[SF-SNSD] Once upon a time ครั้งหนึ่งนั้นฉันเคยมีเธอ (Yuri) - [SF-SNSD] Once upon a time ครั้งหนึ่งนั้นฉันเคยมีเธอ (Yuri) นิยาย [SF-SNSD] Once upon a time ครั้งหนึ่งนั้นฉันเคยมีเธอ (Yuri) : Dek-D.com - Writer

[SF-SNSD] Once upon a time ครั้งหนึ่งนั้นฉันเคยมีเธอ (Yuri)

"...ครั้งหนึ่งนั้นฉันเคยมีเธอ แล้วปัจจุบันล่ะ เรายังมีกันรึเปล่า..." (YulSic) [Feat. SJ] (สั้นๆ ง่ายๆ ยูลหล่อ เจสสวย ไม่เข้าจะเสียใจ! [100%])

ผู้เข้าชมรวม

8,672

ผู้เข้าชมเดือนนี้

3

ผู้เข้าชมรวม


8.67K

ความคิดเห็น


141

คนติดตาม


33
เรื่องสั้น
อัปเดตล่าสุด :  17 ธ.ค. 52 / 16:29 น.


ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้


มีคนทักว่า บุงยังไม่เคยแต่งแนวสวรรค์นรกเลย
เพราะงั้นงานนี้ก็อยากลองดูบ้างอะไรบ้าง...
ไม่รู้จะออกมาดีแค่ไหน แต่ยังไงก็ฝากว้นช็อตเรื่องนี้ด้วยนะคะ ^^

ปล. แก้โปรยค่ะ


------------------------------------------------------




ควอน ยูริ

"จงพาข้า...ไปสู่นิลภพชั่วกัปชั่วกัลป์ 
หากนั่นจะทำให้ข้าเข้าถึงความรักของข้าอีกซักครั้ง..."



จอง เจสสิก้า

สำคัญด้วยหรือ แม้ภายนอกพวกเราจะต่างกันเช่นไร 
หากอย่างน้อยเราก็มีหัวใจดวงเดียวกัน...

-----------------------------------------------

คำเตือน!!:

วันช็อตเรื่องนี้ยาวเยี่ยงมหากาพย์
กรุณาพักสายตาบ้างขณะอ่าน
มิเช่นนั้น มันอาจทำลายสายตาของท่านได้
ด้วยความปรารถนาดีจากไรท์เตอร์ ฮ่าๆ


ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ

     

     

    Once upon a time ครั้งหนึ่งนั้น...ฉันเคยมีเธอ (YulSic)

     

     

    “กาลครั้งหนึ่ง....นานมาแล้ว”

    เป็นจุดเริ่มต้นของความรักฝังลึกในความทรงจำ

    ทว่าความรักนั้น... จะยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจ... ตลอดไป

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                   

                    “เอาสิ! ถ้าฉันมันน่ารำคาญนัก พี่ก็เลิกกับฉันไปเลย จะมาทนกันทำไมล่ะ!!” เสียงตะโกนก้องดังลั่นมาจากเรียวปากของผู้หญิงเจ้าของเรือนผมน้ำตาลปล่อยยาวสยายกลางแผ่นหลัง ใบหน้าสวยคมราวตุ๊กตา พร่างพราวไปด้วยหยาดน้ำตาจากความเจ็บปวด เธอเขย่าไหล่ของชายหนุ่มตรงหน้าเมื่อเขาไม่แม้แต่จะคิดปัดมือเธอออก หากคิ้วคมกลับขมวดเล็กน้อยอย่างขัดใจ มือหนาเอื้อมมาพันธนาการมือทั้งสองของเธอเอาไว้ ด้วยหวังจะให้คนรักตั้งสติเสียที

                   

                    “อย่าบ้าให้มากนะซอฮยอน! ฟังพี่หน่อยได้มั้ย” คยูฮยอน พยายามพูดอย่างใจเย็น แต่คนที่ความเสียใจกำลังครอบงำประสาทการรับรู้ทั้งกาย เริ่มไม่อยากฟังสิ่งใด เพราะเธอกลัวว่ามันจะเป็นเพียงคำโกหกหลอกลวงจากผู้ชายที่เธอรักเท่านั้น ซอฮยอนทรุดลงกับพื้นเมื่อไม่อาจพยุงร่างบางของตนเองต่อไปได้ มือยกขึ้นปิดหน้าอย่างไม่อยากสบกับดวงตาคู่นั้นของเขา เพราะกลัวหัวใจมันจะอ่อนไหวไปมากกว่านี้

                   

                    ...แค่เห็นว่าเขาจูบกับ ผู้ชาย คนอื่น... แค่นั้นมันก็ทรมานมากพอแล้ว...

                   

                    “แล้วพี่จะให้ฉันฟังอะไร... ฟังว่าทำไมพี่ถึงจูบกับเขางั้นหรอ...” ถ้าภาพที่เธอเห็น มันเป็นภาพจากทางด้านหลัง ซอฮยอนคงพอคิดได้ว่ามันเป็นเพียงมุมกล้องเท่านั้น หากนี่เธอเห็นต่อหน้าต่อตา ผู้ชายที่เธอรัก จูบผู้ชาย... เธอไม่รู้เลยว่าถ้าเธอเห็นเขาจูบกับผู้หญิงคนอื่น จะทรมานปวดใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้บ้างมั้ย

                   

                    “พี่ไม่ได้ตั้งใจ...”

                   

                    “ถ้าฉันจูบกับคนอื่นบ้าง แล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ พี่จะรู้สึกอะไรบ้างมั้ยคะ...” เธอพยายามเงยหน้ามองเขาผ่านม่านน้ำตา ทว่าดวงตาที่จ้องมองกลับมาอย่างเฉยชานั่นคงให้คำตอบได้เป็นอย่างดีแล้วว่าเขาคงไม่เจ็บปวดเหมือนกับเธอ ทั้งที่เขาเคยบอกว่ารักเธอมากที่สุด หากทำไมจึงคืนคำได้ง่ายๆ เช่นนี้ ผู้ชายเหมือนกันหมดทุกคนเลยหรือเปล่า... แรกเริ่มความรักนับจากร้อย แล้วค่อยๆ ถอยหลังไปจนถึงศูนย์ ส่วนรักที่เพิ่มมาจากเลขศูนย์ของผู้หญิง สุดท้ายก็ต้องพบกับความทรมานเพียงเพราะรักจนหมดใจ ขณะที่อีกคนหัวใจกำลังหมดรัก

                   

                    “พี่ขอโทษ”

                   

                    “ถ้าคำสามคำนั่น มันทำให้ฉันหายเจ็บบ้างก็คงดีสินะคะ...” ซอฮยอนกล่าวตัดพ้อ แต่แล้วเหมือนมีมีดเล่มใหญ่กรีดแทงหัวใจซ้ำๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมาทางนี้ ดูท่าทางเขาเองก็คงจะตกใจไม่น้อย

                   

                    “ซองมิน...” คยูฮยอนเรียกชื่อคนมาใหม่ด้วยเสียงสั่นๆ ขณะที่เจ้าของชื่อซองมินกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน เขายิ้มให้ชายหนุ่มเล็กน้อย เหมือนกับจะบอกลาความรักครั้งสุดท้าย แค่นี้หัวใจมันก็ทำผิดมามากพอแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาทั้งสองคนจะรักกันตั้งแต่ทีแรก ทุกอย่างมันก็เพราะความพลั้งเผลอเท่านั้น ก็ปล่อยให้มันกลายเป็นธาตุอากาศ รอวันสลายไปเหมือนฝุ่นควันก็แล้วกัน เขาเป็นคนมาทีหลัง เขาก็ควรจะเป็นคนจากไปใช่มั้ย

                   

                    “เดี๋ยวซองมิน...” คยูฮยอนเอื้อมมือไปจับข้อมือของร่างสูง ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามันเริ่มสั่นเทา แผ่นหลังที่ตั้งตรงแข็งแกร่งเริ่มลู่ลงช้าๆ ซองมินไม่ยอมหันหน้ากลับมา เพียงเพราะเกรงกลัวว่าคยูฮยอนจะเห็นหยาดน้ำตาจากคนผิดบาปคนนี้ เขาทำผิดต่อซอฮยอนมามากพอแล้ว ยิ่งปล่อยให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้ต่อไป ความรักที่เคยหวานล้นเต็มหัวใจ มันก็จะแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด ท้ายสุดแล้ว... ความรักเหล่านั้น มันจะไม่มีประโยชน์อะไรอีกเลย

                   

                    “ปล่อยฉัน...” ซองมินกลั้นเสียงสั่นเครือของตนเอง ในขณะที่ซอฮยอนมองภาพผู้ชายที่เธอรัก พยายามเหนี่ยวรั้งชายหนุ่มอีกคนอย่างเจ็บปวด เธอจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย อยู่ไปแล้วได้อะไรล่ะ เฝ้ามองคนรักของเธอ พลอดรักกับผู้ชายคนอื่นอย่างนั้นหรือ....

                   

                    มือเรียวกำและบีบแน่น เธอเบือนหน้าหลบเหตุการณ์ทิ่มแทงใจ เท้าเริ่มก้าวไปตามท้องถนนเชื่องช้า ม่านน้ำตาฉาบดวงตาคู่สวยทำให้เธอมองไม่เห็นสิ่งใดเลย นอกเสียจากความเจ็บปวด ในทุกก้าวที่เริ่มเดิน โสตประสาทไม่รับรู้ ไม่ได้ยินเสียงใด นอกจากเสียงสุดท้ายในความทรงจำ...

                   

                เอี๊ยดดด!! โครมมมมมมมมมมม!!!!

     

               

     

     

     

     

                    คยูฮยอนมองไปรอบๆ ด้าน เขาเห็นเพียงแต่ความมืดมิด... มืด...และมืด... พื้นเบื้องล่างว่างเปล่าจนรู้สึกถึงความกลัวครอบคลุมทุกพื้นที่ตารางใจ สองแขนโอบกอดตนเองแน่น เพื่อป้องกันความหนาวเย็นรอบกาย เสมือนมีไอเย็นๆ ไหลเวียนไปทั่วร่าง ที่ถึงแม้จะกระชับเสื้อโค้ทตัวนอกมากเท่าไหร่ มันก็ไม่อาจช่วยสลายความทรมานที่ต้องพบเจอไปได้เลย

                   

                    ชายหนุ่มสอดส่ายสายตาไปทั่ว ไม่พบเจอใครนอกเสียจากความว่างเปล่า น่าแปลกในเมื่อทั้งที่มืดมิดขนาดนี้ เขายังพอมองเห็นตนเอง แสงเรืองๆ ทอประกายรอบร่างสูง ขณะที่เขาได้แต่ไอแห้งๆ มือที่ยกขึ้นปิดปาก สัมผัสได้ถึงของเหลวข้นคลั่กเต็มฝ่ามือ เขาพยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จึงไหลผ่านห้วงแห่งความทรงจำช้าๆ ในทุกฉากทุกตอน

                   

                    เสียงบีบแตรดังลั่น ชั่ววูบนั้นไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ หากคยูฮยอนกลับปล่อยมือออกจากซองมิน ก่อนจะวิ่งเข้าไปผลักซอฮยอนซึ่งสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพื่อให้รอดพ้นจากรถคันนั้นแทน ทว่าเขามาช้าเกินไป ร่างทั้งสองจึงถูกโลหะขนาดใหญ่ชนเต็มแรงด้วยกันทั้งคู่...

                   

                    ...นี่หมายความว่าเขาตายแล้วอย่างนั้นหรือ...

                   

                    “หึ...การตายที่น่าขัน” เสียงทุ้มนุ่มๆ ดังขึ้นในความมืด แล้วเขาก็ต้องรู้สึกถึงลมเย็นวูบที่พัดผ่านผิวกาย เมื่อร่างสูงของใครบางคนปรากฎขึ้นตรงหน้า

                   

                    ผมยาวดำขลับมัน ทอประกายหยอกล้อกับสถานที่อันแสนมืดมิด ใบหน้าสวยคมนั้น ยากจะนิยามคำใดได้ นอกเสียจากว่าเธอดูดีทุกมุม ไม่ว่าจะจัดให้สวยหรือหล่อเข้มก็ตาม สายตามองผ่านมายังจมูกโด่งคมได้รูป ทำให้ใบหน้านิ่งเฉยนั้นราวกับรูปสลักมีชีวิต ริมฝีปากบางเฉียบราวกลีบกุหลาบ มันตรงนิ่งเสมือนไม่รับรู้ความรู้สึกใด

                   

                    ดวงตาคมกริบไม่ต่างอะไรจากใบมีด ยามเธอมองผ่านมายังเขา ก็เหมือนมีอาวุธแหลมคมที่มองไม่เห็นกระชากหัวใจให้ขาดวิ่น ร่างสูงโปร่งมากกว่าผู้หญิงทั่วไปยืนอย่างผ่าเผย เสื้อโค้ทสีดำยาวกรอมเท้า ซ่อนเชิ้ตดำสนิทเข้ารูป ซึ่งเน้นสัดส่วนงามจับตาของเธอได้เป็นอย่างดี

                   

                    “หมายความว่ายังไงครับ” คยูฮยอนตั้งคำถามกับผู้หญิงแปลกหน้า ที่ดูน่าเกรงขามจนเหมือนจะกดเขาให้ตัวเล็กลงจนเหลือเพียงเศษธุลีดินได้อย่างไม่ยากเย็น

                   

                    ร่างสูงยังคงไม่ตอบคำถามจากชายหนุ่ม มือเรียวสะบัดวูบหนึ่งครั้ง แสงสว่างก็เรืองรองปรากฏภาพเหตุการณ์บนโลกมนุษย์ได้อย่างชัดเจน

                   

                    ภาพของซอฮยอนเต็มไปด้วยเลือดท่วมตัว แพทย์กำลังช่วยกันปั๊มหัวใจอย่างสุดความสามารถ ขณะที่ข้างกันนั้นมีร่างของเขานอนแน่นิ่งอยู่ ผ้าที่คลุมทั้งร่างนั่นหมายถึงว่าคยูฮยอนไร้ซึ่งชีวิตและหัวใจอีกต่อไป...

                                   

                    “เจ้าช่างเป็นมนุษย์โลกที่ทำให้ข้าแปลกใจชะมัด” ควอน ยูริ พูดด้วยเสียงดังก้องกังวาน เธอเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม นิ้วเรียวไล้ไปตามใบหน้าหล่อเหลาของเขา ริมฝีปากเหยียดยิ้ม... หากมันเป็นรอยยิ้มแห่งความสมเพช...

                   

                    “ผมทำผิดแปลกอะไรตรงไหน”

                   

                    “หึ... แปลกสิ” เธอเค้นเสียงเล็กน้อย มือออกแรงผลักให้เขานั่งคุกเข่าลง นิ้วเรียวจรดที่หน้าผากเกลี้ยงเกลาชื้นเหงื่อนั้น ทั้งที่บรรยากาศรอบด้านมันหนาวสะท้านจนจับขั้วกระดูก

                   

                    “เจ้าไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นแล้วไม่ใช่หรือ... ในเมื่อยังมีเงาของผู้ชายอีกคนหนึ่งอยู่ในหัวใจของเจ้า” ยูริกล่าวเสมือนรู้ความจริงทุกอย่าง ทำให้เขาได้แต่ก้มหน้านิ่ง มองหลังมือตนเองอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่อะไรหรอก เพียงแต่เกรงว่าถ้าเงยหน้าขึ้นเมื่อไหร่ หยาดน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้มันจะไหลรินลงมา

                   

                    “ผมยังรักเธออยู่...”

                   

                    “แต่เจ้าก็ยังรักเขาอย่างนั้นสินะ?”

                   

                    “เปล่าครับ” เขาส่ายหน้าช้าๆ “เรื่องของผมกับซองมินมันไม่สมควรเกิดขึ้นแต่แรกอยู่แล้ว...” ชายหนุ่มอธิบายด้วยเสียงสั่นเครือ เขากำหมัดแน่นจนฝ่ามือขาวซีด “ผมกับเขา... มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไร ผู้ชายกับผู้ชายรักกัน พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ให้อภัย” คำพูดนั้น ทำคนฟังถึงกับชะงัก ดวงตาที่เคยนิ่งสนิทเกิดร่องรอยวูบไหวภายใน แม้จะเพียงแค่ชั่วครู่เดียวก็ตาม ยูริพยายามสร้างเกราะคุ้มกันอันแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องหัวใจที่เริ่มอ่อนแอของตนเอง

                   

                ...อ่า... การที่ขายวิญญาณให้แก่เทพแห่งความตาย หากทำไมหัวใจของข้ายังคงแสดงความรู้สึกได้อยู่...

               

                    “ดวงวิญญาณของผู้หญิงที่เจ้ารักคนนั้นกำลังจะดับสูญ...”

                   

                    “ได้โปรด... ขอร้อง... ท่าน...เอ่อ...” เขากลืนคำพูดของตนเองลงในลำคอ เมื่อไม่รู้จะเรียกคนตรงหน้าเช่นไรดี

                   

                    “เรียกข้าว่า ท่านควอน ยูริ!

                   

                    “ค...ครับ” ชายหนุ่มละล่ำละลักรับคำ “ท่านควอน ยูริ... ได้โปรดไว้ชีวิตเธอด้วย เธอยังเด็กและไร้เดียงสาเกินกว่าจะตายเพราะเรื่องเช่นนี้”

                   

                    “เจ้าพยายามปกป้องผู้หญิงที่เจ้าทำร้ายนางให้เหมือนตายทั้งเป็นกระนั้นหรือ” ยูริมองด้วยความไม่เข้าใจ เธอรู้สึกแปลกประหลาดเหลือเกิน กับคำขอร้องของเขา

                   

                    “ได้โปรดครับ...” เขาก้มลง แทบคำนับคนตรงหน้า สองแขนกุมข้อเท้าเธอไว้แน่นอย่างวอนขอ น้ำตาลูกผู้ชายตกกระทบลงบนรองเท้าหนังวาวมันปลาบของร่างสูง “ผมทำร้ายเธอมามากแล้ว... ผมไม่อยากให้เธอต้องจบชีวิตลงเพราะคนเลวๆ อย่างผม”

                   

                    “หึ... ย่อมได้” เสียงนั้นไม่ต่างอะไรกับหยาดน้ำทิพย์ชโลมใจของคยูฮยอน “แต่แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ หนึ่งชีวิตที่คงอยู่ นั่นย่อมมีอีกหนึ่งชีวิตที่จากไปเสมอ เจ้าพอเข้าใจใช่หรือไม่...”

                   

                    “ครับ...”

                   

                    “ข้ามีหนึ่งทางเลือกให้เจ้า เพื่อยื้อชีวิตผู้หญิงที่กำลังจะหมดลมหายใจคนนั้น” ร่างสูงเบือนหน้าไปทางแสงสว่างที่กำลังปรากฏภาพของซอฮยอน ซึ่งเส้นชีพจรในเครื่องวัดเริ่มกำลังช้าลงเรื่อยๆ ราวกับเธอมีโอกาสจะหยุดหายใจได้ทุกเมื่อ ถ้าเพียงแต่ร่างสูงจะปรารถนา

                   

                    “ผมยินดีทำทุกอย่าง... เพื่อเธอ” คยูฮยอนยังคงรับปากเช่นเดิม จนยูริถึงกับเลิกคิ้วแปลกใจ

                   

                    “เพื่อคนที่เจ้าไม่ได้รัก... หึ น่าขัน” เธอพึมพำกับตนเอง “เอาล่ะ ถ้าเจ้าต้องการอย่างนั้น ทางเลือกเดียวของเจ้าก็คือ... สังเวยดวงวิญญาณของเจ้า ให้แก่เทพแห่งความตายซะ! เจ้ายินยอมหรือไม่ หากเจ้าต้องตกอยู่ในความมืดมิดเฉกเช่นข้า ผู้ทำสัญญากับองค์ซาตาน...” เธอกล่าวหวังให้เขาเปลี่ยนใจ ไม่มีใครยอมรับหรอกกับข้อเสนอเช่นนั้น ที่ต้องกลายเป็นผู้รับใช้ซาตาน ด้วยการขายวิญญาณเช่นนี้ อีกนัยหนึ่งสำหรับวิญญาณเร่ร่อนเช่นเขา กำลังจะถูกพิพากษาตัดสินว่าควรให้เขาขึ้นสวรรค์หรือตกนรก แต่เธอคิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรก เพราะชั่ววูบสุดท้ายของชีวิต เขาได้ใช้มันเพื่อปกป้องผู้หญิงคนหนึ่ง แม้มันกำลังจะเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ก็ตาม...

                   

                    “ผมตกลง” คยูฮยอนกล่าวหนักแน่น ไม่มีความลังเลเลยซักนิด... มันคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อเธอได้ ในเมื่อเขารู้สึกผิดต่อเธอมามากพอแล้ว จะปล่อยเธอให้ตายต่อหน้าต่อตาเขา คงเป็นอะไรที่เขาไม่อาจให้อภัยตนเองได้เลย สู้ยอมจมอยู่กับความมืดมิด นั่นคงเป็นบทลงโทษที่สมควรแล้ว สำหรับผู้ชายที่ฝืนกฎเกณฑ์แห่งพระเจ้าเช่นเขา ด้วยการมีใจเอนเอียงให้เพศเดียวกัน หากอย่างน้อยเขาก็ยังได้ปลดปล่อยหญิงสาวผู้บริสุทธิ์คนนั้น ให้ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปแทนในส่วนของเขา เพื่อให้เธอได้เจอคนที่ดีกว่าผู้ชายคนนี้ และมีความรักจริงใจให้กับเธอ...

                   

                    “เจ้าแน่ใจนะ”

                   

                    “ครับ”

                   

                    “หึ... งั้นก็ดี แต่ข้าได้บอกเจ้าแล้วนะว่า หนึ่งชีวิตที่คงอยู่ แลกกับอีกหนึ่งชีวิตที่ดับสูญ...” เธอไม่พูดอะไรอีก นอกจากเริ่มลากปลายนิ้วเป็นรูปดาวหกแฉกกลางหน้าผากของเขา ชายหนุ่มขบริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นความเจ็บปวด ดวงตาสีดำเข้มของเขา เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับโลหิต ชุดสีขาวสะอาดตาซึ่งเคยอยู่บนเรือนร่าง กำลังถูกเงาดำมืดทะมึนกลืนกินช้าๆ จนมันกลายเป็นชุดแบบเดียวกันกับเธอ

                   

                    “มนุษย์...เจ้าช่างโง่เขลานัก ข้าไม่เข้าใจความรักของพวกเจ้าเสียจริงๆ” เธอเปรยเสียงแผ่ว ทั้งที่คยูฮยอนรักคนอื่น หากทำไมถึงทุ่มเทเพื่อซอฮยอนได้มากมายขนาดนี้ แต่ก็เอาเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของยูริที่ต้องค้นหาคำตอบ ในเมื่อตอนนี้สิ่งที่เขาตัดสินใจ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว

                   

                    ร่างบางที่หายใจรวยรินเริ่มกลับมาหายใจได้อย่างปกติอีกครั้ง ท่ามกลางความดีใจของแพทย์ ยูริจึงโบกมือเบาๆ ภาพถูกเปลี่ยนจากห้องสีขาวสะอาดอันเต็มไปด้วยกลิ่นยา กลายเป็นท่ามกลางสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง

                   

                    ซองมินเดินไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย เสมือนไม่อาจควบคุมตนเองได้อีก กับภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่... ผู้ชายที่เขารักจากไปแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรล่ะ เพื่อหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่มีใครอยู่เพื่อเขา และไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร...

                   

                    หึ... เกลียดตัวเองชะมัด ทั้งที่ความรักต้องห้ามนี่มันควรจะจบลง หากทำไมหัวใจจึงเจ็บปวดรวดร้าวทรมานจนเกินรับไหว...

                   

                    สองเท้าเหยียบลงบนถนน ทั้งที่สัญญาณไฟจราจรเป็นสีเขียว ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ยอมรับรู้ถึงมัน เสียงบีบแตรรถดังก้องในโสตประสาท แต่เขากลับยิ้มออกมาบางๆ เมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกของรถยนต์คันหนึ่งที่พุ่งมาอย่างเร็ว อีกไม่นานแล้วสินะ... ที่เขาจะได้พบเจอคนที่เขารักอีกครั้ง... ต่อให้จะไร้ลมหายใจก็ตาม...

                   

                    ร่างสูงนอนทอดยาวกับพื้น โลหิตแดงไหลอาบท่วมกาย ผู้คนกรีดร้องกับอุบัติเหตุใหญ่ที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยในสถานที่ใกล้ๆ กัน ภาพนั้นช่างเป็นภาพที่กรีดหัวใจของคยูฮยอนจนไม่เหลือชิ้นดี เขาบีบมันแน่น เมื่อความทรมานกำลังแล่นผ่านไปทั่วร่าง ลมหายใจติดขัดเสมือนจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

                   

                    “ทำไม...” คยูฮยอนผู้สังเวยดวงวิญญาณให้แด่เทพแห่งความตายรำพัน ขณะสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาก็มีเพียงสายตาเย็นชาประหนึ่งไร้ความรู้สึกจากยูริเท่านั้น

                   

                    “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่มั้ย... หนึ่งชีวิตที่คงอยู่ ย่อมมีหนึ่งชีวิตที่ทดแทน”

                   

                    ...ชายหนุ่มเลือกปกป้องผู้หญิงที่เขาผูกพัน หากต้องเสียผู้ชายอีกคนที่เขารักจนหมดหัวใจแทน...

                   

                    ...มันไม่ต่างอะไรกับการให้เขาฆ่าคนที่เขารัก เพื่อคนสำคัญคนหนึ่งเลย...

                   

                    “นี่คือทางเลือกของเจ้าเอง........มนุษย์...”

                   

                “ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!

     

               

     

     

     

     

                    ท่ามกลางสวนดอกไม้อันสวยงาม อยู่เหนือน่านฟ้าที่ปกคลุมผืนโลกา เมฆาที่หยอกล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เสมือนคลื่นแห่งท้องทะเล ซึ่งเคลื่อนที่ตามแรงแห่งพระพาย

                   

                    กลิ่นหอมเย็นๆ จากมวลบุปผาลอยโชยสัมผัสปลายนาสิกให้ได้ไม่รู้หน่าย สีแดงเหลืองสลับเล่นสีเป็นทิวแถว เรียงอยู่ด้านรอบของวิหารใหญ่โตโอ่อ่ากลางสวนดอกไม้งาม หลังคาโค้งมนเป็นรูปโดม ขัดกับแสงอัสดงที่ส่องทอดผ่านลงมาได้เป็นอย่างดี จนทำให้พื้นหญ้าเขียวชอุ่ม ต่างพากันแย้มรับแสงสุดท้ายของวันอย่างเริงรื่น ช่างเป็นภาพน่าจับตาดูชม เมื่อสายลมพัดพากลีบดอกไม้สีหวานลอยพัดไหวผ่านผิวกายจนเคลิ้มฝัน

                   

                    บนเก้าอี้สลักจากหินอ่อนสูงเฉียดผนังวิหาร มีร่างของชายผู้น่าเกรงขามท่านหนึ่ง ใบหน้าของเขาค่อนข้างดูใจดี แม้ตอนนี้จะเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด หากดวงตาคู่นั้นยังคงยิ้มอยู่เสมอ ผู้ที่คนอื่นขนานนามว่า พระเจ้า ปรายตามองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างอย่างอ่อนโยน มือหนาชี้ให้ดูแสงสว่างขาวเรืองรองที่ฉายไปยังพื้นโลกซึ่งกำลังปรากฏภาพอันไม่น่าสมควรสำหรับผู้รับใช้ซาตาน กับมนุษย์ผู้โชคร้ายหลายต่อหลายคน

                   

                    ร่างบางปรายตามองภาพนั้นอย่างเจ็บปวด เธอก้มลงจนเส้นผมนุ่มละมุนสีบลอนด์ทองแกมน้ำตาลอัลมอนด์ลู่ลงมาตามใบหน้าสวยซึ้งที่จ้องมองได้อย่างไม่รู้เบื่อ ดวงตาคู่สีน้ำตาลเป็นประกายเฉียบคม ราวกับจะกระชากหัวใจของผู้พบเห็นมาครอบครองได้แม้เพียงเสี้ยวของกาลเวลา จมูกโด่งรั้นบ่งบอกนิสัยความไม่ยอมใครของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี นั่นยังไม่รวมถึงเรียวปากบางสีแดงสดน่าลิ้มลอง ที่แม้นานทีจะแย้มออกบางๆ ทว่ากลับสร้างความสว่างไสวให้โลกนี้ได้อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น

                   

                    ร่างระหงซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์ขาวสะอาดสไตล์กรีกโรมัน เสมือนเทพีในตำนานปรัมปรา ผิวขาวเนียนละเอียดไร้ที่ติ ช่างกลมกลืนไปกับผ้าลินินสีอ่อน จนดูเหมือนหญิงสาวผู้แสนบริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทว่าเหตุใดดวงตาคู่นั้นช่างเศร้าหมองนัก มันคลอเอ่อไปด้วยหยาดน้ำอุ่นๆ จนใกล้ไหลรินเต็มที แต่เธอกลับฝืนมันไว้อย่างอดกลั้น เฝ้ากล้ำกลืนความขมปร่าที่แล่นมาจุกอยู่ยังลำคอให้กลับคืนไปเหมือนเดิม เจ้าของใบหน้าสวยหันกลับมาสบตากับผู้เป็นใหญ่ที่สุด มีอำนาจเหนือมนุษย์เดินดินธรรมดา ที่พวกเขาคงไม่อาจต่อกรกับชายผู้นี้ได้

                   

                    “เห็นภาพนั้นแล้วใช่หรือไม่จอง เจสสิก้า” เสียงทุ้มทรงพลังดังขึ้น ส่งผลให้เจ้าของนามไพเราะนั้นพยักหน้าตอบรับ เธอเฝ้ามองเขาอย่างค้นหาคำตอบ ว่าจะให้เธอทนเฝ้ามองภาพอันแสนปวดใจทำไม

                   

                    ภาพที่ควอน ยูริ พยายามหาผู้มารับใช้ซาตาน สังเวยดวงวิญญาณของตนเองให้แก่เจ้านรกคนแล้วคนเล่า เสมือนเป็นตัวแทนของเจ้าตัว ทั้งที่บางครามันช่างโหดร้ายและบีบคั้นเหลือเกิน อย่างเหยื่อรายล่าสุด ที่ต้องขายวิญญาณเพื่อทำสัญญากับปีศาจ ในการรักษาชีวิตของผู้หญิงที่เขารู้สึกผิดด้วยจนอยากจะขอโทษ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องเสียชายหนุ่มคนรักไปอย่างไม่มีวันได้พบเจอกันอีก

                   

                    หัวใจของร่างสูงทำด้วยอะไร ถึงเที่ยวพรากความรักของบุคคลอื่นเช่นนี้...

                   

                    “ข้าอยากให้เจ้าช่วยจัดการเรื่องนี้ ก่อนที่มนุษย์ทุกคนจะพากันขายวิญญาณให้กับซาตาน เมื่อนั้นโลกคงปกคลุมด้วยสีดำมืด มีเพียงความเศร้าโศก แต่จิตใจของผู้รับใช้นรกนั้นช่างหยาบกระด้าง ข้าเกรงว่าหากปล่อยให้เรื่องบานปลายไปถึงขั้นนั้นย่อมไม่ดีแน่” องค์เทวาเปรยรำพันอย่างหนักใจ

                   

                    “เหตุใดจึงเป็นข้า” เสียงหวานใสถามกลับ เธอกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ หญิงสาวเบือนหน้าหลบชายผู้สูงใหญ่ เมื่อม่านน้ำตาเริ่มหนาขึ้นทุกที จนใกล้หลั่งรินลงมาเพื่อชะล้างความเสียใจได้ทุกเมื่อ

                   

                    “เพราะเจ้า... เจ้าเองก็รู้เหตุผลนั้นดีอยู่แล้วมิใช่รึ เจสสิก้า”

                   

                    ...นั่นสินะ... เธอรู้...

                   

                    “แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร” ร่างบางยกมือขึ้นมากุมหัวใจที่เริ่มใกล้แตกสลายเมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อวันวาน ถ้าเพียงแต่ไม่เพราะความโง่เง่าและละโมบของเธอ เรื่องทุกอย่างมันคงไม่เป็นเช่นนี้

                   

                    เงาดำมืดที่ทอดยาวภายในหัวใจของควอน ยูริ เธอเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทลายมันลงด้วยวิธีอันใด ในมื่อยามนี้เขาคงไม่รับฟังความจริงจากปากของเธอเสียแล้ว

                   

                    “มีเพียงเจ้าที่จะหยุดการกระทำพวกนั้นของเขาได้...”

                   

                    “ข้า...ต...ตกลง” สิ้นคำ ร่างบางก็เลือนหายไปจากสายตาของเขา เมื่อเธอต้องลงไปทำภารกิจสำคัญยังโลกมนุษย์ ความจริงไม่ใช่เพื่อปกป้องดวงวิญญาณที่ต้องสังเวยให้แก่ซาตานเช่นนั้นหรอก ทว่ามันเป็นเพราะเรื่องราวในอดีต ที่ฝังลึกในหัวใจของเธอทั้งสองอย่างไม่มีวันลบเลือน...

     

                   

     

     

     

     

                    ภายในงานแต่งงานสวยหรู ที่เหมาะจะเป็นงานแห่งความสุขของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเสียมากกว่า หากงานเลี้ยงมงคลนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นงานเลี้ยงสีเลือดได้อย่างไม่ยากเย็น เมื่อลีทึกเดินเข้ามาในงานเชื่องช้า หัวสมองเขาขาวโพลนไปหมดยามเห็นภาพของแทยอนกับซีวอน ยืนเคียงกัน ช่างดูเป็นภาพที่เหมาะสม ทว่ากรีดแทงใจเขาจนไม่เหลือซาก

                   

                    ร่างเล็กอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์สะอาดตา รอยยิ้มโปรยให้แขกเหรื่อในงาน นั่นยังไม่ทำร้ายเขาได้มากเท่ากับสายตาเป็นประกายแห่งความรัก ที่แทยอนใช้มองคนข้างกาย นั่นคือเจ้าบ่าวสุดหล่อ ในชุดสูทสีเดียวกัน ที่ขลับใบหน้าคมอันมากล้นด้วยเสน่ห์จนน่าจับตามอง

                   

                    ลีทึกยิ้มออกมาบางๆ เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงซึ่งมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ มือไล้ไปตามโลหะเย็นเฉียบ เสมือนทำความรู้จักให้คุ้นเคย เหงื่อซึมผ่านมาตามไรผมเล็กน้อย เมื่อเขาเพิ่งสัมผัสมันเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เนื่องจากเขามั่นใจในฝีมือของตนเองมากเกินพอ

                   

                    “แทยอน...ผมรักคุณนะ...” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง ดวงตาของเขาแดงเรื่อจากการสะกดกลั้นหยาดน้ำตา “...รักมากกว่าหมอนั่นที่ยืนข้างคุณด้วยซ้ำ” ลีทึกไม่เข้าใจเลยซักนิด เขาเป็นคนมาก่อน เป็นคนที่ทำให้แทยอนและซีวอนได้รู้จักกัน ถ้าเพียงแต่คราวนั้นเขาจะไม่แนะนำเธอให้รู้จักกับเพื่อนของเขา ชายหนุ่มจะต้องพบกับความเจ็บปวดเหมือนในตอนนี้มั้ย ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเสียแทยอนให้กับคนอื่น ในเมื่อเธอต้องเป็นของเขา...ของเขาคนเดียวเท่านั้น!!

                   

                    เข็มวินาทีดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เขายิ้มออกมาบางๆ อีกไม่นานก็จะได้ครอบครองทุกอย่างที่ต้องการ... มือหนากระชับปืนแน่น เขาค่อยๆ ดึงมันออกจากกระเป๋ากางเกง ผู้คนรายรอบไม่มีใครสังเกตเห็นถึงเขา เนื่องจากรอบด้านกำลังดับไฟมืดสนิท มีเพียงแสงสปอร์ตไลท์สาดทอไปยังหนุ่มสาวกลางเวทีเท่านั้น

                   

                    นิ้วเริ่มออกแรงเหนี่ยวไก ชั่ววินาทีนั้นเอง ลูกกระสุนก็พุ่งทะยานออกมาจากปากกระบอกปืนซึ่งมีที่เก็บเสียงอย่างดี มันเคลื่อนที่ผ่านอากาศอย่างซื่อตรง ก่อนใครจะคาดคิดอะไรนั้น แทยอนซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบโผเข้ากอดชายหนุ่มคนรักของเธอทันที ร่างเล็กกระตุกชั่วครู่ เมื่อรู้สึกชาวูบไปทั้งแผ่นหลัง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเกินกว่าใครจะตั้งตัวได้ทัน เธอยิ้มให้ซีวอนที่เข้ามาประคองเธอ สองขาอ่อนแรงเริ่มทรุดลงกับพื้นช้าๆ โลหิตสีแดงไหลอาบย้อมชุดแต่งงานสีขาว ขณะดวงตาคู่สวยที่เคยทอดมองเขาด้วยประกายแห่งความรักกำลังปรือใกล้ปิดเต็มที

                   

                    ซีวอนเขย่าร่างในอ้อมกอด เพื่อหวังให้คนรักตื่นขึ้นมา หากเปล่าประโยชน์ เมื่อลูกกระสุนนั้นเข้าจุดสำคัญโดยที่เธอเองไม่มีโอกาสแม้จะเอ่ยคำใดแก่เขาเลยด้วยซ้ำ หยาดน้ำตาของลูกผู้ชายตกกระทบใบหน้าสวยหวานหยดแล้วหยดเล่า ราวกับจะไม่มีทางหมดสิ้น

                   

                    ฝ่ายลีทึกผู้ยิงปืนได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ เขาล้มลงกับพื้นเหมือนคนบ้า เฝ้าพร่ำพรรณนาว่าไม่จริง ทั้งที่ชั่ววินาทีนั้นยามเขากดลั่นไกปืน ก็ได้เห็นเธอมองเขาอย่างอ่อนโยน พลางยิ้มให้เหมือนที่เคยได้รับมาโดยตลอด เธอไม่โกรธเขาซักนิดในสิ่งที่เขาทำ ไม่แม้แต่จะตะโกนเรียกยามให้เข้ามาจับเขา ทว่าเธอยินดีให้ลีทึกทำทุกอย่างตามที่ต้องการ ส่วนแทยอนเองก็เลือกที่จะปกป้องคนที่เธอรักในช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้าย...

                   

                    “ผมจะตามคุณไป” ชายหนุ่มพูดพลางยกปืนขึ้นจ่อขยับอย่างไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ความแค้นเริ่มครอบงำจิตใจ ถ้าไม่มีซีวอน แทยอนคงไม่เลือกใครคนนั้น ถ้าไม่มีซีวอน เขาก็คงไม่หึงบ้าหน้ามืดตามัว จนพลั้งมือฆ่าคนที่เขารักหมดใจด้วยมือสกปรกของเขาเอง

                   

                    “ข้าแต่องค์ซาตาน... ผมขอชดใช้ความผิดบาปนี้ ด้วยการสังเวยดวงวิญญาณเป็นผู้รับใช้ท่านชั่วนิจนิรันดร์” เขาประกาศดังก้อง ขณะที่ลั่นไกเพื่อปลิดลมหายใจของตนเองทันที

                   

                    ยูริซึ่งมองภาพนั้นอยู่ก่อนแล้วถึงกับยิ้มกริ่ม มนุษย์ช่างโง่เขลา ปล่อยให้ความรัก และความหลงเป็นอิทธิพลเหนือทุกสิ่ง ยินยอมทำทุกอย่างแม้จะชั่วร้ายเพียงใดก็ตาม ทว่าเอาเถอะ ในเมื่อเธอเองใช่ว่าจะตัดสินใจต่างจากพวกเขาเท่าไหร่นัก หญิงสาวเลยเลือกที่จะปฎิบัติหน้าที่ของตนเอง เธอเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ดวงวิญญาณของชายผู้ผิดบาปอย่างรวดเร็ว มือยืดออกกลางอากาศ ถึงจะไม่สัมผัสถูกแม้เศษเสี้ยวอณูของร่างโปร่งแสงนั้น ทว่าเขากลับเหมือนกำลังถูกบีบคออยู่ ลีทึกดิ้นพล่านอย่างทรมาน แม้เขาจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม

                   

                    “เจ้ารับรู้ใช่หรือไม่ว่ากำลังเอ่ยถ้อยคำใดออกมา...” ยูริเค้นเสียงถาม ดวงตาเพ่งจ้องมองเขา เสมือนมีไฟแห่งนรกโลกันตร์กำลังแผดเผาไปทั่วทั้งร่าง “ข้าจะถือว่าเจ้าได้ทำสัญญากับองค์ซาตานเรียบร้อยแล้วก็แล้วกัน!” ว่าพลางปลายนิ้วเลื่อนไปยังหน้าผากของลีทึก กำลังจะเริ่มวาดเครื่องหมายแห่งซาตานลงไปบนนั้นเสียแล้ว ถ้าเพียงแต่ไม่มีบ่วงบาศสีขาวเข้ามาพันธนาการมือข้างนั้นเอาไว้เสียก่อน

                   

                    “ปล่อยดวงวิญญาณของเขาไปซะ ให้เขาได้รับกรรมตามที่เขาก่อ” เสียงหวานใสดังขึ้น พร้อมๆ กับการปรากฏกายของร่างบาง เจ้าของบ่วงสีขาว ที่ทำให้ยูริรู้สึกแสบร้อนไปทั่วทั้งแขนจนเธอต้องผ่อนแรงที่บีบรัดคอของชายหนุ่มลง ส่งผลให้ร่างของเขาที่เท้าลอยสูงขึ้นจากพื้น ล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ก่อนที่เจสสิก้าจะร่ายนิ้วเบาๆ เพื่อส่งวิญญาณของเขาไปสู่ที่ๆ เขาสมควรได้รับผลกรรม มากกว่าการจะเป็นผู้รับใช้ซาตาน และคอยทำสัญญากับดวงวิญญาณผู้หลงผิดต่างๆ ดังเช่นยูริ

                   

                    “เจ้ามายุ่งอะไรกับข้า!” ร่างสูงตวาดเสียงดัง เนื่องจากผู้คนที่กำลังฉุกละหุกในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของงานแต่งงานนองเลือดนั้น ไม่อาจมองเห็นพวกเธอทั้งสองคนได้ ยูริออกแรงดึงบ่วงพันธนาการยังข้อมือข้างขวาเต็มแรง ส่งผลให้ร่างบางของเจสสิก้าเคลื่อนมาจนเกือบแนบชิดเธอ

                   

                    “ข้าคงไม่ยุ่งหรอก ถ้าสิ่งที่ท่านทำอยู่มันจะไม่สร้างความลำบากให้คนอื่น” หญิงสาวในชุดอาภรณ์พลิ้วไหวกล่าวเสียงเรียบ เธอยังคงควบคุมสติและอารมณ์ได้ดีเสมอ มือเรียวขาวสะอาดดันคนตรงหน้าออกเพียงเล็กน้อย เจสสิก้ากระดิกนิ้วเพียงทีเดียว บรรยากาศรอบด้านก็ถูกเปลี่ยนเป็นกลางสวนสาธารณะกว้างที่ไร้ซึ่งผู้คนแทน

                   

                    “ผู้คนเหล่านั้นยินยอมเอ่ยขายวิญญาณให้แก่องค์ซาตานเอง” ยูริตอบกลับอย่างไม่แยแส เธอพยายามไม่ให้ความสนใจกับรอยแสบยังบริเวณข้อมือขวาที่ถูกบ่วงแห่งสรวงสวรรค์พันธนาการอยู่นัก ในเมื่อเธอย่อมมีแรงมากกว่าสาวอ้อนแอ้นเช่นเจสสิก้าเป็นแน่ ผลสุดท้ายคนถูกบ่วงรัดข้อมือ กลับกลายเป็นคนกึ่งลากกึ่งจูงเจสสิก้าไปนั่งเก้าอี้ยาวภายในสวนนั้นแทน จนทูตสวรรค์แสนสวยอดโกรธเคืองขึ้นมาบ้างไม่ได้

                   

                    “นั่นเป็นเพราะท่านกดดันพวกเขาต่างหาก”

                   

                    “จะเรียกว่ากดดันได้เช่นไรในเมื่อนั่นคือทางเลือกของเขาเองทั้งนั้น”

                   

                    “ถ้าเพียงแต่ท่านจะไม่บงการอารมณ์ดิบตามสัญชาตญาณของพวกเขาเหล่านั้นล่ะก็นะ...” เจสสิก้าเอ่ยอย่างรู้ทัน ด้วยหวังจะต้อนคนข้างกายให้จนมุมบ้าง ทว่าไม่เลยซักนิด ในเมื่อยูริยังคงนั่งพิงพนักอย่างสบายอารมณ์ ขาเรียวยกขึ้นไขว่ห้าง ไม่สนใจใยดีเธอเลยซักนิด แม้ว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น ร่างบางจะทำให้การทำสัญญาซื้อขายวิญญาณระหว่างลีทึกกับซาตานของเธอล้มเหลว

                   

                    ช่างเถอะ คนทั่วโลกที่มีจิตใจหล่อหลอมไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง และความแค้นยังมีอยู่ทั่วพื้นที่ มันไม่ยากเลยซักนิดถ้าเธอจะหาคนอื่นมาทำหน้าที่รับใช้ซาตานเจ้านรกแทน...

                   

                    “ข้าก็แค่กระตุ้นอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากอันใสซื่อของพวกเขา แล้วเจ้ากำลังว่าข้ากดดันตรงไหน...”

                   

                    “ข้าเบื่อที่จะเถียงกับคนเช่นท่านเต็มทน” เจสสิก้าถอนหายใจอย่างยอมแพ้... ยูริก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วนี่หน่า สิ่งใดที่เจ้าตัวคิดว่าถูกต้อง ก็จะทำจนสุดความสามารถ ต่อให้มีผู้คนคัดค้านเพียงใดก็ตาม ช่างเป็นความเข้มแข็งที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล ต่างจากเธอผู้มีหัวใจอ่อนแอราวกระดาษชุ่มน้ำ แตะต้องเพียงเล็กน้อย มันกลับแหลกสลายได้จนแทบไม่เหลือเศษธุลี

                   

                    ถ้าเพียงแต่เธอเข้มแข็งได้ครึ่งหนึ่งของยูริ... เรื่องทั้งหมดคงไม่ลงเอยแบบนี้ใช่มั้ย...

                   

                    “เจ้าหมดธุระกับข้าแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ปล่อยข้าเสียที ข้าเองก็มีงานที่ต้องทำ” ยูริพูดพลางชี้ปลายนิ้วที่เคลือบเล็บสะอาดไว้ด้วยสีดำทะมึนไปยังบ่วงสีขาวยังข้อมือ เจสสิก้าเชิดหน้าใส่เล็กน้อย ก่อนจะยอมปล่อยให้ร่างสูงเป็นอิสระแต่โดยดี ทว่ามือเรียวกลับกอบกุมมือของคนข้างกายเอาไว้แทน

                   

                    “อยู่กับข้าอีกซักพักได้หรือไม่” น้ำเสียงกึ่งวอนขอ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหัวใจอันมืดมิดและหยาบกระด้างของยูริแต่อย่างใด หากที่เธอกลับยอมอยู่นิ่งๆ ตามคำขอร้องนั่น อาจเป็นเพราะสงสัยในอีกฝ่ายก็เป็นได้กระมัง

                   

                    “มีประโยชน์อันใด ที่ทูตสวรรค์อย่างเจ้าต้องมาเสวนากับผู้ทำสัญญากับองค์ซาตานเช่นข้า?” ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ส่งผลให้เจสสิก้าต้องบีบมือแน่นขึ้น ฝ่ามือเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ทำให้เธอต้องเอนศีรษะไปพิงไหล่มนแข็งแกร่งของคนข้างๆ เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยวูบไหวในแววตา หัวใจดวงนี้มันยังคงจำได้ดี ว่ามือของยูริ เคยอบอุ่น อ่อนโยนกับเธอเพียงใด แต่ในวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไป จนเธอต้องทำใจยอมรับมันให้ไหว...

                   

                    “ท่านจำเรื่องในอดีตได้บ้างหรือไม่”

                   

                    “ข้าชักสงสัยเต็มทน...” ยูริเริ่มขึ้นเสียงกึ่งรำคาญ “เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์อะไร ที่มานั่งซักไซ้ข้าเช่นนี้ นั่นยังไม่นับที่เจ้าเข้ามาขัดขวางการทำสัญญาของข้ากับดวงวิญญาณต่ำช้าผู้นั้นด้วยนะ!

                   

                    “ขออภัยหากทำให้ท่านขุ่นเคือง” เจสสิก้าพูดเสียงเบา สลัดมาดนางสวรรค์สุดมั่นเมื่อครู่ไปจนหมด แผ่นหลังสั่นสะท้านเล็กน้อย กับการกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกจากลำคอ เธอเลื่อนกายเข้าไปใกล้ร่างสูงมากยิ่งขึ้น นิ้วเรียวค่อยๆ ไร้ไปตามเรียวปากที่นิ่งสนิท... เท่านั้นหยาดน้ำตาก็พากันพรูพรั่งไม่ขาดสาย เมื่อภาพของยูริที่เคยยิ้มให้เธอนั้นมันยังคงตราตรึง ฝังลึกอยู่ในหัวใจอย่างไม่เสื่อมคลาย ทว่าเวลาเช่นนี้ เธอจะมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มอันสวยงามที่สุดในห้วงความคิดอีกซักคราหรือไม่...

                   

                    “ท่านพอมีเวลาคุยกับข้าหรือไม่... ขอร้อง” เหมือนจะเป็นประโยคคำถาม ที่หลอมหัวใจคนฟังได้อย่างไม่ยากเย็น ยูริถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือเรียวยกขึ้นสัมผัสยังหน้าอกด้านซ้าย เมื่อก้อนเนื้อที่อยู่ภายในนั้นมันเต้นสั่นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่คิดว่าการขายวิญญาณให้แก่ซาตาน มันจะทำให้เธอไร้ซึ่งความรู้สึกแล้วนะ ทว่าเปล่าประโยชน์เหลือเกิน แล้วทำไมคนเย็นชา เห็นผู้คนตายได้ต่อหน้าต่อตาโดยไม่มีแม้อาการหวั่นไหว จึงสะท้านได้ถึงเพียงนี้ แค่ได้เห็นหยาดน้ำตา และเสียงอ้อนวอนของเจสสิก้า

                   

                    น่าแปลกจริงหนอ... เพิ่งเคยเจอกันแท้ๆ แต่มันช่างผูกพันแน่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก...

                   

                    “เจ้านี่เป็นทูตสวรรค์ที่แปลกดีเนอะ ปรารถนาจะคุยกับผู้รับใช้ซาตานเช่นข้า...”

                   

                    “สำคัญด้วยหรือ แม้ภายนอกพวกเราจะต่างกันเช่นไร หากอย่างน้อยเราก็มีหัวใจดวงเดียวกัน...” เจสสิก้ากล่าวขณะที่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าใส เพื่อกลั้นหยาดน้ำที่กลั่นมาจากความเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่ใช่ความผิดของยูริ หากร่างสูงจะลืมเลือนเธอออกจากห้วงความทรงจำ ในเมื่อมันเป็นกฎของผู้ขายวิญญาณให้กับซาตานอย่างเขา ทว่าเธอก็ยังเจ็บทรมานในหัวใจอยู่ดี แต่คงไม่อาจโทษใครได้ นอกเสียจากตัวเธอเอง...

                   

                    “ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดเลยซักนิด”

                   

                    “ข้ามีเรื่องบางอย่างจะเล่าให้ท่านฟัง หากท่านสัญญากับข้าว่าจะไม่คอยควบคุมอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์คนอื่นอีก เพียงเพื่อให้เขาทำสัญญากับท่าน” ข้อเสนอนั้นทำเอายูริตาลุกวาวอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย หญิงสาวมีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับเธอ ในเมื่อพวกเธอทั้งสองก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็เอาเถอะ อยากรู้เหมือนกันว่าเจสสิก้าจะมาไม้ไหนกันแน่

                   

                    “เรื่องนั้น ข้าจะพิจารณาหลังจากที่เจ้าพูดมันออกมาแล้วต่างหาก”

                   

                    “ถ้าเช่นนั้นก็เอาเถิด” ร่างบางหันมายิ้มให้ทั้งน้ำตา เมื่อไหร่กันที่หัวใจเย็นชาของเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่างที่เธอเคยรู้จัก เป็นควอน ยูริ คนเดิมที่เธอรักตลอดเวลาที่หายใจ... “ยูล... ท่านเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักต้องห้ามของดวงจันทร์และพระอาทิตย์บ้างหรือไม่”

                   

                    ยูริขมวดคิ้วย่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียกที่เจสสิก้าเรียกตน ในเมื่อตั้งแต่จมอยู่กับความมืดมานับสิบปี ไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากความชั่วร้ายภายใต้จิตใจเบื้องลึกของมนุษย์ ไม่เคยมีใครเรียกเธออย่างนี้แม้แต่คนเดียว หากน่าแปลกเหลือเกินที่ว่าเธอกลับผูกพันกับมันเสียมากมาย เสมือนเป็นชื่อที่ตนเองเคยหลงลืม...

                   

                    “ไม่... ข้าไม่เคยได้ยินสิ่งใด นอกเสียจากเรื่องของสวรรค์ที่เจ้าอยู่ และนรกที่ข้าอาศัย”

                   

                    “กาลครั้งหนึ่ง...นานมาแล้ว...” ร่างบางค่อยๆ หลับตาลง เสมือนกำลังเล่านิทานให้เด็กคนหนึ่งฟัง ถึงแม้มันอาจไม่มีผลกระทบต่อหัวใจที่ราวกับฉาบด้วยกำแพงน้ำแข็งหนาของยูริเลยก็ตามที

                   

                    “มีเด็กผู้หญิงสองคน พวกเธอเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก เล่นด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน ความผูกพันจึงยิ่งมากขึ้นตามวันและเวลา ไม่มีวันใดเลยที่พวกเธอจะไม่ได้พบเจอหน้ากัน เพราะต่างผูกพันไว้ด้วยคำสัญญาที่ว่าต่อให้แยกจากกันไกลแค่ไหน พวกเธอทั้งสองจะกลับมาเจอกันอีก...”

                   

                    “จนกระทั่งเด็กผู้หญิงสองคนนั้นเริ่มโตขึ้น ทั้งสองได้เรียนรู้ที่จะสัมผัสกับคำว่า ความรักคำสั้นๆ ที่มากล้นด้วยความหมาย พวกเธอ...เริ่มรักกันมากเกินกว่าเพื่อน ภายใต้บทบัญญัติแห่งพระเจ้า ที่ไม่อาจยอมรับในความรักของคนร่วมเพศเดียวกันได้ สุดท้ายความเป็นจริงนี้ ทำให้สังคมไม่ยอมรับ เด็กผู้หญิงหนึ่งในนั้น ถูกกดดันจากสภาวะรอบด้าน ส่งผลให้เธอเป็นคนตัดสินใจจบความสัมพันธ์อันไม่ถูกต้อง หากเธอไม่รู้เลยว่าเด็กอีกคนจะรักเธอมากเกินกว่าจะปล่อยเธอเดินจากไปได้ ผลสุดท้าย เธอก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าเขาฆ่าตัวตาย... และไปเกิดใหม่เป็นดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ซึ่งไร้แสงสว่างในตัวเอง เฝ้าฝังตนอยู่ภายใต้ความเหน็บหนาวทรมาน ส่วนเด็กผู้หญิงคนที่เหลือได้ปลิดชีพตามเขาไป เธอเกิดเป็นดวงอาทิตย์ เฝ้าส่องแสงสว่างให้แก่ทุกคน ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดว่าแสงนั้นจะส่งไปถึงหัวใจที่มืดสนิทของเขาได้ ต่อให้เธอรู้ดีว่าทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ไม่อาจโคจรมาพบกันได้ก็ตามที.... หากเธอก็ยินยอมจะรอ ด้วยซักวันหนึ่ง อาจถึงวันที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลาขอบฟ้า และพระจันทร์เองก็เพิ่งฉายแสงอ่อนๆ ให้แก่ชาวโลก...”

                   

                    เรื่องราวอันน่าปวดหัว ไร้วนเวียนภายในห้วงความคิดของยูริจนปนเปกันไปหมด ร่างในชุดดำไม่อาจแยกแยะออกได้ระหว่างความจริงหรือความฝัน เธอยกมือกุมขมับแน่น ใครว่าเธอเคยเย็นชามันช่างเป็นความคิดที่ผิดไปเสียหมด เมื่อตอนนี้ น้ำตาของคนไร้หัวใจ กำลังไหลรินอาบแก้มใสช้าๆ มันเย็นชืดจนเธอสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของมัน

                   

                    “เจ้ากำลังเล่าเรื่องอะไรให้ข้าฟัง... ข้าไม่เข้าใจมันเลยซักนิด” ยูริส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับ ทว่ามือเรียวอันอบอุ่นกลับประคองแก้มของเธอเอาไว้ สองดวงตาสอดประสานกัน เธอจึงเห็นร่องรอยตัดพ้อภายในดวงตาดั่งเม็ดอัลมอนด์ของเจสสิก้าที่คลอด้วยหยาดน้ำราวกระจกใสไม่ต่างกัน

                   

                    “ข้าอยากให้ท่านเข้าใจ...ด้วยจุมพิตนี้ของข้า” ว่าพลางเริ่มจรดเรียวปากลงบนตำแหน่งเดียวกันกับร่างสูง รอยจูบที่ห่างหายไปนานกลับคืนมาในห้วงความทรงจำอีกครั้ง ปลายลิ้นเริ่มทำความรู้จัก แต่งแต้มเพิ่มความหอมหวาน ละมุนละไมสื่อผ่านถึงกันครั้งแล้วครั้งเล่า

                   

                    ...กาลเวลานับสิบปี มิอาจลบล้างรอยจุมพิตแสนหวานนี้ไปได้เลย...

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                   

                    ยูล...ทำอะไรอยู่หรอเด็กสาวผมบลอนด์ทองตัวเล็กถามเสียงหวาน ขณะคุกเข่านั่งลงบนผืนทรายเคียงข้างเด็กผู้หญิงร่างสูง ที่ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น และหมวกแก๊ปใบใหญ่ จนดูละม้ายคล้ายเด็กผู้ชายมากกว่า คนถูกเรียกว่ายูลเงยหน้าขึ้นจากกองทราย มือที่เลอะทรายละเอียดดังทองยกขึ้นปัดกับกางเกง ก่อนจะชี้ให้เจสสิก้าดูสิ่งที่ตนเองวาดด้วยกิ่งไม้เอาไว้

                   

                ดูสิ...ยูลเขียนตั้งนาน

               

                มันคืออะไรหรอเด็กน้อยกล่าวอย่างใสซื่อ บทนั้นมีลายมือที่ยากจะอ่านได้ของเด็กยังไม่ถึงห้าขวบดี เขียนยึกๆ ยือๆ แทบไม่เป็นข้อความ หากไม่แปลกอะไรหรอก ในเมื่อต่อให้คนทั้งโลกอ่านไม่ออก พวกเธอก็ขอแปลมันด้วยหัวใจก็เพียงพอแล้ว

                   

                นี่คือชื่อ Yul’ ยูริชื่อไปยังตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัวแรก ก่อนจะชี้ไปที่ตัวอักษรสี่ตัวสุดท้าย แล้วนี่ก็ชื่อ Sica ไง

               

                อ้าว... แล้วสี่ตัวที่อยู่ตรงกลางล่ะ?หนูน้อยเอ่ยปากถาม พลางชี้ไปยังตัวอักษรภาษาอังกฤษสี่ตัว

                   

                มันคือ Love ที่แปลว่ารักยูริกล่าวหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อข้อความทั้งหมดมันรวมเป็น ‘Yul love Sica’ พอดี

               

                รักหรอ... สิก้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดีอ่ะ ว่ารักคืออะไร

               

                มันคือความรู้สึกทั้งหมดที่ยูลมีให้สิก้า... ซักวันสิก้าก็จะเข้าใจเองยูริยิ้มให้ สำหรับเธอคงยังเด็กและเดียงสาเกินกว่าจะรู้ว่ารักคืออะไร หากเธอกลับคิดว่าความรู้สึกที่ตนมีให้เพื่อนวัยเด็กคนนี้ นั่นแหละมากพอจะเรียกว่ารักได้แล้ว

                   

                    เด็กน้อยยื่นมือไปตรงหน้าเจสสิก้า ขณะที่ร่างเล็กยิ้มตอบบางๆ ก่อนจะวางมือลงบนนั้นอย่างมั่นคง เสมือนว่ามือคู่นี้ จะปกป้องเธอได้...ตลอดไป...

     

                   

     

     

     

     

                ยูล... เจสสิก้าในวัยยี่สิบปีเรียกยูริอย่างขัดใจ เธอไม่ชอบเลยซักนิดเวลาคนตรงหน้าให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากกว่าเธอ อย่างเช่นตอนนี้ที่ยูริกำลังเอาแต่อ่านหนังสือเล่มหนา จนเหมือนลืมเลือนโลกภายนอกไปเสียสนิท

                   

                หืม...ร่างสูงหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม มือวางหนังสือลงทันที ด้วยเกรงว่าอีกคนจะโกรธตน เธอประคองคนขี้อ้อนเอาแต่ใจขึ้นมานั่งบนตัก คางมนเกยไหล่บอบบางขณะที่กอดรัดเจสสิก้าเอาไว้แน่น ราวกับจะไม่ปล่อยให้คนสำคัญคนนี้ต้องเป็นอะไรไปเด็ดขาด

               

                ยูลจำข้อความที่เคยเขียนให้สิก้าได้มั้ย

               

                จำได้สิ... ตัวอักษรสี่ตัวบนทรายนั่นน่ะนะ

                   

                อื้อ...เธอครางรับในลำคอ ขณะที่เอนกายพิงร่างสูงใหญ่เบื้องหลัง ดวงตาทอประกายช้อนมองใบหน้าคมอย่างมีความนัย ตอนนี้สิก้ารู้แล้วนะว่าความรักคืออะไร...

               

                หรอ?ยูริดูจะแปลกใจเล็กน้อย แล้วสิก้าว่าความรักคืออะไรล่ะ

               

                ความรักของสิก้าก็คือยูลไง... ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้นนะ ยูลคือทุกอย่างของสิก้าเลยพูดออดอ้อน ก่อนจะหันกลับมาเพื่อมองยูริให้ชัดขึ้น นิ้วซนไล้ไปตามใบหน้าคมคายค่อนไปทางหล่อเหลา จนอีกคนครางฮื้ออย่างขัดใจ เมื่อมันเริ่มสร้างความปั่นป่วนให้กายร้อนวูบวาบ ทว่าดูท่าทางเจสสิก้าจะรู้ดีในข้อนั้น แต่เจ้าหล่อนก็ไม่แยแสอะไรเลยซักนิด กลับโน้มหน้าลงมาใกล้มากยิ่งขึ้น จนรู้สึกได้ถึงกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ชวนเคลิ้มฝัน

                   

                สิก้าก็คือทุกอย่างของยูลเหมือนกันค่ะ...คำสุดท้ายที่เอื้อนเอ่ย ก่อนจะปล่อยให้ความรักเริ่มนำพาหัวใจสองดวง และเรือนกายที่เริ่มทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้งโดยไม่รู้จักเบื่อหน่าย เมื่อความรักมันพรั่งพรูเกินกว่าจะทนเก็บไว้ภายในหัวใจของพวกเธอได้อีกต่อไป...

     

                   

     

     

     

     

                จอง เจสสิก้า ที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้ รู้ใช่มั้ยว่าเรื่องอะไรเสียงทุ้มดังมาจากปากของพ่อบังเกิดเกล้าของคนรัก ทำให้เจสสิก้าที่นั่งภายในห้องอันกว้างขวางเริ่มอึดอัด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะรู้เรื่องระหว่างเธอและยูริได้

                   

                พอทราบค่ะ เธอก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี เมื่อไม่มีเหตุผลจะต้องปกปิดอีก ยามรูปภาพของเธอที่ถ่ายคู่กับยูริแผ่หราเต็มโต๊ะเสียอย่างนั้น

                   

                เอาง่ายๆ เลยแล้วกัน เขาว่าพลางกุมมือกันแน่น ดวงตาที่มีแววน่าเกรงขามจ้องมองเธอแทบไม่กระพริบ อีกไม่ถึงปียูลก็จะเรียนจบ มีงานทำในบริษัทดีๆ รับช่วงต่อเป็นประธานบริษัทหลายพันล้านจากฉัน เธอคิดว่าเธอเป็นใคร จอง เจสสิก้า ก็แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เธอจะดึงยูริให้ลงไปตกต่ำกับเธอทำไม

                   

                    ยิ่งเขาพูดก็เหมือนมีหนามแหลมทิ่มแทงไปทั่วร่างของเธอ... นั่นสิ ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก หากเธอไม่มีอะไรเทียบเท่ายูริได้เลยแม้แต่น้อย พ่อแม่เธอเสียไปนานแล้ว เธอจึงอาศัยอยู่กับญาติห่างๆ กับน้องสาวคนหนึ่ง ที่ป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เด็ก ส่งผลให้รายได้ของครอบครัว ต้องคอยทุ่มไปกับการรักษาโรคร้ายของคริสตัล ที่สามวันดีสี่วันไข้ เธอจึงเรียกได้ว่ามีฐานะค่อนข้างยากจนเล็กน้อย จนแทบไม่มีใครเชื่อว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของยูริ รวมถึงเป็นคนรักของเขาด้วย หลายคนเคยมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม เหมือนเธอกำลังจะหาทางปอกลอกร่างสูง...

                   

                แต่สิก้ารักยูลด้วยหัวใจจริงๆ นะคะ

               

                ถ้าเธอรักยูล... เธอก็คงไม่อยากทำให้ยูริต้องเสียอนาคตใช่มั้ยยิ่งฟังคำพูดกดดันมากเท่าไหร่ ยิ่งอึดอัดในใจมากขึ้นเท่านั้น เจสสิก้าอยากเถียงแต่ก็ไม่มีคำใดเล็ดลอดออกจากลำคอไปได้ เธอผิดตรงไหนถ้าจะรักเพศเดียวกัน ในเมื่อพระเจ้าเป็นผู้บอกเองไม่ใช่หรือ ให้มอบความรักแก่คนทั้งโลก รักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง ความรักคือความบริสุทธิ์ แล้วเหตุใด ถ้าการที่เธอจะรักเพศเดียวกัน มันจึงเป็นเรื่องผิดมหันต์เหลือเกิน...

                   

                สิก้ารู้ดี... ถ้าเรื่องฐานะ สิก้าคงไม่มีอะไรเทียบเท่าลูกสาวท่านเลยซักอย่าง... แต่ถ้าเรื่องความรัก สิก้ามั่นใจความรักที่สิก้ามีให้ยูล ว่าไม่น้อยกว่าใครแน่นอนค่ะ

               

                น้องสาวเธอตอนนี้กำลังอาการโคม่านอนอยู่โรงบาลใช่มั้ยเท่านั้นเจสสิก้าก็ถึงกับตาโตด้วยความตกใจ เธอจึงทำเพียงแค่พยักหน้าตอบชายผู้เป็นพ่อของคนรักเบาๆ

               

                เธอต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะออกไปจากชีวิตลูกสาวฉัน!’

               

                เงินซื้อหัวใจของสิก้าไม่ได้นะคะ      

               

                แต่เงินน่ะ... ซื้อชีวิตน้องสาวเธอได้ เลือกเอาแล้วกัน ระหว่างความรักที่สังคมไม่ยอมรับ กับน้องสาวแท้ๆ ร่วมสายเลือดของตัวเอง เธอควรจะเลือกอะไร!!’

               

                    คำถามเหมือนให้คิด แต่ความจริงแล้วมันเป็นการบีบบังคับให้เธอต้องเลือกโดยสิ้นเชิง เจสสิก้ารู้สึกเหมือนตนเองหัวใจกำลังจะหยุดเต้นช้าๆ... ถึงปากจะบอกว่าเงินซื้อหัวใจเธอ ซื้อความรักที่เธอมีให้ควอน ยูริไม่ได้ ทว่าผู้ชายคนนี้พูดถูก เงินเท่านั้นที่จะช่วยน้องสาวของเธอให้หายขาดได้ มากกว่าจะเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่อย่างนี้...

                   

                    ถึงเธอดูเป็นคนรักที่ชั่วร้าย และเห็นแก่ตัว หากขอได้มั้ย...อย่างน้อยเธอก็ขอทำตัวเป็นพี่สาวที่ดีบ้าง...

               

                อ่อ...แล้วอีกอย่าง อย่าริบอกเรื่องนี้ให้ยูลรู้ เพราะไม่งั้นยูลมันก็จะกลับไปหาเธออยู่วันยันค่ำ ทำยังไงก็ได้ให้มันเลิกยุ่งกับคนอย่างเธอซะที

                   

                    ...คนรักกับครอบครัว สิ่งหนึ่งนั้นหัวใจไม่อาจขาดได้ ส่วนอีกหนึ่งเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยสายเลือดและศีลธรรม...

                   

                    ...ทั้งที่มีทางเดินอันสมควรอยู่แล้ว แต่เธอช่างลำบากใจที่จะเลือกมันเหลือเกิน...

     

                   

     

     

     

     

                เจสสิก้า นี่มันหมายความว่ายังไง!’ ยูริแทบไม่เชื่อในภาพเบื้องหน้าเลย เฝ้าภาวนาว่าเธอตาฝาดไปเท่านั้น ที่เห็นคนรักของเธอ กำลังจูบกับผู้หญิงคนอื่นอย่างดูดดื่ม ท่ามกลางสายตาของใครหลายคน และทั้งที่รู้ว่าเธอกำลังเฝ้ารอคอย เพื่อนัดไปฉลองครบรอบสองปีที่คบกันแบบ...คนรัก

                   

                คนจูบกัน คุณคิดว่ามีเหตุผลอะไรอื่นอีกหรอเจสสิก้าถามย้อนกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่ใช่เธอไร้ความรู้สึกหรอกนะ เพียงแต่หัวใจมันแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปแล้วต่างหาก ในเมื่อเธอเลือกทางนี้แล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด หญิงสาวเอื้อมมือไปโอบรอบคอของยุนอารุ่นน้องคนสนิทอย่างแนบชิด พยายามหลบสายตาของยูริที่จ้องมองมา เพราะไม่อยากให้ตนเองต้องใจอ่อนไปมากกว่านี้

                   

                ไม่จริง... สิก้า...มองตายูล แล้วบอกว่ามันไม่จริง!’

               

                เลิกโง่ได้แล้วควอน ยูริ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ต้น กลับไปเป็นเพื่อนเหมือนเดิมคงจะดีกว่า

               

                ทำไมสิก้าพูดง่ายๆ แบบนี้ สิก้าก็รู้ว่าเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ยูลรักสิก้า ยูลอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีสิก้ายูริเฝ้าอ้อนวอน หยาดน้ำตาเริ่มพากันไหลรินมาไม่ขาดสาย คนที่เคยเข้มแข็งมาโดยตลอด กลับกลายเป็นคนอ่อนแอคนหนึ่ง ที่พยายามจะเหนี่ยวรั้งความรักของตนไว้ให้ได้นานที่สุด

                   

                แต่ฉันต้องการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีคุณ... ถ้าหมดธุระแล้วก็ไปซะ!’ ...ไหนๆ จะเลวก็เลวให้ถึงที่สุดสิเจสสิก้า น้ำอุ่นๆ ที่คลอเอ่อพวกนี้ กล้ำกลืนมันกลับไปซะ ถ้าจะทำให้ยูริเชื่อ เธอก็อย่าร้องไห้... อย่าหวั่นไหว อีกแค่นิดเดียว... แค่นิดเดียวเรื่องทุกอย่างก็จะจบลง ....พร้อมๆ กับหัวใจที่แหลกละเอียด...

                   

                ถ้าจะบอกเลิกยูล ก็มองตายูลสิ หลบตาทำไมล่ะ... มองยูล แล้วพูดออกมาว่าไม่ต้องการยูลจริงๆ

                   

                    โธ่... ที่รัก จะให้ฉันมองเธอได้ยังไงกัน ในเมื่อดวงตาคู่นี้ไม่เคยปกปิดความรักที่ฉันมีต่อเธอได้เลย จะให้ฉันมองเธอได้ยังไง ในเมื่อมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวไม่ต่างอะไรจากเธอ อย่าคาดคั้นฉันให้ต้องกลั่นกรองคำพูดพวกนั้นออกมาทำลายเธอมากไปกว่านี้เลย... แค่นี้เราทั้งสองก็เจ็บมามากพอแล้วนะ ควอน ยูริ...

                   

                    เจสสิก้าปล่อยแขนลงแนบข้างลำตัว มือของยุนอาเอื้อมมากุมไว้แน่นอย่างเข้าใจ หากนั่นกลับยิ่งสร้างบาดแผลอันแสนรานร้าวในใจยูริมากขึ้นไปอีก ร่างบางเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่เธอรักที่สุด... คนที่สอนให้เธอรู้จักคำว่าความรัก คนที่สอนให้เธอรู้จักการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทุกสัมผัส ทุกคำพูด ยังคงตราตรึงในหัวใจ... ทว่าแววตากับคำพูดที่หลุดมาจากปากเธอช่างตรงข้ามกับสิ่งที่ซ่อนไว้สิ้นดี

                   

                ฉันเกลียดคุณ เมื่อไหร่จะออกไปจากชีวิตฉันซะที มันน่ารำคาญน่ะรู้มั้ย!’

               

                ขอโทษที่ทำให้รำคาญนะ.......ยูริปาดน้ำตาหยดสุดท้ายช้าๆ ต่อจากนี้...ยูลจะไม่อยู่ให้สิก้ารำคาญอีก...

               

                    ...เจสสิก้าคงไม่ได้เอะใจเลยว่านั่นจะเป็นประโยคสุดท้าย จากคนที่เธอรักจนหมดหัวใจ...

     

                   

     

     

     

     

                สิก้าไม่ต้องการยูลแล้วจริงๆ ใช่มั้ยยูริพึมพำ ซ้ำไปซ้ำมา มือเอื้อมเปิดเพลงจากวิทยุเสียงดังลั่น ก่อนเจ้าตัวจะปล่อยเสียงสะอื้นออกมาอย่างไม่จำเป็นต้องอายใคร ดวงตามีหยาดน้ำหล่อเลี้ยงไม่หยุดหย่อน ราวกับแทนความเจ็บปวดจากหัวใจที่โดนเจสสิก้าเหยียบแหลกเหลวจนไม่มีเหลือ

                   

                    เท้าเรียวกดเหยียบคันเร่งจนจมมิด เมื่อเจ้าของไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อีก ยอดผาที่อยู่ออกไปไกลลิบนับเกือบหนึ่งกิโลกลายเป็นใกล้เข้ามาอย่างไม่อาจตั้งตัว ขอบรั้วที่กั้นอยู่ระหว่างขอบถนนและความตาย ไม่ได้เรียกสติของควอน ยูริกลับมาแต่อย่างใด หนำซ้ำเธอกลับกดเท้าลงไปมากยิ่งขึ้น ดวงตาหลับลงราวกับอยากตัดประสาทการรับรู้ทั้งมวล มือค่อยๆ ผ่อนออกจากพวงมาลัย ก่อนจะยกขึ้นมาจับรูปถ่ายของคนรักเป็นครั้งสุดท้าย

                   

                ถ้าสิก้าอยากให้ยูลไปจากชีวิตสิก้า... ยูลก็จะไปน้ำเสียงสั่นเครือฟังไม่ได้ศัพท์ และแล้วรถยนต์สีดำคันหรูก็พุ่งเข้ากระแทกกับราวเหล็กกั้นเต็มแรง รถลอยคว้างกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่ร่างสูงเอ่ยคำสุดท้ายออกมา

                   

                เมื่อความรักนี้ไม่สมหวัง ฉันก็ขอฝังตัวเองอยู่ในความมืดมิดตลอดกาล... ดวงวิญญาณนี้ จงสังเวยแด่เทพแห่งความตายชั่วนิจนิรันดร์!!’

     

               

     

     

     

     

                ควอน ยูริ...คนโง่...เจสสิก้าบีบกรอบรูปในมือแน่น เสมือนว่าภาพของร่างสูงที่กำลังยิ้มให้เธอนั้นจะกลับมายืนในโลกแห่งความเป็นจริงได้อีกครั้ง เธอก้มหน้าลง แนบแก้มกับแผ่นกระจกใสเย็นเฉียบ ให้หยาดน้ำตาจากหัวใจ มันหล่อเลี้ยงภาพถ่ายคู่แห่งความรักให้คงอยู่ตลอดกาล

                   

                    เธอไม่คิดเลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของตนเอง จะทำให้ยูริถึงกับทำอะไรบ้าๆ ลงไป... อุบัติเหตุขับรถแหกโค้งจนตกหน้าผาของลูกสาวนักธุรกิจชื่อดัง ผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมในการบริหารธุรกิของครอบครัวต่อจากพ่อ ข่าวพาดหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ป่านนี้ไม่รู้ว่าผู้ชายใจร้ายคนนั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง เมื่อต้องเสียลูกสาวไปอย่างไม่มีวันกลับ... ถ้าเขาไม่กดดันเจสสิก้า... ถ้าเขายอมรับในความรักของลูก... ถ้าเขาไม่เอาชีวิตของคริสตัลมาเป็นข้อต่อรอง

                   

                    ...ก็คงไม่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของ ควอน ยูริ...

                   

                    ร่างบางมองน้องสาวตนเองที่อาการดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการผ่าตัดครั้งใหญ่ เธอควรจะดีใจใช่มั้ย... น้องของเธอกำลังจะหาย เพราะเงินที่เธอได้มาจากการทำร้ายหัวใจของเธอและคนรักจนไม่เหลือชิ้นดี

                   

                    เธอมันเลว... เธอเป็นคนฆ่ายูริด้วยคำพูดร้ายๆ ของเธอ!

                   

                โลกนี้ที่ไม่มียูล... สิก้าจะมีความหมายอะไรอีกต่อไปล่ะ...ร่างบางพึมพำซ้ำๆ มือวางกรอบรูปยังที่เดิม ก่อนจะปรายตาไปมองยังขวดเล็กๆ สีขาวที่เต็มไปด้วยเม็ดยาสีเดียวกัน ฉลากข้างขวดบอกสรรพคุณของมันได้เป็นอย่างดี หญิงสาวยิ้มออกมาบางๆ เหมือนว่าหมดสิ้นซึ่งความหวังในทุกสิ่ง

                   

                    เธอเปิดฝาก่อนจะกล้ำกลืนเม็ดยาทั้งหมดซึ่งบรรจุอยู่ลงไป ดวงตาหลับพริ้มลง ขณะที่ลมหายใจเริ่มอ่อนแรง ราวกับจะเป็นการนอนหลับตลอดไป ริมฝีปากบางเฉียบเอ่ยพูดสั้นๆ

                   

                สิก้าจะไปหายูล... ไม่ว่ายูลอยู่ที่ไหนก็ตาม ซักวันเราจะได้พบกันอีก

               

                ยูลที่รัก... สิก้าขอโทษ... สิก้าขอชดใช้ความผิดนี้ ด้วยหัวใจ และลมหายใจทั้งหมดของสิก้า...

               

                สิก้าเป็นของยูลคนเดียว... ตลอดกาล...

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                   

                    จุมพิตอันเคยคุ้น จากคนคุ้นเคย ด้วยสัมผัสที่ห่างหายไปนานนับสิบปี ตั้งแต่ยูริและเจสสิก้าหมดลมหายใจ... กำลังเร่งเร้าอารมณ์ปรารถนาให้ลุกโชนได้อย่างน่าประหลาด แม้แต่บึงกว้างภายในสวนสาธารณะ ดูจะไม่อาจใช้ดับไฟรักที่กำลังโชติช่วงพวกนี้ไปได้เลย

                   

                    ความทรงจำอันน่าเจ็บปวดและเคลิ้มฝัน กลับเข้ามาสู่ห้วงความคิดของยูริอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่สนใจอีกแล้ว ว่าคนที่ตนปรนเปรอรอยจูบหอมหวานนี้จะเคยบอกเลิกเธอด้วยถ้อยคำที่ทำร้ายกรีดแทงหัวใจมากเพียงใด ในเมื่อแค่ตอนนี้ยังมีเจสสิก้าอยู่กับเธอเท่านั้น ยูริก็ไม่ขออะไรอีก ความทรมานเมื่อวันวาน เธอยอมเป็นคนโง่เง่า ด้วยการโยนมันทิ้ง แสร้งจำไม่ได้ถึงช่วงเวลาอันโหดร้าย และขอฝังตนเองอยู่กับความสุขตรงหน้า แม้มันอาจจะเป็นช่วงเวลาชั่ววูบก็ตามที...

                   

                    นิ้วเร่งเร้า หยอกเอินอยู่ยังเนินอกขาวนวลด้านบน สายน้ำกระทบผิวกายโปร่งแสง ไม่ได้สร้างความรู้สึกใดให้แก่คนทั้งสองเลย เจสสิก้าประคองใบหน้าคมเข้มไว้ ก่อนจะมองลึกลงไปในดวงตาของร่างสูง

                   

                    “ยูล... สิก้าขอโทษ... แต่สิก้าจำเป็นต้องเลือก ตอนนั้นสิก้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ยูล...ยกโทษให้สิก้านะ” หญิงสาวอ้อนวอนเสียงพร่า จนหัวใจที่เย็นชาของยูริกลับสั่นไหวเกินทานทน

                   

                    “แต่ยูลขายวิญญาณให้องค์ซาตานไปแล้ว... และยูลก็ต้องหาคนมาทำสัญญา เพื่อเป็นตัวแทนของยูล...” ผู้รับใช้ซาตานเอ่ยด้วยความเศร้า หากเธอไม่อยากแยแสเหตุผลอื่นใดอีก ตอนนี้ยังมีเธอ ตอนนี้ยังมีเจสสิก้า และตอนนี้ก็ยังคงมีคำว่าเรา เพราะฉะนั้น... ขอแค่เวลานี้ได้มั้ย...

                   

                    ...ให้มันย้อนกลับไปเหมือนเมื่อครั้งหนึ่ง ที่เราเคยมีกันและกัน...

                   

                    เสียงครางกระเส่าดังมาจากเรียวปากสวยไม่หยุดหย่อน จนยูริต้องยกเรียวปากขึ้นไปมอบจูบอันหอมหวานให้ ขณะที่นิ้วเรียวทำหน้าที่เบื้องล่างได้เป็นอย่างดี ความรักทั้งหมด ถูกเติมเต็มครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับไม่มีวันจบสิ้น บทเพลงรักดำเนินไปจนถึงจุดสูงสุด ก่อนร่างบางจะกระตุกเบาๆ เจสสิก้าซบลงกับไหล่มนแข็งแกร่งของคนที่ประคองเธออยู่ ก่อนจะหลับตาพริ้ม เมื่ออารมณ์ทุกอย่างถูกปลดปล่อยจนหมดสิ้น ปลายจมูกสูดกลิ่นกายที่เธอเคยหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไล้วนเวียนไปทั่วหลังต้นคอ ขณะที่นิ้วเรียวเริ่มวาดไปตามแผ่นหลังสีน้ำผึ้ง ที่ยามถูกละอองน้ำแล้วทำให้ดูคมเข้มมากเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าผ่านไปกี่สิบปี เหตุใดเธอยังไม่เคยหลงลืมได้เลยในทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับควอน ยูริ...

                   

                    ...คิดถึง...คิดถึงคนๆ นี้จนแทบบ้าอยู่แล้ว...

                   

                    ความจริงเจสสิก้าอยากลงมาเจอยูริใจจะขาด... ทว่าเธอได้แต่ฝืนความต้องการของตนเองเอาไว้ ด้วยรู้ดีว่ายูริไม่ใช่คนเดิม เขาจำเรื่องราวของเธอไม่ได้ และหัวใจที่เคยอ่อนโยนเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง เธอจึงได้แต่มองภาพความโหดร้ายของยูริ ที่เพิ่มพูนมากขึ้นในทุกวัน

                   

                    อีกอย่างหนึ่งคือ... การที่ผู้รับใช้นรก และผู้รับใช้สวรรค์ คบหากันดังเช่นคนรักนั้นผิดกฎร้ายแรงไม่ว่าจะทั้งเบื้องบนหรือใต้ผืนพิภพ ดังนั้นเจสสิก้าจึงไม่อยากเจอหน้ายูริให้ต้องหวั่นไหว และละเมิดกฏข้อสำคัญเช่นนั้น

                   

                    แต่ในวันนี้เธอพลาดไปเสียแล้ว... ถ้าไม่เพราะคำสั่งจากพระเจ้า ที่ให้ลงมาควบคุมการกระทำของยูริ เธอก็คงไม่ต้องไหวหวั่น จนถึงขั้นเกินเลยในความสัมพันธ์มามากมายขนาดนี้

                   

                    ดูท่าทางว่ายูริเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้ดี ในสิ่งที่ตนเผลอทำลงไป ร่างสูงดันร่างที่กอดซบแนบอกตนอยู่ออกอย่างเชื่องช้า อาภรณ์สีขาวสะอาดตาถูกยกคลุมไหล่มนบอบบาง ก่อนเจ้าตัวจะประทับรอยจุมพิตลงไปบนหน้าผากมนนั้นด้วยความรักจนล้นหัวใจ

                   

                    “พระเจ้าคงไม่ยกโทษให้พวกเราแน่ๆ...” ยูริเปรยออกมาเบาๆ เธออุ้มร่างบางให้ขึ้นจากสายน้ำเย็นเฉียบ ท้องฟ้าฉาบสีกรมท่าอ่อนๆ กอปรกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงที่ย่างเข้าฤดูเหมันต์ คงทำให้คนธรรมดาหนาวได้ไม่น้อย ทว่านั่นไม่ใช่กับพวกเธอ เนื่องจากต่อให้เย็นกว่านี้อีกสิบล้านเท่า ทั้งยูริและเจสสิก้าเองก็คงไม่มีความรู้สึก...

                   

                    ชั่ววูบนั้นเอง ก่อนที่ใครจะทันตั้งตัว ร่างของยูริถูกแรงบางอย่างเหวี่ยงกระเด็น แผ่นหลังกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่เต็มแรง จนเจ้าตัวต้องยกมือกุมท้องด้วยความจุก โลหิตแดงอุ่นๆ ไหลรินผ่านโพรงจมูกลงมา ช่างตัดกับผิวที่เย็นยะเยือกเสียเหลือเกิน เธอปรือตามองไปรอบๆ ด้านอย่างงุนงง ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกกระชากขึ้นที่สูง เมื่อมือปริศนายกขึ้นบีบลำคอระหงเอาไว้แน่น ขณะที่เสียงกรีดร้องอันเรือนรางของเจสสิก้า ดังบางเบาเหลือเกินในโสตประสาท เนื่องจากหูมันอื้อไปหมด เธอพยายามลืมตา ทว่าดวงตาคู่คมกลับพร่าเลือนเต็มที หากอย่างน้อยเธอก็พอมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออก ชายร่างสูงใหญ่ที่มีใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ เขาสองข้างตั้งงอนโผล่พ้นออกมาจากฮู้ดสีดำยาวกรอมพื้น ดวงตาดุดันสีแดงสดเฉกเช่นเลือดมนุษย์ จนแทบไม่กล้าสบสายตาคู่นั้นได้นานนัก ปีกกว้างสีดำอำมหิตกางสยายยังแผ่นหลัง เขาคือบุรุษที่ใครหลายคนขนานนามว่า ซาตาน

                   

                    “ต่ำช้า...” เสียงตะโกนดังกึกก้อง ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน สายฟ้าฟาดเป็นแสงวาววับดูน่าสะพรึงกลัว พายุหมุนลูกใหญ่ พัดพาเศษกิ่งไม้และใบไม้ลอยคว้างกลางอากาศ ผมยาวสวยของเจสสิก้าปลิวสยาย ในขณะที่เธอได้แต่นั่งคุกเข่าบนพื้นอย่างไม่อาจขยับกายได้ เพราะบ่วงบาศสีดำขององค์ซาตาน ที่กำลังจะดูดกลืนพลังชีวิตของเธอไปจนหมดสิ้น หญิงสาวมองภาพเบื้องหน้าอย่างเจ็บปวด คนรักของเธอ...กำลังถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา!

                   

                    “ข้าให้เจ้าตามล่าวิญญาณที่เต็มไปด้วยความแค้น และอารมณ์รักหลงมาให้ข้า แล้วเหตุใด... เจ้าจึงทำผิดบัญชาได้ปานนี้ รู้หรือไม่ การที่เจ้าร่วมรักกับนางซึ่งเป็นทูตสวรรค์จะต้องเจอบทลงโทษอันใดบ้าง!!” ชายร่างสูงโตเหวี่ยงยูริลงกับพื้นเต็มแรง สามง่ามยาวสีดำปรากฏขึ้นในมือ ก่อนปลายแหลมจะจ่อเข้าที่ลำคอของยูริ ถ้าออกแรงเพียงนิดเดียว ดวงวิญญาณของเธอย่อมแตกสลาย อย่างไม่มีโอกาสไปผุดไปเกิด และจมดิ่งลงสู่ห้วงรัตติกาลอย่างไม่มีทางออก เจอแต่ความมืดมิดนานชั่วกัปชั่วกัลป์

                   

                    “ข้ารักเจสสิก้า... รักมาโดยตลอด...” น้ำเสียงเล็ดลอดออกจากริมฝีปากกระท่อนกระแท่น เธอหายใจหอบถี่ ก่อนจะกุมหน้าอกตัวเองแน่น เมื่อกายเจ็บแปลบภายใน เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัดเอาไว้

                   

                    “รักกระนั้นหรือ?... โง่เง่าสิ้นดี” ซาตานกระชากร่างของเจสสิก้าเต็มแรง หญิงสาวล้มลงนอนตรงหน้ายูริ ดวงตาทั้งสองมองกันอย่างโหยหา ท่ามกลางธรรมชาติที่กำลังปั่นป่วนรอบด้าน...

                   

                    “ผู้รับใช้ซาตาน และผู้รับใช้พระเจ้าพลอดรักกัน เรื่องบัดซบที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบหลายพันปี หนำซ้ำพวกเจ้ายังร่วมเพศเดียวกัน ช่างเป็นการกระทำที่น่าขยะแขยงเหลือเกิน!!” คำผรุสวาทหลุดมาไม่ขาดสาย ด้วยความโกรธกริ้ว ปลายคมแหลมเลื่อนมาชี้ใบหน้าคมของยูริอย่างคาดโทษ หยาดน้ำตาเริ่มหลั่งรินผ่านแก้มใสลงมาเชื่องช้า แต่เธอไม่อาจยกมือขึ้นปาดมันได้เลย ยามเชือกที่มองไม่เห็นเริ่มพันรัดร่างสูงเชื่องช้า เหมือนว่ามีไฟแห่งนรกโลกันตร์วิ่งพล่านไปทั่วรอบเส้น ปวดแสบปวดร้อนไปหมด มันเป็นความทุกข์ทรมานทำให้เธอต้องกัดริมฝีปากตนเองจนห้อเลือด

                   

                    เจสสิก้าพยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากบ่วงบาศสีดำ เธอร้องเรียกชื่อคนรักซ้ำไปซ้ำมา ด้วยน้ำตาที่นองหน้า

                   

                    “ดวงวิญญาณของเจ้าจงแหลกสลาย และตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดชั่วนิจนิรันดร์!” สามง่ามในมือเงื้อขึ้นสูง มันแทงผ่านทะลุร่างโปร่งแสงเต็มแรง ทว่าต้องชะงักเมื่อผู้ที่รับคำสาปนั้นไม่ใช่ควอน ยูริ หากแต่เป็นเจสสิก้าที่วิ่งเข้ามารับไว้แทน มือกอดร่างสูงแน่น ขณะที่ความเจ็บปวดแล่นผ่านไปทั่วร่างจนสติเริ่มชาวูบ แทบไม่รับรู้สิ่งอื่นใดอีกแล้ว...

                   

                    “ทำไม...ทำไมกัน” เขาพึมพำอย่างตื่นตระหนก ทั้งที่บ่วงนั้นมันแน่นหนาชนิดที่ว่าใครก็ไม่อาจสลัดออกได้ ทว่าเจสสิก้ากลับสามารถเอาตัวเข้าปกป้องยูริได้... มันเป็นเพราะอะไรกัน

                   

                    เพราะความรักงั้นหรือ... ความรักต้องห้าม มีอิทธิพลมากมายขนาดนี้เชียว!!

                   

                    “...ยูล...สิก้ารักยูลนะ...” เจสสิก้ากระซิบเสียงพร่าข้างใบหู ขณะที่ร่างบางเริ่มแหลกสลายลงช้าๆ จนไม่เหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวให้ยูริได้ไขว่คว้า

                   

                    “สิก้า!!” ยูริตะโกนออกมาอย่างทรมานเกินรับไหว มือยกขึ้นสัมผัสอากาศว่างเปล่า ที่เมื่อครู่เคยมีเจสสิก้าอยู่ หากยามนี้มีเพียงหยาดน้ำตาที่ตกกระทบลงบนฝ่ามือเย็นเฉียบก็เท่านั้น เธอเงยหน้ามองซาตานอย่างตัดพ้อ ถ้าเพียงแต่เขาฆ่าเธอ... ทำร้ายดวงวิญญาณดวงนี้ หรือส่งเธอไปที่มืดมิดไร้แสงสว่างเพียงใด มันยังไม่สร้างความเสียใจให้กับเธอได้มากเท่าพรากเจสสิก้าไปจากเธอ

                   

                    เหตุใดกัน... ความรักครั้งนี้จึงช่างน่ารันทดนัก ผู้คนรอบกายช่างโหดร้าย คอยเฝ้าพรากพวกเธอให้แยกจากกัน แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความรักจนล้นปรี่ล่ะ มันกำลังเก็บความทรมานอย่างแสนสาหัสเอาไว้ ยูริไม่รอช้า ความโกรธแค้นทั้งหมด ผลักดันให้เธอปลดตัวเองออกจากเชือกพันธนาการที่มองไม่เห็น หญิงสาวเดินมาตรงหน้าชายร่างสูง หยาดน้ำตาเฝ้าหลั่งรินไม่รู้จบสิ้น จนดวงตาแดงก่ำบ่งบอกถึงความร้าวรานที่เธอกำลังได้รับ...

                   

                    “ข้าแต่องค์ซาตาน... มีผู้อื่นทำสัญญากับท่านมากมายแล้ว เพราะฉะนั้น ดวงวิญญาณดวงนี้ ควรได้รับการปลดปล่อยเสียที” มือเรียวยกขึ้นจับปลายสามง่ามยาวที่อยู่ในมือของซาตาน ไม่มีร่องรอยท้าทายอำนาจผู้เป็นใหญ่ในนรกเบื้องล่างผืนพิภพแต่อย่างใด... มีเพียงเสียงสะอื้นที่กลั่นมาจากหัวใจเท่านั้น...

                   

                    “จงพาข้า...ไปสู่นิลภพชั่วกัปชั่วกัลป์ หากนั่นจะทำให้ข้าเข้าถึงความรักของข้าอีกซักครั้ง...” ว่าพลางแทงปลายเหล็กแหลมผ่านทะลุอกของตนเอง โดยที่คนตรงหน้าไม่ทันได้ห้ามปรามแต่อย่างใด เขาเฝ้ามองการกระทำของผู้รับใช้ตนมานับสิบปีด้วยความสนเท่ห์

                   

                    ร่างโปร่งแสงของยูริเลือนรางลง และแหลกสลายหายไปจากสายตา...

               

                ...ดวงวิญญาณทั้งสองที่ไม่มีโอกาสได้ไปผุดไปเกิดใหม่ หากต้องเดินทางหลงวนเวียนในห้วงแห่งความมืดมิด ตราบนานเท่านาน...

     

                ……………

                ………….

                ………..

                ……..

                ……

                ….

                ..

                .

     

                ยูล...สิก้ารักยูลนะคะ... เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปมั้ย

               

                ยูลก็รักสิก้า... รักมาก... รักมากที่สุด...

               

                เราจะอยู่ด้วยกันนะ... ไม่มีใครมาพรากเราสองคนได้อีกแล้ว

               

                ค่ะ... เราจะอยู่ด้วยกัน..........

     

    The end

     

     

     

    เป็นวันช็อตที่ยาวเว่อร์มากๆ ค่ะ ยาวที่สุดในชีวิตแล้ว (สิบหกหน้าเอสี่เต็มๆ)

    เนื่องจากออกแนวแฟนตาซีนิดๆ เลยต้องยิ่งพรรณนามากเข้าไปใหญ่

    จากเดิมที่น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งหายเกลี้ยงอยู่แล้ว ฮ่าๆ

     

    คุ้มมั้ยคะห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่รอ อยากบอกว่ามันเป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เกินมาเยอะมาก T^T

    เพราะตอนแรกคิดว่าจะแต่งแค่สิบหน้าเอสี่เท่านั้น = =”

     

    อีกอย่างเรื่องนี้ค่อนข้างทุ่มทุนสร้างนะคะ ทั้งฉาก เอฟเฟคต์ รวมถึงขนนักแสดงมาอย่างกับฟิคยาว

    ขอขอบคุณโซนยอชิแด - ซอฮยอน ยุนอา แทยอน [ตาย!] ยูริ [ตาย!] และเจสสิก้า [ตาย!]

    รวมถึงเอสเจที่ลากมาร่วมด้วย - ซีวอน คยูฮยอน [ตาย!] ซองมิน [ตาย!] รวมถึงลีทึก [ตาย!] ด้วยเช่นกัน

    (สรุปคือจ้างมาเยอะๆ นี่จ้างมาตายใช่มั้ยนั่น)

     

    เอาล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่อ่านกัน แล้วจะขอบคุณมากยิ่งขึ้น

    หากท่านช่วยกันคอมเมนต์ติชมหรือให้กำลังใจบ้าง

    กว่าบุงจะแต่งวันช็อตเรื่องนี้เสร็จ ใช้เวลาไปหลายวัน

    เสียเวลาเมนต์กันแค่ไม่ถึงนาที บุงคงไม่ขอเยอะไปนะคะ T___T

     

    ปล. ไม่เคยแต่งแนวอย่างนี้ รู้สึกแปลกๆ ชอบกล ถ้ามีอะไรติชมสมควรแก้ บอกได้เสมอค่ะ

     

     

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น

    ×