คะแนน 5/5
นักวิจารณ์ กุมภ์กรณ์,หนามMelon
1. โครงเรื่อง : จากเด็กสาวผู้มีพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ และ รูปสมบัติ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยสาว (ยี่สิบต้นๆ) แล้ววันหนึ่งเธอก็ต้องมาสูญเสียดวงตา และบุคคลอันเป็นที่รักไปในเวลาเดียวกัน แต่นั่นไม่ร้ายเท่า ความตายที่คร่าชีวิตแม่ของเธอไปนั้น มันเกิดจากความประมาทของเธอแต่เพียงผู้เดียว แล้วแบบนี้เธอจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปได้อย่างไร ในเมื่อความสมบูรณ์แบบที่เคยมีและความรักความเมตาที่เคยได้รับจากแม่บังเกิดกล้าได้เลือนหายไปพร้อมๆกัน ทว่าในความโชคร้ายที่เธอเชื่อว่าร้ายแรงที่สุดในชีวิตที่เคยพบเจอมา มันก็ยังหลงเหลือความโชคดีอยู่บ้าง นั่นคือเธอมีพ่อที่รัก ห่วงหาอาทร และเป็นกำลังใจให้เธอเสมอมา อีกทั้งยังพร้อมที่จะเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างที่เคยขาดหายไปจากชีวิตเธอให้กลับมาสมบูรณ์พร้อมดังเดิม แม้วันนี้ดวงตาของเธอจะยังมืดบอดอยู่ แต่พี่เลี้ยงที่พ่อเธอส่งมาให้ยารักษากายให้เธอสู้ต่อไป และเป็นดังแสงสว่างนำทางใจให้เธอผ่านพ้นความมืดมนไปได้อย่างราบรื่น
การซึมซับคุณงามความดี และยอมรับทัศนคติเชิงบวกของพี่เลี้ยงสาวได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง ยิ่งทำให้เธอรู้สึกพิเศษกับพี่เลี้ยงมากยิ่งขึ้น ความผูกพันที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นความรู้สึกมากมาย ทั้งอยากอยู่ใกล้ อยากพูดคุย อยากพบเจอ อยากทำมากกว่ากอด เธอเข้าใจมาโดยตลอดว่าความรู้สึกเหล่านั้นเรียกว่าอะไร แต่พี่เลี้ยงของเธอกลับไม่ยอมจำนนเช่นเธอนี่สิ แล้วแบบนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กสาวตาบอดอย่าเธอกับพี่เลี้ยงสาวเจ้าแม่หลักการจะลงเอยเช่นไร รักหรือไม่ ช่วยตอบที
2. ตัวละคร: ในที่นี้ขอพูดถึงตัวละครหลักๆสามตัวที่เราคิดว่าพอจะจับอารมณ์ของเขาและเธอเหล่านั้นได้ จะว่าไปแล้ว ตัวละครหลักๆก็มีสามตัวจริงๆนั่นแหล่ะ
ออม : ขอเรียกเธอคนนี้ว่าเป็นตัวเอกลำดับที่หนึ่งของเรื่อง ผู้สูญเสียดวงตาและแม่ไปพร้อมๆกัน และเธอยังเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมายในชีวิตของตัวเองและคนรอบข้าง ตอนแรกๆบอกได้เลยว่าเธอขี้โวยวาย อ่อนแอ และไร้เหตุผล แต่ตอนหลังๆกลับกลายเป็นคนขี้อ้อน แข็งแรง และออกแนวโหดนิดๆ เรารู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มีอารมณ์แปรปรวนสุดๆ ไม่ค่อยคงที่สักเท่าไหร่ เดี๋ยวร่าเริง เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวโกรธ ทั้งที่เรื่องบางเรื่องไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ แต่เธอก็สามารถนำมาเป็นอารมณ์ในการเกรี้ยวกราดได้ซะงั้น อาจเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นซึ่งนำมาด้วยความสูญเสียจึงส่งผลให้อารมณ์ของเธอแปรปรวน
มายด์ : ขอเรียกเธอคนนี้ว่าเป็นตัวเอกลำดับที่สองของเรื่อง รับบทเป็นพี่เลี้ยงผู้มีจิตใจเอื้ออารีต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเธอเข้ามาชโลมใจตัวเอกลำดับที่หนึ่งให้ก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางที่มืดบอด ขอบอกเลยว่า อ่านลักษณะนิสัยและการกระทำของผู้หญิงคนนี้ในตอนต้นๆแล้วรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ห้าวๆลุยๆ มั่นใจในตัวเองสูง และใจดีมีเมตตา แต่พออ่านไปอ่านมาในบทท้ายๆกลับกลายเป็นว่าเธอเป็นคนอ่อนโยน ไม่มั่นคง แถมยังอ่อนไหวง่ายอีกต่างหาก
ตอนกลางเรื่องไปจนท้ายเรื่องเรามีความรู้สึกว่าตัวละครเอกทั้งสองมีนิสัยใจคอรวมถึงการกระทำแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ราวกับเป็นคนเดียวกันแน่ะ ต่างกันนิดๆก็ตรงที่ออมออกอาการเอาแต่ใจและเริ่มรุกหนักขึ้นพอสมควร แต่ก็สามารถแยกแยะหรือเอาใจเขามาใส่ใจเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่มายด์ก็แลดูจะพูดน้อยลงไปมาก และออกอากาสับสนจนหลุดมาดนักจิตวิทยาสาววัยใกล้เลขสามบ่อยๆ บอกเลยว่า ตอนที่สองสาวเค้ากุ๊กกิ๊กกัน แทบแยกนิสัยใจคอไม่ออกเลยว่าใครออมใครมายด์ เราว่ามายด์น่าจะนิ่งกว่านี้นะ จะได้สมเป็นผู้ใหญ่ และเป็นเรื่องยากสำหรับออมที่จะพูดหรือแสดงความต้องการของตนลงไป
คุณพ่อ : สารภาพจากใจจริง นี่ถ้าคุณไม่เขียนเอาไว้ว่า แม่ของออมอายุปาเข้าไปจะห้าสิบปีแล้ว เราคงคิดว่าพ่อของออมคงจะอายุไม่เกินสี่สิบ อ่านๆไปแล้วรู้สึกว่าคุณพ่อคนนี้ยังดูหนุ่มและหล่อมากถึงมากที่สุด จนสามารถนำมาเป็นพระเอกของเรื่องได้เลย เพราะนอกจากท่านจะอบอุ่น ใจดี มีเมตาแล้ว ท่านยังแอบมีมุขเด็ดๆหรือคำพูดแปลกๆมายอกเย้าสองสาวให้ขำเล่นๆอีกต่างหาก ที่สำคัญ ท่านยังมีสายตาระยิบระยับต่อพี่เลี้ยงของลูกสาวซะด้วยสิ สรุปว่าคาแร็กเตอร์คุณพ่อเหมาะสมโดนใจอาจจะไม่ค่อยสมวัยไปบ้างแต่ก็สมควรให้อภัยในความพอเหมาะพอดีกับบทบาทที่ได้รับ และการถ่ายทอดอารมณ์ที่มีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่แปรปรวน ไม่ขึ้นๆลงๆ ถือว่าเป็นตัวละครที่เขียนออกมาได้ดีและน่าประทับใจมากค่ะ
3. การใช้ภาษา: อ่านจากภาพรวมทั้งหมดแล้ว บอกได้คำเดียวว่าคุณแต่งได้ดีมาก อีกทั้งภาษาที่ใช้ก็ง่ายๆ ไม่มีคำหรือประโยคพิเศษที่ทำให้อ่านแล้วไม่เข้าใจ สำนวนภาษาก็ดี ลำดับเหตุการณ์ได้ต่อเนื่อง ลื่นไหล ไม่วกวน เนื้อหาอาจจะหนักในช่วงแรก แต่ก็ผ่อนคลายในช่วงหลัง โดยรวมแล้วถือว่าเขียนออกมาได้เป็นธรรมชาติดี ไม่เหมือนกับการอ่านนิยาย แต่เหมือนกับการได้เห็นวิถีชีวิตที่เกิดขึ้นจริงในสังคมโดยมีเด็กสาวตาบอดเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวซะมากกว่า เราว่าหายากนะ ที่ใครสักคนจะเขียนตัวละครสักตัวให้มีชีวิต และคุณริญญดาก็คือบุคคลที่หาตัวจับยากในวงการงานเขียนเลยก็ว่าได้ รักษาและพัฒนางานเขียนดีๆต่อไปนะคะ
คำแนะนำเพิ่มเติม
เรื่องนี้แปลกแหวกแนวทั้งด้านความรักและการจรรโลงใจคนตาดีที่ต้องกลายมาเป็นคนตาบอดก็จริง แต่เรามีความรู้สึกว่าช่วงต้นๆเรื่องคุณมีการนำเสนอชีวประวัติของบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางสายตาเข้ามาแทรกมากเกินไปสักนิด จนช่วงแรกเราคิดว่าตัวเองกำลังอ่านสารคดีบุคคลสำคัญหรือบุคคลต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่มีลักษณะพิเศษมากกว่ากำลังนั่งอ่านนิยาย ดังนั้นในช่วงต้นเรื่องจึงไม่ค่อยดึงดูดให้อยากอ่านสักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ได้ ไม่ใช่นิยายที่คุณแต่ง แต่เป็นประวัติคนสำคัญที่นักอ่านสามารถหามาอ่านได้ตามอินเทอร์เน็ต แต่ถึงแม้ช่วงต้นเรื่องคุณจะเน้นหนักไปทางบุคคลสำคัญมากกว่าตัวละครก็จริง แต่ข้อมูลที่คุณลงไว้ก็เป็นประโยชน์ และเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับคนตาดีหลายๆคน (โดยเฉพาะเรา) ที่ยังไม่เคยรู้จักอีกโลกแห่งความมืดมิดของคนบกพร่องทางสายตา ทว่าร่างกายและจิตใจของเค้ากลับสว่างสดใสยิ่งกว่าคนตาดีบางคนซะอีก นอกจากนี้การค่อยๆสอดแทรกประวัติคนสำคัญที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง โดยไม่ใส่รายละเอียดลงไปหมดในบทเดียว จะง่ายต่อการทำความเข้าใจ และนักอ่านจะไม่เคร่งเครียดกับเนื้อหามากจนเกินไป ช่วยให้นักอ่านผ่อนคลายอารมณ์หนักๆลง จนเกิดความอยากรู้และอยากติดตามอ่านเนื้อหาของเรื่องต่อไปเรื่อยๆ
พอจบความตึงเครียดและแรงบีบอัดจนแน่นของประวัติบุคคลสำคัญอันเกี่ยวข้อกับเนื้อเรื่องไป ช่วงกลางๆไปจนกระทั่งจบเรื่องก็เต็มไปด้วยความหวานละมุน อบอุ่นหัวใจ เชื่อว่านักอ่านหลายๆคนที่อ่านพ้นบทที่แปดไปได้ คงจะหายหน้านิ่วคิ้วขมวดลงได้ และหันมายิ้มแก้มปริกันทั่วหน้า เพราะสิ่งที่คุณๆทั้งหลายจะได้รับคือความน่ารักกุ๊กกิ๊กระหว่างตัวเอกลำดับที่หนึ่งและสอง
บทที่3 (ได้เวลาทำใจ) ฉากที่ออมคิดน้อยใจโชคชะตาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เราคิดว่าน่าจะใส่เป็นเสียงเอะอะโวยวายอย่างถึงที่สุดมากกว่าการนั่งคิดไปเองนะ เพราะคนที่กำลังทุกข์ ขาดสติ และคิดว่าตัวเองขาดที่พึ่ง มักจะโวยวายหรือระบายออกมาจนสุดเสียง ไม่ใช่ทำลายข้าวของจนพังไปข้างแต่กลับมานั่งคิดน้อยใจโชคชะตา แบบว่า การกระทำกับอารมณ์แปรปรวนมันกำลังสวนทางกัน
บทที่45 (จำนนใจ...) สงสัยจังเลยค่ะว่า ตัวเอียงที่คุณใส่ลงไป สื่อความหมายว่าอะไร เป็นความคิดหรือว่าเป็นอะไร ไม่เห็นระบุหรือใส่คำอธิบายไว้เลย จู่ๆคำพูดของอีกคนก็เอียงแต่อีกคนก็ปกติดี อ่านแล้วงงๆ เหมือนบทพูดกับเนื้อเรื่องที่ดำเนินอยู่ ณ ขณะนั้น เป็นคนละฉากกัน
ดูเหมือนว่าบทสุดท้ายซึ่งเป็นบทสรุปของความรักครั้งนี้ คุณริญญดาจะมีการเล่าเรื่องหรือลำดับเหตุการณ์ที่ค่อนข้างโดดไปโดดมาอยู่มากเลยค่ะ อารมณ์ของตัวละครทั้งสองค่อนข้างวกวน นอกจากนี้ความคิดความอ่านของตัวละคร ก็ออกแนวกระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบ อ่านแล้วรู้สึกว่าอารมณ์กับเนื้อหาขาดความต่อเนื่อง ขาดความสัมพันธ์กัน และออกจะยืดเยื้อไปหน่อย ถ้าเป็นไปได้ก็ตัดความคิดซ้ำๆของตัวละครออกไปบ้างก็ได้ค่ะ
เราคิดว่าความรักของคนทั้งคู่เกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้จะเป็นความรักฉันพี่น้องและค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นชู้สาวก็ตามที เราจึงอยากให้คุณเอ่ยถึงผู้ชายที่เคยเป็นแฟนออมเข้ามาร่วมด้วยอย่างสม่ำเสมอ ดึงความเป็นชายและนิสัยที่แท้จริงของเค้าออกมาเปรียบเทียบกับมายด์ เพื่อให้นักอ่านได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งของเพศตรงข้าม ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ถึงทำให้ออมเปลี่ยนใจไปชอบเพศเดียวกันได้โดยไม่มีเงื่อนไข ภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี ถ้าทำแบบนี้เราคิดว่ามันน่าจะดูสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
4. แก่นเรื่อง: โดยรวมของเรื่องนี้ตามที่เราเข้าใจ นักเขียนน่าจะต้องการขอเป็นส่วนหนึ่งในกำลังใจ หรือเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับใครหลายๆคนที่เคยตาดี แล้วจู่ๆต้องกลายเป็นคนตาบอด ให้ลองหันมามองโลกในอีกหลายๆแง่มุม เพื่อดำรงชีวิตต่อไป แม้จะไร้ซึ่งสายตาในการนำทาง แต่ไม่จำเป็นว่าคนคนนั้นต้องทำให้หัวใจตนต้องมืดบอดไปพร้อมๆกับดวงตา นอกจากนี้การที่นักเขียนไม่ใช้พี่เลี้ยงที่เป็นผู้ชายมาดูแลหญิงตาบอด ก็เพราะผู้เขียนน่าจะจงใจและคิดในแง่ความเป็นจริงที่ว่า คนตาบอดเป็นหญิงยังไงซะพ่อแม่ก็ต้องหาพี่เลี้ยงที่เป็นหญิงสิถึงจะถูก ไม่ใช่จับผู้ชายมาดูแลลูกสาว อยู่มาวันหนึ่งตานางเอกหายบอด พระนางได้รักกัน และนิยายก็จบบริบูรณ์ ทว่าเรื่องนี้ต้องการสะท้อนถึงความเป็นจริงในสังคมที่ว่า หญิงตาบอดก็ย่อมมีคนดูแลเป็นหญิงเช่นกัน ซึ่งการดูแลไม่ใช่แค่การจับจูงคนบกพร่องทางสายตาให้เดินไปไหนมาไหนได้โดยไม่ชนข้าวของ แต่เป็นการฝึกทักษะและประสาทสัมผัสส่วนอื่นๆให้สามารถใช้งานได้คล่องแคล้วมากยิ่งขึ้น เพื่อทดแทนประสาทการมองเห็นที่ขาดหายไปต่างหาก นอกเหนือจากนี้สิ่งที่มากกว่าคำว่าพี่เลี้ยงกับเด็กตาบอด นั้นคือความรักที่เกิดขึ้นกับใจคนสองคน ซึ่งมันไม่ใช่ความเพ้อฝันทางความคิด มันไม่ใช่สิ่งผิด หรือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทว่ามันเป็นแรงศรัทธาในรักของหัวใจสองดวงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นหญิงกับชาย ชายกับชาย หรือ หญิงกับหญิง ทุกคนย่อมมีความรักต่อกันได้ หากทั้งสองฝ่ายเปิดใจยอมรับมัน และคนสองคนที่มีทั้งเพศและหัวใจที่ตรงกันจะยอมรับความรู้สึกของตนและคนที่ตนรักได้หรือไม่ นักอ่านทั้งหลายคงต้องตามลุ้นตามเป็นกำลังใจให้เธอทั้งสองได้ใน ‘My Mind : ดวงตา ณ ดวงใจ’
นิยายเรื่องนี้จึงถือเป็นส่วนหนึ่งในการสะท้อนสังคมของโลกมืดและโลกสว่าง รวมไปถึงความรักหลากหลายรสที่ก่อเกิดกับคนหลากหลายเพศได้เป็นอย่างดี อ่านแล้วรู้สึกประทับใจแนวความคิดของนักเขียนมากค่ะ นอกจากคุณจะมีส่วนในการเปิดโลกทัศน์ของนักอ่านที่สมบูรณ์พร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ ให้รู้จักอีกมุมมองหนึ่งของบุคคลผู้มีความบกพร่องทางด้านร่างกายแล้ว นิยายเรื่องนี้ยังเป็นอีกหนึ่งแรงกำลังใจให้ผู้บกพร่องทางกายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตา หู ปาก หรือใจบอด ฯลฯ ได้เรียนรู้การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าผ่านทัศนคติอันสวยงามไร้พิษภัยของตัวละครทั้งหมด...
ความคิดเห็นที่ 1
การเขียนเรื่องนี้มิได้มุ่งหวังจะตีพิมพ์หรือตั้งใจให้เป็นนิยายเรื่องยาวแต่อย่างใด จุดประสงค์หลักของการเขียนคืออยากเผยแพร่ข้อมูลของคนตาบอด การช่วยเหลือ การเข้าใจ การให้กำลังใจ ให้เป็นที่รู้จักให้มากขึ้น
ตัวเองอาจไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกทั้งหมดที่ได้อ่านความคิดเห็นและคำแนะนำที่คุณกุมภ์กรณ์ได้กรุณาบอกมาทั้งหมดได้ ซาบซึ้งและขอบคุณคุณมากนะคะ ทุกประเด็นที่คุณบอกเป็นสิ่งที่ต้องการทราบเพื่อการปรับปรุง และเป็นประโยชน์มากกับผู้เขียนมือใหม่
ท้ายนี้ขอให้คุณคงความมีคุณภาพการวิจารณ์ ตามแบบฉบับกุมภ์กรณ์ต่อไปนะคะ
By ริญญดา อัพเดท 2014-04-21 23:52