Amezon-Fish
ดู Blog ทั้งหมด

ไดอารี่สยองขวัญ

เขียนโดย Amezon-Fish

                           มาอีกแล้วสยองขวัญบั่นทอนปัญญา รู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกจอมบั่นทอนอารมณ์ชาวบ้านยังไงก็ไม่รู้  ที่นี้ไอ้เรื่องผีๆนี่ คนเขียนเองก็ไม่เคยเจอเองจังๆ แต่เป็นคนที่กลัวมากระดับที่เรียกว่าเป็นการกลัวระดับสูงคนหนึ่งทีเดียว เหมือนกับการเรียนสูงแบบหนึ่ง

 

                           คราวนี้เป็นเรื่องของเพื่อนที่ทำงานเป็นเซลแมน ขายของ นานๆครั้งจะเข้ากรุงเทพ เสียทีหนึ่ง ในแต่ละเดือนก็เอาแต่ต้องตะลอนๆไปตามที่ต่างๆ วันหนึ่ง ก็กลับมาเล่าเรื่องชวนขนแขนสแตนอัพให้ฟังที่บ้าน เหตุเพราะว่าคนเขียนต้องการเรื่องมาเขียนลง ได้ตังค์หรือเปล่าก็ไม่รู้แน่ แต่ที่แน่ๆ ก็เสียค่าอินเตอร์เนตไปแล้วฟรีๆ ซึ่งเรื่องนี้นั้น ก็เกิดขึ้นเมื่อเพื่อคนนี้ต้องเดินทางไปยังจังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นจังหวัดที่คนเขียนเคยอยู่มาก่อนชั่วขณะในตอนเด็กๆซักระยะ2-3ปีก่อนที่จะโยกย้ายตามผู้ปกครองเป็นปรกติวิสัย และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นที่ตรงนั้น หากว่าใครเคยไปจังหวัดนครพนม เส้นทางที่ตรงเข้าเมือง จะผ่านอำเภอภูเขาทองนั้น เป็นที่ตั้งของวิทยาเขต นครพนม ที่คนเขียนเคยอาศัยอยู่ที่นี่ แล้วตรงนั้นจะเป็นทางโค้ง ซึ่งทางโค้งแห่งนี้ เท่าที่เคยอยู่มา มีคนตายบ่อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์คว่ำโดนรถบัสทับอะไรอย่างนั้น แล้วก็มักจะไม่ค่อยมีหน่วยกู้ภัยมากันอย่างรวดเร็วเหมือนกับในกรุงเทพ จึงเป็นเรื่องปรกติที่จะเห็น ความน่าอนาถของศพที่มีอันเป็นไปในลักษณะที่แตกต่างกัน

 

                 เรื่องของเพื่อนเริ่มที่กลางดึกของคืนหนึ่ง เขาขับรถข้ามจังหวัด มาจากจังหวัดสกลนคร เพราะว่าเข้ามาทางกาฬสิน จึงต้องขับรถข้ามภูพาน เมื่อลงมาจากภูพานได้แล้วมันก็เป็นช่วงค่ำพอดี เพื่อนของผู้เขียนจึงจำต้องแวะหาอะไรรองท้องก่อนที่จะขับต่อเพราะคิดว่าจะเข้าที่พักแล้วนอนเลยก่อนที่จะเอาของไปส่งตามสถานที่ที่ได้สั่งของไว้ พอออกจากจังหวัดสกลเป็นเวลาสามทุ่มครึ่ง ทางที่ไปจังหวัดนครพนมนั้น เป็นลักษณะของถนนเลนสวนเลน ดังนั้นขึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการขับขี่ แต่ระหว่างทางก็อุ่นใจ เมื่อเห็นรถบรรทุกที่ส่วนใหญ่มารยาทดี ขับมาเป็นเพื่อนเพื่อน ซึ่งระยะเวลาที่จะเดินทางข้ามจังหวัด ผู้เขียนก็กะเวลาเอาตามเวลาที่เด็กๆเคยเดินทางบ่อยๆเส้นทางนี้หากว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ประมาณสองชั่วโมงกว่าที่จะถึง ตัวจังหวัด ซึ่งแม้ว่าจะตัดผ่านสุสานหลายแห่ง แต่เพื่อนของผู้เขียนก็ไม่สามารถมองเห็นได้ เนื่องจากเป็นเวลาค่ำมืดดึกดื่น ทีนี้เมื่อรถเข้าเขตโค้งอันตราย เพื่อนของข้าพเจ้า ก็เห็นว่า รถบรรทุกข้างหลังกระพริบไฟเตือนมา เขาจึงกระพริบไฟบอกถึงการแสดงอาการรับรู้ แต่ว่า เขาก็ยังคงกระพริบเตือนไม่หยุด จนเพื่อนของข้าพเจ้าชักสงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไรจนกระทั่งผ่านโค้งมาอย่างปลอดภัยทั้งคู่ เมื่อผ่านโค้งมา ก็จะเป็นการลงเนินครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่อำเภอเมือง เพื่อนของผู้เขียนจึงเห็นว่ารถบรรทุกคันนั้นเบี่ยงเข้าที่ปั๊ม ที่ยังคงเปิดบริการอยู่ และเมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงเบี่ยงเข้าตามเพื่อที่จะพักขา แล้วก็เติมน้ำมัน และเมื่อเข้าไปในปั๊ม เค้าก็เห็นว่า คนขับรถบรรทุกนั้นไปคุยอะไรบงอย่างกับเจ้าของปั๊ม และมีท่าทีเหมือนจะตกอกตกใจอะไรบางอย่างก่อนที่หันมามองหน้าเพื่อนผู้เขียน และเมื่อเห็นดังนั้น เพื่อนของผู้เขียนจึงเดินเข้าไปสอบถามแล้วก็ได้ความมาว่า

 

                ตอนที่รถบรรทุกคันนี้ได้ขับตามเพื่อนของผู้เขียนอยู่ เขาก็ได้แลเห็น ชาวบ้านมากมายยืนเรียงรายอยู่ข้างถนน พร้อมกับรถมอเตอร์ไซ๖ประมาณ สี่ห้าคัน และเมื่อเห็นรถเพื่อนของผู้เขียน  มอเตอร์ไซต์เหล่านั้นก็ได้แล่นเข้าประกบ เขาจึงส่งไฟเตือน แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจคือรถมอเตอร์ไซต์เหล่านั้นพากันล้มลงก่อนที่เจ้าของรถจะลุกขึ้นไล่กวดรถของเพื่อนข้าพเจ้าแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อพ้นโค้ง และทุกอย่างก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว จนประสาทของเขาคนเล่านั้นด้านชาไปหมด คือตอนเห็นรถล้มเค้าเองก็คิดที่จะเหยียบเบรก แต่อะไรบางอย่างทำให้เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น และหากว่าถ้าทำ ฝ่ายที่บาดเจ็บล้มตายอาจจะเป็นคนขับรถบรรทุกเสียเองก็ได้  เมื่อเพื่อนของผู้เขียนได้ยินเช่นนั้นก็บังเกิดความกลัวบ้างแต่ก็อุ่นใจที่ตนเองนั้นมองไม่เห็นอะไร  หากว่าเห็น อาจจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงก็เป็นได้ใครจะไปทราบ

 

                  ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแปลกที่เพื่อนเซลแมนเอามาเล่าให้ฟัง แล้วดูเหมือนว่าอาชีพนี้จะถูกโฉลกกับเรื่องลี้ลับซะจริง เพราะว่า เขามักจะกลับมาเล่าสู่กันฟังเสมอๆ

 

                 ว่าแต่คุณล่ะจะเชื่อหรือไม่ว่า มันมีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ หรือว่าเป็นแค่การคิดไปเอง

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น