ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #31 : ` ( 두근두근 ♡ 28 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.59K
      13
      4 ก.ค. 58









        


     


     

     

     

    ลมหนาวคือเรื่องน่ากลัวอันดับต้นๆเมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ปลายปี คิดไม่ออกจริงๆว่าท่ามกลางสภาพอากาศแบบนี้ ใครเป็นคนคิดว่าให้นักเรียนมัธยมปลายนั่งหลังขดหลังแข็งอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค เว้นลู่หานไว้คนหนึ่งล่ะ เขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้งนอกจากคิดเรื่องนอนใต้ผ้านวมอุ่นๆ เปิดฮีทเตอร์สักยี่สิบห้าองศา แล้วก็ทำสถิติดูหนังโป๊ทีเดียวจนหมดเว็บ

     

     

    ชมรมฟุตบอลพักซ้อมมาได้เดือนหนึ่งแล้ว มีการเรียกประชุมว่าถ้าขึ้นปีสาม ใครจะยังอยู่หรือลาออกจากชมรมเพื่อไปเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆบ้าง แน่นอนว่าลู่หานเป็นคนแรกที่โค้ชไม่คิดจะถามหาคำตอบเพราะเขามีชื่ออยู่ในโควต้ามหาวิทยาลัยกีฬาแล้วเรียบร้อย ผลจากการอุตสาหะซ้อมเพื่อเตรียมแข่งระดับจังหวัดและโชว์ลีลาเด็ดๆจนคนจากทางมหาวิทยาลัยมาทาบทามไปพร้อมเพื่อนอีกคนหนึ่ง แต่หมอนั่นดันสละสิทธิ์เพียงเพราะตั้งใจจะสอบเป็นทนายตามความหวังของแม่

     

     

    จากเปิดเทอมถึงตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบสี่เดือน สัปดาห์หน้าจะถึงการสอบปลายภาคที่แสนน่าเบื่อและทรหด อาจารย์ควอนขู่เช้าเย็นว่านี่คือปีสุดท้ายของการใช้ชีวิตแบบเด็กๆ เพราะเมื่อไรที่เข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาจะต้องเครียดจนตัวตายและรำลึกถึงความสนุกสนานในโรงเรียนแทบไม่ทัน

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    ออกปากเรียกเพื่อนตัวเล็กที่นั่งอ่านหนังสือขะมักเขม้นอยู่ริมหน้าต่าง นี่เป็นการสอบครั้งที่สองซึ่งลู่หานไม่ได้เล็งเลคเชอร์ของบยอนแบคฮยอนเอาไว้เพราะมีของดีอยู่กับตัว แน่นอน ก็ไอ้เรื่องกะหนุงกระหนิงนั่นแหละที่เขาไม่เครียด ถึงจะถูกบ่นเช้าบ่นเย็นว่าเอาสมองไปทิ้งกับลูกฟุตบอลหมดแล้วก็เถอะ

     

     

    “เห็นเซฮุนไหม” ลู่หานยืนล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วลากเก้าอี้ว่างของคนที่ออกไปกินข้าวกลางวันมานั่งห่อตัวหดลมหนาว ไม่มีที่นั่งตั้งเอาไว้ตรงหลังห้องแล้ว หลังสมาชิกหายไปคนหนึ่ง อาจารย์ควอนก็จัดแจงให้เขาเป็นคนลากโต๊ะไปคืนห้องอื่นแล้วกลับมานั่งที่ตัวเองเสีย ใช้เวลาอีกตั้งสัปดาห์กว่าลู่หานจะเกลี้ยกล่อมให้ใครบางคนกลับมานั่งข้างกันอย่างเดิมได้

     

     

    “อ๋อ เห็นว่าจะไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดน่ะ”

     

     

    แบคฮยอนตอบ จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาสนใจหนังสือบนโต๊ะดังเดิมเพราะเหลือเวลาน้อยลงทุกทีแล้ว ลู่หานกลอกตามองเพดานพลางถอนหายใจ นี่ก็อีกคนที่ไม่ปกติ ถึงจะพยายามกลับมาใช้ชีวิตเป็นเจ้าหนูมนตร์ดำคนเดิมที่ชอบมาดูแลแปลงดอกไม้ตอนเช้า อ่านหนังสือฆาตกรรมตาลุกวาว แต่จะต่างก็ตรงที่ไม่มีเรื่องราวมาคอยปั่นให้เกิดข่าวลืมแปลกๆอีกในเมื่อตัวต้นเหตุก็อยู่ที่นี่ โอ้ อย่าหาว่านี่เป็นคำชื่นชมคิมจงอินเชียว เพราะที่ทุกคนยอมรับและแบคฮยอนกลับมาเป็นปกติได้ก็เพราะผลจากคนที่ไม่อยู่แล้วต่างหาก

     

     

    บางอย่างติดอยู่ตรงปากลู่หาน แต่เขาไม่กล้าพูดออกไปเพราะถูกขอร้องเอาไว้โดยเพื่อนอีกคน บอกตามตรงว่าเบื่อเต็มที รอบตัวมีแต่พระเอกเต็มไปหมด (เบ้ปาก)

     

     

    ก่อนเดินออกไปเพื่อตรงสู่ห้องสมุด ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะหันเอี้ยวตัวกลับมามองเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย ลู่หานดีใจที่อย่างน้อยแบคฮยอนก็พยายามยิ้มและไม่เศร้าจนเกินไป แต่คงดีกว่านี้ถ้าร่างเล็กไม่ได้ฝืนมัน “นี่ แบคฮยอน”

     

     

    “หืม?”

     

     

    “อย่าเพิ่งรีบกลับล่ะ มีอะไรจะให้”

     

     

    เขายิ้ม จากนั้นจึงเดินตัวปลิวผ่านนักเรียนคนอื่นโดยมีจุดหมายคือห้องขนาดใหญ่ตรงปีกตึกชั้นสอง เอาเข้าจริงแล้ว ช่วงเตรียมสอบก็ดีอย่างหนึ่งคือในโรงเรียนไม่ค่อยเสียงดังมากนัก อย่างน้อยๆก็หายไปสามสิบเปอร์เซนต์คือนักเรียนปีสามที่ปิดเทอมรอผลสอบเข้าอย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่บ้าน

     

     

    ร่างผอมฮัมเพลงใหม่ล่าสุดของวงไอดอลชื่อดังพลางก้าวลงบันได ไม่ต้องเดินไกลไปถึงที่หมายก็เห็นใครบางคนเพิ่งเลี้ยวโค้งมาพร้อมกับหนังสือสองสามเล่มในอ้อมแขน เรื่องขยันนี่เป็นที่หนึ่ง นี่ขนาดนักไม่เป็นนักเรียนปีสุดท้ายเสียเอง เซฮุนยังเอาแต่พูดเรื่องมหาวิทยาลัยแทบทุกวัน บอกว่าเห็นเขามีที่เรียนแล้วก็กดดันบ้างล่ะ ไม่นึกว่าจะมีมุมเครียดน่ารักๆอย่างนั้นด้วย

     

     

    “เซฮุนนา

     

     

    แวบเดียวที่ตาเรียวนั้นชายมองก่อนจะเมินไปอีกทาง ถ้าลู่หานอยู่บันไดชั้นบน เซฮุนก็ขอเดินลงไปข้างล่าง บางทีการไปนั่งอ่านหนังสือเงียบๆที่อาคารเก่าหรือในสวนก็คงไม่แย่นัก

     

     

    “เดี๋ยวซี” มือนักกีฬาคว้าต้นแขนอีกฝ่ายเอาไว้ คนถูกจับดูจะฉุนอยู่นิดหน่อยที่เกือบทำหนังสือในมือเขาร่วงระเนระนาด แต่ถ้ายังไม่ตกก็ช่างเถอะ งอนกันนานๆแบบนี้ ลู่หานจะบ้าตายอยู่แล้ว “ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ”

     

     

    รู้อยู่ว่าตัวเองดันไปสร้างเรื่องเอาไว้เมื่อสองสามวันก่อน แต่ -- โอ๊ย จะมีกี่คนที่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงกัน  ก็มันน่าหมั่นไส้จะตายชักที่พ่อหนุ่มโสดมีสาวๆเกาะแกะอยู่เรื่อย ก็เลยเล่นสนุกโดยการแสร้งทำบทนางเอกใส่ท่ามกลางสายตาคนอื่นก็เท่านั้น สิ่งที่ตามมาคือการอมยิ้มไม่หยุดเมื่อเจ้าชายสุดหล่อวิ่งตามมาง้ออย่างในซีรีส์หลังข่าว

     

     

    แล้วก็นั่นแหละ ทะเลาะกันเพราะเรื่องงี่เง่าพิเรนทร์พันธุ์นี้เลย

     

     

    “ไม่เอาน่า จะโกรธกันไปถึงไหน ก็แค่ล้อเล่นเอง”

     

     

    “ไปไกลๆเลย” ใบหน้าหล่อเบี่ยงหลบเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเชยคางเขาขึ้นไปสบตา มาไม้นี้ทุกที ตอนทำลงไปน่ะไม่เคยสนใจความรู้สึกเขาบ้างเลย ลู่หานก็ยังเป็นลู่หานที่ติดเล่นและคิดว่าจะทำอะไรกับความรู้สึกใครก็ได้

     

     

    “ต้องให้ทำยังไงถึงจะหายโกรธล่ะหือ ปล้ำแม่งตรงนี้เลยดีไหม”

     

     

    “ลู่หาน!

     

     

    ขนาดคบกันมาตั้งเกือบสี่เดือนแล้ว ไอ้สิ่งที่ควรจะเปลี่ยนก็ดันไม่เปลี่ยน บ่อยครั้งเรามีความเห็นไม่ตรงกัน ตัดสินใจเดินไปคนละทางเพราะขี้เกียจทะเลาะ แต่พอได้ลองคิดถึงกันสักคืนหนึ่ง ใครสักคนก็ต้องเป็นฝ่ายขอโทษในวันรุ่งขึ้นอยู่ดี

     

     

    ถ้าลู่หานเป็นคนจริงจังไม่ทีเล่นทีจริงอย่างนี้เซฮุนจะชอบไหม ในขณะที่ถ้าเจ้าชายเป็นเสือผู้หญิงและไม่เอาแต่ทำหน้านิ่งตลอดเวลาอย่างนั้นลู่หานจะชอบหรือเปล่า ทุกครั้งที่คิดอย่างนี้ ทิฐิในใจก็จะลดลงเพียงเพราะเราต่างยอมรับว่าได้หลงรักกันและกันไปแล้ว บางทีอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าลู่หานอาจจะนึกเบื่อความสัมพันธ์หลบๆซ่อนๆนี้อย่างที่เซฮุนกลัว แต่ทุกอย่างก็คืออนาคต

     

     

    คือสิ่งที่ยังไม่เกิดทั้งสิ้น

     

     

    “น่า มองกันหน่อยสิครับ” ปลายนิ้วเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมาได้สำเร็จ เวลาที่เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงอย่างนี้ ใจมันแทบทนไม่ได้จนอยากจับมาฟัดแรงๆเสียทุกที “ขอโทษที่เล่นแรงไปหน่อย ก็อยากให้สนใจ”

     

     

    เซฮุนหลุบสายตาลง แต่ยิ่งทำอย่างนั้น มือเรียวก็ยิ่งรั้งให้ใบหน้าหันกลับมาและโน้มลงจนอยู่ในระดับสายตาเดียวกันอีก แน่นอน เขากลัวว่าจะมีใครมาเห็น ตรงข้ามกับลู่หานคนที่ไม่เคยกลัวอะไรอย่างสิ้นเชิง คนตัวเล็กกว่ายิ้มเจ้าเล่ห์ ส่งสายตาท้าทายว่าถ้าจูบมันตรงนี้อย่างที่ขู่แล้วเขาจะยอมไหม

     

     

    เปลือกตาบางปิดลงเมื่อลู่หานจูบริมฝีปากเบาๆหลังมองซ้ายขวาแล้วไม่เห็นใคร การงอนง้อของพวกเขามันก็แค่นี้ ในเมื่อลู่หานไม่ใช่คนจริงจัง เซฮุนก็คิดว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรถ้าเขาโกรธจริงจังเช่นกัน

     

     

    “รู้อยู่ว่าขี้หึง ปฏิเสธคนอื่นไปบ้างสิ”

     

     

    “อืม...”

     

     

    “มีแฟนแล้ว อย่าคิดว่าจะทำอะไรก็ได้” แถมการเลิกคิ้วใส่ทีหนึ่งเสียด้วย ชักจะเอาใหญ่แล้ว ทีตัวเองไปเรียกคนนู้นคนนี้ว่านูน่ายังไม่เห็นพูดถึงเลย หากเถียงไปก็มีแต่แพ้ ข้ออ้างร้อยแปดของลู่หานก็ตะล่อมให้เขายอมใจอ่อนได้ทุกทีนั่นแหละ

     

     

    ทั้งคู่ยังยืนคุยกันอยู่ระหว่างราวบันได ร่างผอมล้วงเอาสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดให้เซฮุนดูอะไรบางอย่าง คนมองตาโต กวาดสายตาอ่านบทสนทนาที่ติดมาทางด้านบนคร่าวๆแล้วไม่อยากนึกเชื่อตาตัวเอง

     

     

    ลู่หานยิ้มเป็นต่อ พอใจที่คนรักแสดงท่าทีตกใจเสียใหญ่โตขนาดนั้น “เป็นไง”

     

     

    “จะเอาให้แบคฮยอนหรือเปล่า” เซฮุนถามด้วยความอยากรู้ จริงอยู่ที่ลู่หานเล่าให้เขาฟังตลอดว่าคุยอะไรกับทางนั้นบ้าง ทั้งเล่าความเป็นไปของที่นี่ ส่งผ่านความคิดถึง และแอบถ่ายรูปของคนไม่เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คเพื่อโพสต์ให้อีกฝ่ายดูบ่อยๆ ถึงอย่างนั้นก็รบเร้าให้กลับมาที่นี่ไม่สำเร็จ ชีวิตที่ต่างเมืองของเพื่อนอีกคนเริ่มลงตัวแล้ว

     

     

    “ไม่เหลือ งานนี้ต้องมีเซอร์ไพรส์” ว่าพลางพิมพ์ยุกยิกตอบกลับไปในแอพพลิเคชั่นแชท มือเรียวเอื้อมมาให้คนรักเห็นได้ถนัดว่าพิมพ์อะไรลงไป มันทำให้เซฮุนอมยิ้ม ถ้าเป็นแผนพิเรนทร์ครั้งนี้ล่ะก็ เขาเห็นด้วย

     

     

     

     

    จะส่งของขวัญไปให้ รอรับดีๆล่ะ

     

     

     

     

    ทั้งคู่กลับมาถึงห้องเรียนหลังจากนั้นไม่กี่นาที เพื่อนหลายคนเริ่มทยอยกลับไปอ่านหนังสือต่อที่บ้าน เมื่อเซฮุนถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง ลู่หานจึงกล่าวว่านัดแบคฮยอนเอาไว้แล้ว ถ้ามีธุระต้องกลับก่อนจริงๆก็น่าจะโทรบอกกันก่อน แต่พอพูดคำว่าสบายใจได้ออกไปปุ๊บ เปิดประตูไปก็เจอเพียงคนที่เขาตั้งตัวเป็นอริด้วยความหมั่นไส้เต็มแก่นั่งพิงขอบหน้าต่าง นอกนั้นเป็นกลุ่มเด็กเรียนที่เหลืออยู่ประปราย

     

     

    “แบคฮยอนไปไหน”

     

     

    “กลับไปแล้วมั้ง” คิมจงอินพูดตอบด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ เซฮุนนึกอยากให้นี่เป็นหนึ่งในร้อยวันพันปีที่สองคนนี้ญาติดีกันเสียที ขนาดไม่มีชนวนอะไรแล้วก็ยังเขม่นกันอยู่ได้ พอกลัวคนอื่นรำคาญมากๆเข้าก็เล่นใส่กันเป็นภาษาจีน ดูไปดูมาเหมือนเด็กทะเลาะกันไม่มีผิด

     

     

    “ใช้สมองตอบหน่อยเถอะ ก็กระเป๋ายังแขวนอยู่นี่ แล้วจะกลับไปได้ยังไง”

     

     

    เซฮุนรั้งแขนคนข้างตัวเอาไว้ ไม่อยากจะคิดว่านี่คงเริ่มหาเรื่องกันอีกแล้ว

     

     

    “สมองมันสั่งว่าไม่อยากตอบน่ะ” จงอินยิ้มยียวน แกล้งมองล้อเลียนภาพตรงหน้าจนร่างโปร่งต้องลดมือลงไว้ข้างตัว เซฮุนไม่อยากให้ใครดูออกเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับลู่หาน เห็นอย่างนั้นคนมองก็แค่นยิ้มแล้วเสสายตาออกไปนอกหน้าต่างดังเดิม คำตอบกลายๆก็คือแบคฮยอนดูแลแปลงดอกไม้อยู่ข้างล่าง หลังจากบ่นกับเขาเช้าเย็นว่าถ้าหิมะตกแล้วกลัวมันจะเฉา

     

     

    จงอินยังคงมองแบคฮยอนอยู่เสมอ กลายเป็นเขาที่ต้องรักษาระยะห่างเสียเองเมื่อเราคืนความเป็นเพื่อนให้แก่กันและเลือกทางที่สบายใจที่สุดเช่นชีวิตมัธยมต้น รู้ทั้งรู้ว่าทำแบบนี้แล้วเป็นการทำร้ายตัวเอง แต่คิมจงอินไม่ต้องการให้ใครมาเข้าใจ อะไรที่ทำให้เขาหลงรักแบคฮยอน อะไรที่ทำให้คนโง่ๆคนนี้พอจะมีความสุขได้โดยไม่ต้องสร้างความอึดอัดขึ้น อย่างน้อย คิดในแง่ดีคือไม่มีศัตรูหัวใจคนไหนมาเป็นหนามทิ่มแทงตาอีก และเขาควรพอได้แล้ว

     

     

    “งั้นเราไปหาแบคฮยอนข้างล่าง --”

     

     

    “เดี๋ยวก่อน” จงอินขัด ใบหน้าคมหันมามองทั้งสองคนอีกครั้ง หากแต่ไม่มีแววของความกวนประสาทใดๆหลงเหลืออยู่ “อีกสักพักแบคฮยอนก็ขึ้นมาแล้ว รอในห้องนี่แหละ”

     

     

    แล้วก็เป็นอย่างที่จงอินว่าจริงๆ ไม่กี่นาทีต่อมาร่างเล็กปลีกตัวเองไปล้างมือล้างไม้ ใช้เวลาเดินกลับขึ้นมาบนห้องอีกหน่อย เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสามคนอยู่พร้อมหน้ากันก็แย้มยิ้มกว้างแล้วจัดการเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างใจเย็น

     

     

    “เห็นเมื่อตอนกลางวันลู่หานบอกว่าให้ฉันรอ มีอะไรหรือเปล่า”

     

     

    คนถูกถามมองผ่านไปทางเจ้าของผิวสีแทนด้วยสายตาไม่ไว้ใจครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสั่งให้เซฮุนค่อยกันท่าเอาไว้แล้วพาแบคฮยอนแยกตัวออกไปทางฝั่งประตูห้อง มือเรียวล้วงเข้าไปในกางเกงเพื่อควานหาโทรศัพท์ ส่วนอีกมือก็แบขอโทรศัพท์อีกฝ่ายมาถือไว้ด้วยมือขวาพลางมองสลับไปมาแล้วกดยุกยิก คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย ทั้งแปลกใจและไม่เข้าใจว่าเพื่อนชาวจีนกำลังทำอะไร ไอ้ของที่ว่าจะให้มันอยู่ในโทรศัพท์หรือ

     

     

    “เอ้านี่” แบคฮยอนรับมาอย่างงุนงง บนนั้นเป็นที่อยู่ที่ถูกบันทึกในแอพพลิเคชั่นโน้ต จริงอยู่ที่ลู่หานส่งข้อความเอาก็ยังได้ แต่เพราะเขาคิดเผื่อไว้แล้วว่าเพื่อนคงไม่เข้าใจถึงได้รอให้ต่อหน้า “แทกูไง”

     

     

    ที่อยู่บนนั้นอยู่ในเมืองแทกูจริงๆ แต่คนฟังไม่รู้ว่าลู่หานเอาให้เขาดูทำไม

     

     

    “โธ่เอ๊ย” ร่างผอมเกาศีรษะจนเรือนผมยุ่งเหยิง ลิ้นชื้นแลบเลียริมฝีปาก เขยิบตัวเองเข้ามาใกล้แล้วจิ้มบอกให้แบคฮยอนเอาที่อยู่ในไปเสิร์ชหาตำแหน่งบนแผ่นที่ “บอกหน่อยเถอะว่านี่ไม่เข้าใจจริงๆสินะ”

     

     

    “อื้ม”

     

     

    แบคฮยอนมองคนข้างๆหันไปกรอกตาใส่เซฮุน ส่วนจงอินก็มองมาด้วยความอยากรู้เต็มแก่แต่รักษาท่าทีเอาไว้ ลู่หานทำอย่างกับเราสองคนอยู่ในสถานการณ์ลับสุดยอด บอกพิกัดแลกเปลี่ยนสินค้า หรืออะไรที่โอเวอร์อล่างฉ่าง เอาเป็นว่าเขาดูหนังมากไป และชักจะฟุ้งซ่านเกินพอดีแล้ว

     

     

    เพื่อไม่ให้หงุดหงิดใจไปมากกว่านี้ ลู่หานโน้มตัวไปกระซิบใส่หูเพื่อนตัวเล็ก

     

     

    บยอนแบคฮยอนทำตาโต หัวใจเต้นโครมครามจนเหมือนจะหลุดจากอก นี่มันเป็นไปได้อย่างไรที่ลู่หานสรรหาในสิ่งที่เขาถอดใจไปสามเดือนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ปื้นแดงเปรอะไปทั่งใบหน้าขาว มันทำให้พวงแก้มของแบคฮยอนร้อนฉ่า ปากอยากพูดทบทวนประโยคเมื่อครู่แต่ก็มีแค่ลมเปล่าพ่นออกมาจากปากเท่านั้น

     

     

    ไม่จริงใช่ไหม... ที่นี่ --

     

     

     

     

    “ตอนไปถึงก็ผูกริบบิ้นไว้บนหัวด้วยล่ะ บอกว่าของขวัญจากสุดหล่อส่งมา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย

     

     

    แบคฮยอนฟุบศีรษะลงกับโต๊ะ มือเลื่อนไปกดเปิดหน้าจอโทรศัพท์ที่ค้างไว้ในแอพพลิเคชั่นโน้ต ที่อยู่ของใครบางคนเด่นหราอยู่บนนั้น แถมลู่หานยังจัดการเฟเวอริทโลเกชั่นไว้ให้เสร็จสรรพ ปากก็บอกว่าถ้าไปเมื่อไรเดี๋ยวจะแสตนด์บายรอรับสายอย่างดี แต่เชื่อเถอะว่าตั้งแต่ได้สิ่งนี้มา ใจของเด็กหนุ่มก็ลอยไปอยู่ที่เมืองใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศเรียบร้อยแล้ว

     

     

    เขาชั่งใจเหลือเกินว่าควรไปตามแรงยุยงของเพื่อนดีไหม ภาพแผ่นหลังของคนที่ขึ้นรถคันสีบลอนซ์เมื่อสี่เดือนก่อนยังติดแน่นอยู่ในความคิด เช่นเดียวกับดวงตาหม่นแสงและความเจ็บปวดซึ่งมองตรงมายังเขาภายในห้องวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นชานยอลคิดอะไรอยู่ บางทีถ้าแบคฮยอนรู้บ้างสักนิด อะไรๆก็คงไม่แย่ลงกว่าที่เป็นตอนนี้

     

     

    ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง สร้างกำแพงสูงใหญ่ขึ้นมากั้นตัวเองกับชานยอลเอาไว้ทั้งที่ดีขึ้นแล้วแท้ๆ ไม่ดีเลย ไม่อยากให้เป็นแบบนี้

     

     

     

     

    แล้วถ้าชานยอลไม่อยากเจอฉัน...

     

     

    โอ๊ย ให้มันจริงเถอะ ถ้าหมอนั่นไม่อยากเจอนายจริงๆ ฉันจะคลานไปรับถึงแทกูเลย!’

     

     

     

     

    คำพูดของลู่หานเมื่อตอนเย็นยังคงชัดเจน เพื่อนทั้งสองคนอยากให้เขาเดินทางไปแทกูพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือหลังสอบก็ได้ถ้าอยากจัดการอะไรๆให้เรียบร้อยก่อน แบคฮยอนไม่เคยต้องเดินทางไกลคนเดียว แต่เขากังวลมากกว่าว้าไปถึงแล้วจะต้องระเห็จกลับมาทั้งน้ำตา

     

     

    คงถูกปาร์คชานยอลเกลียดแล้วแน่ๆ

     

     

     

     

    ก็ให้ดูไม่ได้หรอกนะว่าคุยอะไรกันบ้าง แต่ชานยอลมันถามถึงนายทุกครั้งนั่นแหละ

     

     

     

     

    มือที่จับเครื่องโทรศัพท์บีบเข้าหากันแน่น เขาไม่อยากเป็นคนขี้ขลาดอีกแล้ว ถ้าโอกาสครั้งนี้คือการบอกให้เขาแก้ตัวเรื่องที่ไม่กล้าทำทุกอย่างให้ชัดเจนมาตลอด ในเมื่อสิ่งที่กลัวยังไม่เกิด ในเมื่อชานยอลยังไมได้พูดออกมาเลยว่าเกลียดเขาแล้ว

     

     

    ถ้าเป็นอย่างนั้น บยอนแบคฮยอนก็ควรลองดูสักตั้งใช่ไหม?

     

     

    “ขอบคุณนะ ลู่หาน เซฮุน”

     

     

    แล้วก็คิมจงอินที่ส่งยิ้มมาให้ แม้ว่าจะเป็นในฐานะเพื่อนก็ตาม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ตาเรียวรีมองออกไปนอกหน้าต่าง หิมะแรกของปีตกลงในเช้าวันเสาร์ที่ยี่สิบเจ็ดเดือนพฤศจิกายน พอดีกันกับที่การสอบปลายภาคของเทอมแรกสิ้นสุดลง พวกเขามีเวลาได้เที่ยวสนุกสุดเหวี่ยงและเล่นหิมะให้เต็มที่ เพราะหลังจากช่วงปีใหม่ไปไม่กี่วัน เทอมที่สองก็จะเริ่มขึ้น ถึงตอนนั้นหิมะคงน้อยลงให้พอเดินทางได้สะดวกแล้ว แบคฮยอนจองตั๋วรถไฟไว้รอบบ่ายโมง ซึ่งอันที่จริง เขาอยากได้เป็นรอบเก้าหรือสิบโมงเช้ามากกว่า แต่เพราะไม่รู้มาก่อนว่าทางสถานีจำเป็นต้องลดรอบและช่วงเช้าเต็มหมดแล้ว ฉะนั้นคงผิดที่เขาเองซึ่งตัดสินใจช้าและเพิ่งจองตั๋วได้เมื่อสองวันที่ผ่านมา

     

     

    ร่างเล็กเดินลงบันไดมาพร้อมกระเป๋าเป้ที่มีข้าวของส่วนตัวและเสื้อผ้าสำรองไว้หนึ่งชุด ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจจะค้าง แต่ครอบครัวของเขาสอนให้เตรียมพร้อมไว้เสมอในกรณีฉุกเฉิน เมื่อลงมาถึงข้างล่างตอนสิบเอ็ดโมง ก็พบพ่อกับแม่ที่กำลังนั่งอยู่ตรงโซฟาหน้าโทรทัศน์หันมามองด้วยสายตาเป็นห่วง แบคฮยอนเตรียมใจไว้ตั้งแต่ตื่นมาแล้วว่าแม่จะพูดอะไร

     

     

    “หิมะตกขนาดนี้ ยังจะไปกันอีกเหรอลูก”

     

     

    ลูกชายเพียงคนเดียวยิ้มแห้งๆ กระชับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลและผ้าพันคอ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วสวมกอดแม่กับพ่อเพื่อหอมแก้มคนละที “ผมจะดูแลตัวเองครับ สัญญา”

     

     

    เสียงออดจากหน้าบ้านดังขึ้น แผนการที่เตรียมไว้เริ่มขึ้นแล้ว สิ่งหนึ่งที่เหลือเชื่อคือคิมจงอินพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายว่าจะอาสารับหน้าที่มาเป็นตัวหลอกล่อให้ที่บ้าน เพราะถ้าบอกว่าจะไปเที่ยวไกลๆอย่างนี้ ให้คนที่ได้รับความไว้วางใจมาออกหน้าพูดกับคุณและคุณนายบยอนแทนคงดีกว่า ซึ่งการยกโขยงกันมารับเพื่อนเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย (ลู่หานกัดว่าหมอนี่มันพวกโกหกได้เป็นธรรมชาติ)

     

     

    “สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่” จงอินโค้งศีรษะให้อย่างนอบน้อม บนบ่ามีกระเป๋าเป้สีดำที่ไม่ได้ใส่อะไรเอาไว้นอกจากตีให้มันพองๆออกเท่านั้น

     

     

    “จงอิน หิมะข้างนอกตก --” แม่พูดคำเดียวกับที่พูดไปเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน ตั้งแต่ที่ตื่นมาเห็นหิมะตก เขาก็คิดคำพูดดีๆเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

     

     

    “ผมดูพยากรณ์อากาศเอาไว้แล้ว คงไม่ตกหนักไปกว่านี้หรอกครับ ไม่น่ามีปัญหา”

     

     

    เจ้าของผิวสีแทนยิ้มแป้น ในใจเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าแล้วถ้าพยากรณ์จริงๆบอกว่าหิมะตกหนัก เขาคงงานเข้าอย่างไม่ต้องสืบ ซึ่งโชคดีเหลือเกินว่าบ้านบยอนให้ความเชื่อใจเพื่อนคนนี้มากเหลือเกิน เมื่อบอกออกไปอย่างนั้นถึงพาแบคฮยอนออกมาได้ในสภาพตาละห้อย วันนี้จงอินเอารถของพ่อมา แถมแสดงน้ำใจด้วยการบอกว่าจะขับพาไปส่งถึงสถานีอีกต่างหาก

     

     

    “รู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องโกหก” แบคฮยอนโอดครวญ ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็หัวเราะลั่น

     

     

    “ถ้าบอกว่านายตีตั๋วไปแทกูคนเดียว มีหวังคงจะได้ออกมาหรอก”

     

     

    เขาหมุนพวงมาลัยรถด้วยมือเดียวในท่าทางเอกเขนก ไม่รู้ว่าจงอินขับรถเป็นตั้งแต่เมื่อไร หนำซ้ำยังไม่มีใบขับขี่ที่ถูกต้องอีกต่างหาก แต่ไหนแต่ไร จงอินก็ตรงข้ามกับแบคฮยอนแทบทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตาที่อย่างกับหลุดออกมาจากหนังสือแฟชั่น ความคิดความอ่านเจ่าเล่ห์เพทุบายแล้วยังฉลาดเป็นกรด หนำซ้ำจงอินยังถนัดเรื่องโกหกหน้าตายถ้ามันทำให้เกิดผลดีต่อตัวเองอีกต่างหาก (เพราะอย่างนี้ ลู่หานถึงค่อนขอดอีกว่าแบคฮยอนจะได้ไปถึงสถานีจริงหรือเปล่า ไม่ใช่แกล้งเลี้ยวไปเจอด่านตำรวจให้เสียเวลาจนไม่ทันรอบรถไฟหรอกนะ)

     

     

    “แบคฮยอน” คนฝั่งคนขับเอ่ยเรียก ตอนนี้รถติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยก อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงสถานีแล้ว เพราะอย่างนั้นสบายใจได้ว่าครั้งนี้จงอินคงไม่เล่นตุกติกอะไร “อย่างที่ตกลงกันไว้ ถ้ามีปัญหาอะไรให้โทรมาบอกทันที เข้าใจไหม”

     

     

    อีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วงทั้งที่ตาไม่มองมาทางนี้ บางที แบคฮยอนก็คิดว่าตัวเองใจร้ายเกินไปที่ยังยอมรับความช่วยเหลือเรื่องชานยอลจากเพื่อนคนนี้อยู่ เขายังจำคืนนั้นได้ชัดเจน คืนที่ดวงตาของจงอินสั่นไหว เจ็บปวด และขอร้องให้เขาอยู่ด้วยกันที่ตรงนั้น แต่แบคฮยอนกลับเลือกเดินออกมาเพื่อพานพบความว่างเปล่า เขายืนอยู่ท่ามกลางพลุบนท้องฟ้าเพียงลำพัง เพราะอย่างนั้น ความรู้สึกของจงอินก็คงไม่ต่างกัน

     

     

    “ขอบคุณนะจงอิน”

     

     

    เป็นเสียงขอบคุณที่ช่างแผ่วระโหย จงอินไม่ได้ยิ้มรับ ดวงตาคมยังทอดทองไปข้างหน้าเพื่อรอเคลื่อนตัวบนพื้นถนนอีกครั้ง ถ้ามีเพลงสักเพลงถูกเปิดคลอดับความเงียบเอาไว้ในตอนนี้ พวกเขาอาจจะยังพอตีหน้าซื่อเพื่อแสร้งทำว่าเรื่องเมื่อสี่เดือนก่อนไม่เคยเกิดขึ้น แบคฮยอนชั่งใจหลายต่อหลายครั้ง เราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อย่างเดิมหรือเปล่า ที่จงอินพาเขาไปดูชานยอลที่ห้องพักครูในวันนั้นจะเจ็บปวดบ้างไหม

     

     

    “ถือว่าเป็นคำไถ่โทษ ถ้าเกิดว่านายร้องไห้กลับมา --”

     

     

    ร่างหนาเหยียบคันเร่งเพื่อออกตัวจากไฟแดง แวบหนึ่ง ตาคู่นั้นสั่นไหว แต่เมื่อบังคับให้มันสงบนิ่งลงดังเดิมได้ จงอินถึงยอมพูดประโยคต่อมา

     

     

    “ถึงตอนนั้น เราค่อยเริ่มกันใหม่”

     

     

    อย่างหนึ่งที่คิมจงอินยอมรับได้ก็คือเขากลายเป็นคนที่กลับมาแทรกกลาง ตลกดีเหมือนกันที่ถ้าไม่มีแผนการยึดแบคฮยอนไว้ตัวตลอดสองปีนั้น ปาร์คชานยอลก็อาจจะไม่มีโอกาสเข้ามาทำคะแนนจนได้ใจคนตัวเล็กไปอย่างเช่นตอนนี้ แม้แต่ตอนที่ตัดสินใจทำ จงอินรู้ว่าเป็นเพราะเขาเองก็ไม่อาจรู้อนาคตที่กำลังจะเกิด หรือถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึก ตามธรรมชาติ จะมีโอกาสมากกว่าไหมที่คนสมหวังจะกลายเป็นเขาซึ่งนั่งตรงนี้และพาแบคฮยอนไปเดท

     

     

    เมื่อจอดรถลงที่หน้าสถานี เขารวบรวมความกล้าครั้งสุดท้ายเอื้อมมือไปกดศีรษะอีกคนเข้ามาแนบอก ถึงมันจะแสดงออกให้แบคฮยอนรู้ว่าเขาคิดไม่ซื่อ แต่ช่างปะไรล่ะ ในเมื่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้า รถไฟก็จะเคลื่อนตัวออกเพื่อพาไปเจอปาร์คชานยอลแล้วนี่

     

     

    “แต่ถ้าสมหวังล่ะก็ ไม่ต้องโทรมาบอกนะ”

     

     

    เขาพูดติดตลก

     

     

    “เดี๋ยวจะตัดใจเงียบๆ”

     

     

    ถึงจะเป็นคำพูดทีเล่นทีจริง แต่มันก็ทำให้คนฟังหลุดหัวเราะเบาๆออกมาเช่นกัน แบคฮยอนรู้ว่าจงอินอยากให้เขาเข้าใจว่านี่เป็นคำพูดล้อเล่น แต่ต่อให้ต้องร้องไห้ ผิดหวัง หรือเหลือเยื่อใยใดๆจากคนที่แทกูแล้ว แบคฮยอนก็ไม่ได้มีความคิดที่จะโทรมาระบายเพื่อขอให้ใครเป็นห่วง เอาเข้าจริงเขาก็เตรียมใจไว้ห้าสิบ-ห้าสิบ สี่เดือนไม่ได้สร้างความมั่นใจให้การรอคอยขนาดนั้น

     

     

    “ขอบคุณจริงๆนะ ฉันหายโกรธจงอินแล้วล่ะ” เขาไม่เคยพูดให้อภัยอีกฝ่ายอย่างจริงจัง นี่คงจะเป็นสิ่งที่ตกค้างในใจของเราสองคนมาตลอด และมันคงดีถ้าแบคฮยอนบอกให้รู้ว่าสองปีนั้นทำให้เขาได้เจออะไรดีๆมากมาย “ถึงจะเห็นแก่ตัว... แต่ฉันก็ยังอยากได้จงอินเป็นเพื่อนต่อไป”

     

     

    “คือหักอกรอบสองตั้งที่ฉันยังไม่เริ่มใช่ไหม”                                

     

     

    คนตัวเล็กหัวเราะ “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่จะใช่ก็ได้ -- โอ๊ะ

     

     

    จงอินเลื่อนมือไปบีบจมูกเล็กอย่างหมั่นเขี้ยว หายจากกันไปแค่สองปี เชื่อเลยว่าจากคนขี้กลัวอย่างนั้นจะกล้าพูดอะไรแบบนี้แล้ว ปาร์คชานยอลหรือลู่หานเป็นคนสอนกันแน่ แล้วแบบนี้ เขาจะตัดใจได้ง่ายขึ้นจริงๆหรือ “ไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวก็ตกรถหรอก”

     

     

    แบคฮยอนคนที่ยิ้มมากขึ้น คนที่หัวเราะได้แม้ว่าคำพูดนั้นจะเคยทำร้ายให้เราตกอยู่ในสานะที่น่าอึดอัดจนไม่อาจกระดิกตัว มานึกดูดีๆแล้ว จะว่าเป็นความดีความชอบของคิมจงอินได้ไหมแบบนี้

     

     

    รถไฟออกตัวช้ากว่ากำหนดการห้านาทีเพราะหิมะตกลงมาหนักกว่าที่คิด แบคฮยอนภาวนาให้ไม่มีปัญหาอะไรระหว่างการเดินทาง แค่นี้ก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว กว่าจะไปถึงแทกูคงราวสี่โมงเย็น ถ้ามีโอกาสได้เจอชานยอล พูดคุยปรับความเข้าใจแล้วกลับเที่ยวหกโมงเย็นก็น่าจะทัน ถึงลึกๆแล้วจะอยากใช้เวลาอยู่ด้วยอีกสักหน่อยก็เถอะ

     

     

    เซฮุนโทรมาถามว่าถึงไหนแล้วตอนบ่ายสอง ความกระวนกระวายใจเข้าเล่นงานร่างเล็กเพียงเพราะได้ยินผู้โดยสารบนขบวนคุยกันว่าอาจจะถึงที่หมายช้ากว่ากำหนด หิมะเป็นปัญหาของการเดินทางเสมอ ถึงอย่างนั้น การนั่งรออยู่บนนี้ก็ยังเห็นจุดหมายใกล้กว่าใช้บริการรถบัสโดยสารมาก

     

     

    กระทั่งสี่โมงสิบนาที รถไฟก็ยังไม่ถึงที่หมายซึ่งคือสถานีแทกูตามเวลาปกติ ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำทั้งที่เป็นเวลาเพียงสี่โมง แบคฮยอนกังวลใจว่าเขาอาจจะถึงที่บ้านของชานยอลมืดค่ำ โชคดีอีกอย่างคือความเป็นเมืองใหญ่ของแทกูทำให้พอมีรถแท็กซี่บริการอยู่ตามสถานีบ้าง นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบห้าโมงเย็น ซึ่งเขาคงกลับไม่ทันรอบหกโมงแน่แล้ว

     

     

    แบคฮยอนบอกชื่อถนนและเอาแผนที่ในแอพพลิเคชั่นให้โชเฟอร์ท้องถิ่นช่วยดู ระหว่างนี้ก็ใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย เขาต้องเดินเข้าไปอีกหน่อยถ้าไม่อยากทนรถติดบนถนนใหญ่เพื่ออ้อมไปอีกทาง นี่เป็นการเดินทางลำพังเพียงครั้งแรก และลู่หานกับเซฮุนก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเรื่องเส้นทาง

     

     

    ร่างเล็กเหลียวมองไปรอบๆ เพราะแถวนี้เป็นชานเมืองถึงไม่ได้มีคนเดินผ่านไปมาให้แวะถามง่ายๆเช่นในโซล ต่างจังหวัดก็คือต่างจังหวัด พอฟ้าเริ่มมืด ชีวิตการเป็นอยู่ของคนที่นี่ก็ฝังตัวลงกับครอบครัวภายใต้หลังคาบ้าน ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว ตอนหกโมงอย่างนี้ แบคฮยอนยังเจอเด็กนักเรียนโรงเรียนอื่นเดินไปมาอยู่เลย เขาเดินไปตามแผนที่ด้วยความงุนงง ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่เห็นบ้านเลขที่ที่ลู่หานให้ไว้สักนิด ตอนนี้ฟ้ามืดลงจริงๆแล้ว และคงแย่แน่ถ้าต้องหาทางกลับไปสถานีทั้งที่แท็กซี่หาได้ยากอย่างนี้

     

     

    จะทำอย่างไรดี ถ้าหันหลังกลับตอนนี้ก็ยังพอจองรอบรถไฟทัน

    แต่จะกลับไปแบบง่ายๆ -- ทั้งที่ยังไม่เจอชานยอลเลยน่ะเหรอ

     

     

    ( หาบ้านชานยอลไม่เจอเหรอ )

     

     

    “อื้ม” เซฮุนถามมาด้วยความเป็นห่วง เห็นว่าตอนนี้ลู่หานก็มาอยู่ที่บ้านด้วยแต่โทรหาชานยอลแล้วไม่มีคนรับ ทั้งที่ตกลงกันว่าจะให้แบคฮยอนมาเซอร์ไพรส์เพื่อนตัวสูง แต่ท่าจะไม่ดีแล้ว “ตอนนี้มืดแล้วด้วย”

     

     

    ( เอาไงดี กลับมาก่อนไหม ไว้รอบหน้าค่อยไปด้วยกันหมดนี่ )

     

     

    ปลายสายเสนอ ตอนนี้ปาเข้าไปหกโมงครึ่ง ถึงจะมีเด็กนักเรียนและผู้หญิงวัยกลางคนเดินผ่านมาทางนี้บ้างสองสามคน แต่พอเอาบ้านเลขที่ให้ดู ทุกคนก็เอาแต่ขมวดคิ้วและนึกไม่ออกว่ามันอยู่ส่วนไหนของทางที่ซับซ้อนแถวนี้กันแน่ แต่แบคถามทางออกสู่ถนนใหญ่ไว้แล้ว เขาต้องเผื่อเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อรอแท็กซี่มารับด้วย

     

     

    เสียงลู่หานแว่วมาจากที่ไกลๆว่าไม่รับสายเลย หรือชานยอลรู้ว่าเขาจะมานะ... แต่ถ้ารู้ก็ยิ่งต้องติดต่อได้สิ เว้นแต่ว่าจะเกลียดและไม่อยากเจอหน้ากันจริงๆแล้ว

     

     

    โอเค จะร้องไห้ก็ได้ แต่ต้องเป็นหลังจากกลับถึงบ้านก่อน

     

     

    “โฮ่ง! โฮ่งๆ”

     

     

    ผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเห่าไล่อยู่ทางด้านหลัง แบคฮยอนไม่ได้กลัวสุนัข แต่ถ้าเป็นสุนัขตัวใหญ่ๆ เขี้ยวคมๆ เขาก็คิดว่าคงไม่ดีแน่

     

     

    “ฮานิ! หยุดเลย!

     

     

    หากแต่ที่เรียกให้หันไปกลับเป็นเสียงทุ้มคุ้นหูของใครบางคน แย่แล้ว... หัวใจเจ้ากรรมมันเต้นดังโครมครามจนเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ เขาก็คงแค่ถอนหายใจและรีบเดินออกถนนใหญ่ไปรอแท็กซี่ให้ไวที่สุด แล้วถ้าใช่ล่ะ... ถ้าเกิดว่า --

     

     

     

     

    “แบคฮยอน?”

     

     

    ถ้าเกิดว่าคนตรงหน้าเป็นร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อฮู้ทสีดำที่กำลังลูบหัวเจ้าโกลเดนรีทีฟเวอร์ตัวโตชื่อฮานิตัวนั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เจ้าบ้าลู่หานเอ๊ย...”

     

     

    พอทิ้งตัวลงบนที่นั่งหินในสวนสาธารณะใกล้ๆได้ ปาร์คชานยอลก็บ่นกระปอดกระแปดถึงเรื่องที่ลู่หานเอาเพื่อนไปขาย หนำซ้ำยังส่งให้แบคฮยอนมาลำบากไกลถึงที่นี่โดยที่ไม่คิดจะบอกเขาสักคำ มือใหญ่พันเอาสายจูงสุนัขไว้รอบมือตัวเอง แสร้งหลบซ่อนใบหูแดงๆด้วยการรับมือเมื่อถูกเจ้าฮานิกระโจนใส่ นานเท่าไรที่แบคฮยอนไม่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ไม่รู้กระทั่งชีวิตความเป็นอยู่เมื่อย้ายมาที่นี่

     

     

    “อย่าโทษลู่หานเลย คือ -- ฉันตัดสินใจจะมาเอง”

     

     

    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ร่างสูงไม่ยอมมองหน้าเขา แต่แบบนี้ดูเป็นชานยอลมากกว่าคนที่จากมาเมื่อสี่เดือนก่อนเยอะเลย “ก็น่าจะบอกกันก่อน”

     

     

    “ขอโทษ...”

     

     

    “ถ้าฉันไม่ได้พาฮานิออกมาเดินเล่น ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น...” ชานยอกยกมือขึ้นถูจมูกแรงๆ หน้าหนาวนี่แย่อย่างหนึ่ง ลำพังถ้าไม่ใช่คนป่วยง่ายก็คงดีอยู่หรอก แต่สำหรับคนแพ้อากาศที่ต้องฟึดฟัดทุกทีเมื่อเจออากาศเย็นๆแล้ว จะพูดเสียงขึ้นจมูกหรือจามเวลาจะกินขนมมันก็แย่ทั้งนั้น “ถ้าฉันไม่เจอแบคฮยอนจะทำยังไง ทั้งที่หิมะตกอย่างนี้”

     

     

    คนฟังหน้าสลด จะว่าชานยอลดุขึ้นก็ได้ แต่แผนแบบนี้มันไม่เข้าท่าเอาเสียเลยยิ่งเป็นในต่างเมืองด้วยแล้ว จริงๆลู่หานไม่น่าจะปล่อยให้เพื่อนมาคนเดียว แล้วมาถึงเอาเย็นป่านนี้ ดึกๆก็ยิ่งหารถกลับไปสถานีลำบาก คนต่างจังหวัดไม่เหมือนโซลที่มีแสงสีตลอดยี่สิบชั่วโมง ถึงแทกูจะเป็นใหญ่และเจริญแล้ว แต่ความคึกคักจอแจก็อยู่ในตัวเมือง หาใช่แถบที่พักอาศัย

     

     

    “อย่าโกรธลู่หานเลย เขาบอกว่าพยายามโทรหาชานยอลแล้ว...”

     

     

    คนถูกอ้างถึงเลิกคิ้ว “เมื่อไร”

     

     

    “ก็น่าจะราวๆชั่วโมงก่อน”

     

     

    ฮานิเดินรั้งสายจูงไปอีกทางเมื่อเห็นนกบนต้นไม้ พื้นหิมะบางๆที่มองเห็นรอยเท้าสุนัขแบบนั้นมันน่ารักชะมัด แบคฮยอนอยากเล่นกับฮานิบ้าง ทว่าเขาไม่กล้าพูดอะไรกับชานยอลมากไปกว่าสิ่งที่เจ้าตัวถามในตอนนี้

     

     

    “ฉันทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน กะว่าแค่พาฮานิออกมาเดินเล่นสักชั่วโมงสองชั่วโมง”

     

     

    พอมาเจอกันอีกครั้ง แบคฮยอนเชื่อว่าเรามีระยะห่างต่อกันแปลกๆ เสียงหัวใจเขายังคงเต้นเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ บางทีถ้าเราพูดคุยหรือหัวเราะได้อย่างเมื่อสี่เดือนก่อนก็คงจะดีไม่น้อย เพราะแม้แต่จะถามว่าชานยอลเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นี่สบายดีไหม หรือวันสุดท้ายที่เดินขึ้นรถคันนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ทุกอย่างก็ถูกกักเก็บไว้ภายใต้ความกลัวในใจทั้งสิ้น

     

     

    เราจากกันไม่ดีเลย

     

     

    บรรยากาศในคืนนี้คล้ายกับคืนที่ชุนชอน ทว่าหนาวเหน็บกว่ากันมาก หิมะที่โรยตัวลงมาคล้ายกับใครของคนทั้งคู่ในตอนนี้ ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีทะเลลึก ไม่มีแปลงดอกไม้เพื่อให้เรารำลึกความหลังดีๆอย่างนั้น ที่นั่งห่างกันในระยะครึ่งเมตรมีแค่ปาร์คชานยอลกับบยอนแบคฮยอน ส่วนที่เหลือคือความเงียบ

     

     

    “ฮานิ อย่าดื้อสิ” ชานยอลกระตุกสายจูงเพื่อเรียกเจ้าโกลเด้นสีน้ำตาลกลับมา ฮานิแลบลิ้นแผล่บๆซ้ำยังเลียกางเกงยีนส์สีดำเจ้าของจนเปียกชุ่ม เมื่อหมดความสนใจแล้วถึงเลยไปเลียชายเสื้อโค้ทของคนแปลกหน้าบ้าง “เฮ้! ไม่ได้นะ”

     

     

    แบคฮยอนหัวเราะเบาๆ อาศัยโอกาสนี้ลองลูบขนเจ้าตัวโตบ้าง “ไม่เป็นไรหรอก”

     

     

    ไม่รู้ว่าชานยอลหายอารมณ์เสียหรือยัง จะโกรธลู่หานอยู่ไหม แล้วดีใจหรือเปล่าที่ได้เจอกันอีกครั้ง ไม่มีอาการบ่งบอกมาจากคนร่างสูง คิ้วหนายังขมวดเข้าหากันน้อยๆ ส่วนใบหูแดงก่ำก็ไม่ได้ช่วยให้ระยะห่างนี้หดตัวเล็กลง ถ้ามีอะไรที่พอเรียกรอยยิ้มของเราออกมาได้ แบคฮยอนขอยกความดีความชอบให้สุนัขแทกูตัวนี้

     

     

    “มันเป็นตัวเมียเหรอ”

     

     

    “อืม ที่บ้านเลี้ยงไว้น่ะ”

     

     

    พอถามไปคำ ชานยอลก็ตอบมาคำ เป็นอย่างนี้แล้วแบคฮยอนก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เดิมทีเขาไม่ใช่คนชวนคุยเก่งนัก ความเงียบหยุดทั้งสองคนอยู่กับที่ ในขณะที่เข็มนาฬิกาบนข้อมือเล็กหมุนล่วงไปจนถึงหนึ่งทุ่มสิบห้านาที

     

     

    อย่าว่าแต่การคุยมันยาก แค่จะมองหน้ากัน ยังไม่มีใครกล้าเลย

     

     

    แบคฮยอนเผื่อใจมาแล้วว่าถ้าชานยอลไม่มีท่าทีอะไร หรือเอ่ยปากเขารีบกลับแค่เพียงคำเดียว คนตัวเล็กก็พร้อมจะไปจากที่นี่ทันที ความจริงที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือเวลาเปลี่ยนคน ตอนชอบกันเรายังใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือน พอจากกันนานขนาดนี้ ก็เป็นไปได้ว่าสิ่งที่เหลืออยู่ก้นความรู้สึกคงน้อยมากแล้ว

     

     

    “ชานยอลสบายดีไหม”

     

     

    แค่คำถามง่ายๆที่ไม่น่าเสียเวลาคิด ชานยอลยังเงียบอยู่นานเพื่อเรียบเรียงคำตอบ “สบายดี นายล่ะ”

     

     

    คนถูกถามกลับพยักหน้าหงึกหงัก เป็นอีกครั้งที่สมุดจดเตรียมการล่วงหน้าอาจจะจำเป็นในสถานการณ์นี้ มันคลับคล้ายคลับคลาช่วงแรกที่เรารู้จักกัน แต่แบคฮยอนกลับคิดว่าแตกต่างมากเหลือเกิน เพราะเมื่อเจ้าฮานิสงบ ก็ไม่มีเรื่องใดเรียกเสียงหัวเราะหรือรอยยิ้มจากเราทั้งคู่ได้อีกแล้ว

     

     

    หลังจากทนต่อความน่าอึดอัดถึงเกือบครึ่งชั่วโมง ร่างเล็กก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ถ้าเขารักษาเวลาและไปให้ทันรถไฟรอบสามทุ่มได้คงจะดีกว่าต้องหาโรงแรมเช่าแล้วโทรไปขอโทษคุณพ่อคุณแม่ทีหลัง อยากรู้แค่นี้ แค่อยากเห็นว่าชานยอลสบายดี แม้สิ่งที่ติดค้างในใจยังไม่ทุเลาลงเลยก็ตาม

     

     

    “แค่นี้ก็สบายใจแล้ว ฉันแค่อยากมาเจอ -- อะ!       

     

     

    เจ้าฮานิส่งเสียงเห่าเบาๆเมื่อเชือกที่ล่ามคอเอาไว้กระตุกเล็กน้อย ทั้งร่างของแบคฮยอนถูกรั้งลงให้นั่งบนตัก ใบหน้าหล่อของคนที่เกือบเรียกน้ำตาเขาซุกอยู่บนลาดไหล่ ฝังลงกับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลพลางเลื่อนวงแขนโอบรอบตัวแล้วกระชับไว้แน่น จากที่บอกตัวเองให้ใจแข็งและห้ามร้องไห้ตราบใดที่ยังไม่ถึงบ้าน แต่ตอนนี้แบคฮยอนคิดว่าคงฝืนมันไม่ไหวแล้ว

     

     

    “คิดถึง...”

     

     

    เสียงของชานยอลอู้อี้ แค่คำเดียวที่เอื้อนเอ่ยใกล้ใบหูและอ้อมกอดแนบแน่นเรียกให้น้ำใสรื้นขึ้นตรงขอบตา แบคฮยอนค่อยๆเลื่อนมือขึ้นมาจับท่อนแขนตอบ ในขณะที่เจ้าฮานินั่งทำตาใสมองเจ้านายของมันกอดอีกคนกลมท่ามกลางหิมะ

     

     

    จะตอบว่าอย่างไรดี คิดถึงเหมือนกัน แค่นี้จะพอให้ชานยอลรู้ความรู้สึกของเขาบ้างไหม

     

     

    “เป็นของขวัญที่ดีที่สุดเลย”

     

     

     

     

    ตอนไปถึงก็ผูกริบบิ้นไว้บนหัวด้วยล่ะ บอกว่าของขวัญจากสุดหล่อส่งมา

     

     

     

     

    วะ -- วันนี้วันเกิดชานยอลเหรอ” แบคฮยอนไม่รู้มาก่อนเลย เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่ไม่เงยขึ้นมาตอบดีๆ คำพูดมีลับลมคมในทั้งหมดทั้งมวลของลู่หานก็ได้รับการเฉลย เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมถึงอยากให้เขามาเซอร์ไพรส์นัก

     

     

    ยังมีเรื่องอีกมากที่เราไม่รู้จักกันดีพอ ยังมีเรื่องอีกมากที่เราไม่ได้พยายามทำความเข้าใจกับมัน ยังมีอีกมาก -- ความรู้สึกอีกมากมายเหลือเกินที่ยังไม่ถูกพูดออกไป ในตอนที่ถูกกอดอย่างนี้ ปาร์คชานยอลคงเป็นพระอาทิตย์จริงๆ เพราะท่ามกลางหิมะหนาว แบคฮยอนยังอุ่นไปทั้งใจ

     

     

    “ดีใจที่แบคฮยอนมาหา” ชานยอลขยับหน้าเกยคางบนไหล่เขา มือที่โอบรอบตัวยังคงรั้งเอาไว้จนไม่เหลือช่องว่างระหว่างแผ่นหลังกับอก “นึกว่าจะเกลียดกันเสียแล้ว”

     

     

    คิ้วเรียวเลิกสูง เป็นเขาต่างหากที่ต้องพูดคำนี้ “ฉันก็คิดว่าจะถูกชานยอลไล่กลับเหมือนกัน”

     

     

    “ไม่มีทางเลย”

     

     

    ขอให้แบคฮยอนยังไม่เห็นสิ่งที่เขาคุยกับลู่หานทีเถอะ ทั้งบ่นเช้าบ่นเย็นว่าคิดถึง แต่ก็ทำใจแข็งเพราะคิดว่าคงเข้าหน้าไม่ติด ตอนที่ตัดสินใจเมินหนีแล้วรีบขึ้นรถ ชายหนุ่มถึงรู้ว่าไม่มีวันใดจะเจ็บหัวใจได้เท่าตอนตัดสินใจแยกจากอีกแล้ว แต่เขาย้อนทุกอย่างกลับไปไม่ได้ ต่อให้อยากลืมภาพนั้น ลืมความรู้สึกของการถูกผลักไส เห็นแบคฮยอนอยู่ในอ้อมกอดของคนอื่น ถึงอย่างไร ชานยอลก็ต้องมาที่แทกูอยู่ดี

     

     

    “ขอโทษ...” ดวงหน้าหล่อหันไปมองข้างแก้มคนในอ้อมกอด แบคฮยอนตอนนี้ก็หน้าแดงไม่แพ้กัน ทั้งที่อากาศหนาวออกอย่างนี้ หรือจะเป็นเพราะเรากอดกันแน่นเกินไป “ขอโทษได้ไหมแบคฮยอน”

     

     

    “....”

     

     

    “ขอโทษที่ไม่บอกว่าต้องมาที่นี่”

     

     

    “....”

     

     

    “ขอโทษที่งี่เง่า... แล้วก็ทำอย่างนั้น”

     

     

    ยอมรับว่าโมโหมากที่เห็นคิมจงอินกำลังจูบอยู่กับคนที่เพิ่งบอกเขาว่าไม่รู้ว่าเป็นอะไรกัน ชานยอลไม่มีสติ ไม่แม้แต่จะห้ามตัวเองว่าอย่าบีบแขนอีกคนแรงจนเกินไปนัก แม้แต่ความวูบโหวง ว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พังทลายลงเพื่อย้ำเตือนว่าเขาเป็นคนอื่น มันเทียบไม่ได้เลยเมื่อต้องทนมองน้ำตาของคนๆนี้ คนที่ชานยอลให้คำสัตย์กับตัวเองว่าอยากรักษาความรู้สึกให้ดีที่สุด

     

     

    หากจะถามว่าใครเป็นคนผิด ก็คงเป็นเราทั้งคู่ที่ส่งความรู้สึกไม่ถึงกัน เราที่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคแล้วปล่อยให้มันปั่นป่วนจนทุกอย่างยุ่งเหยิง เราจะรับความผิดนั้นร่วมกันหรือเปล่า

     

     

    “แล้วจงอินล่ะ” ชานยอลรวบรวมความกล้าเพื่อถาม ความคาใจก้อนใหญ่ที่ทำให้เขาไม่กล้าติดต่อกลับไป จนต้องคอยฟังความเป็นไปจากลู่หานที่ก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางมากไปกว่ากัน

     

     

    แบคฮยอนยิ้มอีกแล้ว ตั้งแต่ที่ถูกชานยอลกอดเอาไว้อย่างนี้ เขาก็แทบยิ้มไม่หุบเลย

     

     

    “ปฏิเสธไปแล้วล่ะ”

     

     

    “สรุปหมอนั่นก็คิดไม่ซื่อจริงๆสินะ” พอถูกพยักหน้าตอบ เขาก็นึกหมั่นไส้เจ้าของผิวสีแทนขึ้นมาตงิด “แล้ววันนั้น...”

     

     

    แบคฮยอนคิดว่ามันยากที่จะอธิบาย เขาควรตอบอย่างไรไม่ให้ความรู้สึกของเราแย่ลงไปกว่านี้ ริมฝีปากบางเม้มจนเป็นเส้นตรง ถ้าขอไม่ตอบ เดี๋ยวชานยอลก็คงเสียใจอีก “จงอินจูบน่ะ แต่หลังจากนั้น ฉันก็ปฏิเสธไปแล้ว”

     

     

    “แล้วตอนนี้?”

     

     

    “ฉันบอกว่าชอบชานยอล”

     

     

    คนฟังนิ่งงัน จากที่ไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอย่างไรหลังรู้เช่นนั้น กลายเป็นว่าหัวใจมันเต้นแรงเสียจนไม่รู้จะระงับความตื่นเต้นนี้อย่างไรดี

     

     

    “แล้วจงอินก็รู้ -- ว่าฉันชอบใครไม่ได้แล้ว”

     

     

    ทำอย่างไรดีนะ... ทำอย่างไรให้ริมฝีปากนี้หุบยิ้มลงให้ได้ ทำอย่างไรให้หัวใจเต้นกลับเข้าสู่จังหวะปกติ ทำอย่างไรไม่ให้แบคฮยอนน่ารักไปกว่านี้ ทำอย่างไรให้ปาร์คชานยอลห้ามตัวเองเอาไว้ ไม่กอดไม่จูบแล้วส่งอีกฝ่ายขึ้นรถเพื่อไปให้ทันรถไฟ

     

     

    เขาทำไม่ได้สักอย่าง

     

     

     

    “อยู่ที่นี่นะ”

     

     

    “เอ๋?”

     

     

    “อยู่ที่นี่คืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เช้าฉันจะไปส่ง” ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถ้าเทียบกับระยะเวลาสี่เดือนที่ไม่ได้เจอ พูดคุย หรือรับรู้เรื่องของกันและกันแล้ว ครึ่งชั่วโมงน้อยเกินไปเหลือเกินที่เราจะอยู่ด้วยกัน ชานยอลไม่สนแล้วว่าเขาเป็นอะไรของแบคฮยอน จะเพื่อน คนรัก สถานะที่ระบุไม่ได้ อะไรก็ช่างทั้งนั้น

     

     

    แค่ตอนนี้ที่เราอยู่ด้วยกัน -- ไม่มีคนอื่น

     

     

    แค่นั้น ชื่อเรียกของความสัมพันธ์ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “พ่อครับ”

     

     

    บยอนแบคฮยอนแทบตัวแข็งทื่อ หลังจากเปิดประตูบ้านและปล่อยให้หมาวิ่งนำเข้าไป ทุกคนก็หันมามองทางนี้เป็นตาเดียว ที่นั่งตรงหัวโต๊ะนั่นคงเป็นคุณพ่อของชานยอล ทางซ้ายเป็นน้องสาวที่กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปลาย ส่วนที่เพิ่งวางจานไก่ทอดลงตรงกลางคงเป็นแม่เลี้ยง

     

     

    “เพื่อนผมที่โซลมาเยี่ยม แล้วก็จะค้างด้วยคืนหนึ่ง”

     

     

    “ได้สิ” คุณปาร์คไม่ได้เสียเวลาคิดนาน เมื่อสี่เดือนก่อนแบคฮยอนเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดนัก แต่พอได้มองใกล้ๆแล้วเก็บรายละเอียด ถึงรู้ว่าชานยอลหน้าคล้ายคุณพ่อเกินห้าสิบเปอร์เซนต์ ถ้าแก่ตัวไปก็คงหน้าตาอย่างนี้เหมือนกันแน่ๆเลย

     

     

    “สวัสดีครับ รบกวนด้วยนะครับ”

     

     

    จำต้องกลั้นยิ้มเอาไว้เมื่อเผลอจินตนาการภาพชานยอลตอนเป็นชายวัยกลางคนในหัวเสียแล้ว ถึงชานยอลจะสบายดี แต่แบคฮยอนแทบนึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้าต้องเป็นคนที่มาอยู่ท่ามกลางครอบครัวใหม่จะต้องปรับตัวขนาดไหน ซึ่งคนข้างๆคงทำมันได้ดีกว่า ชานยอลเคยเล่าว่าย้ายโรงเรียนบ่อย แต่ไม่มีสักครั้งที่จะร้องไห้เหมือนตอนย้ายมาแทกู

     

     

    แต่สี่เดือนคงนานพอให้ยอมรับกับชีวิตที่นี่ได้แล้ว เท่าที่แบคฮยอนเห็น ทุกคนพยายามใส่ใจกับสมาชิกใหม่เป็นพิเศษ ไม่เว้นแม้แต่น้องสาวต่างแม่ ชานยอลจำต้องขอเลื่อนสอนการบ้านยูราเป็นวันพรุ่งนี้ ซึ่งเด็กสาวก็เข้าใจได้ว่าพี่ต้องต้อนรับขับสู้เพื่อนที่มาไกลจากต่างเมืองก่อน

     

     

    “ทำไมมาถึงเสียค่ำเลยล่ะ หรือว่ามานานแล้วแต่ไปเที่ยวในเมืองมา” คุณปาร์คพยายามสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย คนตัวเล็กเพิ่งเข้าใจชานยอลก็ตอนนี้ว่าไปนั่งกินข้าวในโต๊ะบ้านคนอื่นมันทำตัวยากอย่างไร

     

     

    “เพิ่งถึงตอนเย็นๆครับ ผมนั่งรถไฟมารอบบ่ายโมง”

     

     

    “แล้วหิมะก็ดันมาตกวันนี้อีก”

     

     

    เขาหัวเราะตอบบทสนทนานั้น ยิ่งได้หันไปเห็นรอยยิ้มของชานยอล การรับรู้แรกที่เกิดขึ้นในหัวคืออีกฝ่ายคงสบายดี แค่นั้นก็ดีมากๆแล้ว

     

     

    ทุกคนกินเค้กวันเกิดด้วยกัน โดยยูราบอกว่าเลือกเค้กช็อกโกแลตมาให้เพราะเห็นพี่ชายชอบกินนมช็อกโกแลต แต่ชานยอลกลับบอกว่าผิด เพราะที่จริงเจ้าตัวกินได้ทุกอย่าง จากนั้นจึงเหมือนตอนที่ชานยอลไปข้างบ้านเขาไม่มีผิด คุณนายปาร์คบอกให้แบคฮยอนอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวเพื่อจะได้เอาเสื้อผ้ามาซักไว้ใส่กลับพรุ่งนี้ แต่เพราะชุดที่แบคฮยอนเตรียมมาเป็นชุดลำลอง เลยกลายเป็นว่าสามารถใช้ใส่แทนกันได้ แต่คืนนี้ต้องพึ่งชุดของเจ้าบ้านใส่นอนไปก่อน

     

     

    ชานยอลไม่ได้อ้วนขึ้นหรือผอมลง หุ่นที่เคยใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนที่โซลเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น นึกอายส่วนสูงของตัวเองที่พอใส่กางเกงวอร์มขายาวแล้วต้องพับขาขึ้นอีกสองทบ แต่ยางยืดที่รัดตรงช่วงเอวดันไม่หลวมตามไปด้วย แบคฮยอนถึงรู้ว่าตัวเองหุ่นไม่ดีนัก

     

     

    เตียงของชานยอลที่นี่เป็นเตียงห้าฟุต เพราะอย่างนั้นมันจึงนอนได้สองคนสบายๆแค่ต้องไปขอหมอนจากคุณนายปาร์คเพิ่มอีกใบหนึ่ง ผ้านวมของชานยอลก็หนาวน่าดูเพราะไม่มีฮีทเตอร์ ระหว่างจัดที่นอนอย่างขะมักเขม้น ร่างสูงก็เงยหน้าขึ้นถามเขาอีกครั้งว่าโทรไปบอกที่บ้านหรือยัง แบคฮยอนไม่กล้าเล่าเลยว่าต้องโทรไปขอให้จงอินช่วยอีกรอบ ผิดคำสั่งที่ว่าถ้าอยู่กับชานยอลแล้วห้ามโทรไป คงช่วยแบบไม่สบอารมณ์แน่ๆเลย

     

     

    เราทิ้งตัวลงนอนข้างกันในตอนห้าทุ่ม อาจจะเร็วกว่าปกติสักหน่อย แต่พักหลังมานี้แบคฮยอนไม่ค่อยรู้เวลาหรอก นอนหลับได้ก็ดี แต่ถ้านอนไม่หลับก็ต้องฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ หาหนังสือมาอ่านบ้าง ฟังเพลงให้ง่วง ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพอขาดใครไปคนหนึ่งแล้ว ชีวิตจะเปลี่ยนไปขนาดนี้

     

     

    “แล้วอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง” ชานยอลถามขึ้นท่ามกลางความมืด

     

     

    “สบายดี”

     

     

    “ไม่ใช่สิ ฉันหมายถึง... ยังมีใครว่าอะไรอยู่หรือเปล่า”

     

     

    “อ๋อ...” เขาพยักหน้ารับโดยที่ชานยอลไม่เห็น แค่คิดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มบางก็ผุดขึ้นมาบนริมฝีปากจนกลั้นไว้ไม่ไหว “ทุกคนดีกับฉันมากๆ เพราะชานยอลเลย”

     

     

    “หืม ทำไมเพราะฉันล่ะ” คนตัวสูงหัวเราะ “ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย ที่มันดีขึ้นก็เพราะทุกคนเห็นแล้วว่าเรื่องไร้สาระพวกนั้นไม่เป็นความจริง”

     

     

    แบคฮยอนยิ้มกว้างขึ้นอีกแล้ว เขาไม่รู้จะหุบมันลงอย่างไรดี ตอนนี้ไม่ต่างจากคนบ้าเลย “แล้วชานยอลล่ะ เข้ากับเพื่อนใหม่ที่นี่ได้ไหม” เราจะห่างกันมากไปกว่านี้อีกหรือเปล่า

     

     

    ลึกๆแล้วถึงจะดีแค่ไหน แต่ทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่าพอพ้นคืนนี้ไป ทุกอย่างจะหมุนกลับสู่จุดเดิม มันจะจบลงแค่ที่แบคฮยอนนั่งรถไฟกลับโซล ส่วนชานยอลอยู่ที่นี่ การเข้าใจกันไม่ได้เปลี่ยนอะไรนอกจากความรู้สึก ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่ต้องการแต่แรก เอาแต่ใจเป็นเด็กๆไม่ได้แล้ว

     

     

    “ทุกคนที่นี่เฮฮาดี ฉันเองก็เริ่มจะมีเพื่อนสนิทบ้างแล้วเหมือนกัน”

     

     

    ถึงจะได้ยินอย่างนั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาอยากให้คนข้างตัวอยู่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเจิดจ้ามากกว่า มีลู่หานที่เป็นนักฟุตบอล เซฮุนเจ้าชายของโรงเรียน แล้วตอนนี้ยังเพิ่มจงอินที่ฮอตในหมู่สาวๆเข้ามาอีก เขาขอร้องไม่ให้ชานยอลดูออก เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะพาลไม่สบายใจกันไปอีก ปัญหาอาจเกิดจากการไม่พูด แต่เรื่องบางเรื่องก็ควรเงียบไว้ดีกว่า ไม่มีใครควรต้องแบกรับความรู้สึกใคร

     

     

    “ดีจังเลย” แบคฮยอนแสดงความยินดีโดยไม่บริสุทธิ์ใจ รู้สึกแย่จังที่ต้องเป็นอย่างนี้

     

     

    “โกหกไม่เก่งเลย” เสียงทุ้มหัวเราะแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบ

     

     

    และหลังจากความเงียบ ก็มีแต่ความเงียบที่ทำงานต่อไป

     

     

    เรื่องค้างคายังติดอยู่ในใจคนทั้งคู่ พอมีโอกาสให้ถามกันอย่างนี้แล้ว ต่างฝ่ายก็ต่างไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรถึงดีไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ ชานยอลไม่เคยกอดแบคฮยอนแน่นเหมือนตอนหัวค่ำ เราไม่เคยใกล้ชิดกันนานขนาดนั้น แต่ช่องว่างที่ยังเหลือก็มากมายเหลือเกิน

     

     

    “ชานยอล” หลังจากคิดอยู่นาน ฝ่ายหนึ่งจึงตัดสินใจรื้อฟื้นมันอีกครั้ง “เรื่องที่ชานยอลเคยถาม...”

     

     

    เขาหันไปมองคนตัวเล็กที่ยอมขยับตัวหันหน้ามาทางนี้ ให้ตายเถอะ แบคฮยอนทำให้เขานึกถึงคืนนั้นอีกแล้ว คืนที่กดความอดทนของปาร์คชานยอลลงต่ำ และทำให้เราก้าวข้ามความเป็นเพื่อนออกสู่จุดที่เป็นอยู่เช่นยามนี้

     

     

    “ที่ว่าเราเป็นอะไรกัน” น่ากลัวว่าสิ่งที่อีกคนกำลังเอื้อนเอ่ยจะเป็นไปในทางใดต่อไป ตอนนั้นแบคฮยอนตอบว่าไม่รู้ แล้วพอรู้ว่าต้องห่างกันไปอย่างนี้ ทำไมถึงขุดขึ้นมาอีก “ฉันลองคิดมาแล้ว”

     

     

    อกซ้ายเต้นตึกตัก แต่นี่ไม่ใช่เจ้าฮานิ เขาจะสั่งมันอย่างไร

     

     

    “ชานยอลหมายถึง... เราเป็นแฟ --”

    ปาร์คชานยอลทนไม่ไหว เขาพลิกตัวขึ้นคร่อมแล้วกดจูบริมฝีปากเจ้าปัญหานั้นเมื่อสมองมีอำนาจน้อยกว่าจิตใจเสียแล้ว ความคิดถึงนี้รุนแรงเกินไป เคยทำไปแค่ไหน พอน้อยลงก็ยิ่งคิดว่าไม่พอมากเท่านั้น

     

     

    ประกายในดวงตาแบคฮยอนสะท้อนภาพคนตรงหน้า เมื่อผละริมฝีปากออกครั้งแรก ชานยอลก็อดใจไม่ไหวที่จะทำมันเป็นครั้งที่สองและชำแรกลิ้นเข้าไปท่ามกลางความยินยอมของอีกคน นี่ไม่มากไปกว่าที่เราเคยทำ แต่ความรู้สึกเหมือนจะระเบิดนี่ต่างหากที่เราไม่รู้ว่าสามารถหยุดได้ไหม

     

     

    “อย่าพูดคำนั้น” เขากระซิบเสียงพร่า ปลายจมูกยังคงจรดไม่ห่าง ริมฝีปากของเราห่างกันแค่เพียงลมหายใจซ้อนทับ ซึ่งนี่มันดี -- ดีเกินไปด้วยซ้ำ “ไม่อย่างนั้น ฉันคงทนให้แบคฮยอนกลับไปอีกไม่ได้แน่”

     

     

    “อื้ม...”

     

     

    “ที่เคยถามไปก็เพราะว่าอยากรู้ เพราะไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่าง แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว แบคฮยอนไม่ต้องบอกทุกอย่างจนหมด เอาไว้ค่อยๆเล่าตอนที่โทรไปหา แล้วถึงตอนนั้นก็อยู่คุยกับฉันได้ไหม”

     

     

    “ได้สิ”

     

     

    “จนกว่าฉันจะกลับไป... ถือว่าเป็นคำขอร้อง”

     

     

    ชานยอลยิ้ม จรดหน้าผากลงมาและมองหน้าคนบนเตียงเดียวกันให้เต็มตาเพื่อจดจำภาพนี้เอาไว้ เขาอยากขอบคุณลู่หานเสียแล้ว... ขอบคุณที่ส่งของขวัญที่ดีที่สุดมาให้ ของขวัญที่ต่อให้ไม่ใช่รักแรก แต่ชานยอลคิดว่าเขาคงรักไปอีกนาน

     

     

    ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อนอีกที ขอพูดซ้ำว่าปาร์คชานยอลหลงรักบยอนแบคฮยอนเข้าจริงๆแล้ว

     

     

    สถานการณ์ของเราล่อแหลม และทั้งคู่ก็ไม่ได้เด็กถึงขนาดที่จะไม่รู้ว่าถ้ายังจูบกันอีกครั้ง อะไรจะเกิดต่อจากนี้ แบคฮยอนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เขาอยากบอกว่านอนกันเถอะ อยากชวนคุยเรื่องลู่หาน เซฮุน จงอิน หรืองานโรงเรียนที่ชานยอลไม่ได้อยู่ด้วย ตอนแข่งฟุตบอลจังหวัดนั้นลู่หานเก่งมากๆแล้วก็ได้ที่เรียนก่อนใครเพื่อน ทั้งหมดนี้ชานยอลรู้หรือยัง

     

     

    แต่เหนือสิ่งอื่นใด แบคฮยอนไม่อยากผลักชานยอลออกไป

     

     

    ริมฝีปากอิ่มจรดลงมาอีกครั้ง กอบโกยเอาความหอมหวานด้วยปลายลิ้นและเกี่ยวกระหวัดจนเราแทบหมดลมหายใจ เขาเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนลามกที่คิดถึงอะไรอย่างนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกดีเหลือเกิน ที่การจูบถูกบรรจุให้เป็นหนึ่งในวิธีแสดงความรักคงเพราะอย่างนี้

     

     

    “จะเอายังไงดี” ต่อให้มืดจนแทบมองไม่เห็นอะไร แต่แบคฮยอนก็คิดว่าชานยอลคงหน้าแดงก่ำ บางทีเราอาจจะยอมหยุดทุกอย่างเอาไว้เหมือนคืนนั้น แต่พอคิดว่าพรุ่งนี้ต้องแยกจากกันอีก คำว่าหยุดก็ดูจะมีอิทธิพลน้อยลงสำหรับเด็กอายุสิบเจ็ดเสียแล้ว

     

     

    “คือ --” ร่างเล็กแข็งทื่อ ยิ่งคิดอยู่หลายตลบ ความรู้สึกก็ยิ่งสั่งให้กลั้นใจพูดคำนี้ออกไปให้รู้แล้วรู้รอด “ถ้าชานยอลคิดว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องหยุดก็ได้”

     

     

    “ไม่เป็นไร? คือ?”

     

     

    ทำไมต้องถามด้วยนะ นี่ไม่ใช่คำที่ตรงที่สุดแล้วหรือ

     

     

    ปาร์คชานยอลหัวเราะเบาๆอีกรอบ เป็นลู่หานหรือเปล่าที่สอนให้เพื่อนตัวเล็กปีกกล้าขาแข็งอย่างนี้ แน่นอนว่านี่มันดีกับเขา แล้วแบคฮยอนล่ะรู้หรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น “ลู่หานสอนให้ใจแตกใช่ไหม”

     

     

    “ไม่ใช่อย่างนั้น...” ถ้ายังมองกันแบบนี้ บยอนแบคฮยอนจะแกล้งหลับจริงๆแล้ว “เพราะคิดถึงเหมือนกันต่างหาก”

     

     

    ร่างสูงกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นจนเหมือนจะทะลุออกมาอีกรอบ เขาค่อยๆโน้มใบหน้าลงไปเป็นครั้งที่สาม ผาดผ่านริมฝีปาก มองดวงตาสั่นไหวเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงปล่อยให้เริ่มขึ้นโดยไม่คิดถามอะไรอีก

     

     

    “เหมือนฝันเลย”

     

     

    แล้วเป็นฝันที่ดีสำหรับชานยอลหรือเปล่า คนตัวเล็กถามด้วยความประหม่า จากความมืดในห้องสี่เหลี่ยม แบคฮยอนไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหน แต่ถ้าจะให้เดาล่ะก็... เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ นั้นก็อาจจะเป็นคำตอบได้แล้วหากว่าเขาไม่คิดเข้าข้างตนเองจนเกินไป

     

     

    นายอยู่ตรงนี้แล้ว... เรื่องฝันน่ะช่างมันเถอะ

     







     













    ______________________________________

     

    /จุดพลุอีกดอก

    ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายฮะ

    #ฟิคฮบ

     







     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×