ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic one piece:Under the pain of love

    ลำดับตอนที่ #6 : Under the pain of love 4 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.38K
      36
      14 พ.ย. 57

    Under the pain of love 5

    มีคำคมของประเทศที่แสนห่างไกล

    "สิบปีไม่สายที่จะแก้แค้น"

    จอมยุทธแพ้พ่ายในการประลอง

    จึงหลบลี้ผู้คนไปฝึกฝนวิชา

    สิบปีจึงกลับมาสู้ใหม่และหนนี้เขาชนะ

    แต่สำหรับชั้นต่อให้นานสักกี่สิบปี

    มันก็ยังไม่สายที่จะแก้แค้น!!

     

        โรบินไม่อาจมองเห็นความรู้สึกใดๆบนใบหน้ากระด้างของเจ้านาย นอกจากคิ้วดกดำที่มุ่นเข้าหากันเล็กน้อยราวกับได้ยินบางสิ่งผิดหู และเธอเชื่อว่าดวงตาที่อยู่ใต้คิ้วทั้งคู่ต้องกำลังแสดงบางอย่างที่เธอไม่เห็นเพราะมันกลมกลืนไปกับสีสันความมืดรอบตัวชายหนุ่ม เพียงแต่บรรยากาศคุกคามและไอทะมึนรอบๆกายของเขานั้นหนักและกดดันมากกว่าที่เป็นปกติ..

      เหตุก็คงเป็นเพราะชื่อของคนคนนั้น...

      เธอไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก รู้เพียงแต่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่บอสของเธอหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าทุกครั้ง แม้จะเป็นการติดต่อธุรกิจ งานเลี้ยง งานสัมมนาอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของชื่อนั่นบอสของเธอไม่เคยกรายไปเฉียด และจะเป็นเธอและดัซมากกว่าที่จะเป็นตัวแทนไปทำหน้าที่ กระทั่งแค่ชื่อของผู้ชายมาดกร่างคนนั้นบอสของเธอก็มีอาการทุกครั้งที่ได้ยิน  ไม่ใช่อาการหวาดกลัวหรือหวั่นเกรงแต่มาด้วยรูปแบบของความเกลียดชังขยะแขยงออกชัด...ตัวอย่างเบาะๆก็อย่างเช่นเมื่อสองปีก่อนที่ดัซไปเป็นตัวแทนในงานแสดงนวัตกรรมสินค้าใหม่ของบริษัทห้างร้านต่างๆ แล้วได้รับแจกตัวอย่างสินค้ามาจากหลายๆบริษัท คุณมือขวาก็เก็บรวมๆเอามาให้บอสดูเผื่อจะได้ติดต่อนำเข้ากันอีกทีโดยที่ลืมแยกของบริษัทเจ้าปัญหาออกไป พอเจ้านายของเธอมารู้ทีหลังเข้าว่านั่นเป็นสินค้าจากบริษัทใครก็สั่งให้เอาไปเผาทิ้งแถมยังเรียกหาน้ำยาฆ่าเชื้อโรคมาล้างมือยกใหญ่ที่มากกว่านั้นก็คือบอสยังสั่งให้เอาน้ำยาปรับอากาศมาไล่ฉีดทั่วห้องเหมือนจะไล่ตัวอะไร หลักๆเธอก็เลยเชื่อเต็มหัวใจแล้วล่ะว่าคุณเจ้านายของเธอเกลียดคนคนนั้นเข้าไส้จริงๆ

     

      “คุณคร็อคโคไดร์จะให้ทำยังไงต่อไปคะ...”

     

      แต่กระนั้นเธอก็ยังทำเป็นเมินมองไม่เห็นอารมณ์ของเจ้านายและเอ่ยถามความคิดเห็นเขาต่อไป เธออยู่มานานพอจะรู้แล้วล่ะว่าควรจะเฉยซะบ้างในเวลาที่คร็อคโคไดล์ของขึ้น เธอนิ่งสงบและทนรอจนเจ้านายยอมออกคำส่งออกมาเอง

     

     “จมมันซะ...”

     

    น้ำเสียงของเขาที่สั่งก็เยือกเย็นน่าขนลุกนักจนเลขาฯสาวต้องนิ่งเพื่อตั้งสติรับและประมวลคำสั่งไปครู่หนึ่ง ยอมรับว่าเธอตกใจเล็กๆ แต่เมื่อรวบรวมสติได้เธอก็ครุ่นคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับคำสั่งอีกเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยทักท้วงเผื่อกรณีที่เจ้านายอาจจะลืม

     

     “แล้วกัปตันกับลูกเรือล่ะคะ...”

     

      แน่นอนว่าหญิงสาวเลือกเก็บอีกคำถามเอาไว้แค่ในใจ มันคงเป็นการไม่เหมาะนักที่จะไปตั้งคำถามว่านั่นเป็นเรือของสมาชิกในกลุ่มธุรกิจเดียวกันซึ่งบอสของเธอยังไม่อยู่ในอารมณ์รับฟัง หรือเรื่องที่ว่าถ้าทำอย่างนั้นอาจมีปัญหาตามมามากมาย  ในเมื่อเจ้าของเรือที่กำลังจะถูกจมก็มีอำนาจใหญ่โตในโลกธุรกิจทั้งบนดินใต้ดินอยู่ไม่น้อยซึ่งพูดไปก็เท่านั้น เพราะเท่าที่เธอเห็นบอสของเธอกำลังจงใจมีเรื่องชัดๆและการขัดใจเจ้านายก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เลขาฯที่ดีควรทำ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังนึกถึงคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ควรจะมาเกี่ยวพันกับการมีเรื่องส่วนตัวของบอส

     

     “วิทยุติดต่อให้พวกมันสละเรือซะ”

     

      ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว บอสยังพอจะมีน้ำใจกับคนไม่เกี่ยวข้อง..

     

    “แล้วถ้าพวกเขาไม่ยอม..”

     

      นี่ไม่ใช่การจงใจกวนประสาท เพียงแต่เธอกำลังคาดเดาสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนั้นตามหน้าที่เลขาฯที่ดีและขอคำสั่งจากเจ้านายให้ครบถ้วน แม้บางทีธอเองก็พอจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วก็เถอะ

     

    “ก็จมพวกมันไปพร้อมเรือเลย”

     

       ใช่..บอสของเธอมีน้ำใจ...แต่ก็เฉพาะกับคนที่ไม่ขัดใจเขาเท่านั้น...

     

    “ค่ะ..จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยค่ะ..ขออภัยที่มารบกวน..ฝันดีนะคะ”

     

           ร่างโปร่งบางค้อมศีรษะลงน้อยๆเป็นการจบบทสนทนาก่อนจะถอยหลังสองก้าวและหมุนกายก้าวฉับๆออกไปจากพื้นที่ส่วนตัวสำหรับผู้เป็นนายเพื่อเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้พักผ่อน เสียงคุยโทรศัพท์จริงจังกับเจ้าที่ท่าเรือลอดมาให้ได้ยินก่อนจะห่างออกไปเรื่อยๆ เลขาฯสาวคนนี้ทำหน้าที่ของตนได้สมบูรณ์แบบเสมอสมกับค่าจ้างสูงลิบที่ทุ่มให้เจ้าหล่อน ท่านเซอร์หนุ่มไม่เคยต้องการสิ่งใดมากไปกว่าคนที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมจะรับทุกคำสั่งจากเขาอย่างไม่อิดเอื้อนไม่มีข้อโต้แย้งรวมถึงรู้จักใช้ความชาญฉลาดของตนอย่างเหมาะสมและเข้ากับสถานการณ์ซึ่งนิโคล โรบินมีคุณสมบัติที่ว่านั้นอยู่ครบถ้วน

     ริมฝีปากหยักลึกซึ่งมักบึ้งตึงเป็นนิตย์ถูกป้ายรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมลงไป..

     

      สิบกว่าปีแล้ว...หวังว่ามันคงจะชอบคำทักทายจากเขา..

     

        โทรศัพท์เครื่องเดิมแผดเสียงขึ้นอีกครั้งหลังจากเวลาที่มันดังขึ้นผ่านไปสามชั่วโมง มันเป็นเวลาที่เลขาฯสาวทำงานเสร็จเรียบร้อยและกำลังจะเตรียมตัวไปเข้านอนพอดีเธอจึงไม่ยอมเดินไปรับสายในเมื่อมันเป็นเวลาที่ควรจะเลิกโทรมาเป็นการรบกวนใครแล้ว นิโคล โรบินปล่อยให้มันดังต่อเนื่องซ้ำๆอยู่อย่างนั้นขณะที่เก็บของบนโต๊ะทำงานและคิดว่าจะปล่อยไปจนกว่าปลายสายจะถอดใจไปเอง หากไม่เป็นเช่นนั้นเพราะคนที่โทรมายังไม่ยอมแพ้และยังคงทำให้โทรศัพท์ดังขึ้นอีกหลายสิบครั้งจนกระทั่งหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าแสนใจเย็นหมดความอดทนเดินไปคว้าหูยกออกจากแป้นในที่สุด  เธอสำรวจรอบห้องเป็นครั้งสุดท้าย ปิดไฟและเดินกลับห้องพักของตนที่อยู่ในชั้นใต้ดินเช่นกัน นั่นแหละทุกอย่างจึงเงียบสงบลงได้ในที่สุด...แต่กับคนที่อยู่อีกฟากสายจะเป็นอย่างนั้นด้วยหรือ?

     

     

     ปึ้ก!!

     

     เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ที่ถูกใช้งานไปหมาดๆปลิวเข้าหาผนังห้องอย่างจำใจก่อนจะต้องกระจายตัวออกจากกันด้วยแรงปะทะแล้วกระเด็นกระดอนไปทั่วเท่าที่แรงเหวี่ยงจะนำพาไปซึ่งเวลานั้นมันได้กลายเป็นแค่อดีตเครื่องมือสื่อสารไปแล้วเพราะเจ้าของมันจงใจใช้เป็นแหล่งระบายอารมณ์ ถึงกระนั้นเหล่าคนที่ยืนอยู่รายรอบก็ไม่มีใครสะดุ้งสะเทือนเนื่องจากทุกคนต่างก็ชาชินกับอารมณ์ขึ้นๆ-ลงๆของชายผู้เป็นเจ้านายตนกันหมดแล้วและถ้าให้พูดกันตรงๆระบายกับโทรศัพท์ก็ดีกว่าให้มาระบายกับคนเป็นไหนๆ

                 แม้จะได้ระบายอารมณ์แล้วแต่ความหงุดหงิดยังไม่ได้จางไป  ดองกีโฮเต้ โดฟลาลิงโก้ ยืนค้ำเอวอยู่กลางห้องโถงภายในคฤหาสน์ของตน ใบหน้าคมเข้มก้มลงต่ำหาพื้น เสียงลมหายใจหนักๆดังขึ้นเป็นระยะๆ ไม่มีใครเห็นดวงตาใต้เลนส์แว่นกันแดดที่เจ้าตัวสวมแต่เปลือกตาทั้งคู่ปิดแน่นเพื่อสะกดอารมณ์เนิ่นนานกว่าจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณว่าอารมณ์ของเขาได้ผ่อนคลายลงมาแล้ว ชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสัน ผิวสีเข้มจัดเข้ากับแว่นกันแดดสีดำที่สวมไว้ เขายืนอยู่ใกล้ร่างสูงใหญ่ของชายในชุดเสื้อคลุมขนนกสีชมพูมากที่สุดสมกับตำแหน่งมือขวาและผู้คุ้มกันส่วนตัวที่ผู้นำกลุ่มโดฟลามิงโก้แฟมิลี่ให้ความสนิทสนมอย่างที่สุด

     

    "จะเอายังไงต่อดอฟฟี่ คุณไคโดไม่พอใจกับเรื่องครั้งนี้มากเลยนะ เขาขีดเส้นตายเรามาแล้วว่าให้เวลาอีกยี่สิบชั่วโมงเท่านั้นถ้าสินค้ายังไปไม่ถึงโกดัง เขาจะยกเลิกสัญญาทั้งหมดกับเรา และเขายังจะสั่งให้พันธมิตรการค้าในเครือทั้งหมดระงับการติดต่อธุรกิจกับเราด้วย"

     

       มือหนายกขึ้นฉึบแทนคำห้ามให้หยุดพูด เพราะคนฟังไม่อาจรับได้กับเหตุการณ์ที่อาจส่งผลถึงขั้นสั่นคลอนธุรกิจของเขาในอนาคตอันใกล้นี้แบบชี้เป็นชี้ตายแถมปัญหาจะเกิดมาจากเรื่องแค่นิดเดียวเท่านั้น

     

    "หยุดพูดนะเวอร์โก้ นายกำลังทำให้ดอฟฟี่ยิ่งเครียดนะ"

     

    เด็กหญิงผมบ็อบหน้าม้าหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูส่งเสียงเล็กๆใสๆร้องต่อส่าชายหนุ่มผิวเข้มที่ดูไม่ได้น่ากลัวเท่าที่เจ้าตัวพยายามทำ ซึ่งพูดกันตรงๆเด็กผู้หญิงตัวเล็กจิ๋วสูงยังไม่ได้ครึ่งส่วนสูงคนที่ตัวเองดุก็ดูไม่น่ากลัวเอาจริงๆนั่นแหละ แถมเจ้าหล่อนยังดูผิดที่ผิดทางเมื่อมายืนรวมกับบรรดาสมาชิกคนอื่นๆของ 'โดฟลามิงโก้ แฟมิลี่' ที่ส่วนมากจะเป็นหนุ่มๆหน้าตาเถื่อนแผ่รังสีอำมหิตเอาเรื่องสมกับเป็นคนของกลุมธุรกิจมาเฟียระดับโลก และแม้มันจะฟังเชื่อไม่ลงแต่ให้เชื่อเถอะว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กจิ๋วคนนี้แหละเป็น 'สมาชิกระดับสูง' ของแกงค์มาเฟียกลุ่มนี้

     

    "โมเน่ เบบี้5 ทำไมปล่อยชูการ์มาเพ่นพ่านแถวนี้ ดึกๆดื่นๆเด็กก็ควรจะเข้านอนพักผ่อนให้เพียงพอสมกับเป็นเด็กไม่ใช่รึไง"

     

                      นายหุ่นล่ำเวอร์โก้ไม่สนใจคำต่อว่าจากเด็กหญิงที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเจ้านายของตน แล้วยังหันไปไล่เบี้ยกับเด็กสาวอีกสองคนที่มายืนผิดที่ผิดทางอยู่กลางดงสิงห์หนุ่ม แม้จะดูไม่แปลกแยกเท่าชูการ์แต่ทั้งสองก็สะสวย จิ้มลิ้มน่ารักเกินกว่าจะมาอยู่ในที่ๆเรียกว่า "รังมาเฟีย" แต่อย่าได้ถูกใบหน้าหวานๆหลอกตาเอาเชียวเพราะเจ้าหล่อนทั้งสองเป็นถึง "นักฆ่า" มือฉมังของแฟมิลี่กลุ่มนี้ ปืนพกที่ซ่อนอยู่ตรงโคนขาขาวๆทั้งคู่นั่นแหละเป็นหลักฐานชั้นดี อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นนักฆ่าพวกเจ้าหล่อนก็ยังหลงเหลือนิสัยสาวน้อยอยู่บ้าง ในหน้าสวยๆจึงบูดบึ้งเมื่อถูกคนตำแหน่งสูงกว่าต่อว่าพร้อมกับหันไปเบะปากใส่เด็กหญิงต้นเหตุอย่างไม่พอใจ

     

               "ก็ยัยชูการ์ร้องกระจองอแงจะลงมาจากห้องให้ได้ทั้งๆที่บอกไปแล้วนะว่าไม่ใช่เรื่องของเด็กก็ไม่ยอมฟัง ฉันรำคาญก็พาลงมาน่ะซิ อย่ามาโทษฉันเชียวนะ ใครอยากจัดการก็เชิญเลยฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว จริงไหมโมเน่"

     

     "เห็นด้วย"

     

      สาวน้อยผมดำเป็นคนเปิดบทสนทนานั้นและเด็กสาวผมเขียวอีกคนขานรับเป็นลูกคู่ก่อนจะเบะหน้าตามกันไปด้วยอีกคนหนึ่งเพราะนายน้อยเหนือหัวก้มลงช้อนร่างเล็กๆจองเด็กหญิงขึ้นอุ้ม ส่วนยัยจิ๋วที่ถูกอุ้มก็เกาะชายหนุ่มไว้แจ การกระทำนั้นเป็นการตัดบทและปัญหายุ่งยากรวมถึงปิดปากสมาชิกทุกคนได้สนิท ไม่ใช่เรื่องแปลกในเมื่อนายน้อยเอ็นดูชูการ์กว่าใครทุกคน เพียงแต่บางครั้งมองแล้วเด็กสาวทั้งสองก็อดจะหมั่นไส้เล็กๆไม่ได้ นายน้อยเอาใจยัยชูการ์เกินเหตุไปแล้ว อิจฉาย่ะ!!

     ชายร่างโย่งและเด็กน้อยในอ้อมแขนทิ้งกายลงบนโซฟาสีสะอาดตากลางห้องโถง สมาชิกคนอื่นๆก้าวตามมา ทุกคนล้วนแต่เป็นสมาชิกคนสำคัญระดับหัวหน้าของแกงค์ ที่ทุกคนมารวมตัวกันได้นั้นเป็นสัญญาณว่าการประชุมฉุกเฉินสำคัญกำลังจะเปิดฉากขึ้น เสียงพูดคุยจอแจเงียบลงเมื่อเวอร์โก้ส่งเสียงกระแอมเบาๆ มือขวาผิวเข้มก้าวออกมาเบื้องหน้าและเริ่มต้นการประชุม

     

    "ชั้นจะสรุปสถานการณ์โดยรวมตอนนี้ก่อนนะ ทุกคนตั้งใจฟังด้วย อย่างที่รู้ว่าเรากำลังเริ่มทำการค้ากับไคโด ซึ่งพวกเราก็พอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าเขาคือหนึ่งในสี่จักรพรรดิทะเลที่มีอิทธิพลมากในโลกนี้ การที่เขามาร่วมธุรกิจกับเรานั่นก็หมายความว่าโอกาสที่แฟมิลี่ของเราจะเติบโตกว่านี้ยิ่งมีสูง ออเดอร์สินค้าล็อตแรกถือเป็นใบเบิกทางที่สำคัญมาก แต่ตอนนี้เรามีปัญหาไม่สามารถส่งของให้ไคโดได้ เรือสินค้าของเราถูกสกัดจับในน่านน้ำใกล้กับอลาบาสต้า ฉันสั่งให้กัปตันเรือขอเข้าจอดในท่าเรือส่วนตัวของสมชิกสมาคมการค้าทางทะเลที่ใกล้ที่สุดแล้วการติดต่อก็ขาดหายไปตั้งแต่ตอนนั้น หลังจากนั้นอีกสามชั่วโมงซึ่งเป็นเวลานัดส่งสินค้า ไคโดก็โทรมาบอกว่าสินค้าของเราไปไม่ถึงที่นัดหมาย..ซึ่งตอนนี้พอจะคาดเดาได้สามกรณี

    1.เรือของเราถูกสกัดจับได้ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นพวกทหารคงบุกมาจับเราแล้ว

    2. เราอาจถูกปล้น มีกลุ่มการค้าหลายกลุ่มอยากเข้ามาแทรกแซงเรา ลูกค้าอย่างไคโดใครก็ต้องการ พวกมันเลยปล้นเพื่อดิสเครดิตเรา"

     

    "และ 3...ปัญหาส่วนตัว..."


    50%- -  - - -เจ้าค่า

    โดฟลามิงโก้เป็นคนเอ่ยกรณีที่สามแทนเวอร์โก้ที่ถอยกลับไปยืนในตำแหน่งเดิมและปล่อยให้นายเหนือหัวเป็นคนพูดต่อ เพราะเรื่องที่จะพูดเกี่ยวข้องกับผู้เป็นนายโดยตรง

     

    "บางคนอาจรู้อยู่บ้างแต่หลายคนในที่นี้ก็อาจยังไม่รู้ เพราะงั้นฉันจะพูดคร่าวๆ ฉันกับคร็อคโคไดล์ไม่ลงรอยกัน สรุปง่ายๆว่าเจ้านั่นเกลียดฉัน"

     

      ไม่เห็นจะคร่าวๆตรงไหน นายน้อยเล่นพูดตรงแน่วไม่มีปี่ขลุ่ยอะไรเลยสักอย่าง เหตุผลอะไรก็ไม่เห็นจะมีให้ สมาชิกหลายคนแอบประท้วงเจ้านายในใจ

     

    "ส่วนเหตุผลชั้นขอเก็บไว้กับตัวแล้วกันนะ"

     

      พูดแล้วเจ้าตัวก็ยิ้มกว้าง ก็ได้แต่ต้องปล่อยไปใครที่ไหนจะไปกล้าง้างปากผู้ชายคนนี้พูดได้ล่ะ

     

    "ซึ่งจากเหตุนั้นชั้นคิดว่าเป็นไปได้สูงที่เรื่องครั้งนี้อาจเป็นฝีมือเจ้าจระเข้ทะเลทรายนั่น"

     

    "นั่นเป็นแค่ข้อสันนิษฐานลอยๆนะ โดฟลามิงโก้ ไม่มีอะไรที่มันชี้ชัดมากกว่านี้แล้วรึไง?"

     

      ขณะที่ทุกคนกำลังตั้งใจฟังของนายเหนือหัว เสียงทุ้มเย็นของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเขาที่เรียกความสนใจได้จากทุกคนกระทั่งหัวหน้าแฟมิลี่

     

    "ลอว์...."

     

         เจ้าของชื่อเดินอาดๆเข้าไปไม่มีท่าทีเกรงใจใคร ดวงตาสีควันบุหรี่เลื่อนลอยเฉยชาไม่แยแสโลก พอกันกับสีหน้าไม่ยินดียินร้ายใดๆกับใครแต่ก็แต้มรอยยิ้มที่คล้ายจะเหยียดหยันทุกสิ่งเอาไว้ รูปร่างสูงแต่ผอมบางยิ่งดูบางหนักเข้าไปอีกเมื่ออยู่ในชุดนักศึกษาแพทย์สีขาวกับเสื้อกราวด์สีเดียวกัน ทราฟาลก้า ลอว์ นักศึกษาแพทย์อัจฉริยะผู้สอบชิงทุนนักเรียนแพทย์ได้ด้วยคะแนนอันดับหนึ่งในวัยแค่16ปี ว่าที่ศัลยแพทย์อนาคตไกลที่มีกลุ่มมาเฟียทรงอิทธิพลหนุนหลังซ้ำตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของกลุ่มมาเฟียที่ว่านั่่น

      ปูมหลังก็ร้ายกาจพอกันกับคุณสมบัติที่มีเมื่อเจ้าตัวเป็นฝ่ายเดินเข้ามาขอสมัครเป็นมาเฟียแกงค์นี้ด้วยตัวเองในวัยเพียงเก้าขวบเท่านั้น และโดฟลามิงโก้ก็บ้าพอจะรับเอาไว้ เขาเห็นความบ้าคลั่งในตัวเด็กน้อยคนนั้นที่นับวันมันก็จะยิ่งโตตามตัว ทั้งที่ดูเฉยเมยสงบนิ่งเเต่ยามได้ลงมือพูดได้เลยว่าลอว์โหดเหี้ยมได้ไม่แพ้ใครทั้งนั้นและนั่นเป็นสิ่งที่เขาถูกใจมากที่สุดในตัวของลอว์

     

    "เพิ่งกลับมาหรือ?"

     

      แม้จะเป็นคำถามเรียบง่ายแต่ก็แสดงออกถึงความห่วงใยจากคนถามพอสมควร ว่าที่คุณหมอเดินตรงมานั่งลงบนโซฟาตัวใกล้กันกับนายน้อยผู้เป็นเจ้านายโดยไม่สนใจถึงความเหมาะสมซ้ำผู้เป็นนายเองก็ไม่คิดจะว่าอะไร นอกจากชูการ์แล้วลอว์เป็นเพียงคนเดียวที่โจ๊กเกอร์แห่งโลกมืดยอมลงให้

     

    "ฮื่อ.... ชูการ์มานี่ซิ ชั้นกลับมาแล้ว"

     

      ตอบรับสั้นๆคำเดียวแล้วไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มแต่หันไปเรียกหาเด็กหญิงตัวเล็กแทน ยัยจิ๋วหยีลูกตาตื่นก่อนจะคลานจากตักนายน้อยไปซบที่ตักของเด็กหนุ่มแทน บางครั้งคนอื่นๆในแฟมิลี่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบุคลิกท่าทีของไอ้หมอนี่มันช่างน่าหมั่นไส้ ไหนจะนิสัยเย็นชาเดาใจยากไหนจะนิสัยที่ทำตัวเทียบเท่าหัวหน้าแกงค์แต่ใครจะไปว่าอะไรได้ในเมื่อเจ้านายของพวกเขายังไม่ว่า

     

    “ลอว์..บอกกี่ครั้งแล้วว่าแกไม่ควรตีตนเสมอดอฟฟี่”

     

    จะมีก็แต่เวอร์โก้ที่กล้าพอจะออกปากตักเตือน แต่ก็ทำได้เท่านั้น แม้จะไม่ถึงกับแข็งกร้าวแต่ลอว์ก็ไม่เคยยอมลงให้กับใครแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นดองกีโฮเต้ โดฟลามิงโก้ก็ตาม

     

    “แต่โดฟลามิงโก้ไม่ได้บอกนี่”

     

      เขาตอบมือขวาผิวเข้มแล้วปรายยิ้มเยาะให้ รู้ว่าแม้จะทำหน้านิ่งแต่เส้นขมับที่เต้นตุบๆก็บอกได้ว่าคำเถียงของลอว์มีผล ว่าที่ศัลแพทย์อนาคตไกลละสายตาเรื่อยเปื่อยกลับมาจากใบหน้าดุดันของคนที่จ้องเขาเขม็งผ่านแว่นกันแดดสีเข้มอันนั้น ส่วนดวงตาที่มองไม่เห็นก็พอจะรู้ว่ามันเป็นสายตาของความชิงชังไม่ผิดแน่ ใครๆในโดฟลามิงโก้แฟมิลี่ก็รู้กันทั้งนั้นว่าสองคนนี้ไม่ถูกกันเลย

     

    “มาคุยเรื่องงานกันต่อดีกว่าน่า ว่าไงล่ะคุณโจ๊กเกอร์ นอกจากข้อสันนิษฐานเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวแล้วมีหลักฐานอะไรอีกที่พอจะบอกได้ว่านี่ไม่ได้เป็นการกล่าวหาไอ้จระเข้น้ำเค็มนั่นลอยๆ ขอไอ้ที่มันเป็นชิ้นเป็นอันหน่อย”

     

      ลอว์เป็นคนพาที่ประชุมกลับเข้าประเด็นเดิมอีกครั้ง แม้ท่าทางของเจ้าตัวจะยังเหน็ดเหนื่อยเพราะเพิ่งกลับมาจากห้องผ่าหมาดๆ ตอนนี้ลอว์ได้เข้าฝึกงานในโรงพยาบาลมาระยะหนึ่งแล้วและเขาก็เข้าห้องผ่าเกือบจะทุกวันด้วยแต่ว่าที่คุณหมอก็ไม่คิดจะแสดงออกให้ใครรู้ซ้ำยังมาร่วมประชุมได้ตามปกติทั้งที่ยังไม่ได้นอนด้วยซ้ำ หรืออันที่จริงก็นอนแล้วแต่มีคนโทรไปงัดเขามาจากหอพักน่ะซิ

     

    “ไม่มี”

     

      แล้วนายน้อยแห่งตระกูลดองกีโฮเต้ก็ให้คำตอบที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลกด้วยรอยยิ้มกว้างมั่นอกมั่นใจดุจเคย แม้จะชินแล้วกับท่าทางอย่างนี้ของตัวตลกแห่งโลกมืดแต่หลายคนก็อดนิ่วหน้ากับความขวานผ่าซากในการให้เหตุผลของเขาไม่ได้

     

    “ไอ้ที่พูดๆไปทั้งหมดนั่นก็เดาเอาล้วนๆ”

     

      แถมไม่ได้มีท่าทีสำนึกผิดเลยด้วยซ้ำ นักศึกษาแพทย์อัจฉริยะเลิกคิ้วมองคนพูดราวจะบอกว่าถ้ามีอยู่แค่นี้ความน่าเชื่อถือมันก็แทบไม่เหลือสักเสี้ยวแล้ว

     

    “หึหึ....แต่ถึงจะเป็นแค่การคาดเดา ชั้นก็มั่นใจว่าเป็นมันกว่า80%

     

           เรียวปากกร้านแสยะยิ้มอวดฟันขาวเรียบที่เรียงตัวกันอย่างงดงามมองดูชั่วร้ายไม่ต่างจากเคยนั่นอาจจะเป็นเพราะเขากำลังคิดถึงใบหน้าของคนที่เป็นปัญหาซึ่งเคยพบกันเพียงครั้งเดียวนั่นมันก็กว่าสิบปีมาแล้วหากน่าแปลกที่จนตอนนี้ก็ยังจดจำรายละเอียดของชายหนุ่มจากดินแดนทะเลทรายได้แม่นยำ ทั้งผิวขาวอมเหลือง รูปร่างสูงสง่าผ่าเผยองอาจแผ่นหลังที่ยืดตรงอยู่เสมอไม่ว่าสถานการณ์ไหนแม้แต่แววตาก็ไม่ค่อยเผยความหวาดหวั่นต่ออะไรออกมาง่ายๆ ครั้งหนึ่งในดวงตาคู่นั้นเคยมีความอาฆาตแค้นฝังอยู่ยามมองตรงมาที่เขาพร้อมคำอาฆาตที่เวลานั้นก็ได้แต่คิดว่าคนพูดทำปากดีไปอย่างนั้น หากในวินาทีนี้เขาชักเริ่มจะเชื่อขึ้นมาหน่อยแล้วว่ามันอาจจะทำได้จริงๆ

       รอยยิ้มปริศนาทำให้หลายคนประหลาดใจรวมทั้งว่าที่คุณหมอร่างโปร่งที่ไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่าในเมื่อมั่นใจเสียขนาดนั้นทำไมจึงได้ยิ้มแสดงความพอใจออกมา

        ดีใจที่ถูกเล่นงานรึไงกัน...

     

    “เหรอ...แล้วยังไง..ถ้าเป็นฝีมือคร็อคโคไดล์จริงๆมันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเราไม่มีหลักฐาน ชั้นว่าสิ่งที่เราควรทำมากกว่าจะมานั่งหาสาเหตุว่าเรือสินค้าหายไปไหนก็คือหาทางส่งสินค้าให้ไคโดให้ทันเวลาจะดีกว่า”

     

      ลอว์เอ่ยอย่างไม่ยี่หระและไม่สนใจความเห็นจากคนมีศักดิ์เป็นเจ้านายอีกในเมื่อมันก็ไม่ได้ประโยชน์อย่างที่พูดไปจริงๆ

     

    “พูดน่ะมันง่ายแต่ทำมันยาก แกไม่อยู่จะรู้อะไร เราจะเอาสินค้าที่ไหนไปส่งทันตอนนี้เราเหลือแต่โกดังว่างๆ สินค้าล็อตสุดท้ายถูกส่งออกไปที่ชาบอนดี้เมื่อสองวันก่อนส่วนล็อตใหม่ก็อยู่ในระหว่างผลิตกว่าจะเสร็จสิ้นก็อีกสามวัน ถ้าปัญหามันแก้ได้ง่ายๆจะต้องมานั่งประชุมปวดหัวกันทำไม”

     

      ดวงตาสีดำจางเหลือบมองเวอร์โก้ที่เป็นคนพูดประโยคนั้นออกมา ยกยิ้มใส่แล้วลดสายตากลับมาที่เดิมอย่างไม่สนใจ ไม่คิดแยแสถ้อยคำที่ชวนหาเรื่องอยู่กลายๆของมือขวาผู้เงียบขรึมและหันมาเอ่ยดังๆให้สมาชิกแฟมิลี่ทุกคนได้ยิน

     

    “แต่ชั้นมีวิธีแก้ปัญหา....”

     

    “ยังไง?”

     

     เด็กหนุ่มยกยิ้มพรายให้กับนายน้อยของบ้านที่หันมาถามก่อนจะเอ่ยวิธีแก้ปัญหาของตัวเองออกไป

     

    “เท่าที่จำได้..เราส่งสินค้าให้ลูกค้าคนหนึ่งใกล้กับที่ตั้งโกดังของไคโด  ถ้าเราเจรจาขอซื้อต่อสินค้ากลับคืนและให้เขาส่งต่อไปให้ไคโคคิดว่าจะทันเวลารึเปล่า..”

     

      มือหยาบหนาวางลงที่ปลายคางอย่างครุ่นคิด ที่ไม่ปฏิเสธออกมาทันทีแสดงว่าสนใจความคิดนั้นอยู่ไม่น้อย

     

    “ก็น่าสนใจ...แต่ว่า...”

     

    “เราส่งสินค้าไปที่นั่นตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนแล้ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าสินค้าอาจถูกระบายไปยังแหล่งยิบย่อยที่อื่นหมดแล้ว..หรือถ้ายังมีอยู่จริงๆ..คิดว่าทางนั้นจะยอมให้แกง่ายๆรึไง”

     

      มือขวาหนุ่มขัดคอตามประสาคนไม่ถูกกันซึ่งลอว์ก็ทำแค่หัวเราะเบาๆเห็นเป็นเรื่องสนุกกับการที่จะปะทะคารมกับเวอร์โก้อย่างนี้ เขาไม่กังวลเพราะปกติฝ่ายชนะก็คือเขาอยู่แล้ว

     

    “นี่คุณมือขวา ไม่รู้วิธีสั่งสินค้ารึไง....ใครเค้าจะสั่งสินค้าตอนที่สินค้าเกลี้ยงสต็อกกัน ยิ่งสินค้าที่มัน”ขาย”ได้ง่ายๆเนี่ยมันก็ต้องสั่งมาสำรองเอาไว้ก่อนที่มันจะหมด...ชั้นยืนยันว่าสินค้ายังมีอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์.ส่วนเรื่องจะยอมรึเปล่ามันก็ต้องอยู่ที่ข้อเสนอของเราว่าดีพอจะดึงดูดใจได้แค่ไหน....ซึ่งเรื่องนั้นก็ไปคิดกันเอาเองเถอะ ชั้นจะไปนอนแล้ว”

     

    “เราก็แถมสินค้าให้เขาอีกเท่านึงซิ”

     

        เสียงเล็กๆน่ารักของเด็กหญิงที่คิดว่าหลับตาตักว่าที่นายแพทย์หนุ่มไปแล้วดังขึ้น จนผู้ใหญ่ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน เด็กหญิงตัวเล็กลุกขึ้นท่าทางยังงัวเงียแต่ปากพูดไม่ยอมหยุด และนี่คือเหตุผลที่แฟมิลี่กลุ่มนี้มีเด็กหญิงอายุไม่กี่ขวบคนนี้เป็นสมาชิกระดับสูง..เพราะเธอฉลาดเกินวัยไปมาก..แม้ไม่บ่อยนักที่ชูการ์จะแสดงความเห็นออกมา

     

    “ใครๆก็ชอบของแถมใช่ไหม เราก็เสนอไปว่าถ้าเขาส่งสินค้าให้เราได้ทันเราจะแถมสินค้าให้เขาฟรีอีกเท่านึงเลย ถ้าไม่พอใจสองเท่าก็ได้....”

     

    “ก็จริงนะ...ข้อเสนอดีๆแบบนี้ใครจะกล้าปฏิเสธ เอาล่ะ ทำได้ดีมากทั้งสองคน เวอร์โก้ติดต่อไปที่บริษัทนั้นเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะเจรจาเอง”

     

     “แต่ว่า..มันจะไม่เป็นการขาดทุนเกินไปรึไงดอฟฟี่”

     

      เวอร์โก้ยังคงแย้งซึ่งก็ได้อาการโบกมือมาจากผู้เป็นนายว่าไม่เป็นไร

     

    “ต่อให้ขาดทุนแค่ไหนแต่ถ้าเพื่อซื้อใจไคโดชั้นก็ยอม ทำธุรกิจอย่าหวงทุนซิเวอร์โก้ ไปติดต่อให้ชั้นเดี๋ยวนี้”

     

          มือขวาผิวเข้มจำใจต้องรับคำ แล้วร่างสูงใหญ่ก็ลุกออกไปจัดการตามแผน ยกมือขยี้หัวเล็กๆแผ่วเบาอย่างเอ็นดู ความจริงเรื่องแค่นี้เขาก็คิดออกเพียงแต่เมื่อสักครู่กำลังโมโหจนไม่มีสติจนลอว์เข้ามานี่แหละ ก่อนจะเดินออกไปยังหันไปสั่งกับเด็กหนุ่มง่ายๆทิ้งท้าย

     

    “อย่าเพิ่งนอนรอชั้นก่อน”

     

    ลอว์ไม่ว่ากระไรแต่อุ้มเด็กหญิงที่หลับต่อไปอีกครั้งแล้วเดินขึ้นชั้นบนทิ้งให้สมาชิกรายอื่นๆรอลุ้นผลการเจรจากันต่อไป

     

    ...........................

     นักศึกษาแพทย์อัจฉริยะงับประตูแผ่วเบา เหลือบมองเด็กหญิงบนเตียงที่หลับสนิทเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยๆ กว่าพรุ่งนี้ก็คงสายโด่งเพราะนอนซะเกือบเช้า ปิดประตูแล้วก็หันกลับมาลอว์ก็ต้องผงะกับร่างสูงใหญ่ของคนที่มายืนรออยู่พักใหญ่แล้ว โดฟลามิงโก้ก้าวเข้าหาเด็กหนุ่ม ท่าทีอ่อนโยนขณะยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าขาวที่มีร่องรอยอิดโรยให้เห็นชัดเจน เด็กหนุ่มไม่ได้หนีแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาต่อการกระทำของนายน้อยแห่งดองกีโฮเต้กรุ๊ปเช่นกัน

     

    “ขอบใจ..ได้เธอชั้นถึงใจเย็นลง...”

     

    “นับเป็นเกียรติ...ผลเป็นไงเรียบร้อยดีไหม...”

     

    “ก็ดี...คุยด้วยง่ายกว่าที่คิด”

     

    “งั้นก็ดีแล้ว..ท่าทางคุณเหนื่อยๆนะดอฟฟี่...ทำไมไม่ไปนอนซะล่ะ”

     

      คนฟังหัวเราะต่ำในลำคอเมื่อเด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเขาตอบบ้าง เขาจับมือข้างนั้นไว้คลี่ยิ้มอย่างพอใจ

     

    “อย่าโยกโย้เลยน่าลอว์..เธอก็น่าจะรู้ว่าชั้นอยากอยู่กับเธอ”

     

      ใบหน้าเข้มคมเลื่อนลงใกล้ช้าๆ ดันร่างผอมสูงติดกับบานประตูห้องของเด็กหญิง ประกบริมฝีปากกับเด็กหนุ่มที่ไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงใดๆให้เห็น ลอว์ยังเย็นชาเสมอต้นเสมอปลาย แม้แต่ตอนที่จูบกัน แต่ก็พอจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างจากลมหายใจที่ระอุร้อน เสียงหอบและครางเบาๆ ร่างสูงใหญ่กระชับกอดร่างบางกว่าขณะตักตวงลมหายใจจากเด็กหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจังหวะหัวใจของร่างในอ้อมแขนรวนไปหมดนั่นแหละเขาถึงได้ยอมปล่อย สีหน้าคนเย็นชาเข้มขึ้นแต่ยังคงไร้ความรู้สึก  เขาถูกใจลอว์ก็ตรงนี้..ซึ่งบางทีแล้วอาจมากกว่าถูกใจ  เพราะคงไม่มีใครที่เขาจะอดทนรอได้นานเท่าลอว์...

     

    “ช่วงนี้...ไม่ค่อยกลับมาเลยนะลอว์”

     

      หัวใจเต้นแรงขึ้นแม้ใบหน้าจะยังเฉยชาสนิท เด็กหนุ่มรู้ว่าโดฟลามิงโก้หมายถึงอะไร เรื่องที่เขาไม่กลับมาที่คฤหาสน์กว่าเดือนแล้ว และคงจะลากยาวไปมากกว่านี้ถ้าไม่มีโทรศัพท์ตามตัว น้ำเสียงของนายน้อยผมทองเรียบเรื่อยไม่เผยความรู้สึกแต่เน้นน้ำหนักเสียงชัดทุกคำ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่านยากและข่มขู่อยู่ในที

     

    “ผมยุ่งเรื่องเรียน...คุณก็น่าจะรู้นี่”

     

     นักศึกษาแพทย์วัย16เอ่ยแก้ตัวเสียงนิ่ง พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงความตระหนกออกไป แม้จะทำท่าไม่กลัวแต่ลึกๆแล้วเด็กหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้องด้วยซ้ำ ต่อให้อีกฝ่ายจะให้สิทธิพิเศษกับเขามากแค่ไหนก็ตามแต่โดฟลามิงโก้ก็ยังมีอิทธิพลต่อเขาซึ่งบางทีแล้วเขาอาจจะเริ่มกลัวโจ๊กเกอร์ตั้งแต่เรื่องเมื่อต้นปีก็เป็นได้...ไม่อาจหรอก..เขากลัวจริงๆ

     

    “งั้นเหรอ..”

     

      เสียงต่ำๆห้าวๆลากเสียงรับอยู่ในลำคอทำให้บรรยากาศยิ่งกดดันมากขึ้น แม้จะยังเชิดหน้าของตนแต่ลอว์ก็รู้สึกถึงการคุกคามที่ต้องยอมรับว่ามันมีผลกับเขา

     

    “นึกว่าเธอกำลังหลบหน้าชั้นอยู่ซะอีก..หรือเธอกำลังกลัวว่าชั้นจะไม่รักษา สัญญา ของเรา....คิดว่าชั้นเชื่อไม่ได้ขนาดนั้นเลยรึไง?”

     

      เอ่ยถึงสัญญาขึ้นมาแล้วร่างสูงโปร่งก็กระตุกกึก ความหวาดกลัวพาดผ่านมาในแววตาแวบหนึ่งก่อนที่ลอว์จะรีบเกลื่อนมันไปให้พ้นเสียก่อนที่ประมุขของแกงค์จะเห็นมันเข้าและแข็งใจเอ่ยตอบ

     

    “ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น...ผมเชื่อใจคุณ”

     

    “หึหึ...ได้ยินอย่างนั้นชั้นก็ดีใจ  แล้วอย่าลืมซะล่ะว่านอกจากเธอแล้วชั้นไม่เคยยอมให้ใครอย่างเธอ..อย่าทำให้ชั้นผิดหวังเชียวรู้ไหม โอกาสจะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สองเพราะคนอย่างชั้นไม่เคยยอมให้ใครหลุดมือไปได้ถึงสองครั้งหรอกนะ”

     

      เสียงแหบระคายกระซิบอยู่ใกล้หูชวนขนลุก อำนาจของราชาแห่งโลกมืดราวจะโอบล้อมอยู่รอบตัว กดดันให้รู้ว่าแม้เวลานี้จะยังเมตตาแต่มันจะหมดลงทันทีถ้าคิดเล่นตุกติก ลอว์แค่นหัวเราะออกมาทั้งที่หน้าซีดเผือด ถึงจะบีบใจตัวเองให้กล้ายังไงเขาก็ต่อต้านอำนาจของโดฟลามิงโก้ไม่ได้

     

    “อย่าพูดเป็นเล่นซิดอฟฟี่...พูดเหมือนผมจะหนีคุณไปไหนได้งั้นล่ะ..ผมก็บอกคุณไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนี่ว่าตอนนี้ผมแค่ยังไม่พร้อม ที่ผมขอก็แค่เวลา ถ้าเมื่อไหร่ถึงเวลาที่สัญญากันไว้แล้ว ผมจะจะยกทุกอย่างให้คุณทั้งหมด..ทุกอย่างที่คุณต้องการ”

     

      เหงื่อหยดติ๋งจากปลายคางแหลม ผู้กุมอำนาจเหนือกลุ่มธุรกิจมืดขยับใบหน้ารับรู้แต่ไม่แสดงท่าทีว่าเขาเชื่อในคำพูดของเด็กหนุ่มรึไม่นอกจากใบหน้าที่ยังอมยิ้มเหมือนอารมณ์ดีอยู่ไม่คลาย

     

    “ชั้นก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น..ไปพักผ่อนเถอะยังไม่ได้นอนไม่ใช่รึไง ชั้นจะเดินไปส่งที่ห้อง”

     

       พูดแล้วก็คว้าเอาไหล่บางมากอดแนบตัวรั้งให้เดินตามมาโดยไม่คิดถามความสมัครใจลากลอว์ เด็กหนุ่มก้าวเดินตามมาเงียบๆดวงตามองพื้นครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจจนถูกพามาถึงห้องของตัวเอง แล้วนายน้อยยังใจดีเปิดประตูห้องให้ด้วย

     

    “ขอบคุณ”

     

      เด็กหนุ่มหันมาขอบคุณในลำคอก่อนจะก้าวเข้าห้อง มือใหญ่คว้าข้อมือยังรั้งไม่ยอมให้ไปแล้วแนบริมฝีปากร้อนๆลงไปรวดเร็วอีกครั้ง จูบหนักๆตามแบบเจ้าตัว แล้วฝังริมฝีปากลงข้างขมับชื้นเหงื่ออีกครั้งหนึ่งเป็นการตบท้าย

     

    “ราตรีสวัสดิ์เด็กดี..”

     

      ลอว์รับคำในลำคอแผ่วเบาแล้วร่างสูงในชุดคลุมขนนกสีชมพูก็หันหลังเดินกลับไปยังห้องของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นเดียวกันแต่คนละทิศ เด็กหนุ่มปิดประตูลงแล้วกดล็อก ทันทีที่อยู่ตามลำพังแววตาสงบนิ่งก็กลายเป็นสั่นไหวแวววับ สีหน้าเรียบเฉยคล้ายจะอวดดีเปลี่ยนเป็นขยะแขยงรังเกียจชิงชัง..

       ไม่มีทาง..ไม่มีวัน เขาจะไม่ยอมจมปลักอยู่ที่นี่..สักวันที่แข็งแกร่งมากพอ ซักวันที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจของมัน...เขาจะไป ไปให้พ้นๆจากที่นี่ ไปให้พ้นเงื้อมมือของผู้ชายแห่งโลกมืดคนนี้..

       ทลาฟาลก้า ลอว์ทิ้งกายลงพิงแผ่นหลังกับผนัง สูดหายใจเข้าลึกเป็นการเรียกกำลังใจให้ตัวเอง..ตอนนี้ก็แค่ต้องอดทน..ยังเหลือเวลาอีกมากให้เขาหาหนทาง..

     

    100% - - - - -  - -เจ้าค่ะ

    มาต่อแล้วค่ะ น้องๆเปิดเทอมกันหมด

    ไม่มีเวลาเม้าท์ มีเวลาพิมพ์ 555+

    เป็นหวัดนิๆหน่อยๆค่ะ

    แต่จากนี้คงมาถี่ขึ้น ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×