ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Barbecue Fantasia

    ลำดับตอนที่ #26 : ตอนที่ 26 ชดใช้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 534
      20
      21 พ.ค. 58

    ตอนที่ 26 ชดใช้

    “พาสตา เจ้าหนุ่มตัวแสบผู้นั้นอยู่ที่ใด” เสียงขึงขังของกวางน้อยทำเอาประดู่ใจหายวาบ หรือว่าเขาทำอะไรให้เธอไม่พอใจโดยที่ไม่รู้ตัว

    ประดู่ไม่ทันได้ขานรับเหล่าชายหนุ่มในห้องก็ชี้นิ้วใส่ประดู่พร้อมกัน พวกเขาต่างถูกท่าทีอันขุ่นเคืองแง่งอนแต่งดงามของหญิงสาวในชุดสีส้มป่วนหัวใจจนแทบละลาย ต่อให้ถูกเธอด่าทอต่อว่าสักครึ่งวันก็คงมีแต่ความยินดี

    “ท่านพี่ … ” ไม่ทราบเพราะเหตุใด ประดู่กำมือแตะฝ่ามือตรงหน้าเหมือนจอมยุทธ์ในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน

    กวางน้อยเดินเข้ามาหาประดู่ เชิดหน้ามองดูเขาที่สูงกว่าแล้วหัวเราะคิก

    “น้องเราช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก กลับใช้ความพิการของตนเองเป็นเครื่องมือในการแข่งขัน ผู้ที่ไม่สามารถใช้พลังเวทมนตร์เช่นท่านย่อมไม่ได้รับผลกระทบจากสุราที่กลั่นขึ้นเพื่อผู้คนทั่วไป”

    “นั่นคงไม่มีปัญหาเพราะท่านพี่ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าห้ามคนเช่นข้าพเจ้าเข้าแข็งขัน หรือไม่ใช่”

    “ไม่ใช่” กวางน้อยเท้าสะเอว “ข้าได้ระบุกติกาเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าห้ามมิให้คนที่มีร่างกายผิดปกติเข้าแข่ง สุราของผู้อื่นกลั่นขึ้นมาโดยคำนึงถึงลักษณะร่างกายและการดูดซับพลังเวทมนตร์เป็นหลักสำคัญ ผู้ที่ไม่อาจดูดซับพลังเวทมนตร์เช่นท่านจะรับทราบรสชาติอันล้ำเลิศของสุราที่ข้าพเจ้ากลั่นขึ้นมาได้อย่างไร”

    ประดู่เบิกตาโต เขากลับไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน

    “ข้าขอตัวออกไปซื้อเนื้องัวมาเพิ่มก่อน”

    ไม่ทันจะได้เอ่ยถาม ซาเทที่ฟังบทสนทนาอยู่ข้าง ๆ รีบหนีออกไปจากร้านในฐานะผู้ที่ปิดบังกฎแอบพาประดู่เข้าแข่งขันโดยติดสินบนคนของเหลาคนจรเอาไว้ไม่น้อย กวางน้อยมองตามหลังซาเทออกไปและเข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องซักถามเพิ่มเติม เธอถอนหายใจเบา ๆ แล้วมองหน้าเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าเกือบสิบปีตรงหน้า

    “เอาเถอะ ดูเหมือนเจ้าจะไม่ทราบเรื่องนี้จริง ๆ แต่ความผิดของเจ้าเจ้าต้องรับผิดชอบชดใช้ ทราบหรือไม่ว่าผู้อื่นต้องเสียเวลาเลี้ยงสุราให้กับอีกสามคนที่เข้ารอบเพื่อชดเชยให้พวกเขา เจ้าต้องมาช่วยงานพี่สาวผู้นี้เป็นเวลาสิบวัน”

    “สิบวัน! สิบวันนั้นใครจะช่วยงานร้านข้า” โบโซร้องเสียงดังพร้อมกับสับมีดทำครัวลงบนโต๊ะอย่างแรง

    กวางน้อยขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มร่างกำยำด้านหลังเธอพลันโยนเงินถุงใหญ่ให้โบโซ เมื่อเปิดดูสิ่งของในถุงเงินแล้วโบโซก็โบกมือไล่

    “เชิญ จะเอามันไปใช้งานสักหลายเดือนก็เชิญ”

    ประดู่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่เขาไม่มีค่างวดอะไรเลยรึ สังคมในโลกนี้ช่างโหดร้ายดีแท้

    “เจ้าไปเก็บของใช้ส่วนตัวแล้วตามพี่สาวออกไป” กวางน้อยนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ทำเอาชายที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะตัวนั้นรู้สึกเหมือนถูกหวยที่ได้เห็นสาวงามเลื่องชื่อในระยะประชิด เขามองดูเธออย่างเคลิบเคลิ้มจนกระทั่งประดู่เก็บของเสร็จแล้วตามคนทั้งหมดออกไป

    “ท่านพี่ ท่านจ่ายเงินมากมายให้โบโซเช่นนั้นแล้วจะเรียกว่าชดเชยได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าท่านต้องจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นอีกรึ” ประดู่ถาม

    “ย่อมต้องทวงเก็บคืนจากการทำงานของเจ้า” กวางน้อยตอบหน้าตาเฉย

    “อ้าว” ประดู่เผลออุทานเป็นภาษาไทย เมื่อได้เห็นสีหน้ายิ้มกริ่มของกวางน้อยเขาก็ได้แต่ถอนหายใจทราบว่านี่เป็นการเอาคืนของเธอที่โดนเขาหลอก

    “ไม่ต้องกังวล งานที่ข้าต้องการให้เจ้าช่วยเหลือเป็นงานที่คุ้มค่าเงินที่จ่ายไปเป็นอย่างมาก จะเรียกว่าโชคในคราวเคราะห์ก็คงไม่ผิดที่ข้าได้พบคนที่มีลักษณะพิเศษเช่นเจ้า คืนนี้ข้าต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ท่านเจ้าเมืองจัดขึ้น นอกจากจะได้ครัวพิสุทธิ์มาเป็นผู้จัดการเรื่องอาหารแล้ว ข้าซึ่ง โชคดี เดินทางมายังเมืองนี้ย่อมถูกรับเชิญให้ร่วมงาน แน่นอนว่าการแสดงฝีมือกลั่นสุราต่อหน้าแขกเหรื่อเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่” กวางน้อยจิ้มเอวประดู่ทำเอาเขาสะดุ้ง

    “แล้วท่านพี่ต้องการให้ข้าพเจ้าทำอะไรรึ” นั่นเป็นสิ่งที่ประดู่ต้องการทราบมากที่สุดในเวลานี้

    “ข้าต้องการให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการทดสอบยาพิษในอาหารวันพรุ่งนี้”

    “อ้อ เข้าใจแล้ว … เอ๋! อะไรนะ” ประดู่อุทานรอบสอง

    กวางน้อยหัวเราะคิกคัก ไม่ตอบว่าเป็นเรื่องจริงเท็จหรือล้อเล่นอย่างไร

    .

    ไม้สักมองดูควันไฟที่ลอยเป็นเส้นขึ้นไปจดก้อนเมฆ ควันหลายเส้นลอยขึ้นขนานกันเหมือนเส้นดินสอขนาดใหญ่ที่ผู้เขียนพยายามขีดให้เป็นเส้นตรงแต่มือกลับสั่นระรัว เขากระดกแผ่นพลาสติกในมือเพื่อดีดข้าวให้ต้องลม แยกเอาแกลบน้ำหนักเบาออกจากเมล็ดข้าวสารที่หนักกว่า ซาวน้ำเอาแกลบชิ้นเล็ก ๆ ออกอีกครั้งแล้วตั้งหม้อบนเตาดินที่ก่อขึ้นด้วยตัวเอง

    เกลือเม็ดที่แบ่งมาจากประดู่ถูกหยอดลงในหม้อข้าวระหว่างที่รอข้าวเดือด เนื้อปลาแห้งที่อัดไว้เป็นแผ่นถูกนำขึ้นมาย่างไฟส่งกลิ่นหอม

    ต้มข้าวจนสุกเละเป็นโจ๊กได้ที่แล้วไม้สักจึงยกลงจากเตาดิน รอให้เย็นลงเล็กน้อยแล้วตักข้าวต้มกินสลับกับปลาแห้งย่าง เนื้อปลาอันเปี่ยมไปด้วยโปรตีนส่งกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ ไปตามร่างกายช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายฉีกขาดจากการทำงานหนักเมื่อคืน

    จัดการมื้อเช้าเสร็จสิ้นแล้วไม้สักจึงเก็บของทั้งหมดเตรียมพร้อม แต่เขาไม่ทราบว่าจะไปที่ไหนต่อ จะกลับเข้าเมืองก็ทำไม่ได้ จะไปตามหาประดู่ก็ไม่ทราบจะหันหน้าวิ่งไปทางทิศใด พื้นที่รอบข้างเป็นทุ่งหญ้าสีม่วงเข้มเหมือนกันไปหมด สิ่งที่ค้ำจุนเขาอยู่มีเพียงอย่างเดียวคือเขาทราบว่าประดู่ยังไม่ได้ถูกจับ

    เด็กหนุ่มพยายามใช้ความคิดอย่างหนักและสรุปเป้าหมายของตัวเองก่อน ตอนนี้เขาต้องหาข้อมูลของศัตรูว่าครัวจันทน์เทศเป็นใคร สามารถแก้ไขความเข้าใจผิดได้หรือไม่ ถ้าเขาสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับครัวอบเชย บางทีครัวจันทน์เทศอาจจะยอมเลิกราไปเอง

    นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่ไม้สักจะคิดขึ้นได้ แต่การหาข้อมูลคงไม่อาจทำในเมืองคีราวีหรือเมืองใกล้เคียง เขาต้องเดินทางไปยังเมืองอื่นที่ห่างไกลจากความวุ่นวายจึงจะหาข้อมูลได้โดยสะดวก

    คิดได้เช่นนั้นไม้สักก็ออกวิ่ง มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือ ตรงกันข้ามกับเมืองเอ็นซ่าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ข้ามชายแดนประเทศอีโดเข้าไปหนึ่งร้อยกิโลเมตร

    .

    ประดู่ไม่ชอบใจชุดที่ถูกบังคับให้สวมใส่ชุดนี้เลย น้ำมันกลิ่นหอมที่ถูกนำมาลูบผมจนเรียบแปล้ติดไปกับหนังศีรษะนี่ก็เช่นกัน แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องสวมชุดที่ต้องประดับด้วยต้นข้าวอย่างที่องครักษ์สองคนของกวางน้อย แต่ทั้งสองก็ดูไม่ใส่ใจกับชุดของตัวเองเท่าไร

    “พาสตา เจ้าเคยร่วมงานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้มาก่อนหรือไม่” กวางน้อยถามพลางเปิดม่านมองดูทิวทัศน์เบื้องนอกระหว่างการเดินทาง

    “ไม่เคยมาก่อน” ประดู่ตอบตามตรง

    “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล กับผู้ทดสอบยาพิษเช่นเจ้านั้นไม่ว่าผู้ใดก็ให้ความเคารพอยู่บ้าง ในฐานะที่เจ้าจะตายเมื่อไรก็ไม่มีใครทราบ ขอเพียงอย่างแสดงท่าทีอันบ้าคลั่งก็เพียงพอ”

    ประดู่ฟังแล้วก็ขมวดคิ้วอีกรอบ

    “ข้าพเจ้าจะไม่เป็นอะไรจริง ๆ รึ”

    “สมควรไม่เป็นไร ยาพิษที่ใช้ในการลอบทำร้ายผู้คนส่วนใหญ่เป็นยาที่ส่งผลกับพลังเวทมนตร์ในร่างกายมนุษย์โดยตรง ผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์เช่นเจ้าไม่สมควรได้รับอันตรายใด ๆ ”

    กวางน้อยอธิบายซ้ำให้ประดู่เข้าใจอีกครั้ง

    “แล้วงานเลี้ยงจะเป็นงานเลี้ยงได้รึถ้าผู้ร่วมงานไม่อาจชิมอาหารใด ๆ ได้เลย” ประดู่ทราบจากการอธิบายของกวางน้อยว่างานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้ผู้เข้าร่วมจะไม่รับประทานอาหารใด ๆ การรับประทานอาหารจะมีตัวแทนซึ่งจะบรรยายความล้ำเลิศของอาหารให้นายของตนได้ฟัง

    “เจ้าไม่ทราบที่มาของธรรมเนียมนี้รึ นี่เป็นผลกระทบจากการอาละวาดของ ครัวกรวดดำ เมื่อสี่สิบปีก่อน ในงานเลี้ยงใหญ่ฉลองวันเกิดของราชาประเทศยีอาลององค์ก่อน ขุนนางและผู้เยี่ยมยุทธ์รวมไปถึงผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากถูกทำร้ายด้วยพิษถั่วหวานจนเสียชีวิตร่วมห้าร้อยคน แม้แต่องค์ราชาเองก็ย่ำแย่ ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากครัวจันทน์หอมก็คงไม่อาจมีชีวิตรอดได้อีกยี่สิบปี หลังจากนั้นเป็นต้นมา งานเลี้ยงใด ๆ จะต้องดำเนินไปในลักษณะนี้ คือมีตัวแทนรับประทานอาหารแล้วพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำร้อยแก้วร้อยกรองอันงดงาม ยิ่งคำพรรณนาล้ำเลิศเพียงไรยิ่งชี้ให้เห็นถึงความล้ำเลิศของอาหารอันเป็นแรงผลักดัน”

    “เอ๋ ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถในเชิงอักษรอันเลิศล้ำถึงเพียงนั้น ไม่อาจเป็นผู้ทดสอบพิษให้กับท่าน” ประดู่รีบออกตัว

    “อ้อ เป็นอันว่าเจ้าไม่กังวลเรื่องที่ตัวเองจะตายด้วยพิษแล้วรึ ตำแหน่งนี้มีชื่อเรียกว่า ภักษากร ขอเพียงเจ้ามีฝีปากเทียบเท่าที่ใช้เมื่อคืนนี้ก็เพียงพอแล้ว จะเสกสรรปั้นแต่งถ้อยคำใดขึ้นมาก็ได้ รับรองว่าไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าอาหารของตนไม่อร่อย ถ้าหาคนได้ผู้อื่นจึงไม่ใช้งานคนที่เพิ่งได้พบกันเช่นท่าน”

    ประดู่ไม่อาจพูดอันใดได้อีกเพราะเขาเดินทางมาถึงที่หมายคือ เหลามั่งมี แสงไฟจากเหล่าไม้สี่ชั้นส่องสว่างจนกลบทับความมืดเอาไว้หมดสิ้น

    เมืองเอ็นซ่าเป็นเมืองติดชายแดนระหว่างประเทศอีโดและประเทศยีอาลอง ตัวเมืองเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างสองประเทศและซื้อสินค้าจากประเทศยีอาลองเป็นจำนวนมาก สินค้าจากประเทศยีอาลองจะมาหยุดที่เมืองนี้ก่อนแล้วจึงกระจายออกไปทั่วประเทศอีโด ดังนั้นภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษายีอาลองเป็นหลัก แต่ส่วนหนึ่งของการใช้ภาษายีอาลองเป็นภาษากลางในเมืองนี้ก็เนื่องมาจากวัฒนธรรมของประเทศยีอาลองซึ่งมีความลึกล้ำมากกว่า ประเทศอีโดจึงรับวัฒนธรรมต่าง ๆ มาจากประเทศยีอาลองมากมาย

    ประดู่กระชับชุดผ้าที่ต้องสวมทับกันหลายชั้นให้เข้าที่แล้วก้าวเดินตามหลังกลางน้อยลงจากรถม้า สิ่งที่เขาไม่ชอบในการแต่งกายของตนก็คือสีสันสดแสบของเสื้อหลายชั้นที่ตัวเองสวมและขากางเกงท่อนบนที่โป่งพองในขณะที่ส่วนน่องผูกเรียบไปกับผิวหนัง ต้นแขนของเขาก็มีผ้าโป่งพองเหมือนลูกชิ้นลูกใหญ่ในขณะที่ปลายแขนลีบติดผิว ยิ่งตัวเขามีกล้ามเนื้อแข็งแกร่งยิ่งทำให้ชุดใหญ่นี้บีบรัดสร้างความอึดอัดมากขึ้นอีก

    “โอ้ ท่านมธุรสกลีบเกสร ท่านมาได้ทันเวลาพอดี อีกไม่นานงานเลี้ยงก็จะเริ่มขึ้นแล้ว เชิญ ๆ ๆ ” คนเฝ้าประตูที่สวมเสื้อผ้าเลิศหรูกว่าพ่อค้าบรรดาศักดิ์ทั่วไปตรงเข้ามาโค้งรับการมาเยือนของกวางน้อย

    “ข้าพเจ้ามาถึงเป็นคนท้าย ๆ เลยหรือนี่ เช่นนี้ผู้อื่นคงกลายเป็นหญิงงามจอมวางท่าถ่วงเวลาเพื่อดึงความสนใจคนในงานแล้ว” กวางน้อยเอียงคอยิ้มให้ผู้เฝ้าประตู

    “ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่มีผู้ใดกล้าว่ากล่าวท่าน ตัวท่านมีคุณมีค่ามีศักดิ์พอที่จะปล่อยให้คนรอคอยได้สักชั่วโมง … แต่นี่ดูจะผิดรูปแบบปกติของท่านอยู่บ้าง ปกติท่านไม่เคยล่าช้ามาก่อน” คนเฝ้าประตูผู้นั้นโค้งแล้วโค้งอีกแต่ยังยิงคำถามว่าทำไมกวางน้อยจึงมาช้า

    กวางน้อยถอนหายใจตีสีหน้าเศร้าสร้อย

    “จะมีเรื่องอันใดถ้าไม่ใช่ว่าภักษากรที่ข้าพเจ้าว่าจ้างไว้เกิดเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ถ้าไม่สรรหาภักษากรคนใหม่ให้ได้สักคนเกรงว่าผู้อื่นไม่มีหน้ามาร่วมงานของท่านเจ้าเมืองแล้ว”

    ผู้เฝ้าประตูร้องอ้อ เขากลอกตามองดูประดู่ที่กำลังตาโตเพราะไม่ทราบว่าคนลองยาคนก่อนของกวางน้อยเสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากไม่เคยพบไม่เคยเห็นประดู่มาก่อนผู้เฝ้าประตูนั้นจึงไม่อาจว่ากล่าวอะไรได้นอกจากชื่นชมประดู่ว่าเป็นคนหนุ่มที่กล้าแข็ง จากนั้นนำทางคนทั้งห้าเข้าไปในเหลา องครักษ์สามคนแยกไปนั่งที่โต๊ะส่วนตัวในชั้นแรกสุด ปล่อยให้กวางน้อยและประดู่เดินขึ้นไปยังชั้นสี่อันเป็นชั้นบนสุดตามลำพัง

    ในงานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้กองกำลังของผู้คนกลุ่มต่าง ๆ จะถูกกันไว้ไม่ให้นำพาติดตัวไปด้วย เว้นแต่เป็นนักสู้ผู้มีที่มาอันใหญ่หลวงจึงจะได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงาน แต่จุดมุ่งหมายแท้จริงแล้วเป็นการป้องกันไม่ให้กระทำการลอบสังหารได้อย่างง่ายดายมากกว่า ประดู่ที่กำลังคิดว่าตัวเองจะรอดไปจากงานเลี้ยงนี้หรือไม่ย่อมคิดไปไม่ถึงสิ่งเหล่านี้

    เสียงดนตรีดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนชั้นที่ประดู่เดินผ่าน เหลาที่เขามองจากด้านนอกว่าใหญ่แล้วเมื่อเข้ามาภายในยังใหญ่ยิ่งกว่าที่เขาคิดหลายเท่า เทียบวัดตามสายตาคร่าว ๆ แล้วประดู่มั่นใจว่าเหลาแห่งนี้ต้องกว้างกว่าโรงยิมในโรงเรียนของเขา และโรงยิมหลังนั้นมีสนามบาสเกตบอลสามสนามตั้งขนาบกัน ทั้งยังมีอัฒจันทร์ล้อมรอบที่บรรจุคนได้มากกว่าพันคน

    เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสี่ประดู่ก็พบตัวเองอยู่ในลานกว้างปูด้วยไม้เนื้อแข็งขัดเงาสีดำวาว ด้านในสุดมีแท่นเวทียกสูงจากพื้นเพียงหัวเข่า ตัวเวทีมีลักษณะเป็นวงโค้งเว้าโดยหันด้านเว้าเข้าหาลานกว้าง นักดนตรีบรรเลงเครื่องดนตรีรูปร่างแปลกตาหลายชนิด ทั้งเครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี เครื่องเป่า

    ประดู่คิดถึงบ้านทันทีที่เห็นเครื่องดนตรีลักษณะคล้ายกีตาร์ในมือของนักดนตรีผู้หนึ่ง เขาเล่นกีตาร์ให้น้องสาวที่หูหนวกเป็นใบ้ฟังเป็นประจำ น้องสาวของเขาฟังเสียงกีตาร์ไม่ได้แต่เธอชอบที่จะแนบมือไปกับตัวกีตาร์เพื่อรับรู้แรงสั่นสะเทือน เป็นการฟังในรูปแบบของเธอเอง เธอยังบอกกับประดู่ว่าเธอชอบมองดูมือของเขาที่ลากไล่ไปตามสายกีตาร์เพื่อจับคอร์ดต่าง ๆ

    น้ำตาของประดู่แทบหยาดหยดเมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจะต้องกลับไปให้ได้ ต้องกลับบ้านให้ได้

    “ยิ้มแย้มกว่านี้ได้หรือไม่” กวางน้อยสะกิดประดู่เมื่อเห็นเขาแสดงสีหน้าอันปวดร้าว

    “ขออภัยท่านพี่ ข้าพเจ้าคิดถึงบ้านเก่าที่จากมา ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” ประดู่ยิ้มตอบกลับ

    “เป็นสิ่งใดที่ทำให้น้องเราคิดถึงบ้านรึ” กวางน้อยถามด้วยความสนใจ

    “เป็นเครื่องดนตรีสายดีดเครื่องนั้น ข้าพเจ้าเคยเล่นเครื่องดนตรีที่คล้ายกันมาก่อน”

    กวางน้อยร้องอ้อ พยักหน้าเข้าใจแล้วตรงเข้าไปหาเจ้าของงานซึ่งรอเธออยู่ ประดู่สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อตั้งสติแล้วก้าวเดินตามหลังเธอไป หลังของเขาเหยียดคอตั้งตรงมองไปข้างหน้า ฝีเท้าหนักแน่นอย่างผู้ที่ฝึกฝนอยู่ในวินัยอันเคร่งครัด ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรเขาก็ต้องฝ่าฟันมันไปให้ได้

    .

    ไม้สักหยุดวิ่งลงในตอนบ่ายเพื่อตักน้ำในลำธารสายหนึ่งเติมใส่ขวดน้ำ เขานั่งพักอยู่บนก้อนหินที่ริมลำธารและหยิบหนังสือวิชาภาชนะออกมาอ่าน แต่จุดที่เข้าใจยากก็ยังคงเข้าใจยากเพราะเขาไม่ทราบความหมายของคำในหนังสือ มันเป็นคำศัพท์ที่เขาไม่รู้จักไม่เคยเห็น

    ไม้สักพลิกหน้าหนังสือไปมาและฉุกใจคิด เขาเปิดไปยังหน้าที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุดิบซึ่งมีสารอาหารสำหรับคนที่ไม่อาจรับพลังเวทมนตร์เข้าร่างกายเช่นเขา เปรียบเทียบคำที่คล้ายกันและสังเกตเห็นความเชื่อมโยง ในหน้าหนังสือที่กล่าวถึงการเก็บพลังงานจากธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายและในหน้าของรายละเอียดวัตถุดิบมีตัวหนังสือคำเดียวกัน

    “เมื่อมนุษย์ไม่อาจใช้พลังเวทมนตร์และไม่อาจรับพลังเวทมนตร์เข้าสู่ร่างกาย สิ่งที่สามารถนำมาใช้ได้ก็คือพลังธรรมชาติที่แฝงอยู่ในพืชและสัตว์ พลังธรรมชาติเหล่านี้มีหลายประเภทแบ่งแยกไปตามชนิดของสัตว์และพืชต่าง ๆ ข้าขอเรียกมันว่า ปัง น้า หยง วัย สั้ง น้ำ พลังธรรมชาติเหล่านี้ยังแบ่งย่อยลงไปอีกมากมายแต่โดยหลักมีดังนี้ สังเกตว่า น้ำ ก็คือ น้ำ เพราะน้ำเป็นสิ่งที่หลอมรวมพลังงานทุกอย่างเข้าด้วยกัน ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่ได้ถ้าขาดน้ำ”

    ไม้สักเปิดเทียบภาพวาดของวัตถุดิบต่าง ๆ ทบทวนชื่อเรียกของพลังงานต่าง ๆ ที่มีอยู่ในวัตถุดิบเหล่านั้นอย่างละเอียด เขาใช้ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการและสารอาหารที่มีเขียนตารางเปรียบเทียบชื่อพลังงานธรรมชาติที่มีการอ้างถึงในคัมภีร์กับสารอาหาร โดยคาดเดาตามปริมาณสารอาหารที่น่าจะมีมากในวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น ในพืชประเภทข้าวจะมีแป้งมาก และเนื้อสัตว์จะมีโปรตีนมาก

    เขาสรุปเทียบความหมายได้ดังนี้

    ปัง – คาร์โบไฮเดรต

    น้า – โปรตีน

    หลง – ไขมัน

    วัย – วิตามิน

    สั้ง – แร่ธาตุ

    น้ำ – น้ำ

    เมื่อเปรียบเทียบได้ความหมายชัดเจนแล้วคำอธิบายต่าง ๆ ในคัมภีร์ก็เปลี่ยนเป็นสมเหตุสมผลขึ้นมา อย่างเช่นปังหรือสารอาหารประเภทแป้งซึ่งเปลี่ยนเป็นพลังงานหลักในการขับเคลื่อนร่างกาย วัยหรือวิตามินที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายอย่างรุนแรงถ้าไม่ได้รับในปริมาณที่พอเพียง

    ไม้สักไม่รู้ตัวเลยว่าได้นั่งอ่านหนังสือเป็นเวลานาน จนกระทั่งไม่สามารถอ่านหนังสือได้เพราะรอบข้างมืดมิดนั่นเองที่จึงรู้ตัวว่าได้นั่งอยู่บนก้อนหินริมธารจนมืดค่ำ และเขาก็ได้ยินเสียงเห่าของสุนัขดังแว่วมาตามสายลม

    ไม้สักเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า กัดกินแท่งพลังงานหนึ่งคำแล้วออกวิ่งไปยังทิศเหนือสุดแรง เขาโบกมือให้กับเทพธิดาราตรีก่อนจะมุดเข้าป่าซึ่งหนาทึบจนไม่อาจเห็นท้องฟ้าได้อีก

    เช้าวันต่อมาหลังจากวิ่งทั้งคืนโดยไม่หยุดพักไม้สักก็พบตัวเองอยู่หน้าหมู่บ้านเล็ก ๆ เขาได้กลิ่นคาวเลือดอันเหม็นคลุ้งโชยมาตามกระแสลมเหมือนยืนอยู่ข้างโรงฆ่าสัตว์ ไม่เพียงแต่กลิ่นชวนคลื่นเหียนบรรยากาศโดยรอบยังเงียบวังเวง ไม้สักตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือได้ฉุดดึงเขาไว้

    วิ่งลัดเลาะผ่านบ้านไม้ใต้ถุนสูงสามหลังไม้สักก็พบที่มาของเสียง หญิงสาวในร่างเปลือยสองคนถูกมัดไว้กับไม้พลองพาดตามขวางเหนือกองไฟ หนึ่งคนโดนไฟเผาจากการย่างทั้งเป็นและกำลังส่งกลิ่นหอมของเนื้อย่างไฟ อีกคนถูกมัดติดกับไม้แต่ยังไม่ได้ยกขึ้นเตา

    ไม้สักใช้มืออุดจมูกไม่อยากรับกลิ่นเนื้อคนย่าง เขาพุ่งความสนใจไปยังร่างในชุดเปลือกไม้ที่หันหลังให้เขาและกำลังหั่นซอยพืชสมุนไพรหลายชนิดบนโต๊ะ

    หญิงสาวที่ยังมีชีวิตอยู่เหลือบเห็นไม้สักแล้ว ดวงตาเธอประกายความหวังและยินดี เธอมองเขาสลับกับตัวของคนในชุดเปลือกไม้ ปากยังส่งเสียงครวญครางขอความช่วยเหลือเพื่อไม่ให้เป็นการผิดสังเกต

    ไม้สักแม้เป็นคนเย็นชา แต่เห็นคนต้องการความช่วยเหลือตรงหน้าเช่นนี้เขาก็ไม่อาจทิ้งเธอไป เขาย่อตัวลงกำดินแห้งละเอียดขึ้นมาหนึ่งกำ มีดถูกชักออกมาเตรียมพร้อมและก้าวย่างเข้าหาคนในชุดเปลือกไม้หน้าโต๊ะทำครัวอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งถึงระยะสามก้าวคนผู้นั้นก็หันขวับมาหาไม้สักด้วยแววตาตื่นตระหนก

    ไม้สักที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนซัดดินในมือซ้ายเข้าตาของคนผู้นั้นอย่างจังและก้มตัวหลบมีดหินที่ซัดเข้าใส่ตัวได้อย่างทันท่วงที เขาพุ่งตัวเข้าใส่ชายในชุดเปลือกไม้เสือกแทงมีดเข้าที่ลำคอทะลุไปด้านหลังในมีดเดียว ไม่มีความลังเลใด ๆ ในการโจมตีของไม้สักเพราะเขาทราบดีว่ากับผู้มีฝีมือในดินแดนแห่งนี้ ถ้าเขาพลาดก็คือตาย

    มีดที่สองของไม้สักแทงผ่านเปลือกไม้แข็งด้วยกำลังมหาศาลเสียบเข้าที่หน้าอกแทงทะลุหัวใจของคนในชุดเปลือกไม้ ส่งผลให้เขาล้มลงเสียชีวิตในทันที

    ไม้สักเดินเข้าไปตัดเชือกที่ผูกมัดแขนขาของหญิงสาวผู้นั้นไว้กับไม้เพื่อที่จะโดนตวาดกลับมา

    “ยังไม่รีบหันหน้าไปทางอื่น ร่างกายของข้าไม่ได้มีไว้ให้คนไร้ยศศักดิ์เช่นเจ้าได้เชยชม”

    รด.หนุ่มเบิกตาโพลงแล้วหลุดหัวเราะออกมา เขาไม่มีความคิดในใจอย่างเช่นว่า “ช่วยแล้วโดนด่าแบบนี้ปล่อยให้ตายไปก็คงดี” เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะได้รับการตอบสนองจากผู้ที่เขาเพิ่งช่วยชีวิตไว้เช่นนี้

    “เจ้าหัวเราะอะไร ไม่ทราบหรือว่าข้าเป็นใคร เรือนร่างของข้าแม้แต่เจ้าเมืองยังยากจะได้เชยชม ได้เห็นผิวข้าถือว่าเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว”

    ไม้สักไม่ตอบโต้ เขาค้นตัวชายสวมชุดเกราะเปลือกไม้ประหลาด ไม่สนใจว่าทำไมหญิงสาวผู้นั้นจึงไม่คิดที่จะหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ทั้งที่ด่าเขาไม่ยอมให้เขามองดู ค้นได้ไข่มุกสี่ลูกกับซองหนังบรรจุมีดหินสกัดแล้วเขาก็ตั้งท่าวิ่งออกจากหมู่บ้าน

    “เดี๋ยวเจ้าจะไปไหน เจ้าดูร่างกายของข้าแล้วเจ้าต้องช่วยข้า พาข้าไปส่งที่ เมืองอีคาไร ก่อน”

    ไม้สักมองดูหญิงผู้นั้นตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าแล้วเบะปากยิ้มเยาะเหมือนกับว่าร่างกายอันงดงามของเธอผู้นั้นไม่มีค่าไม่มีความหมายสำหรับเขา

    “ท่านคงคิดจริง ๆ ว่าท่านนั้นงดงามยิ่งกว่าใครในแดนดิน แต่ข้านั้นได้พบปะกับสตรีที่งดงามยิ่งกว่าท่านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ข้าช่วยชีวิตท่านแล้ว ที่เหลือก็จงพึ่งพาตัวเองเถอะ” พูดจบก็โยนไข่มุกให้เธอหนึ่งเม็ดแล้ววิ่งขึ้นไปทางทิศเหนือสุดแรง

    “เจ้า … เจ้า … เจ้าคนหยาบช้า ความอับอายนี้ข้าจะต้องให้เจ้าชดใช้”

    เสียงของหญิงผู้นั้นกรีดร้องดังแว่วตามหลังไม้สักมา ไม้สักไม่เข้าใจความคิดของเธอเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตของเธอ แต่ทันทีที่เธอรอดชีวิตคล้ายกับว่าเธอหลุดไปอยู่ในอีกโลกอีกมิติ สามัญสำนึกทั่วไปเหมือนจะใช้กับเธอผู้นี้ไม่ได้ มันไม่สมเหตุสมผลจนน่าขัน

    วิ่งออกมาได้ระยะหนึ่งไม้สักก็เห็นซากของรถลากกองอยู่ริมโคนไม้ ศพคนที่โดนฆ่าตายกระจายไปทั่ว บางทีหญิงผู้นั้นอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับคนในหมู่บ้าน แต่โดนจับตัวจากขบวนรถม้าเลิศหรูไปทำอาหารในหมู่บ้านแห่งนั้น

    คิดถึงว่าตนเองเพิ่งได้เห็นคนฆ่าคนเพื่อปรุงเป็นอาหารแล้วไม้สักก็รู้สึกมวนท้อง เขาหยิบแท่งพลังงานขึ้นมากัดกินคำหนึ่งเพื่อคลายความรู้สึกคลื่นไส้ ดื่มน้ำหนึ่งอึกและวิ่งสุดกำลัง

    .

    คุยกับท่านผู้อ่าน

    ทำงานครับ เวลาแต่งนิยายเลยมีไม่มาก ตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอต

    ชาลี

    21 พฤษภาคม 2558

    Barbecue Fantasia Facebook Page

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×