้สึกว่าถ้อยคำรักนับหมื่นล้านคำ ทำไมมันไม่เคยเทียบได้กับประโยคทื่อๆ ที่แทบไม่บ่งบอกอารมณ์ของเธอเลยนะ

                   

                    “ซันเคยขัดพี่ด้วยหรอคะ” เมื่ออายุที่มากขึ้น และกาลเวลาที่แปรเปลี่ยนไปนับ 18 ปีระหว่างเรา ทำให้สรรพนามที่ใช้แทนตัวก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

                   

                    “งั้นไปกันเถอะ เด็กน้อย” เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยนจนฉันอยากจะหยุดเวลาลงตรงนี้จัง

     

                   

     

     

     

     

                    ฟ้าที่มืดครึ้ม มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าที่รายเรียงตามมุมต่างๆ ของสนามเด็กเล่น ช่วยให้เราสองคนได้มองเห็นทาง สนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยความผูกพัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของพวกเราทั้งสามคน ฉัน ซูยอง และแทยอน ที่ตอนนี้ย้ายบ้านไปนานแล้ว จึงเหลือเพียงฉันกับเธอที่ยังคงเดินผ่านที่แห่งนี้ทุกวันยามกลับบ้าน

                   

                    “วันนี้ที่พี่มาช้า เพราะพี่ไปเจอร้านๆ หนึ่งมา” เธอเปรยขึ้นเบาๆ ก่อนจะประคองให้ฉันนั่งลงบนชิงช้า ส่วนเธอกลับนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ดวงตาอันมุ่งมั่นของเธอทำให้ฉันไม่อาจขัดในสิ่งที่เธอต้องการได้ แม้อยากให้เธอขึ้นมานั่งข้างๆ ด้วยกันแค่ไหนก็ตามที

                   

                    “...” ฉันยังคงนิ่งเงียบ เพราะรู้ได้ว่าไม่บ่อยนักที่เธอจะทำอะไรแบบนี้

                   

                    “เห็นแล้วนึกถึงซันก็เลยซื้อมาให้” ว่าพลางยิ้มของสิ่งหนึ่งขึ้นมา แหวนสองวงที่คล้องกันอยู่ถูกร้อยผ่านบนสร้อยเงินเส้นยาว ตัวแหวนทั้งสองสลักต่างกัน วงค่อนข้างใหญ่กว่าสลักคำว่า ‘Promise’ ส่วนวงเล็กกว่ากลับสลักคำที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยนั่นคือ ‘True love’

                   

                    คำสัญญาและรักแท้หรือ?

                   

                    “คนขายเค้าบอกว่าชะตาของพี่ ถูกละขิตไว้บนทางเดินแห่งคำสัญญา เพื่อนำไปสู่ความรักที่แท้จริง” ซูยองก้มหน้าบอก กลไกของแหวนในมือเธอช่างน่าอัศจรรย์ เพียงแค่เธอกดปุ่มเล็กๆ ที่มีบนนั้น แหวนทั้งสองก็หลุดออกจากกันอย่างง่ายดาย ยิ่งดูอย่างนี้แล้วยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองวงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าไม่ติดที่ว่าตัวอักษรซึ่งสลักไว้เหมือนกัน และลักษณะแหวนเป็นรูปแบบเดียวกันนั่นน่ะนะ

                   

                    “ตอนแรกพี่ก็ไม่เชื่อหรอก” ซูยองพึมพำขณะใส่แหวนวง Promise บนนิ้วนางข้างซ้ายของตนเอง ส่วนอีกวงเธอกลับกำมันแน่น “แต่เมื่อพี่ย้อนกลับมาคิดดูแล้ว คนที่หัวใจพี่ผูกพันไว้มานาน จากคำสัญญาหลายต่อหลายคำที่พี่ยังคงจำได้ มันทำให้พี่รู้ความหมายที่แท้จริงของแหวนสองวงนี้”

                   

                    “ซัน...” เธอเรียกเสียงอ่อนหวาน ประกอบกับการกระทำของเธอทำให้หน้าฉันแดงร้อนผ่าวไปหมด คำพูดนั่นคงไม่ได้หมายความว่าเธอกำลังบอกรักฉันอยู่ใช่มั้ย... ฉันไม่ได้ฝันไป...ใช่มั้ย

                   

                    “คะ?”

                   

                    “ยอมรับแหวนวงนี้ของพี่ได้มั้ย... พี่สัญญาว่าพี่จะดูแลซันให้ดีที่สุด สัญญาว่าจะไม่ทิ้งซันไปไหน สัญญาว่าพี่จะจำทุกคำที่เคยบอกซันตลอดไป... ให้แหวนทั้งสองวงนี้เป็นตัวแทนของเราเถอะนะ” คำอ้อนวอนนั้นทำให้ฉันไม่ลังเลเลยซักนิดที่จะพยักหน้าตกลง เธอค่อยๆ ประคองมือซ้ายของฉันแนบกับริมฝีปากอุ่นๆ นั้นแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ บรรจงสวมแหวนที่มีตัวอักษรสลักชัดเจนว่า True love ลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของฉัน

                   

                    แม้ไม่มีคำพูดสารภาพรัก ยืนยันให้ชื่นใจ แต่ดวงตาของเธอกลับบอกอย่างชัดเจนว่า ฉันคือ True love ของเธอ...

     

                   

     

     

     

     

                    “วันนี้คุณซันนี่อารมณ์ดีจังเลยนะคะ” เลขาทักฉันในช่วงกลางวัน คงไม่แปลกอะไรล่ะมั้ง ก็เหตุการณ์เมื่อคืนมันยังคงตราตรึงในใจฉันอยู่เลย แหวนที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายอย่างแสดงความเป็นเจ้าของนี่ก็ไม่ใช่ฝันไป เธอให้ฉันเป็นรักแท้ของเธอ สัญญาว่าจะดูแลกันตลอดไป

                   

                    ฉันคงดีใจได้เต็มที่กว่านี้ ถ้าได้ยินประโยคที่ฉันรอจากปากของเธอมานานบ้างว่า เธอรักฉันไม่ใช่สิ่งที่ให้ฉันต้องมานั่งคิดเอง หรือทึกทักเอาเองอยู่เช่นนี้

                   

                    แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อถ้าฉันมัวแต่ยึดติดกับคำพูดมันจะมีประโยชน์อะไร ให้คนทั้งโลกบอกว่ารักฉัน คงไม่ซึ้งเท่ากับเศษเสี้ยวการกระทำของเธอนั่นเลย

                    ฉันเข้าใจว่าเธอเป็นคนขี้อายและพูดไม่เก่ง เพราะฉะนั้นคำว่ารักยืนยันคงไม่จำเป็นสำหรับเรา แค่เราเข้าใจและรู้หัวใจของเขาก็เพียงพออยู่แล้ว

                    “พอดีว่ามีความสุขนิดหน่อยค่ะ”

                   

                    “เพราะเจ้าของแหวนวงนั้นรึเปล่าคะ” เธอแซวให้ฉันต้องหน้าแดง ฉันกับเลขาคนนี้สนิทกันมากทำให้เรามักพูดเอ่ยแซวกันได้อย่างไม่ถือตัว

                   

                    “บ้า! รู้หรอว่าเค้าคือใคร”

                   

                    “ตัวสูงๆ ที่คุณซันนี่ชอบคิดถึงบ่อยๆ ใช่มั้ยคะ” รอยยิ้มและคำพูดของเธอ ทำเอาใบหน้าฉันร้อนผ่าวจนห้ามไม่อยู่ เลยแกล้งอายเบี่ยงประเด็นด้วยการให้เธอไปทำกาแฟมาซะอย่างนั้น

                   

                    ช่วยไม่ได้นี่หน่า คนกำลังมีความสุข พูดอะไรมันก็เขินไปหมดแหละ!

                   

                    แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นให้ฉันตื่นจากภวังค์ หากมองชื่อคนโทรมากับรูปที่โชว์ขึ้นหน้าจอ ฉันจึงต้องถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะกดรับแต่โดยดี

                   

                    “ว่าไงคะพี่ซู”

                   

                    (“คุณซันนี่รึเปล่าครับ”) เสียงผู้ชายที่ตอบกลับมา จนฉันใจเสีย อยากจะหลอกตัวเองเหมือนกันว่ามันไม่มีอะไร แค่คนอื่นใช้เบอร์ซูยองโทรมาก็เท่านั้น...

                   

                    “ค่ะ”

                   

                    (“...”) ประโยคที่ได้ยินทำให้ฉันแทบปิดประสาทการรับรู้ทั้งมวล อาการเจ็บแปลบเข้าครอบคลุมหัวใจที่เคยเต้นไหวด้วยมีความรักหล่อเลี้ยง ทว่าบัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันกำลังจะพังทลายลง หยาดน้ำตาไหลออกมาอย่างต่อเนื่องเกินควบคุม โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ตัว ขณะที่มือถือค่อยๆ ตกลงกับพื้นช้าๆ ชิ้นส่วนที่แตกละเอียดของมัน ทำให้ฉันยิ่งต้องปิดปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น

                   

                บางทีมันอาจจะเหมือนหัวใจที่ใกล้แตกสลายของฉันแล้วก็ได้ล่ะมั้ง...

     

               

     

     

     

     

                    ไม่รู้เหมือนกันว่าพาตัวเองมาถึงที่นี่ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หากไฟหน้าห้องผ่าตัดที่สว่างติดต่อกันมานับสามชั่วโมง ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ฉันได้แต่ก้มหน้าเพื่อซุกซ่อนความอ่อนแอไว้ น้ำใสๆ ที่รินไหลถูกซับด้วยขากางเกงจนมันเปียกชุ่มไปหมด ฉันกุมมือตัวเองแน่นราวกับสวดภาวนา

                    ลูกน้องของเธอโทรมาบอกว่า ระหว่างที่เธอไปดูงานก่อสร้างที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ อุบัติเหตก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันได้คาดคิด เพราะแผ่นกระเบื้องที่ถูกยึดไว้อย่างไม่แข็งแรงมันตกลงมา ซึ่งภายใต้กันนั้นมีเด็กน้อยคนหนึ่งนั่งเล่นอยู่ ด้วยความที่เธอกลัวว่ามันจะตกใส่เด็ก ทำให้ซูยองวิ่งเข้าไปช่วย...

                   

                    ผลก็คือเด็กคนนั้นรอดปลอดภัย มีเพียงแค่รอยถลอกเท่านั้น... ส่วนเธอ...เลือดคลั่งในสมอง

                   

                    เพราะความอ่อนโยนของเธอ การเป็นคนดี ทุกๆ สิ่งของเธอทำให้ฉันหลงรัก แต่มาวันนี้ฉันอยากจะเกลียดมันเหลือเกินถ้ามันกำลังจะพรากเธอไปจากฉัน ไม่ได้อยากเห็นแก่ตัวให้เด็กคนนั้นต้องมาเจ็บเหมือนเธอ หากฉันก็แค่ไม่อยากเสียเธอไปเท่านั้นเอง

                   

                    ตั้งแต่จำความได้ก็มีเพียงรอยยิ้มของซูยองเท่านั้น แล้วต่อจากนี้ฉันจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเธอ...

                   

                    ยิ่งฟังคำพูดของหมอทำให้ฉันแทบอยากขาดใจ เปอร์เซ็นต์การผ่าตัดสำเร็จน้อยมาก และถ้าสำเร็จเธออาจจะกลายเป็นเพียงแค่เจ้าหญิงนิทรา ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว อยู่ในร่างที่มีลมหายใจ หากไร้ซึ่งจิตวิญญาณ

                   

                    ไม่จริง! มันต้องไม่เป็นแบบนั้นสิ!!

                   

                    ฉันเงยหน้าขอพรจากพระเจ้า แหวนยังนิ้วนางข้างซ้ายที่เธอให้ กลับกลายเป็นที่รองรับหยดน้ำตาเกินกว่าจะห้ามได้ ฉันคือรักแท้ของเธอไม่ใช่หรอซูยอง เธอจะทิ้งฉันไว้อย่างนี้ได้ยังไง

                   

                ...ใครที่บอกว่าจะจูบฉันเพียงแค่คนเดียว...

               

                ...ใครที่บอกว่าจะมารับฉันทุกวันหลักเลิกงาน...

               

                ...ใครที่บอกว่าจะกลับด้วยกัน จะกินข้าวพร้อมกัน จะคิดถึงเมื่อไม่เจอหน้ากัน...

               

                ...ใครที่บอกว่าจะรักฉันเพียงแค่คนเดียว...

               

                ...ใครที่บอกว่าจะดูแลฉันตลอดไป...

               

                ...ใครกันที่บอกว่าจะไม่ทอดทิ้งฉัน...

     

                คำสัญญาที่เธอเคยให้ ถ้ามันจะผูกพันหัวใจเราสองคนเอาไว้ ขอให้มันพูกพันกายเราสองคนให้อยู่เคียงข้างกันต่อไปด้วยได้มั้ย ฉันรู้ว่าไม่มีใครหลีกหนีความตายได้พ้น ไม่มีใครหนีอาการเจ็บป่วยได้พ้น แต่ขอเถอะ...ยามนี้ฉันไม่พร้อมจะสูญเสียเธอไปจริงๆ

                   

                    เธอเป็นคนดี... ดีมากๆ ด้วย พระเจ้าคงไม่ใจร้ายพรากเธอไปจากฉันตอนนี้ใช่มั้ย...

                   

                    เข็มวินาทีเดินไปอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางความทรมานของฉันที่เหมือนหัวใจใกล้แตกสลายลงทุกที จนในที่สุดการรอคอยก็จบลง ไฟหน้าห้องผ่าตัดดับสนิท เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว ฉันรีบวิ่งไปหาชายในชุดกราวน์ที่กำลังเดินออกมาจากห้องทันที

                    ท่ามกลางความหวังอันเลือนลาง มีเพียงสิ่งหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของฉัน

                   

                    ...ฉันเชื่อว่า...เธอจะรักษาสัญญาที่เคยมีให้กัน...

     

     

     

    “แล้วคุณล่ะ เชื่อในเรื่องคำสัญญารึยัง?

     

    Do you believe in promise?

     

     

     

    End.

     

     

     

     

     

    จบแบบนี้จะโดนฆ่าตัดตอนมั้ยหนอ T__T

    คือกะให้แบบว่า ถ้ารีดเดอร์อยากให้หยองอยู่หยองก็อยู่ค่ะ

    ถ้ารีดเดอร์อยากให้หยองตายก็จิ้นกันได้เอาเองเลย

    แล้วแต่ใครจะคิดค่ะ ช่วงนี้โปรโมชั่นปวดตับแบบเลือกได้ ฮ่าๆ

     

    แต่บุงเชื่อว่าซูยองรักษาสัญญากับซันนี่น้า ><

    ก็ป้าหยองเรื่องนี้ช่วงแรกน่ารักโฮกอ่ะค่ะ

    นั่งแต่งไปยิ้มไปกับเด็กน้อยสองคน ซูซันเวอร์ชั่นจูเนียร์ อิอิ

    แถมยังมีฉากหวานนิดๆ หน่อยๆ ด้วย รวมถึงตอนจบก็บอกว่าแล้ว

    “ซูรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับซัน” บุงคงรอดพ้นข้อหาใช่ปะคะ?

    (หาเรื่องแถ ปัดความผิดให้พ้นตัวสุดฤทธิ์)

     

    ยังไงก็ช่วยกันคอมเมนต์ด้วยนะคะ คราวที่แล้วอ่อยไว้เมนต์ไม่ถึง

    แต่ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็แต่งจบแล้วเลยเอามาลง กระซิกๆ T^T

     

     

     

     

     

    (แถมค่ะแถม)

     

    :+:Special belief:+:

     

    Do you believe in love?

    I do…

     

    เขาว่ากันว่า...ถ้าเพียงแต่มีความเชื่อ

    ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้

    แล้วคุณล่ะ...เชื่อในสิ่งที่เรียกว่าความรักบ้างมั้ย?”

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                   

                    ...สายลมอ่อนๆ พัดหวิว พาใบไม้สีแดงแกมส้มเนื่องด้วยฤดูใบไม้ร่วงหยอกล้อระเริงตามแรงลม บรรยากาศยามเย็นทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านมาแถวนี้มากนัก และเนื่องจากเป็นระแวกปลอดคนอยู่แล้ว จึงน้อยคนนักที่จะรู้ว่าแถวนี้มีร้านอะไรซุกซ่อนอยู่... ร้านที่เต็มไปด้วยเวทมนต์และกลิ่นอายของเรื่องลี้ลับ...

                   

                   

     

     

     

     

                    ((กรุ๊งกริ๊ง))

                   

                    เสียงกระดิ่งดังขึ้น พร้อมกับประตูไม้บานเก่าที่ถูกเปิดขึ้นเองอย่างพิศวง กลิ่นอายอับภายในร้าน ส่งผลให้ร้านนี้ดูขลังมากขึ้นอีกเท่าตัว ไม่ใหญ่มากแต่ก็ไม่เล็กมากเกินไปนัก หากข้าวของที่วางระเกะระกะ บ่งบอกได้ถึงว่าไม่ได้เป็นร้านที่ต้อนรับแขกประจำ ทว่าจะต้อนรับเฉพาะ แขกพิเศษ ...

                    หากคุณคิดว่าซากคางคกสี่ตาที่อยู่ในตู้กระจก หรือหนูมีสองหางข้างๆ กันนั้นแปลกพอแล้ว คุณคงกำลังคิดผิด เนื่องจากภายในที่แห่งนี้มีสิ่งประหลาดกว่านั้นมากมายนัก

                    แมวสีดำสนิทซึ่งเดินหลงมาตามแรงชักจูงของอำนาจลึกลับ กำลังหวาดกลัวกับสิ่งที่มันต้องเผชิญ เท้าทั้งสี่พาร่างขนาดเล็กด้วยอายุไม่กี่เดือนของมันเดินลึกเข้าไปในร้านอย่างสำรวจ นัยน์ตาสีฟ้ามองไปทั่วร้านด้วยความใคร่รู้ หากแสงสลัวจากเปลวเทียนที่ส่องลงมา ขลับให้ดวงตาของมันส่องแววสีแดงน่าค้นหา

                    โต๊ะกลมตำแหน่งจุดกึ่งกลางของร้าน มีเพียงลูกแก้วใสตั้งอยู่ เบื้องหลังนั้นคือเก้าอี้โยกที่กำลังโยกไปมาทั้งที่ไม่มีใครนั่งอยู่!!

                   
                    “เมี้ยว” แมวน้อยร้องเสียงแหลม มันกระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้นั้น แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีมืออุ่นๆ มาจับลงบนตัวของมัน สัตว์สี่เท้าหลับตาแน่นด้วยความกลัว หากก็ผ่อนคลายลงเมื่อมือนั้นไม่ได้มาเพื่อทำร้าย ทว่ากลับลูบขนสั้นๆ ของมันด้วยความอ่อนโยน นิ้วเกาคางให้มันต้องครางอย่างออดอ้อน

                   

                    “สาวน้อย เข้ามาได้ไงเนี่ย” ถามเสียงหวานใส มือที่กำลังเกาคางให้แมวตัวเล็กในอ้อมแขนเผยให้เห็นถึงเล็บซึ่งทาด้วยสีดำสนิท เหมือนเรียวปากบางที่ทาด้วยลิปสติกสีดำ กอปรกับร่างบางที่คลุมด้วยผ้าคลุมสีเดียวกันทั้งตัว ทำให้ดูราวกับเป็นแม่มดหลุดมาจากในตำนานเทพนิยายซักเรื่อง มากกว่าจะเป็นเจ้าของร้านที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังเช่นนี้

                   

                    “อย่าซนนะเด็กดี” เธอหัวเราะร่า ก่อนจะเปิดฮู้ดออก เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาล และใบหน้าหวานชัดกระจ่างยิ่งขึ้น ร่างบางวางแมวดำไว้บนโต๊ะทำนายกลางร้าน ขณะเธอทัดไรผมข้างใบหู ก่อนจะวางมือลงบนลูกแก้วใสที่เธอเรียกมันว่าลูกแก้ววิเศษ

                   

                    “โอม...” ปากก็ท่องคาถาสารพัดที่เธอเคยรู้มา ส่งผลให้ลูกกลมๆ ที่เคยว่างเปล่า มีภาพปรากฏขึ้นในนั้น...

                   

                    “ท่าทางคู่นี้จะไปด้วยกันได้ดีนะเนี่ย อิอิ” ร่างบางยังคงยิ้มกริ่ม เมื่อเห็นคู่รักที่มีใบหน้าละหม้ายคล้ายกันทั้งสองคนกำลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ตำนานรักบทแรกซึ่งเป็นฝีมือของเธอ ที่หญิงสาวเรียกว่า ‘Soulmate’

                   

                    มือสะบัดกลางอากาศและวาดผ่านลูกแก้วอีกครา ภาพเปลี่ยนเป็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งซึ่งดีกรีเป็นสาวป็อบของโรงเรียน นอนตักอยู่บนร่างสูงที่มีใบหน้าเด็กเรียนนิ่งๆ ตลอดเวลา ทั้งสองใส่สร้อยเหมือนกัน ที่เป็นแบบพิเศษ ไม่อาจหาซื้อได้จากที่ไหนอีก เนื่องจากมันมีอยู่แค่สองเส้นบนโลกเท่านั้น คู่รักที่เธอเรียกว่า ‘Love at first sight’

                   

                    “ความรักของพวกเจ้าจะคงอยู่ตลอดกาล” ใบหน้าเศร้าหมองลง เมื่อภาพในลูกแก้วเปลี่ยนเป็นกลางสวนดอกไม้กว้าง ที่ประกอบด้วยดอกกุหลาบแดง 999 ดอก ซึ่งแทนความหมายจะรักกันตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต และพวกเธอทั้งคู่ก็เป็นอย่างความหมายนั่นจริงๆ คู่รักที่มีชื่อว่า ‘Miracle’

                   

                    สุดท้ายภาพทุกอย่างเลือนหายไป ปรากฏเป็นห้องสีขาวของโรงพยาบาล ซึ่งมีร่างเล็กกำลังกุมมือคนที่นอนอยู่บนเตียงแน่น เฝ้าภาวนาท้วงถึงคำสัญญา

                   

                    “ข้าเชื่อว่าซูยองรักษาสัญญากับเจ้าแน่ซันนี่” เธอกล่าวกับคู่รักคู่สุดท้ายในงานครั้งนี้ซึ่งชื่อว่า ‘Promise’

                   

                    “เมี้ยว” แมวที่นั่งบนโต๊ะเริ่มอยู่ไม่สุข มันเข้ามาคลอเคลียร่างบางอย่างเอาอกเอาใจ ขณะให้เธอได้แต่ยิ้มบางๆ มือยกขึ้นเกาคางตามคำขอของมัน

                   

                    “หืม? จะอ้อนเอาอะไรหรอคะเด็กน้อย” มันคงฟังเธอรู้เรื่อง แต่คำตอบของมันนี่สิ ทำเอาหญิงสาวมึนงงเพราะฟังภาษาแมวไม่ออก สุดท้ายเลยได้แต่ลูบหัวลูบหางเจ้าแมวสีดำเล่นไป

                   

                    เสียงโทรศัพท์บ้านรุ่นเก่าดังขึ้นให้เธอสะดุ้ง ร่างบางวางสัตว์สี่เท้าไว้บนโต๊ะที่เดิม ก่อนจะเดินไปรับโทรศัพท์ด้วยความสนเท่ เพราะร้อยวันพันปีก็แทบไม่มีคนโทรเข้ามา

                   

                    “อันยองค่ะ” กรอกเสียงลงไป ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามรีบตะโกนกลับมาอย่างดีใจให้เธอต้องเบ้หน้าเพราะความแสบแก้วหู

                   

                    (“อ๊ายยย นั่นลูกใช่มั้ย ลูกจริงๆ ด้วย”)

                   

                    “ไม่ใช่หนูแล้วจะใครล่ะแม่” เธอทำหน้าเซ็งกับประโยคของผู้เป็นแม่

                   

                    (“แหม...ฮโยก็...”) ปลายสายเรียกชื่อเธออย่างหยอกเย้า ใช่แล้ว! ชื่อของเธอคือ คิม ฮโยยอน

                   

                    “ค่ะ ก็ฮโยเนี่ยแหละ แม่มีอะไรหรอ” ฮโยยอนถามด้วยความสงสัย แม่เธอไม่ได้ติดต่อมาบ่อยนัก เนื่องจากแม่ของเธอทำงานอยู่ค่อนข้างไกล...เกือบคนละมิติก็ว่าได้!

                   

                    (“แม่จะถามว่า งานสี่ชิ้นที่แม่มอบหมายให้ลูกไปทำน่ะ ถึงไหนแล้วจ๊ะ”) งานสี่ชิ้นหรอ?... ก็ได้ข่าวว่าเพิ่งเสร็จไปหมาดๆ แม่เธอตามตรวจงานซะแล้ว นี่ดีนะเสร็จแล้ว ไม่งั้นมีหวังจากเสียงหวานๆ คงเปลี่ยนเป็นพายุเข้าดีๆ นี่เอง

                   

                    “เสร็จแล้วค่ะ สมหวังทุกคู่ (มั้ง)” เธอเก็บคำว่ามั้งไว้ในใจ ก็ไม่สมหวังได้ไง ยูริยุนอาออกจะหวานซะขนาดนั้น แถมซอฮยอนกับเจสสิก้าก็ใช่จะน้อยหน้า คู่แทยอนกับทิฟฟานี่ถึงตายทั้งคู่ แต่ก็ไปรักกันบนสวรรค์ได้ไม่ใช่หรอ (?) ส่วนซูยองยังไงคงไม่ผิดสัญญากับซันนี่อยู่แล้ว และถึงถ้าผิดสัญญาจริงๆ ก็ไม่ได้อยู่ในส่วนความรับผิดชอบของเธอ

                   

                เพราะฉะนั้น สมหวังทุกคู่!?

                                   

                    (“ดีแล้วๆ ถ้าลูกสามารถทำให้คู่รักสี่คู่สมหวังกันได้ ก็ถือว่าผ่านการสอบแม่มดระดับกลางได้แล้วล่ะ”) ได้ยินไม่ผิดหรอก... ร้านนี้ไม่ใช่ร้านขายของเล่นแปลกๆ ร้านตรวจดวงชะตา หรือร้านหลอกลวงประชาชนทั่วไป หากมันเป็นธุรกิจของตระกูลที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ด้วยสายเลือดอันเข้มข้นที่เริ่มเฟื่องฟูเมื่อศตวรรษที่ 19 อย่างตระกูลพ่อมดแม่มด ฟังดูอาจเหมือนนิทานหลอกเด็ก แต่ใครจะรู้บ้างว่าบางทีอำนาจลึกลับที่เรามองไม่เห็น อาจทำสิ่งแปลกประหลาดได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นสโตนเฮนจ์ในอังกฤษ หรือลายเส้นลึกลับแห่งนาซคา(Nazca) ภาพลายเส้นธรรมดาที่เปรูคงไม่ได้โด่งดังขนาดนี้ ถ้ามันไม่กินเนื้อที่ไปหลายร้อยตารางไมล์

                   

                    เหตุใดสิ่งต่างๆ จึงเป็นเช่นนั้น?

                   

                    เมื่อธรรมชาติให้คำตอบไม่ได้ มนุษย์ที่ดำรงในเส้นทางวิทยศาสตร์ไม่อาจหาคำอธิบาย ต่างพากันโบ้ยโทษไปถึงมนุษย์ต่างดาว หากใครจะรู้ บางทีอำนาจลึกลับอาจอยู่ใกล้ตัวอย่างที่คุณคาดไม่ถึง...

                   

                    “ว่าแต่งานหนูเสร็จแล้วก็กลับได้แล้วใช่ปะคะ เฝ้าร้านมันน่าเบื่อจะตาย” ฮโยยอนโอดครวญ ร้านของเธอน่ะไม่ใช่ร้านทั่วไปที่จะมีคนมาเห็นได้ง่าย ผู้ที่พบเห็นและเดินเข้ามาได้ต้องมีสัมผัสที่หก เป็นผู้ที่ถูกเลือก หรือมีความเชื่อที่แรงกล้าเท่านั้น และเมื่อเห็นเช่นนี้ ใครเล่าจะเข้ามาในร้านได้บ่อยๆ ชั่ววูบหนึ่งเธออดสงสัยไม่ได้... แล้วแมวดำที่นั่งอยู่กับเธอตอนนี้ล่ะ มันเข้ามาได้ยังไงกัน!!

                   

                    (“แม่รู้ว่าลูกเบื่อ เลยส่งของเล่นไปให้แล้วไง”) เท่านั้น...คำตอบทั้งหมดก็กระจ่างทันที

                   

                    “ห๊ะ? ของเล่น แม่อย่าบอกนะคะ ว่าตัวดำๆ ขนเกรียนๆ มีสี่ขาเนี่ยมันคือของเล่น”

                   

                    (“ปิ๊งป่อง! เก่งจังเลยลูกสาวแม่”)

                   

                    “แม่คะมันเป็นแมวนะ จะเป็นของเล่นได้ไง”

                   

                    (“มันไม่ใช่แมวจ้ะ...คืองี้นะ”)

                   

                    “คืออะไร เอาดีๆ นะคะแม่ หนูไม่ตลกด้วย แม่เล่นอะไรของแม่อีกเนี่ย” ฮโยยอนเริ่มตงิดๆ ใจถึงความไม่ชอบมาพากล รู้สึกเสียวสันหลังยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก

                   

                    (“คือแม่ร่ายคาถาผิดนิดหน่อยอ่ะ... แม่เลยเผลอเสกผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นแมวตัวนั้นแหละจ้ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลูกกำลังฝึกร่ายมนต์อยู่ใช่มั้ย ช่วยทำให้เค้ากลับเป็นแบบเดิมด้วย แค่นี้นะ แม่รักลูกจ้ะ”) ปลายสายพูดรัวก่อนจะรีบวางไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เธอไม่ทันได้แย้งอะไรทั้งสิ้น

                   

                    “เอากับเขาสิ” ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำคนให้เป็นแมวว่ายากแล้ว แต่ทำสัตว์หน้าขนให้กลับมาเป็นคนนี่ยากยิ่งกว่าอีกนะเนี่ย!

                   

                    “จะเอายังไงดีล่ะ...เราน่ะ” เธอหันมาถามแมวสีดำที่มีอดีตร่างเป็นคน ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียง...

                   

                    “เมี้ยว...”

                   

                   

     

     

     

     

                    ...บรรยากาศยามดึกเงียบสงัด ไฟข้างทางดับลง ส่งผลให้ความเงียบปกคลุมทั่วพื้นที่ ลมพัดแรงทำให้กิ่งไม้เสียดสีกัน จึงเกิดเสียงอันน่าขนลุกไม่ชวนพิศมัยเอาเสียเลย... ท่ามกลางความแปรปรวนของอากาศ ร้านแห่งมนตราที่ตั้งอยู่ยังริมถนนติดกับห้องว่างๆ ที่ร้างผู้คนกลับเปล่งแสงสว่างเรืองรองขึ้น แสงนั้นสว่างจ้าจนทำให้พื้นที่ละแวกนี้เหมือนตกอยู่ในเวลากลางวัน ทว่าสว่างอยู่เพียงเวลาไม่นานร้านนั้นก็เริ่มเลือนลางและจางหายไป...

     

                   

     

                    อย่าคิดว่าสิ่งที่คุณเคยเจอมามันแปลกพอแล้ว เรื่องลี้ลับบนโลกนี้ยังมีอีกมากที่รอให้คุณสัมผัส หากเรื่องลี้ลับเรื่องหนึ่งที่ใกล้ตัวคุณมากที่สุดนั่นก็คือความรักนั่นแหละ

                    มันน่าพิศวงยิ่งกว่าการสร้างพีระมิดหรือสวนลอยฟ้าบาบิโลนอะไรซะอีก ในเมื่อมันไม่มีกฏเกณฑ์เหมือนกติกาในการแข่งโอลิมปิก ไม่มีนิยามที่แน่ชัดเหมือนกฏแรงโน้มถ่วง แม้กระทั่งไม่มีสูตรตายตัวเหมือนทฤษฎีสัมพันธภาพ หากมันกลับมีพลังมากมายมหาศาลที่ล้วนส่งผลกระทบอันยิ่งใหญ่ต่อผู้คนทั้งโลก

                   

                    ฟังดูน่าเหลือเชื่อเนอะ... ทว่าถ้าเพียงแต่คุณเชื่อว่ามันมีอยู่จริง ความรักนั้นก็จะผลิบานในหัวใจของคุณเอง!

     

     

     

    มาถึงตอนนี้...แล้วคุณล่ะ เชื่อในความรักรึยัง?

     

    And now, do you believe in love?”

     

     

    The end

     

     

     

     

     

    เป็นของแถมที่ยาวเว่อร์มากค่ะ คุ้มมั้ยคะเนี่ยอุดหนุนนักเขียนคนนี้ ฮ่าๆ

    รู้ค่ะว่าเมนต์คงไม่ถึงที่เรียกไว้หรอก แล้วก็ไม่ถึงจริงๆ ด้วย T___T

    แต่ไม่เป็นไร บุงเห็นว่าอยากมีคนรู้เรื่องของแม่หมอฮโยเยอะเลยเอามาใส่ให้

    เพราะไหนๆ นี่ก็ตอนสุดท้ายของเซ็ทนี้แล้ว เลยอยากปิดม่านเซ็ทนี้ซะทีค่ะ

    ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้มาโดยตลอดนะคะ ^^

     

     

    ประกาศ

     

    ต่อจากนี้บุงจะไม่ลง SF แยกเรื่องแล้วนะคะ

    แต่จะไปลงใน “หลากมุมมอง...ของความรัก” แทนค่ะ (กด Shift ก่อนคลิกนะคะ เดี๋ยวหน้าเปลี่ยน)

    ซึ่งจากนี้ไปถ้าเห็นบุงอัพเรื่องนั้น แสดงว่ามี SF เรื่องใหม่มาเซิร์ฟ

    ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ช่วงนี้ฟิตแต่ง SF ค่ะ เร็วๆ นี้จะมีเรื่องใหม่มาลงแน่ๆ อิอิ

     

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น

    ×