Zearfa
ดู Blog ทั้งหมด

นิยาม นิยาย

เขียนโดย Zearfa
นิยาม  คืออะไร  ใครเล่าจะกำกับความหมายของมันได้   แม้ในเมื่ออารมณ์ยังผันผวน  แปลเปลี่ยนไปตามกาลฤดู ทั้งเค้า-ทั้งเราก็มิอาจมีนิยามเหมือนกันได้  จึงเป็นที่มาของ  นิยามตามอารณ์

             

 สิ่งมีชีวิต  ความรู้สึก  สิ่งของ  แม้กระทั้งธาตุ  อากาศยังมีนิยามของตนเอง  สิ่งเหล่านี้มองเพียงผิวเผินล้วนมีคุณค่า  ประโยชน์และโทษเท่าที่เราจับต้องได้  แต่ผู้คนกับมองข้ามความหมายลึกๆ ของมัน 

            ความหมายที่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆ แล้วเห็นคุณค่าขึ้น  หรือแม้แต่โทษที่น่ากลัวอย่าชัดเจน  ความหมายเหล่านี้จึงกลายมาเป็นนิยาม  แต่จะออกมาในแนวไหน  รูปแบบใดคงต้องพึ่งกับ...อารมณ์

 

            อารมณ์เป็นตัวกำหนดอะไรในหลายๆ  ด้าน  อามรณ์ดี  แจ่มใส  เบิกบานมองสายฝนที่โหมกระหน่ำ  บ้าคลั่งด้วยเสียงฟ้าร้องคำรามเป็นสิ่งที่น่าพิมลพิสมัย  ขนาดกระทั่งอยากออกไปวิ่งโลดแล่น  เริ่งระบำถ้ำกลางสายฝน...

            แต่เมื่อใดที่อารมณ์เรานั้นเศร้าหมอง  มองสิ่งใดก็มีแต่เสียงร่ำไห้  เมื่อนั้นเราจะเห็นสายฝนเป็นสิ่งที่เลวร้าย  ที่นำพาความโศกเศร้ามาเยือน  อยากปลดปล่อยความรู้สึกหนักหน่วงที่ทำให้ขอบตาร้อนผาว  กลั่นทอความรู้สึกนั้นออกมาเป็นสายน้ำ  หลั่งไหลไปกับสายฝน...

 

สิ่งใดบ้างหนอ...ที่คนเรามองข้ามนิยามดีๆ และร้ายๆของมันไป...

นิยามตามอารมณ์

ตอน   ความหมายของเกลียวเชือก

 

            ฉันเชื่อว่า...เกลียวเชือกก็เปรียบเสมือนมิตรภาพในกลุ่มเพื่อน  ยามใดที่เส้นเชือก  เส้นเล็กเส้นน้อยรวมตัวเป็นเกลียวเดียวกัน  นั่นก็หมายความว่า  สามัคคี  แต่ในยามที่ปลายของเกลียวเชือกบานออก  นั่นคงหมายความว่า  รอยแยกระหว่างมิตรภาพ

            ถ้ามองในแง่ดีเราจะเห็นว่าใครบ้างที่มีความคิดคล้ายเรา  (  นั่นไม่ได้หมายความว่า  ให้พวกเราแบ่งพัก  แบ่งพวก  )  แต่หมายความว่า...อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเค้าคิดอย่างไร  เราคิดอย่างไรในเวลาเกิดเรื่อง  ใครบ้างที่มีความคิดเหมือนกับเรา  และใครบ้างที่มีความคิดไปคนละทางกับเรา

 

            แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งวันใด  ปลายเชือกที่แตกแยกออกมามีเพียงเส้นเดียวละ  นั่นจะหมายความว่า  ปลายเชือกเส้นนั้นจะเข้าไปรวมเป็นเกลียวกับปลายเชือกเส้นอื่นไม่ได้จริงหรือ  หรือว่าปลายเชือกเส้นนั้นเลือกที่จะอยู่ลำพัง  แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถอยู่เพียงลำพังได้

ก็คงเหมือนกับ  แขนซ้ายกับแขนขวา  ช้อนกับซ้อม  ดินสอกับยางลบ  และอะไรๆ อีกมากมาย  ทุกอย่างล้วนถูกสร้างมาให้คู่กัน  ให้สมดุลกัน  อย่างเช่น  หยิน-หยาง  น้ำ-ไฟ  ราตรีกับรุ่งอรุ่ณ  ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เปลวไฟที่รุกราน  เผ่าผลาญสิ่งอันเป็นที่อยู่อาศัย  ธรรมชาติอันเป็นสิ่งสวยงามก็คงจะมอดดับไปหากปราสจากน้ำ  ซึ่งเป็นสิ่งที่หยุดยั้งเปลวไฟอันหน้าเกรงขามในยามที่มันบ้าคลั่ง  แต่ถ้าน้ำมากเกินไปอาจให้โทษได้อีกเช่นกัน  ฉะนั้นทุกอย่างต้องพึ่งพากันและกัน  และอาศัยกฎเกฎฑ์ความสมดุลของธรรมชาติ

        แล้วอะไรกันเล่าคือสาเหตุ...ที่ทำให้ปลายเชือกเส้นนั้นเลือกที่จะอยู่เพียงลำพัง...

           

              โรงเรียนแห่งหนึ่ง  มีเด็กสาวสามคนที่รักใคร่กันเป็นเพื่อนสนิทกันมาเกือบสองปี  แม้จะแค่เกือบสองปีแต่พวกเธอก็ฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ  นานามาด้วยกันจนถึงตอนนี้

 

            ปอ  เด็กสาวผู้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส  แม้ในยามมีเรื่องทุกข์ร้อนพัดผ่านเข้ามา...

            วันนั้นเป็นวันที่ฉันจำได้ว่ามีความสุขแค่ไหนในยามร่วมเล่นสนุก  หยอกล้อโต้เถียงกับเหล่าเพื่อนฝูง  จนกระทั่ง.....

            ปออย่างมาทำให้เราโมโหนะหลังจากคำๆ นั้นหลุดออกมาจากอารมณ์โกรธเคืองของขิง

ขอโทษ แม้จะบอกคำนั้นออกไปแล้ว แต่เธอก็ยังมีสีหน้าไม่พึงพอใจ บางทีแม้หน้าของฉันเธออาจไม่หันมามองแล้วก็ได้...

            ปอขอโทษ... ฉันได้แต่รำพึงรำพันคำๆ นั้นให้ตนเองฟังอยู่หลายหน

ตอนนั้นปอไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่...เล่นด้วยเท่านั้น แต่ไม่นึกว่าขิงจะโกรธได้ถึง    เพียงนี้และแล้วความคิดที่ว่าเราคงเดินกับเค้าด้วยนั้นไม่ได้ก็เกิดขึ้น...

หลังจากคาบชั่งโมงยามวิชานั้นผ้านพ้นไป  เค้ากับเพื่อนสาวอีกคนก็เดินตีจากฉันไป  และฉันก็เกิดความคิด...ความคิดที่ว่าคงเดินร่วมเส้นทางเดียวกับเธอนั้นเป็นไปไม่ได้  จึงทำให้ฉันปิดฉากมิตราภาพอันอบอุ่นด้วยการเดินเคียงคู่กับเงา...ของตัวเอง

 

ในวันที่สองหลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้น  เพื่อนฉันคนหนึ่งกล่าวให้ฉันหาเพื่อนร่วมทางคนใหม่  นั่นเป็นคำแนะนำที่ทำให้ฉันก็ต้องมานั่งรินน้ำตาของตัวเองอีกครั้ง...อีกครั้ง  ทั้งๆ  ที่เคยสัญญากับตัวเอง  และห้ามปรามตัวเองไม่ให้น้ำตาต้องไหลเอ่อล้นออกมาเพื่อเธออีก  ทำไมฉันต้องแคร์เธอขนาดนี้  แคร์จนต้องเสียน้ำตาให้เธอไม่รู้จักจบสิ้น...

ขนาดบางครั้งฉันเองยังต้องอ้อนวอนภวานาให้ฉันไม่แคร์เธอมากมาย  ขอให้ทุกอย่างย้อนกลับไปวันที่เราเจอกัน  วันที่เราสัญญาว่า 

เราสามคนจะไปไหนมาไหนด้วยกัน จะทุกข์ จะสุข จะเศร้า และหัวเราะด้วยกัน จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป.... ขอภวานาให้วันนั้นไม่เกิดขึ้น....

แต่เมื่อนึกถึงวันวานยังหวานฉ่ำเฉกเช่นน้ำผึ้งเดือนห้า  อบอวลไปเสียงหัวเราะอันสดใส  รอยยิ้มแรกบานเหมือนดอกไม้รับแสงแห่งรุ่งอรุณ...  ภาพอดีตคืนวานทำให้ฉัน...ยากนักที่จะขอพรให้ลืม  ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง... แล้วกลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน...

 

การอยู่เพียงลำพังนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่เสมอไป  อาจทำให้ปลายเชือกเส้นนั้นค้นพบบางสิ่งบางอย่าง  บางสิ่งบางอย่างที่มักจะแวะมาเยี่ยมเราเมื่อเวลาที่โดดเดี่ยว

นั่นคือ  ความเงียบ  หลายคนบอกว่าความเงียบมันดีไฉน  ก็ในเมื่อตัวเรานั้นมิใช่คนสันโดษ  ไม่นิยมชื่นชอบความสงบ  ตัวเรานั้นรักเสียงหัวเราะ  มุกตลกขบขัน  เฮฮ่า  เรื่องสนุกน่าตื่นเต้น 

 

สิ่งใดก็ได้ที่ไม่ใช่ความเงียบ...

สิ่งใดก็ได้ที่ไม่ใช่ความว่างเปล่า...

สิ่งใดก็ได้ที่ไม่ใช่ความโดดเดี่ยว...

 

ความเงียบนั้นอาจทำให้ผู้คนที่ไม่นิยมความเงียบคิดฟุ้งซ่าน  คิด...คิด...คิด...คิดจนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ  คิดจนกระทั่งเบื่อหน่ายชีวิต  แต่ถ้าเราควบคุมความคิดของตัวเราได้นั้น  ย่อมแสดงว่า  เรามีชัยเหนือมารความคิดที่ไม่ดีทั้งหลาย 

ทว่าจนแล้วจนเล่าผู้ที่พ่ายแพ้แก่มารร้ายจนล้ม  เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจแต่ยังสามารถลุกขึ้นยืนได้  เพราะคนผู้นั้นยังมีแรงความหวัง  ความปราถนาที่จะลุก  สิ่งเหล่านี้เป็นดังไม้เท้าที่มาช่วยค้ำจุนให้เราได้ต่อสู้  แต่สำหรับผู้ที่หมดเรี่ยวแรง  กำลังวังชา  ไร้ซึ่งความหวัง  ความปรารถนาจึงยินยอมสังเวยชีวิตให้แก่มารร้าย...

 

คิดว่าไม่มีทางออก  สำหรับชีวิตคนตกงาน  ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง...

คิดว่าเราจะทำเช่นไรดีถ้าผลการเรียนเรายังตกต่ำ  ขาดซึ่งแรงผลัดดันในการพยายาม...

คิดว่าเราจะเพียรหาเงินทองมาจากที่ไหน  มาจ่ายค่าเล่าเรียนของบุตร  ค่ากินอยู่  ค่าการดำรงชีวิตของตนตนเองและครอบครัว...

คิดว่าทำไมตัวเรานั้นไม่มีดีสักอย่าง...

           

แต่กลับไม่ใยดีที่จะสรรหาหนทางในการแก้ปัญหา  กำจัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้น

        ความคิดทั้งหลายเมื่อมีจุดกำเนิด  ย่อมมีทางซึ่งเป็นจุดจบของมัน  เพียงแต่เราจะบรรจบทางเหล่านั้นให้งดงาม  สวยหรูเพียงใด  หรือต้องจบด้วยความเศร้า....

 

จุดจบที่ไม่ต้องสังเวยชีวิตผู้ใด...

จุดจบที่เริ่มจากการพัฒนาตนเอง...

จุดจบที่ไม่ต้องแลกมากับทรัพย์สิผู้ใด  ที่มิใช่ของตน...

จุดจบที่ไม่ทำให้ใคร หรือคนที่เรารักต้องโศกเศร้าเสียใจ  หลั่งน้ำตาแทบเป็นสายเลือด...

           

            ไม่ว่าทางจบของเหล่าความคิดที่ไม่ดีทั้งหลายจะจบลงเฉกเช่นใด  แต่ขอภาวนาอย่าให้จุดจบต้องแลกมากับน้ำตาผู้ใด  แล้วทิ้งเพียงภาพอดีตร้ายๆ  ให้ผู้คนได้จดจำ...แม้จุดจบอาจไม่สวยงาม  สะดวกสบายราบเรียบเหมือนถนนราดยาง  ที่ให้รถรางได้วิ่งเล่นตามแต่อารมณ์ปรารถนา 

 

            มล  เด็กสาวคนที่สามของกลุ่ม  เปรียบเธอเป็นเช่นใยไหม  คอยสานรอยแยกระหว่างมิตรภาพ

            วันนี้ท้องฟ้าสดใส  และเป็นห้วงเวลาอันโศกเศร้าที่ปอและขิงยังคงไม่พูดจา  หยอกล้ออย่างเช่นคืนวาน  ช่างเป็นวันที่แอบแฝงไปด้วยความหมองเศร้า

            ปอยังคงแจกจ่ายรอยยิ้มร่าเริงกับเหล่ามิตรสหาย  และเธอเองก็ไม่ดิดที่จะเดินร่วมกับกลุ่มใด  ยังคงเดินเคียงข้างกับเงาของตัวเองเลื่อยมา  เพราะใจเธอยังคงผูกพันกับขิงและมล 

            ปอไปทานข้าวกลางวันด้วยกันนะ นั้นเป็นคำชวนของมล หากในวันก่อนไม่เกิดเหตุการณ์นั้นละก็ ฉันคงจะตอบตลกลงไปแล้วละมล 

            ไม่ไปดีกว่ามล ตอนนั้นที่ฉันเลือกตอบปฏิเสธเพราะถ้าฉันไม่ไปทานด้วยน่าจะดีกว่า...ดีกว่าไปนั่งร่วมทานให้เกิดความอึดอัด แต่ผลของคำตอบกลับตรงกันข้าม...ขิงเริ่มคิดมาก

           

            ขิง  เด็กสาวผู้ที่มีนิสัยตรงไปตรงมา  โดยเฉพาะคติของเธอ  งอนเป็น โมโหจริง เรื่องง้อไม่ต้องพูดถึง ไม่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตฉันแน่น

 

            มล ปอเค้างอนเราขนาด...ไม่มาทานข้าวกับพวกเราเลยทำไงดี ขิงกล่าวปรึกษากับมล ด้วยท่าทางสีหน้าเคร่งเคียด

            ขิงอย่างคิดมากเลยนะ เดี๋ยวปอเค้าก็กลับมาคุยด้วยเหมือนกับทุกทีที่ผ่านมานั้นคือคำตอบของมล อย่างไรมลก็รู้ดีว่าขิงไม่มีทางจะยอมพูดกับคนที่ทำให้เธอโกรธ และงอนในเวลาต่อมา

 

ขัน  เด็กสาวผู้เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ  เอ่อล้นด้วยยารักษาใจเพื่อน  กับกาวถ้อยคำประสานรอยแยกระหว่างเพื่อน  เธอคนนี้มิได้อยู่กลุ่มเดียวกับเด็กสาวสามคนนั้นแต่ยินดีที่จะช่วยเหลือ

ขัน เรายอมรับนะว่าเราพูดแรงกับปอเกินไป แต่ปอก็ไม่น่าเล่นจนทำให้เราโมโห ปอน่าจะรู้ว่าเราไม่ชอบขิงเรื่องราวสิ่งที่ทำให้เธอเป็นทุกข์ และตอนนี้ความหวังสุดท้ายก็อยู่ที่ขัน

จะไปคุยกับปอให้แล้วกัน ขิงก็อย่างคิดมากขันกล่าวตอบกลับมาทำให้ขิงรู้สึกดีขึ้น

 

ขันเดินเข้ามาหาปอแล้วเริ่มต้นตั้งคำถาม

ปอมีเรื่องอะไรกับขิง เป็นไรไมไม่พูดกับขิงละแหม...ถามไม่อ้อมค้อมเลยนะขัน ปอคิด แล้วเอ่ยเรื่องราวครั้งนั้น

ก็นิดหน่อย แต่ไม่ใช่เราไม่พูดนะ เราพูดแล้วแต่เค้าต่างหากไม่พูดกับเรา เมื่อวานก็รองโทร.ไป เค้าพูดเสียงแข็งใส่เรา ขิงคงจะโกรธไม่หายพอปอเล่าเรื่องนี้ออกไปแล้วใจหนึ่งก็รู้สึกดี ส่วนอีกใจหนึ่งซิ...กำลังห้ามทัพน้ำตาไม่ให้ไหล

ขิงเค้าก็นึกว่าปองอนเค้าที่พูดจาแรงไปนั่นทำให้ปอนึกถึงการเล่นหยอกล้อครั้งสุดท้าย การสะกิจศรีษะขิงไม่ใช่สิ่งดี

ต้อนนั้นเราจำไม่ได้ว่าขิงไม่ชอบให้ใครมาเล่นศรีษะการแคร์ใครสักคน และเล่นกับเค้าจนลืมว่าเค้าชอบ หรือไม่ ปอที่หลังต้องคิดหน้าคิดหลังนะ ปอพูดกับตัวเองในใจ

กลับไปดีกันเถอะนะขันกล่าวคำแนะนำสุดท้าย ใช่กลับไปดีกันนะปอ แต่จะง่ายอย่างนั้นหรอ จะราบรื่นปานนั้นเชียว ยังไงปอก็ยังกังวนอยู่ดีล่ะขัน

 

เกลียวเชือกแม้จะบานออกไปคนละทิศ  แต่เมื่อเราตกแต่ง ปรับมันให้เข้าที่มันก็สามารถรวมมาเป็นเกลียวเดียวกันได้

แม้คุณจะไปคนละทางกับเพื่อน  ขัดแย้ง  รักสันโดษหรืออยู่เพียงลำพังเพียงใด  ชีวิตของคนเรายังต้องพึ่งพาเพื่อนอยู่เสมอ และการอยู่ร่วมกันก่อให้เกิดมิตรภาพ  ตราบเท่าที่เรามีลมหายใจ  (  แม้คุณเองเจากโลกใบนี้ไปแล้วก็ยังจะสร้างสัมพันธ์มิตรภาพอยู่เสมอ...กับเหล่าภูตผี  วิญญามิตรสหายใหม่  )

 

เพื่อนที่ทำให้เรามีเสียงหัวเราะก้องกังวาน

เพื่อนที่ทำให้เราหายเศร้า  ทุกข์ใจ

เพื่อนที่ทำให้เรามีความทรงจำที่งดงามน่าจดจำ  และเลวร้ายจนยากลบเลื่อน...

เพื่อนที่ทำให้เรามีน้ำตาเพราะความปิติ  หรือเสียใจ...

 

หลังเลิกเรียนเรียนวันนั้นฉันรวบรวมความกล้าเดินตรงดิ่งไปหาขิงกับปอที่หน้าอาคานทรงไทย  บรรยากาศตอนนั้นแม้จะอบอุ่นด้วยแสงแดดร่ำลาของดวงอาทิตย์  แต่มือไม้กลับเย็นชาราวกุมก้อนน้ำแข้ง  ขาที่ก้าวออกไปแต่และย่างดูราวไม่แข็งแรงเหมือนเด็กพึ่งหัดเดิน  ลมหายใจเริ่มถี่ขึ้นเมื่อเดินเข้าไปไกล้

ขิง...ขอโทษขิงหันมามองไม่ได้แสดงสีหน้าเย็นชาอย่างครั้งก่อน จะยิ้มก็ไม่เชิง เค้ายังคงเงียบ

ขิงยังงอนอยู่หรอความมั่นใจเริ่มจางหาย

เปล่า...งอน...เพียงแค่คำนั้นก็ทำให้คนคิดมากอย่างฉันก็ยังไม่มั่นใจในคำพูด

แหม...คิดมากไปแล้วนะสองคน กลับมาเป็นอย่างเดิมสักทีมลหลังจากอึดอัดในความเงียบมานานเริ่มกล่าวคำต้อนรับปออย่างชื่นใจ

 

หลังจากวันนั้นในวันรุ่งขึ้นพวกเค้าทั้งสามก็กลับมาคุยอย่างเดิม  พูดคุย  หยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน  และระวังคำพูด  การกระทำกันมากขึ้น

 

เกลียวเชือกเมื่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวนั่นย่อยเกิดความแข็งแก่รงกว่าเชือกเส้นเดียวเสมอ  การกระทำและวาจานั้นก็เช่นกันคล้ายกับ

 

ถ้าเชือกมันดึงเกินไปครวค่อยๆ ผ่อนเชือก....และถ้าหย่อนเกินไปก็ควรที่จะช่วยกันดึงกลับมา

 

นั่นคงเป็นความหมายที่ดีในการเป็นเพื่อนกัน.....

 นิยาม  คืออะไร  ใครเล่าจะกำกับความหมายของมันได้   แม้ในเมื่ออารมณ์ยังผันผวน  แปลเปลี่ยนไปตามกาลฤดู ทั้งเค้า-ทั้งเราก็มิอาจมีนิยามเหมือนกันได้  จึงเป็นที่มาของ  นิยามตามอารณ์

             

 สิ่งมีชีวิต  ความรู้สึก  สิ่งของ  แม้กระทั้งธาตุ  อากาศยังมีนิยามของตนเอง  สิ่งเหล่านี้มองเพียงผิวเผินล้วนมีคุณค่า  ประโยชน์และโทษเท่าที่เราจับต้องได้  แต่ผู้คนกับมองข้ามความหมายลึกๆ ของมัน 

            ความหมายที่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆ แล้วเห็นคุณค่าขึ้น  หรือแม้แต่โทษที่น่ากลัวอย่าชัดเจน  ความหมายเหล่านี้จึงกลายมาเป็นนิยาม  แต่จะออกมาในแนวไหน  รูปแบบใดคงต้องพึ่งกับ...อารมณ์

 

            อารมณ์เป็นตัวกำหนดอะไรในหลายๆ  ด้าน  อามรณ์ดี  แจ่มใส  เบิกบานมองสายฝนที่โหมกระหน่ำ  บ้าคลั่งด้วยเสียงฟ้าร้องคำรามเป็นสิ่งที่น่าพิมลพิสมัย  ขนาดกระทั่งอยากออกไปวิ่งโลดแล่น  เริ่งระบำถ้ำกลางสายฝน...

            แต่เมื่อใดที่อารมณ์เรานั้นเศร้าหมอง  มองสิ่งใดก็มีแต่เสียงร่ำไห้  เมื่อนั้นเราจะเห็นสายฝนเป็นสิ่งที่เลวร้าย  ที่นำพาความโศกเศร้ามาเยือน  อยากปลดปล่อยความรู้สึกหนักหน่วงที่ทำให้ขอบตาร้อนผาว  กลั่นทอความรู้สึกนั้นออกมาเป็นสายน้ำ  หลั่งไหลไปกับสายฝน...

 

สิ่งใดบ้างหนอ...ที่คนเรามองข้ามนิยามดีๆ และร้ายๆของมันไป...

นิยามตามอารมณ์

ตอน   ความหมายของเกลียวเชือก

 

            ฉันเชื่อว่า...เกลียวเชือกก็เปรียบเสมือนมิตรภาพในกลุ่มเพื่อน  ยามใดที่เส้นเชือก  เส้นเล็กเส้นน้อยรวมตัวเป็นเกลียวเดียวกัน  นั่นก็หมายความว่า  สามัคคี  แต่ในยามที่ปลายของเกลียวเชือกบานออก  นั่นคงหมายความว่า  รอยแยกระหว่างมิตรภาพ

            ถ้ามองในแง่ดีเราจะเห็นว่าใครบ้างที่มีความคิดคล้ายเรา  (  นั่นไม่ได้หมายความว่า  ให้พวกเราแบ่งพัก  แบ่งพวก  )  แต่หมายความว่า...อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเค้าคิดอย่างไร  เราคิดอย่างไรในเวลาเกิดเรื่อง  ใครบ้างที่มีความคิดเหมือนกับเรา  และใครบ้างที่มีความคิดไปคนละทางกับเรา

 

            แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งวันใด  ปลายเชือกที่แตกแยกออกมามีเพียงเส้นเดียวละ  นั่นจะหมายความว่า  ปลายเชือกเส้นนั้นจะเข้าไปรวมเป็นเกลียวกับปลายเชือกเส้นอื่นไม่ได้จริงหรือ  หรือว่าปลายเชือกเส้นนั้นเลือกที่จะอยู่ลำพัง  แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถอยู่เพียงลำพังได้

ก็คงเหมือนกับ  แขนซ้ายกับแขนขวา  ช้อนกับซ้อม  ดินสอกับยางลบ  และอะไรๆ อีกมากมาย  ทุกอย่างล้วนถูกสร้างมาให้คู่กัน  ให้สมดุลกัน  อย่างเช่น  หยิน-หยาง  น้ำ-ไฟ  ราตรีกับรุ่งอรุ่ณ  ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เปลวไฟที่รุกราน  เผ่าผลาญสิ่งอันเป็นที่อยู่อาศัย  ธรรมชาติอันเป็นสิ่งสวยงามก็คงจะมอดดับไปหากปราสจากน้ำ  ซึ่งเป็นสิ่งที่หยุดยั้งเปลวไฟอันหน้าเกรงขามในยามที่มันบ้าคลั่ง  แต่ถ้าน้ำมากเกินไปอาจให้โทษได้อีกเช่นกัน  ฉะนั้นทุกอย่างต้องพึ่งพากันและกัน  และอาศัยกฎเกฎฑ์ความสมดุลของธรรมชาติ

        แล้วอะไรกันเล่าคือสาเหตุ...ที่ทำให้ปลายเชือกเส้นนั้นเลือกที่จะอยู่เพียงลำพัง...

           

              โรงเรียนแห่งหนึ่ง  มีเด็กสาวสามคนที่รักใคร่กันเป็นเพื่อนสนิทกันมาเกือบสองปี  แม้จะแค่เกือบสองปีแต่พวกเธอก็ฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ  นานามาด้วยกันจนถึงตอนนี้

 

            ปอ  เด็กสาวผู้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส  แม้ในยามมีเรื่องทุกข์ร้อนพัดผ่านเข้ามา...

            วันนั้นเป็นวันที่ฉันจำได้ว่ามีความสุขแค่ไหนในยามร่วมเล่นสนุก  หยอกล้อโต้เถียงกับเหล่าเพื่อนฝูง  จนกระทั่ง.....

            ปออย่างมาทำให้เราโมโหนะหลังจากคำๆ นั้นหลุดออกมาจากอารมณ์โกรธเคืองของขิง

ขอโทษ แม้จะบอกคำนั้นออกไปแล้ว แต่เธอก็ยังมีสีหน้าไม่พึงพอใจ บางทีแม้หน้าของฉันเธออาจไม่หันมามองแล้วก็ได้...

            ปอขอโทษ... ฉันได้แต่รำพึงรำพันคำๆ นั้นให้ตนเองฟังอยู่หลายหน

ตอนนั้นปอไม่ได้ต

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น