flookblog
ดู Blog ทั้งหมด

NGOs คือใคร

เขียนโดย flookblog
 
NGOs คือใคร ทำอะไร
     องค์กรเอกชน หรือที่เรียกกันติดปาก ว่า "NGOs" คือ รูปแบบหนึ่งของการรวมกลุ่มของประชาชน ในแง่การรวมกลุ่มแล้วจัดได้ว่าเป็นองค์กรที่มิได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรหรือกลไกการดำเนินงานของรัฐ แต่ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประชาชนและการพัฒนาสังคม การรวมตัวกันเช่นนี้เป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของประชาชนที่จะกระทำได้

     องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามกระแสของความเปลี่ยนแปลง ซึ่งถูกผลักดันและพัฒนารูปแบบให้มีการเคลื่อนไหวในสังคมตลอดมา องค์กรเอกชนเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ทำงานเพื่อพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม มีทั้งองค์กรอิสระต่างๆ ที่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและยังไม่ได้เป็นนิติบุคคล รวมทั้งองค์กรเอกชนต่างประเทศ มีรูปแบบการดำเนินกิจกรรมที่แตกต่างกันแล้วแต่ลักษณะการรวมกลุ่มขององค์กรนั้นๆ เช่น มูลนิธิ สมาคม สถาบัน องค์กร นอกจากนี้ยังมีองค์กรชาวบ้านและชมรมอนุรักษ์ในสถาบันการศึกษาระดับต่างๆ ซึ่งกระจายตัวกันอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งองค์กรเหล่านี้สามารถเข้าไปส่งเสริมและผลักดันความริเริ่มของชุมชน โดยประสานงานกับภาครัฐและภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นการช่วยลดภาระหน้าที่ให้แก่ภาครัฐบาลได้
     เนื่องจากองค์กรเอกชนมีความยืดหยุ่นคล่องตัวในการทำงานสูง ขั้นตอนการทำงานไม่ซับซ้อนหรือใช้เวลานานและมีโอกาสใกล้ชิดกับคนในชุมชนมากกว่าหน่วยงานของรัฐ ทำให้ทราบถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม สภาพสังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจของคนในชุมชนนั้นได้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถสร้างความไว้วางใจ และกระตุ้นให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้อย่างสอดคล้องกับวิถีการดำรงชีวิตของชุมชน และใช้ภูมิปัญญาของชาวบ้านเองในการแก้ปัญหาของท้องถิ่น ในปัจจุบันองค์กรเอกชนที่เข้ามามีบทบาทในการจัดการสิ่งแวดล้อมนั้นมีจำนวนมากขึ้นทุกปี และมีรูปแบบองค์กรที่แตกต่างกันไป 2 รูปแบบ คือ
      1.องค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจดทะเบียนกับกระมรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
      2.องค์กรเอกชนทั่วๆ ไป ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีทั้งองค์กรที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นนิติบุคคล เช่น มูลนิธิ สมาคม โครงการ องค์กร ชมรม ฯลฯ
NGOs รัฐ

NGOs กับการเมือง
Wed, 2010-08-11 16:39
อัฏธิชัย ศิริเทศ
http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=1651
NGOs หรือ Non Government Organizations คือ องค์กรที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐ หรือจะเรียกองค์กรนอกรัฐก็ได้ แต่ในประเทศนี้ เราเรียกตัวเองและถูกเรียกว่า “องค์กรพัฒนาเอกชน” แรกเริ่มเดิมทีเป็นองค์กรที่เข้ามาสนใจงานสงเคราะห์คนยากคนจน รวมถึงครอบครัวผู้พิการและทหารผ่านศึกจากสงคราม ต่อมาก็พัฒนาการเรื่อยมาสอดประสานไปกับเงื่อนไขการเมือง เศรษฐกิจ ประชาคมโลก ที่เปิดมากขึ้น ทำให้นักพัฒนาเอกชนเพิ่มมากขึ้น เริ่มสนใจปัญหาเชิงลึกของสังคม การแก้ไขไปที่ต้นตอ ซึ่งก็คือปัญหาในระดับโครงสร้าง ความไม่เท่าเทียม ความไม่ยุติธรรม และพลังอำนาจต่อรองในทางการเมือง ซึ่งต่อมานำมาสู่การเคลื่อนไหวมากขึ้น ใหญ่ขึ้น หลากหลายขึ้น อาทิ เคลื่อนไหวต่อรองหรือประกันราคาข้าว เคลื่อนไหวสวัสดิภาพแรงงาน เคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิเสรีภาพรัฐธรรมนูญ ฯลฯ
ยิ่งเมื่อขบวน NGOs เติบโตเข้มแข็งในลักษณะรวมประเด็นปัญหา ทำงานเป็นขบวนแล้วร่วมขบวนเสนอแนวทางแก้ไขในระดับนโยบายการเมือง การแก้ไขกฎหมาย การเรียกร้องมาตรการต่างๆ และการร่วมกำหนดนโยบายแผนพัฒนาในอนาคต ก็ยิ่งทำให้ขบวนการ NGOs จำนวนหนึ่งทำงานและร่วมมือกันเป็นขบวนมากขึ้น มีศูนย์ประสานงานแต่ละภาค และกระจายกันลงพื้นที่ทำงานในด้านต่างๆ จากนั้นก็นำปัญหามาเคลื่อนไหว เรียกร้อง รณรงค์ให้สังคมรับรู้ ตระหนักและร่วมแก้ไขปัญหา ส่งผลให้ด้านหนึ่งหลายๆ ปัญหาได้รับการแก้ไข หลายๆ ปัญหาถูกรับรู้มากขึ้น แต่ที่น่าสนใจคือ สร้างประสบการณ์ให้ประชาชน คนรากหญ้ารู้จักและสนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้เรียกร้องเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง กดดันทิศทางนโยบายการเมือง ผลักดันกฎหมาย นโยบายที่เอื้ออำนวยผลประโยชน์ประชาชนในระดับล่าง และตรวจสอบบทบาทการเมืองตัวแทน เป็นต้น พัฒนาการเหล่านี้ ใช้เวลาเดินอยู่หลายสิบปี กว่าจะเห็นภาพประชาชนแห่แหนมาเดินร่วมกันบนท้องถนน ซึ่งภาพเหล่านี้หากย้อนไปสัก 7-8 ปี ขึ้นไป หลายคนคงคุ้นหูคุ้นตาขบวนประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่ปรากฏออกมาบนสื่ออาทิ สมัชชาเกษตรกรรายย่อย ภาคอีสาน (สกอ.ย.) สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) เครือข่ายป่าชุมชน สหภาพแรงงาน สมัชชาคนจน (สคจ.) เครือข่ายปฏิรูปที่ดิน ฯลฯ จากนั้น ก็ถูกเรียกบทบาทและพัฒนาการนี้ในทางการเมืองว่า “การเมืองภาคประชาชน” ซึ่งต้องยอมรับว่าพัฒนาการทางการเมืองที่เข้มแข็งมากขึ้นของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ที่ได้เดินทางมาถึงจุดนี้ จุดที่ประชาชนสนใจตื่นตัวและกล้าที่จะออกมามีส่วนร่วม แสดงจุดยืนและชูมือบนท้องถนนนั้น คุณูปการส่วนหนึ่งมาจากการสร้างและส่งเสริมโดยงานพัฒนาเอกชนตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
ผลพวงจากการสะสมงานปัญหาในระดับโครงสร้างพบว่า นโยบายการเมืองและกลไกทำงานแบบภาครัฐที่ปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน นั่นเองที่ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม การช่วงชิงและปล้นทรัพยากรมโหฬาร ตลอดจนการถูกละเมิดสิทธิชุมชนเรื่อยมา ทำให้ขบวน NGOs เป็นคู่ต่อสู้คู่ปรับกับรัฐบาลเรื่อยมา แทบทุกรัฐบาล โดยเฉพาะในยุคที่ผู้นำรัฐบาลเป็นนักธุรกิจใหญ่ สามารถควบคุมการบริหารงานรัฐผ่านกลไกราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ขยายขนาดเศรษฐกิจแบบทุนนิยมออกสู่ตลาดและการค้าอย่างเต็มกำลัง ในระหว่างที่ฝ่ายการเมืองบางกลุ่มได้ประโยชน์ มีอำนาจ ก็นำมาสู่การสูญเสียอำนาจ ผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม จึงเกิดขบวนการขับไล่รัฐบาล ที่มีหลายกลุ่มเข้ามาร่วมมือ ในขณะที่ขบวน NGOs ร่วมในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อมาก็เรียกกันง่ายๆ รวมๆ ว่า “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” และจากนั้นก็นำมาสู่เหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจ โดย คมช.
ตลอดระยะเวลาในการขับไล่รัฐบาลทุนนิยมครั้งนั้นนอกจากบทบาท นายสนธิ ลิ้มทองกุล แล้ว บทบาท NGOs ค่อนข้างโดนเด่นสำคัญ นำโดย 5 เสือพันธมิตร จำลอง ศรีเมือง, พิภพ ธงไชย, สุริยะไส กตะศิลา, สมศักดิ์ โกศัยสุข, และ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นอกจากนั้นยังมีนักวิชาการสายประชาชนอีกนับพันชีวิต จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศร่วมลงชื่อสนับสนุนขบวนการขับไล่อดีตนายกฯ คนนี้ เพราะเชื่อว่า นี่คือประชาธิปไตยทางตรง
หลังรัฐประหารความคิด NGOs และนักวิชาการเสื้อเหลืองก็แตกโพล๊ะ จำนวนหนึ่งยุติบทบาทเนื่องจากรับสภาพความจริงเรื่องการรัฐประหารไม่ได้ เพราะถือว่านี่คือการฆาตกรรมอำพรางจิตวิญญาณประชาธิปไตย อีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นร่วมในการขับไล่ระบอบนายทุนมาแต่ต้นเพราะเห็นว่า การขับไล่เช่นนี้ เป็นการไม่เคารพระบบ กติกาและกลไกการเมืองแบบตัวแทน ซึ่งก็เสมือนทำลายระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน ในขณะที่ NGOs และนักวิชาการบางส่วนคิดว่า ต้องถอนรากถอนโคนลุยและกำจัดต่อจึงร่วมงาน ร่วมมือ ร่วมคิดกับรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองเสียงข้างน้อยต่อ ส่วน NGOs และนักวิชาการเสื้อแดง กลับโดดเด่นชัดขึ้น เคลื่อนไหวทิ่มแทงแรงขึ้น ชัดเจนขึ้น รวดเร็วลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง โดยเฉพาะจากโซนภาคอีสานและเหนือ จนมาสู่การรวมพลคนเสื้อแดงครั้งใหญ่ เมื่อเดือนเมษา ต้นปี 2552
จากนั้นขบวนการ NGOs เมืองไทยก็เริ่มแตกแยกทางความคิดกันชัดเจนมากขึ้นๆ โดยเฉพาะช่วงระหว่างหลังจากฝ่ายพรรคการเมืองนายทุนเก่าชนะการเลือกตั้ง เมื่อปี 2550 เป็นต้นมา ทำให้ขบวนการ NGOs เสื้อเหลือง เสื้อแดง ควานหาพื้นที่สื่อทุกรูปแบบเพื่อต่อสู้และจัดตั้งมวลชนไว้เผชิญหน้า เกิดขบวนการ coppy ชี้นำขึ้นมากมายในสังคม ทุกอย่างระบาด แรง เร็ว อลหม่าน จนมาสู่การปะทะกัน ในสนามความคิดต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงเมษา-พฤษภาเดือดปีนี้เอง (2553)
ภาพสะท้อนที่มองเห็น คือบังเกิดกองทัพตัวแทน เสื้อเหลือง เสื้อแดง ออกมาระดมข่าว ข้อมูล โจมตี ใส่กันอย่างดุเดือด แม้ว่า ที่สุดแล้วสถานการณ์เสื้อแดงจะด้อยกำลังกว่ามากก็ตาม แต่การปรากฏตัวเคลื่อนไหวของ NGOs เสื้อแดงชัดเจนขึ้นและภาพก็ใหญ่ขึ้นซึ่งจริงๆ ก็เนื่องจากสะสมตกผลึกทางความคิดร่วมกันเรื่อยมา ตั้งแต่การประกาศตนเป็นแนวร่วมไม่เอารัฐประหาร จนมา กลุ่ม นปช. สามารถปลุกพลังประชาชนให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วๆ ท่ามกลางการกีดกัน ก่นด่า วิจารณ์แทบทุกวิถีทางจากอำนาจฝ่ายรัฐ สื่อบางหัวและขบวนการ NGOs สายเหลืองขวาจัด นิยมเจ้า ในขณะที่ NGOs สายแดงเริ่มเสียงแผ่วในการปฏิเสธว่าไม่ได้มีจุดยืนสนับสนุนอดีตผู้นำรัฐบาลนายทุน จนในที่สุด สงครามทั้งสองสีก็เหมือนสงครามจริงๆ ต่างสร้างวาทกรรมรายวัน โจมตี และที่สำคัญมีขบวนการดึงเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือ แต่ข้อเสนอว่าแท้ที่จริง ว่าสาเหตุที่เคลื่อนไหวต่อสู้ เฉกเช่นเมื่อครั้งพยายามสร้าง การเมืองภาคประชาชนกลับหลุดหายไป จากนั้น ขบวนการพัฒนาประชาธิปไตยจริงๆ จังๆ เกี่ยวกับการเมืองเพื่อให้ประชาชนเลือกนั้น ก็ค่อยๆ น้อยลง มีแต่ภาพรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคายไปทั่วพื้นที่สื่อ ซึ่งสิ่งที่พบมากขึ้นกลับเป็นข้อเสนอในเชิงจุดยืนความคิดตน
จนถึง ณ วันนี้ บทบาท NGOs กับการทำงานพัฒนาสังคมแผ่วลง เสียงกู่ก้องร้องเรียนสะท้อนปัญหาชาวบ้าน ปัญหาจากพื้นที่ ความเดือดร้อนของคนชายขอบ ล้วนแต่แผ่วเบาลง NGOs หลายคนหันไปละเลงปั่นข่าว สร้างกระแสสังคมโจมตีรายวันอยู่บนพื้นที่สื่อหรือในไซเบอร์เน็ต อาทิ ใน Facebook Hi5 Blog จนเปรอะเปื้อน !! ส่งผลให้บรรยากาศงานพัฒนาเต็มไปด้วยความอึมครึม ปิดเงียบ เก็บงำ เพราะไม่มีใครอยากก้าวล่วงออกมาจากกลุ่ม จากองค์กรของตน
อยากให้ย้อนไปยืนมองจุดยืนเดิมเมื่อครั้งตอกย้ำหนักแน่นเรื่องขบวนการการเมืองภาคประชาชน คือกระตุ้นให้ประชาชน เข้าใจ รู้สึก มีสำนึกและมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อสร้างวัฒนธรรม สร้างกลไก สร้างพื้นที่ให้ประชาชนคนชั้นล่าง สร้างช่องทางสื่อสารให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ได้มีโอกาสมาร่วมกำหนด ตรวจสอบ มากขึ้น ทำให้ระบอบประชาธิปไตยได้เดินมาสู่ความเข้มแข็ง มั่นคง เพื่อกระจายผลประโยชน์ได้ทั่วถึงมากขึ้นแต่สภาพวันนี้ไม่ใช่เช่นนั้นอีกแล้ว หลายคนก้าวมาเป็นผู้ชี้นำสังคมการเมือง บ้างนำฐานมวลชนมาเคลื่อนไหวกดดัน หลายคนผันตัวเองขึ้นไปเป็นเครื่องมืออำนาจรัฐ ไปเป็นสมุนแกนนำ หลายคนไปเป็นกลไกแก้ปัญหาภาพลักษณ์มากกว่าหาทางออก หรือ ทำหน้าที่กำจัดฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล หรือคอยส่งกระแสเสียงให้ปรองดองสันติ อหิงสา และหลายคนหันหลังให้ขบวนการ NGOs ไปเสียเลย
คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้า NGOs เมืองไทยจะมีหรือแสวงหาจุดยืนทางความคิด จุดยืนทางการเมือง แต่กระนั้นก็ต้องถามแนวความคิดเมื่อครั้งหนึ่งว่า คนทำงานพัฒนาเอกชนสนใจที่จะเน้นไปที่กระบวนการสร้างพลัง สร้างพื้นที่ สร้างความเข้าใจ สร้างความตระหนักในสิทธิ การมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งเป็นรากฐานประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง มากกว่า หรือจะพาสังคมถาโถม พาประชาชนเล่นการเมือง โดยตรง
ที่สำคัญ ปัจจุบันนี้ NGOs คิดก้าวไปไกลถึงขนาดวางยุทธวิธีช่วงชิงหรือยึดอำนาจรัฐกันไปแล้ว หรือบ้างคนก็คิดตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงแข่งขัน แต่ทุกๆทางเลือก ล้วนแต่เป็นสิทธิ เสรีภาพ ที่ NGOs ไทยสามารถเลือกได้เพียงแค่อยากถาม ลงไปตรงๆ กลางใจในฐานะนักพัฒนาสังคม ว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เราจะพาสังคมเดินร่วมกันได้อย่างไร
 
การจัดการม็อบ-เบื้องหน้าที่มีเบื้องหลัง..ของNGO
 
สถานการณ์ความเคลื่อนไหวกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ ที่เรียกกันว่า "ม็อบ"ภายใต้บริบทที่รับรู้กันอยู่ว่า ย่อมมีกระบวนการ"ที่มาและที่ไป"ของม็อบ โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารจัดการทั้งเรื่องของ"ประเด็น"ทั้งเรื่องของ"กำลัง"-"เสบียงกรัง" ดังนั้นในทุก"ม็อบ" หากเป็น"รัฐบาล"หรือฝ่ายที่ข้องแวะเกี่ยวข้องกับ"ม็อบ"ไม่ว่าจะเป็นทั้งฝ่าย"สนับสนุน"หรือ"ไม่สนับสนุน"ในสิ่งที่ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า"สิ่งแปลกปลอม"ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเรียกมันว่า"การพัฒนา"
บริบท ที่มี"เบื้องหลัง"ซ่อมแฝงอยู่ใน"เบื้องหน้า"อันหนักแน่นไปด้วยพลังงานจาก"มวล"แห่งม็อบ ทั้งที่"จัดตั้ง"มาโดยปกติแห่ง"มวล"ในรูปแบบ"หัวเชื้อ"และทั้งที่"ไม่ได้จัดตั้ง" แต่เกิดการรวมตัวกันแบบ"หลวมๆ"เพราะต่างเสียประโยชน์ของผู้คนกลุ่มนั้นๆ แน่นอน กระบวนการเหล่านี้จะเป็น"ม็อบ"เรือนร้อยเรือนพันไปจนถึงระดับหมื่นแสนไม่ได้ หากไม่มี"การบริหารจัดการ" ดังที่เราเห็นจาก"ม็อบการเมือง"อย่าง"ม็อบพันธมิตร"ที่ขับไล่"ทักษิณ"และม็อบ"นปก."ที่ขับไล่"คมช."
"การบริหารจัดการ"ที่ว่านี่ เองจึงเป็นที่มาของ ความคลุมเครือ ในที่มาและที่ไป ที่มิอาจเปิดเผยได้..ของแกนการจัดการม็อบ...แม้กระทั่งบางม็อบเอง ในกระบวนการบริหารจัดการ มี"มือที่มองไม่เห็น"และ"เสบียงกรัง"(เงินทุน)ที่มาจาก"ผู้ประสงค์จะบริจาดแต่ไม่ออกนาม"มากมาย...ขึ้นอยู่กับ"ผลประโยชน์" ผลได้ ผลเสีย ของสถานการณ์นั้นๆ
ที่ว่า"คลุมเครือ"ในที่มาที่ไป เราก็เห็นกันอยู่ ในสถานการณ์ม็อบขับไล่"รัฐบาลทักษิณ" ที่เฉลยออกมาในตอนหลัง(หลังยึดอำนาจเสร็จและมี คมช.-รัฐบาล เข้ามาบริหารจัดการประเทศแล้ว)..อันเป็นการเฉลยออกมาเอง ของบรรดาผู้ที่ร่วมก่อการในขบวนการม็อบ(19ก.ย.2549)ว่า มี"กลุ่มทุนเก่า"ที่ต่าง"เสียประโยชน์"จากการที่รัฐบาล"ทักษิณ"ที่เป็น"ตัวนำ"ของ"กลุ่มทุนใหม่"เป็น"นายกฯ"ที่ย่อมเอื้อประโยชน์พวกพ้องก่อนจะหันมาแลตามองใน"พวกเขา"ที่อดอยากปากแห้งมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสี่-ห้าปี ยิ่ง"ทักษิณ"ประกาศว่าจะอยู่ถึงแปด หรือยาวไปกว่านั้น ก็ยิ่งร้อง"ไอ้หยา"ไม่ไหวแน่..อย่ากระนั้นเลยกลั้นใจควักกันลงขันให้"ทหาร"จัดการซะ..ด้วยวิธีที่คิดว่าคงจะถอยหลังไปนิด ไม่ถึงจนาดหกล้มหัวทิ่มหัวตำ..เป็นแน่แท้ ก็เลยเป็นที่มาของ เงินทุนประมาณหลายพันล้าน ที่ใช้ในการครั้งที่ผ่านมา...ภายใต้การร่วมด้วยช่วยมันส์ของหลายฝ่ายทั้ง NGO ทั้ง ศักดินา ขุนศึก ราชนิกุล ทุนเก่า ฯลฯ ที่มีอารมณ์เจ็บจำกับ"ทักษิณ"
นี่เป็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง ของม็อบ การเมือง ที่ ถูกเฉลย อันเป็นธรรมดาของโลกที่ว่า"ความลับไม่มีในโลก" ที่ก็เป็นธรรมดา เช่นกันว่า สำหรับบรรดาสารพัดม็อบ ในสารบบแห่ง ม็อบ ภายใต้การ"กำกับการแสดง"ของ"NGO"Non Goverment ในแต่ละบริบทเนื้อหา ที่สอดแทรกอยู่ตรงกลางระหว่าง"รัฐบาล"กับ"ชาวบ้าน"
นี่จึงถือเป็น"หน้าที่-บทบาท โดยชอบธรรม"ของNGOที่หลายฝ่าย ยังเห็นว่า"จำเป็น"ที่ยังต้องมีอยู่ไว้ใน"สังคม" ในลักษณะคล้ายๆกับการที่ หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยของรัฐ ยังคงต้องพึ่งพาอาศัย"อาสาสมัครกู้ภัย"มูลนิธิต่างๆ คอยช่วยเก็บศพ รับคนเจ็บ ช่วยดับเพลิง ฯลฯ อันเนื่องมาจากรัฐไม่สามารถมีขอบข่ายที่ครอบคลุมการ"จัดการ"เหล่านั้นได้
แน่นอน"บทบาท-หน้าที่"เหล่านี้ ย่อมติดตามมาด้วย"อำนาจการต่อรอง" โดยเฉพาะ การ"ต่อรอง"ในลักษณะที่ไม่ใช่อยู่ในกรอบการใช้"อำนาจรัฐ" ที่ดำเนินภายใต้"ตัวบทกฎหมาย"
เป็น"การต่อรอง"ภายใต้การมี"มวลสนับสนุน"จากประชาชนโดยที่ไม่ติดถูกติดยึดบังคับภายใต้"กฎหมาย" ...นี่จึงเป็นที่มาของสิ่งที่ฝ่าย"รัฐ"หรือ"ฝ่ายทุน"กระแนะกระแหนNGO โดยเรียกมันว่า"กฎหมู่"
ซึ่ง"กฎหมู่"เหล่านี้เอง ที่หมายถึง"อำนาจ"ที่มีอยู่เหนือแม้กระทั่งบางองค์ประกอบของ"อำนาจรัฐ" นั่นคือกลไกของฝ่าย"ปฏิบัติ"ระดับล่างของอำนาจรัฐ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้ง และบางครั้ง "อำนาจ"เหล่านี้ ก็ถูกใช้ไปในทางมิชอบได้ ไม่ต่างจาก ทุก"องค์กร"..
ไม่แปลกที่ กระบวนการขับเคลื่อนของม็อบภายใต้การจัดการของNGOจะถูก ตรวจสอบอย่างคลางแคลงถึง"เบื้องหลัง"การออกมาบเคลื่อน ที่มากไปกว่าประเด็นกระแสที่ซ้ำไปซ้ำมาในประเด็นเนื้อหา..จนกว่ากระบวนการเรียนรู้ของ"แกนนำม็อบ"จะเข้ารูป และนำไปสู่การขยายผล ด้วย ประเด็นแวดล้อมต่างๆ ที่เรียกกันว่า"สุกงอม"
ไม่แปลกที่มักจะต้องมีการออกมาอธิบายของNGOบางองค์กรซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง"ความสะอาด"ในที่มาที่ไปของ"เงินทุนสนับสนุน"องค์กร อันเป็นเสบียงกรังในการมาหล่อเลี้ยงม็อบ หล่อเลี้ยงทั้งเงินเดือนให้กับ"นักเคลื่อนไหว"ทั้ง ฝ่ายที่เป็น"การ์ด"และฝ่ายที่เป็น"เสธฯ"ของม็อบนั้นๆ
เกี่ยวกับรื่องนี้ "กวิน ชุติมา"รองผู้อำนวยการมูลนิธิกองทุนไทย เคยเขียนอรรถอธิบายไว้บทความเรื่อง"NGOs สร้างสรรค์ประชาธิปไตยจริงหรือ"อย่างน่าสนใจ"ศึกษา"ใน"บริบท"แห่ง เบื้องหน้า ทีมี"เบื้องหลัง"ของ"ผู้กำกับม็อบ"

กวิน ชุติมา
รองผู้อำนวยการมูลนิธิกองทุนไทย
หมายเหตุ : ข้อมูลจากเวปไซต์ thaino.org
 
 
 
 
 
 
 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
<span style=\"color: #00ff00\"><span style=\"font-size: 24px\">เนื้อหาดีคับ</span></span>
ความคิดเห็นที่ 2
เนื้อหาดีมากค่ะ
ความคิดเห็นที่ 3
โอเคเลยเพื่อน