ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Awake (KyuMin)

    ลำดับตอนที่ #12 : 11. เข้มแข็ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.34K
      6
      8 ธ.ค. 55

    THE★ FARRY








    11. เข้มแข็ง

     

    หลายอย่างเปลี่ยนไป สายตาที่เราใช้มองกันก็เปลี่ยนไป

    “เหม่ออะไรน่ะซองมิน” เสียงทุ้มนุ่มอันแสนคุ้นหูเรียกชื่อผม เขาบอกว่าชื่อ ซองมิน ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ไม่รู้สึกเคว้งคว้างในกรุงโรมอันแสนกว้างใหญ่ “วันนี้เหม่อบ่อยจังเลย”

    “ผมเหม่อแล้วคุณรำคาญเหรอ” ผมถามเขากลับ

    “ผมจะรำคาญทำไม ผมแค่อยากเตือนคุณว่า ถ้าคุณเหม่อบ่อยๆ ระวังจะโดนผมถ่ายรูปไม่รู้ตัวนะ” ตั้งแต่สถานะของเราสองคนเปลี่ยนไป คยูฮยอนก็ไม่ค่อยพูดจายอกย้อนแล้ว เวลาผมถามคำถามเขา เขาก็จะตอบตรงๆ ไม่ค่อยถามย้อนแบบสมัยก่อน

    จริงๆก็ยังมีบ้างบางครั้ง เหมือนมันเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย

    วันนี้อากาศดีมาก ผมจึงพาคยูฮยอนออกมานั่งเล่นด้วยกันในสวนข้างโบสถ์ ผมเอาโน้ตบุคออกมานั่งทำวิทยานิพนธ์ ส่วนคยูฮยอนก็วุ่นวายอยู่กับกล้องถ่ายรูปของเขาเหมือนเดิม คยูฮยอนเดินไปถ่ายรูปตรงนั้นทีตรงนี้ที ผมมองเขาจากม้าหินที่เราวางของไว้ด้วยกัน พลางคิดทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

    ทุกอย่างผ่านไปเร็วมาก ผมเจอคยูฮยอนตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ นี่มันก็ปลายใบไม้ผลิเข้าไปแล้ว อีกไม่นานฤดูร้อนก็จะมาเยือนอย่างเป็นทางการ พร้อมกับริ้วลมอุ่นๆที่โลมไล้ผิวกาย

    คยูฮยอนมีความสุขที่ได้ถ่ายรูป ผมมองเขา และก็เริ่มวาดภาพๆหนึ่งในหัว ผมอยากพาคยูฮยอนไปเที่ยว ผมชอบมองเขาถ่ายรูป ผมจะพาเขาไปไหนดี พาเขาไปซอร์เรนโต้ดีไหม เพราะไหนๆลูก้าก็มีญาติเป็นเจ้าของรีสอร์ทที่นั่นแล้ว เราคงได้ส่วนลดแน่นอน

    ผมอยากเห็นเขามีความสุข ความสุขของเราไม่ใช่การเดินควงแขนกระหนุงกระหนิงกัน แต่ความสุขของเราคือการอยู่ด้วยกันในห้วงความเงียบ ต่างคนต่างมีกิจกรรมของตัวเองทำ คยูฮยอนถ่ายรูป ผมนั่งพิมพ์วิทยานิพนธ์ แต่ในความเงียบ เรารับรู้ตัวตนของกันและกัน เรารู้ว่าเราอยู่เคียงข้างกัน แม้จะไม่ได้สัมผัสเนื้อตัวกันก็ตาม

    หลังจากจูบคืนนั้น ผมกับคยูฮยอนก็แทบจะไม่ได้จูบกันอีกเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมก็ไม่ได้โหยหาอยากจูบเขา เขาเองก็ไม่เคยฉวยโอกาสแอบจูบผม ทั้งๆที่เขามีโอกาสตั้งหลายครั้ง

    ถึงคยูฮยอนจะพูดจาเถรตรงและกวนประสาท แต่จริงๆแล้วเขาเคารพพื้นที่ส่วนตัวของผมมาก ถ้าเขารู้ว่าผมมีความลับ เขาจะไม่เค้นถาม เขาจะพูดคล้ายๆกันทุกครั้งว่า “อยากบอกผมเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกแล้วกัน”

    “แอบมองผมทำไม” คยูฮยอนหันมาถาม เมื่อเห็นผมนั่งเท้าคางจ้องเขาอยู่

    ผมคลี่ยิ้มให้เขาบางๆ และตอบว่า “ไม่ได้แอบมอง กำลังตั้งใจมองอยู่ต่างหาก”

    เขาเดินกลับมาที่โต๊ะ วางกล้องถ่ายรูป และนั่งลง “มองผมบ่อยๆ ไม่กลัวผมเขินเหรอ” คยูฮยอนเท้าคาง พร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้

    ผมไม่ได้ตอบอะไรเขา แต่กลับก้มหน้าลงมองหน้าจอโน้ตบุคต่อ คยูฮยอนเปลี่ยนฝั่งมานั่งข้างๆผม เขามองตัวหนังสือหลายบรรทัดที่เรียงเป็นระเบียบอยู่ในหน้าจอ “ใกล้เสร็จรึยัง”

    “ใกล้แล้ว แต่ก็ไม่ใกล้เท่าไหร่”

    คยูฮยอนมองหน้าผม “อะไรของคุณ ใกล้แต่ไม่ใกล้?”

    “เหมือนจะใกล้เสร็จ แต่ความจริงอาจมีอะไรต้องเขียนลงไปอีกเยอะ” ผมตอบเขา

    คยูฮยอนผละสายตาจากใบหน้าของผม และหันไปมองหน้าจอ เขาหรี่ตามองตัวหนังสือราวกับแปลออก “ทำเสร็จแล้วต้องเอามาแปลให้ผมฟังนะ เพราะผมอยากรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่”

    “คุณคงหลับตั้งแต่ย่อหน้าแรก” ผมบอกเขา

    จากนั้นคยูฮยอนก็ลุกไปถ่ายรูปต่อ

     

    ·

     

    หลายอย่างเปลี่ยนไป ความรู้สึกเวลาผมมองตาเขานานๆ...ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

     เย็นวันอังคาร เราทำอาหารกินกันเองในหอพัก เมนูที่ทำก็เป็นเมนูเดิมๆและเป็นเมนูแสนจะธรรมดา นั่นคือ สปาเก็ตตี้ซอสหมู จริงๆแล้วมื้อเย็นในวันนี้ผมไม่ต้องทำอะไรมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่คยูฮยอนจะเป็นคนจัดการ ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะทำอาหารไม่เก่ง แต่เอาเข้าจริงๆ ฝีมือเขาก็ไม่ได้แย่เลย

    เรานั่งกินสปาเก็ตตี้ด้วยกันที่โต๊ะทานข้าว เราทำตัวเหมือนกับที่เราเคยทำก่อนหน้านี้ เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยน ทั้งที่ความจริงความรู้สึกและสถานะของเราเปลี่ยนไปแล้ว

    เราสองคนไม่ค่อยมีฉากหวานๆกันเท่าไหร่ เราไม่ค่อยนัวเนียกัน ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะวิ่งไล่กอดผมทั้งวี่ทั้งวัน แต่คยูฮยอนไม่ทำแบบนั้นเลย เขาให้เกียรติผม ถ้าผมเหนื่อย เขาจะคอยมองอยู่ห่างๆ เดินมานวดไหล่ให้บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น

    จนบางครั้งผมต้องเป็นฝ่ายอ้อนขอกอดเขาเสียเอง และผมก็เขินทุกครั้งที่ทำ

    “เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนเหรอ” คยูฮยอนถาม

    ผมพยักหน้า

    “ปั่นงาน?”

    “ใช่ ช่วงนี้จะรีบปั่นให้เสร็จน่ะ”

    “อือ...” จบ และเขาก็ไม่ถามอะไรอีก การอยู่กับผมมานานทำให้เขารู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้ โดยเฉพาะเวลางานเยอะและเหนื่อย

    เมื่อมื้อเย็นจบลง คยูฮยอนก็อาสาล้างจานให้ผม “คุณไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” เขายิ้มให้ผม และยกจานเพียงไม่กี่ใบไปที่อ่างล้านจาน

    ผมเดินไปนั่งทำงานต่อ เสียงปลายนิ้วเคาะแป้นคีย์บอร์ดดังคลอคู่ไปกับเสียงคยูฮยอนล้างจาน สักพักหนึ่งเสียงน้ำในอ่างก็เงียบไป คยูฮยอนคงล้างจานเสร็จแล้ว ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา เขากำลังเดินมาหาผม เขาบีบไหล่ให้ผมเบาๆจนผมรู้สึกง่วง

    “พอดีกว่า นวดมากๆแล้วคุณง่วง เดี๋ยวคุณจะหาว่าผมขัดขวางการทำงานของคุณอีก” ฝ่ามือของคยูฮยอนหายไปจากไหล่ของผม จู่ๆผมก็รู้สึกไม่อยากให้เขาจากไปไหน ผมต้องการกำลังใจ ผมอยากให้เขาอยู่ข้างๆ

    เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงหันไปเรียกเขา พร้อมลุกขึ้นยืน “คยูฮยอน”

    เจ้าของชื่อหันมามองผม ผมยืนเม้มริมฝีปากแน่น สิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไปนี้เรียกว่า การอ้อน ใช่ไหม

    ผมก้าวเท้าห่างจากโต๊ะหนังสือ และเดินเข้าไปใกล้เขา เมื่อมาหยุดยืนตรงหน้าคยูฮยอน ผมก็พูดเสียงแผ่ว “ข...ขอกอดหน่อย” ผมรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมขอกอดเขา แต่ผมก็เขินแบบนี้ทุกครั้ง

    คยูฮยอนกระตุกยิ้ม ทุกครั้งที่เขารู้ตัวว่าโดนอ้อน เขาจะยิ้มอย่างผู้มีชัย ผมรู้สึกได้ เขาขยับเท้าเข้ามาใกล้ผม และวาดแขนรั้งเอวผมเข้าไปชิดเขา “เขินทำไม เราเป็นแฟนกันนะ”

    “......” ผมรู้แล้ว ไม่ต้องตอกย้ำก็ได้นะโจคยูฮยอน

    “คุณนี่นอกจากจะเก่งแล้วยังน่ารักด้วยเนอะ”

    “มาชมอะไรตอนนี้เนี่ย”

    “ที่เข้ามากอดเนี่ย ต้องการกำลังใจไม่ใช่เหรอ ผมก็กำลังให้กำลังใจคุณอยู่นี่ไง ผมไม่ได้แกล้งชมนะ คุณทั้งเก่งทั้งน่ารักจริงๆ มั่นใจในตัวเองหน่อยซองมิน”

    คยูฮยอนลูบฝ่ามือไปตามแผ่นหลังของผม เมื่อได้กอดจนอิ่มแล้วเราก็ผละจากกัน วิธีการแสดงความรักของเรามีแค่นี้แหล่ะ ไม่มีอะไรหวือหวามากไปกว่านี้หรอก ผมไม่ได้โหยหาอยากได้สัมผัสจากเขา เขาเองก็เคารพและให้เกียรติผม

    คยูฮยอนไม่เคยทำในสิ่งที่เขาเรียกกันว่า ลวนลาม

    ฝ่ามืออุ่นยีหัวผมเบาๆ “ไปทำงานต่อไป ผมยังไม่นอนหรอก เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน อ้อ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ชวนคุณคุยหรอก”

    “อือ ขอบคุณนะ” แค่นี้แหล่ะที่ผมต้องการ ผมเคยคิดแบบนี้มานานแล้ว หากผมมีคนรัก ผมคงไม่ต้องการให้คนรักของผมมาตามติดผมแจตลอดเวลา ผมมีพื้นที่ส่วนตัวสูงมาก ถ้าผมอยากอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ แม้แต่คนที่ผมรักมากที่สุดก็ไม่อาจรุกล้ำเข้ามาในเขตหวงห้ามส่วนตัวได้ ผมไม่ต้องการให้คนรักมาประคบประหงมผมตลอดเวลา ไม่ชอบให้จุกจิกจู้จี้ ไม่ชอบให้มานัวเนีย ถ้านัวเนียมากๆผมจะรำคาญ จากที่รักอาจกลายเป็นเกลียดได้

    สิ่งที่คยูฮยอนทำ คือสิ่งที่ตอบโจทย์ผมทุกอย่าง ผมต้องการคนรักที่พูดในเวลาที่ควรพูด เงียบในเวลาที่ควรเงียบ ไม่บงการชีวิตผม ไม่เรียกร้องขอความสนใจ ไม่ลวนลาม และให้เกียรติผม

    ขณะที่ผมกลับไปนั่งทำงานต่อ ผมได้ยินเสียงคยูฮยอนกดชัตเตอร์ แชะ แชะ แชะ ผมเดาไม่ออกจริงๆว่าในห้องนอนแห่งนี้ เขากำลังถ่ายรูปอะไรอยู่

     

    ·

     

    ลมอุ่นๆโชยเข้ามาทางหน้าต่าง พร้อมกับข่าวใหม่จากโจอารา พี่สาวของคยูฮยอน เธอบอกผมว่าเธอจะมารับน้องชายกลับเกาหลีในอีกสิบวันข้างหน้า

    สิบวันเท่านั้น

    ภารกิจของเธอที่ประเทศออสเตรียกำลังจะสิ้นสุดในอีกหนึ่งสัปดาห์ เธอขอเวลาสามวันในการเก็บข้าวของและร่ำลาคนที่รู้จัก จากนั้นเธอจะบินมาอิตาลี เธอตั้งใจจะพาน้องชายไปเที่ยวเวโรน่า[1]

    “คุณซองมิน จะไปด้วยกันก็ได้นะคะ” เธอเอ่ยชวนผม แต่ผมจำต้องปฏิเสธ เพราะภายในสิบวัน วิทยานิพนธ์ของผมคงยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่

    “ผมคงไปกับคุณไม่ได้หรอกครับ”

    “อ้าว ทำไมล่ะคะ แหม พวกเราตั้งใจจะให้คุณซองมินเป็นไกด์นำเที่ยวเลยนะเนี่ย”

    “วิทยานิพนธ์ของผมยังไม่เรียบร้อยน่ะครับ ถ้าผมว่าง ผมก็อยากจะไปกับพวกคุณเหมือนกัน” ทำไมผมจะไม่อยากไปกับคยูฮยอนล่ะ ผมอยากพาเขาไปเที่ยว อยากแอบดูเขาถ่ายรูป ทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศอิตาลีเป็นศิลปะด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว คยูฮยอนคงรัวชัตเตอร์จนเมมโมรี่กล้องเต็มภายในเวลาอันรวดเร็ว

    “พวกเราจะได้เจอคุณซองมินอีกใช่ไหมคะ”

    “......” พอเจอคำถามนี้เข้าไป ผมก็ไปต่อไม่เป็น ผมใจหายวูบเพียงแค่คิดว่า หลังจากสิบวันนี้ผ่านพ้นไป ห้องนอนแห่งนี้จะเหลือผมแต่เพียงผู้เดียว ชีวิตผมจะกลับไปเป็นแบบเดิม โจคยูฮยอนเข้ามาเติมสีสันให้ห้องนี้แค่เพียงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ทันทีที่ฤดูร้อนมาเยือน ผมจะไม่ต้องแบ่งผ้าห่มกับใครอีก ไม่ต้องผลัดกันใช้ห้องน้ำกับใคร ผมต้องกลับไปทำอาหารคนเดียว ไปกินปานิโน่และจิบกาแฟที่บาร์คนเดียว จะไม่มีใครมานั่งรอผมที่ม้าหินหน้าห้องสมุด จะไม่มี คุณโจ ให้สเตลล่าคอยกรี๊ดกร๊าด

    เพียงแค่คิดก็ใจหาย

    “เราต้องได้เจอกันอยู่แล้วค่ะ คุณซองมินก็ใกล้จะเรียนจบปริญญาโทแล้วนี่นา เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น ถ้าคุณกลับเกาหลีเมื่อไหร่ พวกเรายินดีต้อนรับคุณเสมอค่ะ”

    “ครับ ขอบคุณนะครับ” ขอบตาผมร้อนผ่าวอีกแล้ว แต่ผมยังน้ำตาไหลตอนนี้ไม่ได้

    “ฉันกับคยูฮยอนต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณซองมิน ถ้าไม่มีคุณ ฉันไม่รู้จริงๆว่าคยูฮยอนจะอยู่ยังไง พูดอิตาเลียนก็ไม่เป็น จำอะไรก็ไม่ได้ คุณดูแลเขามาขนาดนี้ น้องชายฉันไม่มีทางลืมคุณง่ายๆแน่นอนค่ะ”

    “ผมก็...คงจะไม่ลืมเขาเหมือนกัน ผมอยู่อิตาลีมาสองปี เขาเป็นรูมเมทคนแรกของผม ถึงเขาจะพูดอิตาเลียนไม่ได้ แต่เขาก็พยายามเรียนรู้นะครับ แม้ช่วงแรกจะขี้เกียจก็ตาม”

    หญิงสาวหัวเราะ “คยูฮยอนเป็นแบบนี้แหล่ะค่ะ เวลาต้องพยายามอะไรใหม่ๆ เขาจะขี้เกียจช่วงแรกๆ แต่ถ้าทำได้แล้วเขาจะชอบมันมาก”

    ก็จริงอย่างที่โจอาราพูด ช่วงแรกคยูฮยอนไม่ยอมท่องศัพท์ภาษาอิตาเลียนที่ผมเขียนให้เลย เขาเป็นนักเรียนที่ดื้อมาก แต่พอโดนผมเคี่ยวเข็ญไปเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ยอมท่อง และเขาก็เริ่มจำศัพท์ได้ เมื่อจำศัพท์ได้ผมก็เริ่มสอนแกรมม่าร์ให้เขา ตอนนี้คยูฮยอนยังพูดได้เพียงประโยคสั้นๆ ง่ายๆ และใช้เวลาในการคิดรูปประโยคนานมาก แต่ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดี

    “ฉันโทรมาส่งข่าวคุณแค่นี้ล่ะค่ะ ไม่อยากส่งอีเมลล์มา เพราะกลัวคุณจะไม่ได้เปิดอ่าน โทรศัพท์ชัวร์ที่สุด”

    “งั้นผมจะบอกคยูฮยอนให้นะครับ ตอนนี้เขาอาบน้ำอยู่”

    “ค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ” เธอวางสาย ผมนั่งมองโทรศัพท์ และเริ่มนับถอยหลังเงียบๆในใจ

    10 วัน = 240 ชั่วโมง

    ผมนั่งมองหน้าต่าง พลางคิดว่าจะทำอะไรกับชั่วโมงแรกดี เสียงน้ำจากฝักบัวดังคลอความเงียบ ถ้าคยูฮยอนออกมาจากห้องน้ำ ผมคงต้องบอกเรื่องนี้กับเขา

    คยูฮยอน... เรามีเวลาอยู่ด้วยกันอีกสิบวัน เราจะทำอะไรกันดี

    ผมเริ่มเตรียมคำถามในใจ คยูฮยอนต้องดีใจแน่ๆที่พี่สาวจะมารับ ในที่สุดเขาก็ได้กลับบ้านเกิดเสียที เขาคงมีความทรงจำมากมายที่เกาหลี ถ้าเขาได้กลับไปยังที่ที่เขาคุ้นเคย ผมเชื่อว่าความทรงจำของเขาคงจะกลับมาในเร็ววัน เขาไม่ต้องทรมานกับการ ไม่รู้อะไรเลย อีกต่อไป

    เสียงฝักบัวเงียบไปแล้ว ผมได้ยินเสียงสะบัดผ้าเช็ดตัว ตอนนี้เขาคงเช็ดตัวอยู่ สักพักหนึ่งผมก็ได้ยินเสียงลูกบิดประตู คยูฮยอนเดินออกมาพร้อมกลิ่นสบู่ของผม ผมหันไปมองเขา และรู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจไปห้าวินาที

    คยูฮยอนผูกผ้าเช็ดตัวไว้ที่เอว... จบ... ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาไม่มีผ้าชิ้นอื่นอีกเลย

    ผมกลืนน้ำลายลงคอ และรีบเบนสายตาออกมา ใบหน้าผมร้อนฉ่าไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาเปลือยท่อนบน คยูฮยอนเดินไปที่โต๊ะหนังสือ เขาหยิบกล้องถ่ายรูปของเขาขึ้นมา เขาหันมาทางผม และถ่ายรูปผมไปอีกหนึ่งรูป

    แชะ

    ถ่ายรูปพร่ำเพรื่ออีกแล้ว คยูฮยอน

    แต่คยูฮยอนเหมือนอ่านใจผมออก เขาลดกล้องลง และพูดกับผมว่า “ที่กดชัตเตอร์ไปเนี่ย ไม่ได้ถ่ายอะไรไร้สาระนะ ผมตั้งใจจะถ่ายรูปคุณ”

    ผมเลิกคิ้ว “จะถ่ายทำไม วิวก็เป็นแค่วิวห้องนอน”

    คยูฮยอนยิ้ม “ถ่ายรูปคนกำลังคิดมากไง”

    “......”

    “เป็นอะไร นั่งเหม่อ คิดอะไรอยู่เหรอครับ” เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้ผม และยืนนิ่งตรงหน้าผม กายท่อนบนยังคงไร้อาภรณ์ น้ำหยดเล็กเกาะอยู่บนผิวกายขาวซีดของเขา

    ผมรีบก้มหน้าลง “พี่สาวคุณโทรมา อีกสิบวัน พี่จะมารับคุณกลับไป” ผมพูดออกไปโดยไม่มีการเกริ่นนำ คำพูดของผมทำให้คยูฮยอนเงียบ “ก่อนกลับเกาหลี เธอจะพาคุณไปเที่ยวเวโรน่า เพราะฉะนั้น คุณก็เตรียมตัวไว้เลย”

    “คุณไปกับผมนะ” เขาแทรกขึ้น

    “ไปไหน”

    “ไปเวโรน่ากับผม แล้วก็กลับไปอยู่เกาหลีด้วยกัน”

    ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา “วิทยานิพนธ์ของผมยังไม่เสร็จ ผมจะกลับไปได้ไง”

    “งั้นก็ไปเที่ยวเวโรน่ากัน”

    “ไม่ได้หรอกคยูฮยอน ผมยังต้องพบอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่เรื่อยๆ”

    “ส่งเมลหากันไม่ได้เหรอ”

    ผมส่ายหน้า “บางอย่างมันต้องคุยแบบตัวต่อตัวเท่านั้นถึงจะรู้เรื่อง”

    “......”

    “คุณไปกับพี่สาวคุณเถอะ ถึงคุณจะยังจำเธอไม่ได้ แต่เธอก็เป็นพี่สาวของคุณจริงๆนะ อยู่กับเธอให้มากๆ เธอเป็นห่วงคุณนะ”

    “แสดงว่าคุณต้องอยู่ที่นี่คนเดียว” คยูฮยอนไม่ยอมเปลี่ยนประเด็น

    “ใช่”

    “ผมไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียว”

    “ผมไม่ใช่เด็กนะ” ผมยกแขนขึ้นกอดอก

    “ถ้าผมไม่อยู่ ใครจะกลับบ้านกับคุณ ใครจะนั่งรอคุณ ใครจะช่วยคุณแบกของ”

    “......” ผมนิ่งไป เพราะคยูฮยอนกำลังตอกย้ำสิ่งที่ผมคิดอยู่ สิ่งที่เขาพูดออกมา คือภาพที่จะเกิดขึ้นหลังจากสิบวันนี้ผ่านพ้นไป

    “ยิ่งใกล้ส่งวิทยานิพนธ์ คุณก็ยิ่งนอนดึก แถมยังชอบหอบหนังสือหนักๆไปนู่นไปนี่ เดี๋ยวก็ได้เป็นลมเป็นแล้งหรอก... เอางี้ดีกว่าซองมิน ผมจะไม่ไปเที่ยวกับพี่สาว ผมอยู่กับคุณก่อนดีกว่า โอเคไหม ถ้าคุณเรียนจบแล้วเราค่อยไปเที่ยวเวโรน่าด้วยกันนะ”

    “พี่สาวคุณจองทุกอย่างไว้หมดแล้ว คยูฮยอน ทำไมคุณพูดแบบนี้ คุณจะแคนเซิลพี่สาวตัวเองเพื่อผมเหรอ คุณไม่รักพี่สาวคุณเลยเหรอ ถึงเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่กับคุณ เธอก็เป็นห่วงคุณมากนะ”

    “ผมก็เป็นห่วงคุณเหมือนกัน”

    “......”

    “แล้วผมก็รักคุณด้วย ซองมิน”

    “......” ผมอยากร้องไห้ทุกครั้งที่คยูฮยอนพูดว่าเขารักผม

    “ตอนผมอยู่โรงพยาบาล...” คยูฮยอนย่อตัวลงนั่งคุกเข่า โจคยูฮยอนในตอนนี้เหมือนเจ้าชายกรีก นุ่งผ้าแค่ผืนเดียว ท่อนบนไม่สวมอะไร หัวฟูหน่อยๆ เพราะเพิ่งสระผมมาหมาดๆ “...คุณทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ทั้งๆที่คุณไม่ว่าง ชีวิตคุณมีภาระเยอะแยะ แต่คุณก็มาหาผมแทบทุกวัน ทุกครั้งที่มา คุณจะซื้ออะไรติดไม้ติดมือมาให้ผมเสมอ”

    “ก็ตอนนั้นคุณป่วย คุณยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมก็ต้องมาดูแลคุณอยู่แล้ว ถ้าจะเปรียบเทียบตัวคุณตอนนั้นกับสภาพผมในตอนนี้ล่ะก็ หยุดเลยนะ ตอนนั้นคุณเพิ่งฟื้นจากโคม่า แต่ตัวผมในตอนนี้ไม่ได้ป่วย ร่างกายผมปกติดี ผมดูแลตัวเองได้ เพราะฉะนั้น ผมอยากให้คุณไปเที่ยวกับพี่สาว”

    คยูฮยอนนิ่งไป เมื่อผมเอาแต่ยืนกรานคำเดิม

    “งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมหลบสายตาเขา และลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันได้ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง อุ้งมือหมาป่าก็คว้าไหล่ผมไว้ทั้งสองข้าง และกดร่างผมลงบนฟูกที่นอน “คยูฮยอน!

    “ซองมิน คุณรักผมไหม” แววตานี้กลับมาแล้ว แววตาหมาป่าของเขา แววตาที่พร้อมจะไล่ต้อนผมให้จนมุมเสมอ มันไม่ดุดัน ไม่โหดเหี้ยม มันแค่...

    มองแล้วขยับตัวไปไหนไม่ได้

    “ผมเคยพูดไปแล้ว” ผมตอบเขา

    “ผมอยากฟังอีก คุณรักผมรึเปล่า” เขาย้ำคำถามเดิม

    ผมกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนเอ่ยออกไป “ถ้าผมไม่รักคุณ ผมไม่ขอกอดคุณบ่อยๆหรอก”

    คำตอบของผมจุดรอยยิ้มบางๆขึ้นบนใบหน้าของโจคยูฮยอน แววตาของเขาอ่อนแสงลง แต่มันก็ยังเป็นแววตาของหมาป่า ผมพยายามผลักคยูฮยอนออก “คยูฮยอน ผมจะไปอาบน้ำ”

    “ก่อนจะไปอาบน้ำ ผมขอจูบคุณก่อนได้ไหม”

    “......” มาอีกแล้ว โจคยูฮยอนพูดจาเถรตรงเสียจนผมอ้าปากปฏิเสธไม่ได้

    “ถ้าคุณไม่อนุญาต ผมก็จะไม่ทำ เพราะผมรู้ว่าคุณเป็นพวก.....................”

    ก่อนที่คยูฮยอนจะได้พล่ามอะไรมากไปกว่านี้ ผมก็ยันกายขึ้นด้วยศอกขวา มือซ้ายรั้งต้นคอคยูฮยอนลงมา และจัดการประกบปิดริมฝีปากที่กำลังพูดมากนั่นซะ

    วันนี้ริมฝีปากของคยูฮยอนเป็นรสมินท์... รสชาตินี้ทำให้ไม่อยากผละออกไป

    ลมหายใจร้อนของคยูฮยอนเป่ารดซีกแก้มของผม ผมใจเต้นรัวเมื่อลิ้นอุ่นไล่เล็มกลีบปากล่างของผมเบาๆ ออดอ้อนเหมือนลูกหมาไซบีเรียนฮัสกี้ตัวน้อยๆ ข้อศอกผมอ่อนแรงขึ้นมาดื้อๆ แผ่นหลังของผมแนบลงไปบนฟูกที่นอนอีกครั้ง สองแขนตวัดกอดรอบบ่าเปลือยเปล่าของคยูฮยอน เราไม่ค่อยได้ทำแบบนี้กันเท่าไหร่ จูบกันยังไม่ค่อยจะได้จูบเลย

    ความร้อนแล่นพล่านไปทั่ว คยูฮยอนกอดผมแน่น ผมไล้ปลายนิ้วไปตามแผ่นหลังของเขา ลากเรื่อยไปตามแนวกระดูกสันหลัง ฝ่ามือของผมเปียกชื้นเพราะหยดน้ำที่ยังเกาะพราวอยู่บนผิวกายของเขา

    สภาพของเราสองคนตอนนี้หมิ่นเหม่เหลือเกิน ผมตั้งใจจะจูบเขาแค่อย่างเดียว แต่จูบไปจูบมาทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ผมรีบผลักคยูฮยอนออกห่าง

    “ย...หยุดก่อน” ริมฝีปากของผมกอบโกยเอาออกซิเจนเข้าปอด หน้าร้อนฉ่าจนแทบไหม้

    “ขอโทษ” คยูฮยอนพูด ก่อนจะถอยห่างจากผม เขายันตัวเองลุกขึ้นยืน และรีบเดินไปสวมเสื้อผ้าตรงหน้าตู้

    “......” ส่วนผมยังคงนอนนิ่ง แนวอกกระเพื่อมไหว สายตาผมจ้องนิ่งไปที่เพดาน เมื่อหลับตาลง แววตาหมาป่าของคยูฮยอนก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด

    ถ้าเมื่อตะกี๊ผมไม่ผลักเขาออก จะเกิดอะไรขึ้น เพราะคยูฮยอนนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเท่านั้น ไม่อยากจะนึกเลย ผมสะบัดหัวขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ผมยันตัวเองขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้า และเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

    ตลอดทางเดินเข้าห้องน้ำ ผมพยายามเลี่ยงไม่มองตาคยูฮยอนอีก

     

    ·

     

    ผมสวมชุดนอนออกมาจากในห้องน้ำ มีผ้าขนหนูผืนบางวางโปะอยู่บนหัว ผมเดินไปที่โต๊ะกระจก เอาไดร์เสียบปลั๊ก และเริ่มเป่าผม

    ผมลอบมองคยูฮยอนผ่านกระจกเงา เขานั่งหลังพิงหัวเตียง ในมือถือกล้องถ่ายรูปเหมือนเคย ท่าทางว่าเขากำลังนั่งเช็ครูปเก่าๆที่ได้ถ่ายไป... ไม่ว่ายังไงผมก็อยากให้คยูฮยอนได้ไปเวโรน่า เขาควรจะได้อยู่กับพี่สาวของเขา เขาควรจะรักเธอให้มากเท่ากับที่เขารักผม

    แต่... ผมรู้หรือว่าคยูฮยอนรักผม แค่ไหน

    ผมปิดไดร์เป่าผม ถอดปลั๊กออก และวางมันไว้บนโต๊ะไม้ ผมใช้นิ้วสางผมตัวเอง ผมตัดสินใจพูดกับคยูฮยอน “ยังไงคุณก็เตรียมจัดกระเป๋าไปเวโรน่าไว้ตั้งแต่เนิ่นๆนะ”

    คยูฮยอนละสายตาจากหน้าจอกล้องถ่ายรูป “ไม่ว่ายังไง คุณก็จะให้ผมไปให้ได้สินะ”

    “คุณไม่รักพี่สาวคุณเลยหรือไง คยูฮยอน นี่คือโอกาสที่คุณจะได้อยู่กับพี่สาวคุณนะ พี่สาวแท้ๆเลยนะ เธอเป็นญาติคนเดียวที่คุณมีเหลืออยู่ คุณลืมไปรึเปล่า” ผมรัวประโยคยาวใส่เขา

    “......” เป็นไปตามคาด คยูฮยอนเงียบ เขาก้มหน้าลงมองกล้องถ่ายรูปต่อ

    ผมเดินไปที่โต๊ะหนังสือ เปิดโน้ตบุค ตัดสินใจพิมพ์วิทยานิพนธ์ต่อ ผมหยิบหนังสือออกมากองข้างๆ อีกฝั่งหนึ่งเป็นสมุดโน้ตที่มีลายมือตัวเองเต็มไปหมด

    “หมายความว่า ถ้าผมเที่ยวเวโรน่าเสร็จเมื่อไหร่ ผมก็ต้องกลับเกาหลีเลยใช่ไหม” จู่ๆคยูฮยอนก็ถาม

    ผมชะงักมือที่กำลังจะเคาะแป้นคีย์บอร์ด ผมตอบโดยไม่หันไปมองเขา “ใช่ คุณควรจะดีใจนะ ในที่สุดคุณก็จะได้กลับบ้านแล้ว เกาหลีคือที่ที่คุณคุ้นเคย”

    “แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าที่นั่นเป็นยังไง”

    “......”

    “แล้วผมก็จำไม่ได้แล้วว่า บ้าน คืออะไร ผมเคยมีบ้านรึเปล่า บ้านผมอยู่ที่ไหน ผมจำไม่ได้สักอย่าง เพราะเวลาอยู่กับคุณ คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านตลอดเวลา”

    “......”

    “ผมบอกคุณแล้ว เวลาผมเรียกชื่อคุณ ผมรู้สึกปลอดภัย”

    “พูดเหมือนชื่อผมเป็นยันต์กันผีเลยเนอะ” ผมยังคงไม่หันไปมองเขา ในความเงียบ ผมได้ยินเสียง หึ เบาๆจากคยูฮยอน เขาลุกจากเตียง เพื่อมาวางกล้องที่โต๊ะหนังสือ ซึ่งเป็นที่ที่ผมนั่งอยู่

    เขาวางกล้องถ่ายรูปลงข้างๆกองหนังสือของผม แล้วก็เดินกลับไปนอน

     

    ·

     

    วันนี้ผมเจอลูก้าที่มหาวิทยาลัย เขาบอกผมว่า เขาแวะเอาของมาให้มาเรีย ด้วยความที่ผมนั่งทำงานอยู่คนเดียวในห้องสมุด ลูก้าจึงอาสานั่งเป็นเพื่อนผม เขาบอกว่าเขาจะไม่ชวนผมคุย เพราะเขารู้ว่าผมกำลังใช้สมาธิ

    เขาเดินไปหยิบหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้มาอ่าน หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เผลอแป๊บเดียวก็หกโมงเย็นเสียแล้ว ผมกับลูก้าเดินออกจากห้องสมุดพร้อมกัน

    ผมใจหล่นวูบทันทีที่เดินออกจากห้องสมุด

    “มีอะไรรึเปล่าครับ” ลูก้าถามผม เมื่อเขาเห็นผมชะงักฝีเท้า แล้วเขาก็ค่อยๆมองตามวิถีสายตาของผม “อ้าว นั่นเพื่อนคุณนี่ คนที่ผมเจอที่ผับใช่ไหมครับ”

    “ช...ใช่ครับ”

    ทำไมคยูฮยอนถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ เมื่อเช้าเขาบอกผมเองว่าเขาจะไปเดินถ่ายรูปเล่นแถวๆโบสถ์  ผมกับลูก้าเดินลงไปหาเขา ลูก้าทักเขาคนแรก “สวัสดีครับ” ลูก้าทักคยูฮยอนเป็นภาษาเกาหลีเสียด้วย

    คยูฮยอนฝืนยิ้มตอบเพื่อนชาวอิตาเลียนของผม เขารีบเบนสายตามาทางผมด้วยความรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่พูดอะไร

    “พ...พอดีเมื่อเช้าลูก้าเอาของมาให้มาเรีย เขาก็เลยอยู่เป็นเพื่อนผมจนถึงเย็น” ผมอธิบายให้คยูฮยอนฟังเป็นภาษาเกาหลี น้ำเสียงของผมตะกุกตะกัก

    “อ๋อ อยู่ด้วยกันทั้งวันเลยสินะ”

    ผมกับคยูฮยอนเอาแต่พ่นเกาหลีใส่กัน มันคงทำให้ลูก้ารู้สึกเหมือนเป็นคนนอก “เอ... ต้องมีซับไทเทิลให้ผมรึเปล่าครับ ฮ่าๆ” เขาพูดติดตลก

    ผมหันไปบอกลูก้าพร้อมคลี่ยิ้มบางๆ “งั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะครับ ผมว่าจะไปกินข้าวกับคยูฮยอน”

    “อ๋อ ครับ ผมเองก็มีนัดกับเพื่อนเหมือนกัน” รอยยิ้มของเขาเจื่อนลง ผมแอบคิดในใจ บางทีลูก้าอาจจะเตรียมชวนผมไปกินมื้อเย็นด้วยกัน ถ้าคยูฮยอนไม่นั่งอยู่ตรงนี้ ผมคงได้ไปกินอาหารอิตาเลียนกับลูก้าแล้ว

    เราบอกลากัน ผมเดินแยกไปกับคยูฮยอน ในขณะที่ลูก้าเดินจากไปคนเดียว

    “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่” ผมเริ่มเปิดฉากถามเขา

    “ผมก็มาที่นี่ของผมเป็นปกติอยู่แล้ว ทำไม คุณรำคาญผมเหรอ”

    “ไหนคุณบอกว่าจะไปเดินถ่ายรูปเล่น”

    “เดินจนเมื่อยแล้ว ก็เลยมาหยุดที่นี่ไง”

    “......”

    “กลัวผมจะเห็นคุณอยู่กับหมอนั่นก็บอกมาเถอะ”

    “เปล่า ไม่เกี่ยวกัน ตอนแรกผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะมาที่นี่ ผมบอกแล้วไงว่าเขาแวะเอาของมาให้มาเรีย”

    “เอาของมาให้มาเรีย แล้วทำไมไม่อยู่กับมาเรีย”

    “มาเรียอาจจะติดธุระล่ะมั้ง”

    “หึ...” แล้วคยูฮยอนก็ไม่พูดอะไรอีก เขามักทำเสียง หึ ในคอเวลาไม่รู้จะพูดอะไร คยูฮยอนทำท่าเหมือนหงุดหงิดผม แต่สุดท้ายเขาก็คว้าเอาเป้ของผมไปสะพาย

    “เอ๊ะ ผมบอกแล้วไงว่าถือเองได้ ทำไมถึงชอบทำเหมือนผมเป็นผู้หญิง!” ผมพยายามแย่งเป้กลับมา

    แต่คยูฮยอนไม่ยอม “เดินๆไปเถอะ ผมสะพายเอง”

    “คยูฮยอน”

    “เหลือเวลาอยู่ด้วยกันอีกแค่เก้าวัน อย่าเรื่องมากนักเลยซองมิน ให้ผมบริการคุณอย่างที่ผมอยากทำเถอะ”

    “......” จำนวนวันอันน้อยนิดถูกตอกย้ำ มือผมนิ่งค้าง

    คยูฮยอนยิ้มให้ผม ก่อนจะยื่นมือมายีหัวผมเบาๆ ตลอดทางเดินกลับหอพัก ริ้วลมอุ่นๆลอยมาปะทะร่างเราสองคน โอบเราไว้ในห้วงเวลาที่กำลังจะเคลื่อนคล้อยผ่านเราไปอย่างรวดเร็ว

    “ซองมิน ผมอยากรู้...” ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆคยูฮยอนก็เปิดบทสนทนา “อะไรทำให้คุณอยากมาเรียนที่นี่”

    “ผมว่าผมเคยบอกไปแล้วนะ ผมชอบดูหนังอิตาเลียน”

    “เหตุผลอื่นล่ะ”

    “ก็...” ผมพยายามนึกย้อนไปสมัยที่ตัวเองอยู่ ม.ปลาย ผมหลงรักภาษานี้เพราะอะไร “...สงสัยเป็นเพราะผมชอบกินมั้ง”

    “ชอบกิน?”

    “ใช่ ผมเป็นคนชอบชิมนั่นชิมนี่ ผมชอบกินพิซซ่ามากเลยรู้ไหม ผมชอบพิซซ่าแบบอิตาเลียนมากกว่าแบบอเมริกัน พิซซ่าหนาๆแบบอเมริกันก็พอกินได้ ไม่ได้รังเกียจหรอก ผมกินหมดทุกอย่างน่ะแหล่ะ แต่ถ้าเลือกได้ ผมชอบพิซซ่าแป้งบางๆ กรอบๆ แบบอิตาเลียนมากกว่า”

    “สรุปว่าคุณเลือกเรียนภาษานี้เพราะหนังอิตาเลียนกับพิซซ่าอิตาเลียนสินะ”

    ผมหัวเราะ “จะสรุปอย่างนั้นก็ได้ การชอบกินพิซซ่าทำให้ผมจำชื่ออาหารได้”

    คยูฮยอนหันมายิ้มให้ผม “ชอบกินพิซซ่าแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะ...”

    ผมรู้หรอกนะว่าคยูฮยอนต้องการจะพูดอะไร “ไม่ต้องมาแซะ จะบอกว่าผมอ้วนก็พูดมาเถอะ”

    “ร้อนตัวจังเลย” เขาแกล้งทำเสียงอ่อนเสียงหวาน “ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยนะ”

    “......”

    “ไหน... งอนแก้มป่องให้ดูหน่อย ผมอยากเห็น” คยูฮยอนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ตาคู่คมไล่ต้อนผมอีกแล้ว แม้จะเพียงไม่กี่วินาทีก็เถอะ

    ผมเอานิ้วจิ้มกลางหน้าผากคยูฮยอน และผลักเขาออกเบาๆ “ผมไม่ใช่ผู้หญิง”

    “ไม่ใช่ผู้หญิงก็ทำได้”

    “งั้นก็ไปให้คนอื่นทำให้ดูเถอะ ผมทำไม่ได้หรอก นี่ไง ไปขอซิลเวียสิ ตอนนั้นบอกอยากจีบซิลเวียไม่ใช่เหรอ”

    “ลืมที่ผมเคยพูดไปแล้วเหรอ อยากจีบ ไม่ได้แปลว่า อยากคบ...”

    “......”

    “คุณไม่อยากถามผมเหรอ ว่าผมเริ่มชอบคุณตั้งแต่ตอนไหน” หัวข้อสนทนาเปลี่ยนกะทันหัน ผมตั้งตัวไม่ทัน ทำไมจู่ๆคยูฮยอนก็วกเข้าเรื่องนี้ล่ะ “เร็ว... ถามผมหน่อย ผมอยากตอบ”

    เขาทำให้ผมปั้นหน้าไม่ถูก ผมไม่รู้จะยิ้มดี หรือขมวดคิ้วดี แต่ผมจะยอมทำตามใจเขาก็แล้วกัน “โอเคๆ ถามก็ได้ คุณเริ่มชอบผมตอนไหน”

    “อย่าถามแบบขอไปทีแบบนั้นสิ จริงจังหน่อย ถามแบบคุณอยากรู้จริงๆ”

    ผมถอนหายใจ ทำไมโจคยูฮยอนเรื่องมากแบบนี้ ผมปรับน้ำเสียงและเรียบเรียงประโยคใหม่ “บอกผมได้ไหมคยูฮยอน คุณเริ่มชอบผมตั้งแต่ตอนไหนเหรอ” แกล้งดัดเสียงท้ายประโยคให้ฟังดูดัจริตนิดๆ

    คยูฮยอนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก่อนตอบเต็มปากเต็มคำ “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน”

    “......” ผมไม่นึกว่าเขาจะยิงตรงประเด็นแบบนี้

    “เงียบไปแบบนี้ เขินล่ะสิ”

    “เปล่านะ” ผมโกหก และผมก็รู้ว่าคยูฮยอนต้องรู้ว่าผมโกหก

    “คุณเป็นคนโกหกไม่เนียนเลยรู้ไหมซองมิน” คยูฮยอนหยุดเดิน เขาขยับเท้ามาขวางหน้าผม “ถามต่อสิ ว่าทำไมผมถึงชอบคุณ”

    “ถ้าผมถามคุณว่าทำไมคุณถึงชอบผม คุณจะร่ายยาวเหมือนตอนนั้นอีกรึเปล่า”

    “ตอนนั้น? ตอนไหน?”

    “ตอนที่ผมแกล้งหลับ แล้วคุณก็สารภาพทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก” ผมขอเอาคืนบ้างเถอะ ผมกำลังพูดถึงคืนที่เราสองคนกลับจากผับ คยูฮยอนหงุดหงิดเรื่องที่ลูก้าเข้ามายุ่งกับผม เขาพูดจากวนประสาทใส่ผม ผมเองก็หงุดหงิดเขาไม่น้อยไปกว่าที่เขาหงุดหงิดผมหรอก สุดท้ายเราก็ล้มตัวลงนอนในสภาพมึนตึง... บนเตียงเดียวกัน ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

    เรื่องคืนนั้นทำให้คยูฮยอนนิ่งไป เขาขยับกายมายืนข้างๆผมเหมือนเดิม บนไหล่เขายังสะพายเป้ของผม เราสองคนเดินต่อ “งั้นผมไม่พูดซ้ำ ถ้าคุณไม่อยากฟัง”

    ประโยคนั้นตีความได้ว่า คยูฮยอนอยากพูด แต่เขากำลังเล่นตัว เพราะเขาอยากให้ผมอ้อนเขา

    “แต่ผมอยากฟังอีกรอบนะ” แม้จะรู้ว่าคยูฮยอนกำลังเล่นตัวอยู่ แต่ผมก็อยากฟังอีกครั้งจริงๆ ผมเงยหน้ามองเขา ริมฝีปากยิ้มบางๆ

    “อย่ามองผมแบบนั้น ซองมิน”

    “ทำไมล่ะ”

    “เวลาคุณมองผมแบบนั้น ผมอยากจูบคุณเป็นบ้าเลย” โจคยูฮยอนเป็นคนจริงใจ รู้สึกยังไงก็บอกผมอย่างนั้น

    เขาทำผมอึ้งไปสามวินาที แล้วผมก็พูดกับเขา “แต่คุณก็จูบผมไม่ได้ เพราะเราอยู่ในที่สาธารณะ”

    “จริงๆผมกล้าจูบคุณในที่สาธารณะนะซองมิน แต่ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบ ผมก็เลยไม่ทำ ผมน่ารักใช่ไหมล่ะ”

    “......” ผู้ชายคนนี้น่าหมั้นไส้มาก แต่ผมก็เห็นด้วยกับคำพูดของเขาประโยคหนึ่ง

    ผมน่ารักใช่ไหมล่ะ

    ใช่ สำหรับผม คยูฮยอนน่ารักในแบบของเขา

    “ดีแล้วที่ไม่ทำ ขอบคุณที่เคารพกัน”

    “แต่เอาจริงๆนะซองมิน... ผมอยากลองดูสักครั้ง” คยูฮยอนไม่ยอมจบประเด็นนี้

    “จูบผมในที่สาธารณะน่ะเหรอ”

    คยูฮยอนพยักหน้า “ใช่ ตอนที่คุณพาผมไปน้ำพุเตรวี่ครั้งแรก ผมเห็นภาพเราสองคนยืนจูบกันในน้ำพุ”

    “นี่ดูหนังมากไปใช่ไหมคยูฮยอน[2]

    “ก็หนังของคุณทั้งนั้นแหล่ะ”

    “เราทำแบบในหนังไม่ได้หรอกคยูฮยอน น้ำพุเตรวี่ในโลกแห่งความเป็นจริงน่ะ นักท่องเที่ยวเยอะเกินไป”

    “กลางดึกไง เราไปเที่ยวน้ำพุกันกลางดึกก็ได้”

    “......” ไม่ว่ายังไงก็จะจูบผมในน้ำพุให้ได้เลยใช่ไหม โจคยูฮยอน

    “เป็นกิจกรรมที่น่าลองนะ คุณอย่าลืมใส่เข้าไปในลิสท์กิจกรรมที่ต้องทำร่วมกับผม ก่อนพี่อาราจะมารับตัวผมไปเวโรน่านะ”

    “......” เอาอีกแล้ว ย้ำเรื่องนี้อีกแล้ว

    “แค่ใส่ไว้เฉยๆ ถ้าเราทำไม่ทันภายในเก้าวันที่เหลืออยู่ เราจะได้เก็บไว้ทำวันหลัง แค่จดไว้เท่านั้นแหล่ะ เราสองคนจะได้ไม่ลืม”

    มีอีกสิ่งหนึ่งที่คยูฮยอนยังไม่เคยรู้เกี่ยวกับผม คือ เวลาผมอดนอน ผมจะบ่อน้ำตาตื้นผิดปกติ อะไรมาสะกิดใจแค่นิดเดียว ผมก็พร้อมจะหลั่งน้ำตา

    “ซองมิน คุณตาแดง” คยูฮยอนชะโงกหน้าเข้ามา เขาจ้องดวงตาทั้งสองข้างของผม ดวงตาที่ตอนนี้ร้อนผ่าวไปหมดแล้ว ผมมองตอบเขาเพียงไม่กี่วินาทีก็ต้องเบนสายตาไปมองทางอื่น ถ้าคยูฮยอนจ้องผมนานกว่านี้ล่ะก็ ผมน้ำตาไหลแน่ๆ

    แต่โชคไม่เข้าข้างผม คยูฮยอนหยุดเดิน เขายืนขวางผมไม่ให้ผมเดินต่อ “ซองมิน”

    “......”

    มืออุ่นประคองคางของผมไว้ “มองผม”

    “......” ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้จะรู้ไหมว่าผมกำลังพยายามกลั้นน้ำตาขนาดไหน ผมไม่อยากมองหน้าเขาเลย

    “คุณกลัวอะไรอยู่ มองหน้าผมสิซองมิน”

    “......” สุดท้ายผมก็ยอมแพ้ ผมมองหน้าเขา ปราการด่านสุดท้ายทลายตัวลงมา น้ำหยดแรกร่วงเผาะลงอาบแก้มของผม มันทั้งอุ่นทั้งหนัก มันเปื้อนปลายนิ้วของคยูฮยอนด้วย

    ผมเม้มปากแน่น คยูฮยอนโน้มใบหน้าเข้ามาจุมพิตผมเบาๆ... ในที่สุดความปรารถนาของเขาก็เป็นจริงแล้ว อยากจูบผมในที่สาธารณะนักนี่ ก็ได้ทำแล้วนี่ไง

    น้ำตามันไหลออกมาเรื่อยๆ นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผมร้องไห้อย่างจริงจัง คยูฮยอนเอียงใบหน้าเล็กน้อย ให้องศาการจูบของเราล้ำลึกกว่าเดิม ริมฝีปากของเขาทั้งอุ่นทั้งนุ่ม เขาขยับปากเนิบนาบ บดเบียดเบาๆ รสจูบของคยูฮยอนเป็นรสมินท์

    กลิ่นเดียวกับในความฝันไม่มีผิดเพี้ยน

    ผมสงสัยว่าเขาไปอมลูกอมรสมินท์มาจากไหนหรือเปล่า หรือว่าเขาไปดื่มชามินท์มา?

    เราผละจากกันชั่วครู่ ปลายจมูกเราสองคนยังคลอเคลียใกล้ๆกัน ผมลืมตาขึ้น ผมอยากจะมองหน้าคยูฮยอนชัดๆสักครั้ง เขากำลังทำสิ่งเดียวกับผม ตาคมตรงหน้าทำให้โลกทั้งใบหยุดหมุน จริงๆแล้วคยูฮยอนเป็นคนขนตายาวมาก มองบางมุมเขาเป็นผู้ชายตาคม แต่มองบางมุมเขาก็เป็นผู้ชายตาหวาน

    ระยะห่างระหว่างเราถูกทำลายอีกครั้ง เมื่อคยูฮยอนตวัดแขนกอดเอวผมไว้ เขารั้งผมเข้าไปใกล้ และกดจูบลงมา ทำให้ริมฝีปากของผมกลายเป็นของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

    ผมชอบฟังเสียงลมหายใจของเขา บางทีเขาก็หายใจลึก บางทีเขาก็หายใจแรง มันเป็นเสียงที่ฟังได้ไม่รู้จักเบื่อ ถ้าเปรียบคยูฮยอนเป็นหนัง ผมว่าเขาคงเป็นหนังเงียบเรื่องหนึ่ง ดูครั้งแรกแล้วไม่เข้าใจ แต่เมื่อดูซ้ำรอบสอง และเก็บเอาประเด็นเล็กๆน้อยๆไปตีความ คยูฮยอนจะกลายเป็นหนังที่มีสเน่ห์มาก อาจไม่ใช่หนังที่สนุกติดตรึงใจ แต่เป็นหนังที่ไม่ว่าเอากลับมาดูกี่ครั้ง...ก็ประทับใจ

    น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลอาบแก้ม ผมนึกว่ามันจะหยุดไปแล้วเสียอีก

    คยูฮยอนผละริมฝีปากออก และรวบตัวผมเข้าไปกอดแน่น ปลายจมูกของเขาวางอยู่บนเนินไหล่ของผม ผมซุกหน้าเข้าในซอกคออุ่น ยิ่งเขาตัวอุ่นมากแค่ไหน ผมก็ยิ่งไม่อยากจากอ้อมกอดนี้ไป ผมไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าผมโหยหาอ้อมกอดของคยูฮยอนมากขนาดนี้

    “คุณร้องไห้เพราะผมเหรอ” คยูฮยอนถาม

    ผมไม่ส่ายหน้า แต่ก็ไม่พยักหน้า ผมปล่อยให้คยูฮยอนตีความเอาเอง

    “ผมชอบคุณเพราะคุณเป็นแบบนี้ คุณเป็นคนเข้มแข็ง ความเข้มแข็งของคุณทำให้ผมมีพลัง ผมเห็นรอยยิ้มของคุณแล้วผมอยากจะหายป่วยเร็วๆ พอหายป่วยแล้ว ผมจะได้คอยดูแลคุณเหมือนที่คุณคอยดูแลผม”

    “......”

    “เราอาจจะเป็นเนื้อคู่กันก็ได้นะซองมิน เรามาเจอกันเพราะเรา ต้อง เจอกัน” คยูฮยอนเอาคำพูดของผมมาพูดซ้ำ

    เขาคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อย หน้าผากของเราแตะกัน

    “แม้แต่เวลาคุณร้องไห้แบบนี้ คุณก็ยังดูเข้มแข็ง”

    “......”

    “คุณเข้มแข็งกว่าผมมาก ทุกครั้งที่ผมชมว่าคุณเป็นคนเก่ง ผมไม่ได้แกล้งชม”

    “......” น้ำตาผมยังไหลต่อไป

    “ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมเหนื่อย ผมจะนึกถึงคุณเป็นคนแรก ถ้าคุณข้ามผ่านความเหนื่อยไปได้ ผมก็ต้องทำได้” มือขวาของคยูฮยอนประกบแก้มซ้ายของผมไว้ มืออีกข้างไล้นิ้วโป้งไปบนริมฝีปากของผมเบาๆ ทุกอย่างที่เป็นโจคยูฮยอนทำให้ผมหลงรัก

    ผมคงรักเขามาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันในฝัน

    ผมกับคยูฮยอน... เราเจอกันเพราะเรา ต้อง เจอกันจริงๆ

     

    ·





     



    [1] เวโรน่า (Verona) เมืองที่เป็นฉากเรื่อง Romeo & Juliet อยู่ในแคว้นเวเนโต้ (Veneto)


     

    [2] ภาพยนตร์อิตาเลียนที่มีฉากพระเอก-นางเอกจูบกันในน้ำพุเตรวี่คือเรื่อง La dolce vita (The Sweet Life) ของ Federico Fellini















    To be continue      

     

     


     

     

    ตอนนี้ก็ยังเงียบๆเหมือนเดิม TwT

    ไม่รู้จะพูดอะไร 555 ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ :)

     

    -ปราง-

    08.12.2012

     





     

    ปล. ตอนนี้เปิดให้จอง The White Song รอบ Reprint กับ Aftertaste เล่ม 1 แล้วนะคะ รายละเอียดจิ้มเข้าไปดูได้ใน 2 หน้านี้เลยค่ะ

    The White Song (Reprint)

    Aftertaste เล่ม 1




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×