ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Barbecue Fantasia

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 13 ข้าวสีทอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 531
      17
      23 มี.ค. 58

    .

    ตอนที่ 13 ข้าวสีทอง

    “วัตถุดิบในการอาหารสำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับพลังเวทมนตร์เข้าสู่ร่างกายเป็นอาหารเฉพาะอย่างที่หาได้ยาก ส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุดิบที่ขึ้นอยู่ในพื้นที่อันตราย วัตถุดิบบางชนิดมีพิษร้ายแรงสำหรับคนทั่วไป แต่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถดูดซับพลังเวทมนตร์จะกินอาหารเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหา ข้าได้สรุปรายการวัตถุดิบที่มีการบันทึกเอาไว้ดังต่อไปนี้”

    ไม้สักและประดู่จ้องมองดูนกขุนทองปากเหลืองที่กำลังอ่านข้อความบนกระดาษให้ฟัง นกตัวนี้ไฮโลมอบให้พวกเขาในวันต่อมา เป็นนกที่ฝึกฝนมาเพื่ออ่านหนังสือให้คนตาบอดฟังโดยเฉพาะ ไม่เพียงแต่อ่านหนังสือออกเสียงแล้วนกตัวนี้ยังช่วยเหลือบอกทางให้กับคนพิการตาบอดในโลกนี้อีกด้วย

    “ราคา เท่าไหร่ ครับ” ไม้สักหันไปถามไฮโลที่ยืนยิ้มอยู่ข้างโต๊ะ

    “อย่าได้พูดถึงราคาเลย เนื้อหาในสมุดบันทึกของลูกชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง มีประโยชน์ต่อพวกท่านหรือไม่ จะให้ข้าเป็นคนอ่านให้พวกท่านฟังเกรงว่าข้าคงมีเวลาไม่พอ มีเจ้าขุนทองตัวนี้ช่วยเหลือน่าจะสะดวกกว่า”

    “ขอบคุณมากครับ” ประดู่และไม้สักกล่าวขอบคุณพร้อมกัน

    “โลกเรายังไม่มีอะไรแบบนี้เลยนะ สุดยอดไปเลย” ประดู่ส่งเมล็ดพืชซึ่งเป็นอาหารของนกขุนทองให้มันกิน เจ้านกขุนทองงับเมล็ดพืชขนาดเล็กแล้วกลืนลงคออย่างรวดเร็ว มันเหยียดปีกแล้วอ่านข้อความในบันทึกต่อไป

    “หญ้าสีทอง เป็นพืชที่ขึ้นพื้นที่ลุ่มน้ำขัง เมล็ดของหญ้าสีทองนี้จะมีเปลือกหุ้มสีทองดังชื่อ เนื้อภายในเป็นสีขาวขุ่น แข็งและไร้ร่องรอยพลังเวทมนตร์ใด ๆ พบเห็นได้ในพื้นที่ราบลุ่มอันเต็มไปด้วยหญ้าดูดชีพ การเข้าถึงจำเป็นต้องใช้เครื่องนุ่งห่มซึ่งมีคุณสมบัติในการกักเก็บพลังเวทมนตร์ไว้ในร่างกาย ไม่เช่นนั้นจะถูกหญ้าดูดชีพดูดพลังเวทมนตร์ออกจากร่างกายจนเกิดอาการขาดพลังงานเวทมนตร์อย่างรุนแรง”

    ไม้สักชี้นิ้วไปที่หมายเหตุซึ่งขีดเส้นใต้เอาไว้ให้นกขุนทองอ่านให้ฟัง

    “พื้นที่ซึ่งมีหญ้าดูดชีพเจริญเติบโตเกือบทั้งหมดได้ถูกกำหนดเป็นพื้นที่หวงห้าม ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดการอาหารไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่เหล่านี้ได้”

    “ดูเหมือนว่าพวกเราคงหลีกเลี่ยงการเป็นนักล่าวัตถุดิบแน่ ๆ ” ไม้สักพูดกับประดู่

    “เหมือนการ์ตูนเรื่องโ-ริโกะน่ะเหรอ” ประดู่ที่เช่าการ์ตูนมาอ่านบ่อย ๆ นึกถึงการ์ตูนเกี่ยวกับอาหารที่เขาอ่านอยู่เป็นประจำ

    “ก็คงคล้าย ๆ กันล่ะมั้ง แต่เราไม่ใช่ยอดมนุษย์เหมือนตัวละครในการ์ตูนเรื่องนั้น จะทำอะไรก็คงลำบากหน่อย” ไม้สักพูดแล้วหยุดนิ่งไป ถ้าคิดถึงเรื่องพละกำลังที่พวกเขามีเพิ่มขึ้นมาแล้วบางทีการจัดตัวเองอยู่ในระดับเดียวกันกับตัวละครในหนังสือการ์ตูนก็คงไม่มากเกินไป ประดู่ที่กำลังมองหน้าเขาเองก็คิดอย่างเดียวกัน

    การอ่านบันทึกของไม้สักถูกขัดจังหวะเมื่อประตูถูกบ้านเคาะ

    “พวกเรามาจากทางการ ขอพบผู้เฒ่าไฮโล ท่านไฮโลอยู่หรือไม่” เสียงเข้มแข็งหนักแน่นดังมาจากหน้าบ้าน ไฮโลรีบเดินไปเปิดประตูเชิญแขกเข้าบ้านแต่แขกเหล่านั้นปักหลักอยู่ข้างนอกโดยที่ไม่เข้ามา ทหารสองสามคนชะโงกเข้ามาในบ้านสำรวจมองดูไม้สักและประดู่เล็กน้อยในขณะที่หัวหน้าของตนพูดคุยกับไฮโล

    พวกเขาคุยกันเป็นเวลานาน ไฮโลกลับเข้ามาในบ้านแล้วแจ้งเรื่องสำคัญให้เด็กหนุ่มทั้งสองเข้าใจ เนื่องจากเหตุการณ์ลักพาตัวครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนในเมืองคีราวีเป็นอย่างมาก ทางการจึงขอให้ไฮโลเข้าไปพักอาศัยในสถานที่ที่ทางการจัดให้ชั่วคราวจนกว่าจะจัดการคนที่อยู่เบื้องหลังได้สำเร็จ เศรษฐกิจของเมืองคีราวีขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวเป็นหลัก ดังนั้นความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ เหตุการณ์ปล้นก่อนหน้านี้จะเกิดขึ้นนอกตัวเมือง แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตัวเมืองทางการจึงต้องออกแรงลงมือเต็มกำลัง

    ไฮโลได้มอบแม่กุญแจประตูและหน้าต่างให้กับเด็กหนุ่มทั้งสอง เป็นกุญแจชนิดที่ไม่ต้องการพลังงานเวทมนตร์ในการทำงาน เขาคิดเผื่อเอาไว้ในตอนที่ไปหาซื้อนกขุนทองราคาแพง ไฮโลฝากฝังบ้านเอาไว้กับเด็กหนุ่มทั้งสองชั่วคราว เขาต้องการมอบเงินให้ทั้งสองเอาไว้ใช้แต่ประดู่ปฏิเสธ บอกว่าพวกเขามีเงินพอใช้ได้เป็นเวลานานแล้ว

    “เมืองท่องเที่ยว ประเทศท่องเที่ยว ที่นี่ก็คล้าย ๆ ไทยแลนด์แดนสยามเลยนะ” ประดู่พูดกับไม้สักแล้วหัวเราะเมื่อคนจากทางการและไฮโลจากไปแล้ว

    “ข้าจะไปซื้อแผนที่ บางทีอาจจะไปตรวจสอบแหล่งหญ้าสีทองที่อยู่ใกล้ที่สุดถ้ามันไม่ไกลเกินไป แกเฝ้าบ้านแล้วก็จดบันทึกจากสมุดพวกนี้เป็นภาษาไทยให้หน่อยนะ” ไม้สักที่จดคำอธิบายหญ้าสีทองเป็นภาษาไทยลงสมุดบันทึกของตัวเองเรียบร้อยแล้วพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

    “แกจะไปคนเดียวเหรอ” ประดู่รู้สึกเป็นกังวล

    “มันต้องมีคนเฝ้าบ้านซักคน แกระวังตัวด้วยก็แล้วกัน บางทีพวกคนร้ายอาจจะย้อนกลับมาอีก” ไม้สักลุกขึ้น จัดเตรียมกระเป๋าเครื่องแต่งกายแล้วออกเดินทาง ประดู่นั่งลงและใช้สมุดบันทึกกับปากกาอีกชุดหนึ่งของไม้สักจดคำอ่านจากนกขุนทองลงไป

    แผนที่ประเทศยีอาลองหาได้ไม่ยาก ไม้สักใช้ไข่มุกราคาหนึ่งหมื่นบาทซื้อแผนที่แผ่นเดียวทำเอาเจ้าของร้านจ้องหน้าเขาเหมือนอยากจะกระทืบเขาสักหลาย ๆ รอบ แต่แววตาของไม้สักทำให้เจ้าของร้านต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกค้าจ่ายค่าสินค้าด้วยเงินก้อนใหญ่ แต่เป็นครั้งแรกที่ผู้ซื้อมีแววตาแหลมคมเอาจริงจนน่ากลัว

    ไม้สักเก็บเงินทอนซึ่งเป็นเปลือกหอยบางเฉียบสลักตัวหนังสือและตัวเลขบอกค่า 1,000 เอาไว้เก้าชิ้นและเปลือกหอยชิ้นเล็ก ๆ อีกจำนวนหนึ่งเข้ากระเป๋า เทียบดูแผนที่กับสมุดบันทึกที่คัดลอกมา

    เมืองคีราวีเป็นเมืองที่อยู่ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศยีอาลอง แหล่งหญ้าสีทองอยู่ทางทิศเหนือของเมืองคีราวีห่างไปประมาณสิบสี่กิโลเมตร พื้นที่ระหว่างทางเป็นทุ่งโล่งและป่าโปร่งสามารถเดินทางได้โดยง่าย

    ไม้สักเดินย้อนกลับไปซื้อเข็มทิศเวทมนตร์เมื่อเดินมาถึงปากทางเข้าเมือง เขาลืมไปว่าเข็มทิศของตัวเองใช้กับโลกนี้ไม่ได้ จนกระทั่งต้องกำหนดทิศในการเดินทางจึงรู้ตัว

    วิธีการเดินทางของไม้สักก็คือการวิ่ง เขาบิแบ่งแท่งพลังงานออกมาเป็นก้อนเท่าปลายนิ้วก้อย กัดกลืนลงท้องแล้วออกวิ่งด้วยพลังงานที่ผุดขึ้นมาในร่างกาย พุ่งตัดผ่านทุ่งหญ้าพื้นดินแข็ง ป่าโปร่งต้นไม้ขึ้นแยกห่าง วิ่งข้ามเนินสูง อ้อมผ่านหนองน้ำ ใช้เวลาสี่สิบนาทีในการเดินทางมายังทุ่งหญ้าดูดชีพ

    หญ้าดูดชีพมีความแตกต่างจากหญ้าชนิดอื่นโดยรอบอย่างเห็นได้ชัด นอกจากรั้วไม้ที่ทางการสร้างขึ้นเพื่อกั้นเขตแดนของหญ้าดูดชีพเอาไว้เห็นได้ชัดเจน สีของหญ้าดูดชีพที่เป็นสีม่วงเข้มเตะตาก็เป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่น

    “เจ้าเป็นใคร หยุดเดี๋ยวนี้ นี่เป็นเขตหวงห้าม” ทหารคนหนึ่งที่อยู่ริมรั้วไม้บริเวณนั้นร้องขึ้นเมื่อเห็นไม้สักวิ่งเข้ามาใกล้

    ไม้สักเห็นว่าความสำคัญของสารอาหารที่จะได้จากหญ้าสีทองมีมากกว่า เขาเร่งความเร็วกระโดดข้ามรั้วไม้สูงสองเมตรเข้าไปในเขตอันตรายโดยไม่สนใจเสียงร้องเตือน

    “เจ้าโง่ เจ้าอยากตายรึไง” ทหารเฝ้าทุ่งหญ้าดูดชีพตะโกนไล่หลังไม้สัก เขาจ้องมองดูไม้สักที่วิ่งเข้าไปในทุ่งหญ้ากว้างสีม่วงเข้ม ในใจคิดว่าต้องวุ่นวายลากศพคนออกมาจากทุ่งหญ้าอีกแล้ว

    เพียงแต่ไม้สักไม่ได้ล้มลง เขาวิ่งไปอย่างต่อเนื่องจากระทั่งลับหายไปกับเนินลูกหนึ่ง ปล่อยให้ทหารเฝ้าทุ่งหญ้าดูดชีพอ้าปากค้างตาเบิกโพลง

    ไม้สักเห็นว่าการพุ่งเข้ามาในเขตทุ่งหญ้าอันตรายโดยที่ไม่ตรวจสอบก่อนดูจะประมาทเกินไปอยู่บ้าง แต่เขามีเวลาไม่มากนัก และเขาคิดว่าตัวเองไม่น่าจะคาดเดาผิดพลาด ร่างกายของเขาไม่ต้องการพลังเวทมนตร์ในการยังชีพ ดังนั้นเขาจะต้องไม่ได้รับผลกระทบจากหญ้าสีม่วงเข้มเหล่านี้แน่นอน

    หญ้าดูดชีพที่ไม้สักมองเห็นเป็นหญ้าต้นสั้นเลื้อยไปกับพื้น แบบเดียวกับหญ้าที่ปลูกเพื่อคลุมดินในสวนหน้าบ้าน เพียงแต่มีใบใหญ่ประมาณเท่าลำนิ้ว

    การหาหญ้าสีทองในทุ่งหญ้าสีม่วงเข้มไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะเป็นพื้นที่กว้างเกือบสิบตารางกิโลเมตรแต่ไม้สักก็ค้นพบจุดสีทองเล็ก ๆ ในแอ่งที่ลุ่มหลังวิ่งสำรวจเพียงห้านาที อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้การค้นหาเป็นไปอย่างง่ายดายก็คือความโล่งโปร่งของทุ่งหญ้า ต้นไม้และพืชชนิดอื่น ๆ ถูกดูดพลังเวทมนตร์ออกไปจนไม่สามารถเติบโตได้ในที่นี้

    ปัญหาก็คือมีคนยืนอยู่ที่ริมกอหญ้าสีทองกอนั้น

    ไม้สักวิ่งเข้าไปยืนอยู่ริมกอหญ้าซึ่งมีลักษณะไม่ต่างจากต้นข้าวในนาเนิน คนที่ยืนอยู่ข้างกอหญ้าสีทองสวมใส่ชุดขนาดใหญ่ไม่ต่างจากชุดอวกาศเพียงแต่สร้างขึ้นจากไม้เกือบทั้งหมด ดูไปคล้ายมัสค็อตของยางรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ส่วนหมวกของชุดอวกาศไม้นั้นมีแผ่นแก้วซึ่งสะท้อนแสงออกมาจนหมดครอบทับไว้ โฉมหน้าของผู้ที่สวมใส่ถูกซ่อนอยู่หลังเงาสะท้อนของทุ่งหญ้าอย่างมิดชิด

    ไม้สักย่อตัวลงมองดูหญ้าสีทองพบว่าหญ้าต้นนี้อยู่ในช่วงออกดอก ยังไม่พร้อมสำหรับเก็บเกี่ยว เขามองดูคนในชุดอวกาศแล้วออกวิ่งไปสำรวจหาหญ้าต้นอื่น คนในชุดอวกาศส่งเสียงร้องเสียงผ่านหมวกแก้วออกมาแต่ไม้สักไม่ได้ยินเพราะเสียงนั้นอุดอู้จนเกินไป เขามุ่งตรงไปยังกอหญ้าสีทองกออื่นที่เห็นอยู่ลิบ ๆ

    ไม้สักกังวลว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่หญ้ากำลังออกดอก ถ้าหญ้าทุกต้นออกดอกกันหมดเขาก็คงไม่ได้อะไรกลับไปเลย บางทีอาจจะต้องถอนต้นหญ้าไปต้มกินเผื่อว่าจะได้รับสารอาหารบ้าง

    คนยิ้มยากอย่างไม้สากเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นเมล็ดหญ้าจับกลุ่มอย่างรวงข้าว เมล็ดข้าวสีทองมีขนาดใหญ่และยาวกว่าเมล็ดข้าวที่เขารู้จักเกือบเท่าตัว รวงข้าวและต้นข้าวเองก็ใหญ่กว่าเนื่องจากต้องรับน้ำหนักที่มากกว่า

    ไม้สักปลดกระเป๋าลงมา ค้นเอาถุงผ้าร่มกันน้ำที่พับม้วนไว้ออกมาคลี่เป็นถุงใหญ่ ใช้มีดตัดรวงข้าวสีทองจากกลุ่มกอข้าวห้าตารางเมตรจนได้ครึ่งถุง เขาใช้มีดขุดเอาหญ้าดูดชีพที่ขึ้นอยู่รอบต้นข้าวออกด้วยหวังว่าเมล็ดที่เขาเหลือเอาไว้จะร่วงหล่นและเติบโตแข่งขันกับหญ้าดูดชีพนี้ได้ จนได้พื้นที่โล่งไร้หญ้าเป็นรัศมีกว้างสามเมตรไม้สักจึงมุ่งหน้าไปหาข้าวกลุ่มต่อไป

    เขาทำอยู่เช่นนี้จนได้ข้าวเปลือกสามสิบกิโลกรัมในถุงผ้าร่มสามถุง ไม้สักเห็นต้นข้าวอีกหลายจุดแต่เขานำถุงมาเพียงเท่านี้ เขาต้องนำข้าวที่ได้นี้กลับไปเก็บที่บ้านก่อนแล้วค่อยออกมาอีกรอบ บางทีอาจจะออกมาในตอนกลางคืนที่ไม่มีคน

    คิดได้แล้วไม้สักก็วิ่งออกจากทุ่งหญ้า กระโดดข้ามรั้วไม้มุ่งหน้ากลับไปยังเมืองคีราวี

    .

    “เม็ดใหญ่จริง” ประดู่หยิบเมล็ดข้าวเปลือกที่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าขึ้นมาจ้องดูใกล้ ๆ ไม้สักตอนนี้กำลังตำข้าวในครกไม้เพื่อแยกเปลือกข้าวออกจากเมล็ดข้าวภายใน

    เนื้อในของเมล็ดข้าวมีเยื่อสีน้ำตาลอ่อนหุ้มอยู่เช่นเดียวกับข้าวทั่วไป เป็นข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้องคุณภาพดีชนิดหนึ่ง

    “หอมแฮะ” ประดู่หยิบเมล็ดข้าวที่ฝัดเอาแกลบออกไปแล้วขึ้นมาดม เป็นกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายข้าวหอมมะลิแต่เป็นดอกไม้คนละอย่างกัน

    “แกหุงเป็นมั้ย” ไม้สักถาม

    “คงไม่ต่างจากหุงข้าวธรรมดาเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวข้าจะหุงแบบเช็ดน้ำเอาก็แล้วกัน” ประดู่กอบข้าวสารใส่หม้อ เติมน้ำแล้วซาวล้างฝุ่นทิ้งหนึ่งน้ำก่อนจะนำไปตั้งเตา จนกระทั่งหม้อข้าวเดือดกลิ่นหอมของข้าวก็เติมเต็มทั่วทั้งห้อง หอมเหมือนมีดอกไม้นับร้อยนับพันบานอยู่ในห้องแคบ ๆ หอมจนประดู่ต้องเปิดเครื่องดูดอากาศเพราะกลัวว่าจะหายใจไม่ออก

    กลิ่นหอมจากการต้มข้าวสีทองกระจายออกไปทั่วทั้งเมืองโดยมีบ้านของไฮโลเป็นจุดศูนย์กลาง เหล่าคนที่ได้กลิ่นพากันมองหาว่าที่มีของกลิ่นหอมละมุนนี้มาจากที่ใด แต่กลิ่นหอมที่แผ่กระจายออกเป็นพื้นที่กว้างยากจะหาจุดกำเนิดได้โดยง่าย

    ประดู่คอยคนหม้อข้าวจนกระทั่งน้ำต้มข้าวเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น น้ำเริ่มลดระดับ เขาใช้ช้อนตักข้าวขึ้นมาตรวจสอบว่าแตกเม็ดหรือยัง เมื่อเห็นว่าข้าวแตกเม็ดดีแล้วจึงปิดฝา ใช้ตะหลิวขัดหูหม้อกดฝาไว้กับปากหม้อ เอียงหม้อรินน้ำข้าวออกมาจากช่องว่างที่เว้นเผื่อเอาไว้เล็กน้อยลงสู่ชามหิน

    น้ำลายของประดู่ไหลออกมาท่วมปากเมื่อเห็นน้ำสีขาวที่ไม่ได้เห็นมานาน มันเป็นสีขาวสะอาดยิ่งกว่าน้ำนมหรือน้ำเต้าหู้ หม้อทั้งใบถูกยกวางตะแคงลงบนปากชามหินจนน้ำข้าวไหลลงมาจนหมด เขายกหม้อข้าวสะบัดขึ้นลงเพื่อส่งข้าวที่เกาะติดอยู่กับฝาหม้อลงไปยังก้นหม้อ นำหม้อข้าวไปตั้งบนเตา ลดความร้อนลงมาให้อยู่ในระดับเกือบอ่อนสุด ทำการดงข้าวขั้นสุดท้ายเพื่อให้ข้าวพองฟูและกำจัดน้ำส่วนเกินที่เหลือทั้งหมด

    ประดู่รออย่างใจเย็นจนได้กลิ่นหอมของข้าวที่ไหม้เล็กน้อย เป็นกลิ่นหอมของข้าวตังก้นหม้อ เขายกหม้อมาตั้งที่โต๊ะกลางห้องให้ไม้สักได้เปิดดู ส่วนตัวเองกลับไปที่ครัวเพื่อเติมเกลือลงในน้ำข้าว คนให้ละลายแล้วตั้งทิ้งไว้รอให้เย็นเพื่อที่จะใส่ตู้เย็นเก็บไว้กินในภายหลัง

    ไม้สักเปิดหม้อข้าวออกและได้สัมผัสกับไอน้ำสีขาวที่พวยพุ่ง กลิ่นหอมละมุนลึกล้ำที่แทรกซึมผ่านไปถึงถุงลมทุกใบในปอด หอมจนเหมือนจะซึมผ่านเส้นเลือดฝอยในปอดแล้วเคลื่อนที่ไปตามเส้นเลือดทุกเส้นของร่างกาย หอมจนรู้สึกร่างกายพองโตล่องลอย

    ประดู่กลับมาในห้องพร้อมจานสองใบ เขาสูดหายใจรับกลิ่นข้าวหุงใหม่เข้าเต็มปอดแล้วตักข้างลงจานให้ตัวเองและเพื่อน ทั้งสองตักเข้าเปล่า ๆ เข้าปากก่อนโดยไม่ปรุงอะไรเพิ่มเติม ทำการเคี้ยวลิ้มรสชาติเข้มข้นอันบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปน เมล็ดข้าวนี้แสนจะนิ่มแต่เคี้ยวสัมผัสได้ชัดเจน ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหวานอร่อย แม้จะกลืนลงท้องไปแล้วรสอร่อยก็ยังลงเหลืออยู่บนลิ้นเหมือนมีผืนผ้าสีขาวนวลห่มคลุม

    ประดู่คดข้าวไปข้าง ๆ หม้อแล้วแซะเอาข้าวตังก้นหม้อขึ้นมาจัดวางบนจาน เขาเหยาะน้ำปลาลงบนข้าวแล้วคนให้เข้ากัน น้ำปลาเมื่อสัมผัสกับความร้อนของข้าวก็ส่งกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์หอมลึกเป็นเส้นสายคู่กับกลิ่นข้าวเข้าไปถึงก้นปอด ประดู่ตักข้าวเคี้ยวกินโดยไม่ทราบเลยว่าน้ำตาตัวเองกำลังไหลอาบแก้ม เขาหัวเราะทั้งน้ำตาเมื่อกัดกินข้าวตังกรอบหอม

    “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าได้กินข้าวจานเดียวจะทำให้ข้ามีความสุขจนน้ำตาไหล” ประดู่พูด

    ไม้สักนั้นไม่ถึงกับน้ำตาไหลเช่นประดู่ แต่เขาก็รู้สึกเต็มอิ่มและพึงพอใจอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานานแสนนาน

    “คืนนี้ข้าจะออกไปเก็บข้าวที่เหลือมาอีกเท่าที่ทำได้ ข้าฝากเรื่องจดบันทึกหน่อยนะ”

    “ไม่มีปัญหา” ประดู่พยักหน้า “อย่าลืมหาวิธีการปลูกขยายพันธุ์ข้าวด้วยล่ะ บางทีเราอาจจะต้องอยู่ที่นี่อีกนาน ถ้ามีข้าวแบบนี้อย่างน้อยเราก็ได้วิตามินหลายอย่าง ความรู้สึกของข้าเหมือนร่างกายตัวเองมันร้องตะโกนออกมาเลยว่าต้องการสารอาหารอย่างอื่นนอกจากที่กินอยู่ทุกวัน”

    “อืม” ไม้สักตอบคำเดียว

    อาหารมื้อนี้เป็นอาหารแสนเรียบง่ายแต่วิเศษสุด ร่างกายที่ขาดสารอาหารมามากกว่าหนึ่งเดือนของไม้สักและประดู่พยายามดูดซับสารอาหารเข้าสู่ร่างกายอย่างสุดความสามารถ เป็นผลให้หลังมื้ออาหารทั้งสองเกิดอาการง่วงมากจนไม่อาจฝืนลืมตา พวกเขานอนหลับบนเตียงของตัวเองทั้งที่ดวงตะวันยังอยู่บนฟ้า หลับฝันถึงบ้าน ฝันถึงโลกที่จากมา

    .

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    .

    คุยกับท่านผู้อ่าน

    ข้าวตังก้นหม้อเป็นอาหารที่ผมโปรดปรานมากที่สุดชนิดหนึ่ง สมัยที่ผมยังเด็กผมจะได้รับมอบหมายหน้าที่หุงข้าวในทุก ๆ เช้า ผมจะพยายามหุงให้ได้ข้าวตังเช่นนี้โดยการใส่ไฟมากกว่าการดงข้าวตามปกติ ดงข้าวนานกว่าเดิมจนได้กลิ่นหอมของข้าวตัง บางครั้งไม่ได้กลิ่นก็พลาดจนข้าวไหม้โดนแม่ด่ากันไป ข้าวตังร้อน ๆ เหยาะน้ำปลานี่แหละคืออาหารพาขึ้นสวรรค์ชนิดหนึ่งของผม

    ชาลี

    23 มีนาคม 2558

    .

    Barbecue Fantasia Facebook Page

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×