keedsanook
ดู Blog ทั้งหมด

สำรองไว้กันเหนียว

เขียนโดย keedsanook
 

 

วันนี้มีคำถามเบาเบามาถามครับ
ถ้าพี่ก๋ากลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
พี่ก๋าพร้อมที่จะเสี่ยงไหมครับ
จะรุกหรือรับ หรือซุ่มดูจังหวะ

พี่ก๋าจะตะลุยตะบี้ตะบันแหลกไปข้างหนึ่ง
หรือจะตั้งรับ รอ ถอย ในระยะที่ปลอดภัย

หรือว่ารอจังหวะและเวลาที่เหมาะสม 
และพร้อมที่จะเสี่ยงและเสีย



คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 14 มีนาคม 2555 
เวลา : 15:24:00 น.





...................................




หวัดดีครับ





พี่ก๋ากำลังนั่งนึกว่าเคยทำอะไรเสี่ยงๆในวัยรุ่นมาบ้างหรือเปล่า

สมัยอายุ 16-17 พี่ก๋าชอบนอนขี่มอเตอร์ไซด์ครับ
คงห้าวด้วย เลยขี่มอเตอร์ไซด์เร็วมาก
เคยบิดสุดไมล์แล้วพุ่งฝ่าไฟแดง 2 แยกใหญ่โดยไม่หยุดรถ

ไม่รู้จะเรียกว่าเสี่ยง บ้าดีเดือด หรือว่าโง่ดี 5555


มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
แต่พี่ก๋าเชื่อมั่นลึกๆว่าวัยรุ่นทุกคน
จะมีช่วงเวลา “เปลี่ยนผ่าน”
จากเด็กไปสู่ความเป็นวัยรุ่น

อะไรที่แรงๆ แหกกฎ เราอยากรู้ อยากลอง อยากทำ



เรื่องที่เสี่ยงอีกอย่างที่เคยทำ
คือ มีปัญหากับอาจารย์ในคณะ ฯ
แล้วพี่ก๋ากับเพื่อนก็จัดนิทรรศการด่าอาจารย์กลางโถงทางเข้าของคณะฯ
เป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากในขณะนั้น
ตอนนั้นคิดว่าตัวเองสามารถโดนรีไทร์ได้เลยครับ 




.......................................




ถ้าให้ย้อนเวลากลับไป
จะทำสิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ไหม ?
ก็คงทำ….
เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้



เพียงแต่หลายคนอาจไม่มีโอกาสได้นั่งเสียใจอีกแล้ว


พี่ก๋ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งกำลังจะกลับมาเรียนต่อด้วยกัน
เขาดร็อปไปหนึ่งเทอมเพราะมีปัญหาอะไรสักอย่าง
ก่อนเปิดเทอมเพียงไม่กี่วัน
เขานั่งรถไปกินเหล้ากับเพื่อน
แล้วรถกระบะของเขาก็พุ่งชนต้นยางข้างทาง
คนในรถเสียชีวิตทั้งหมด 7 คน 
รอดมาได้เพียงคนเดียว….

เพื่อนพี่ก๋าไม่ได้โชคดีในวันนั้น
ในงานศพ ... พ่อแม่ของเขาร้องไห้เจียนขาดใจ
เพราะนี่คือลูกชายคนเดียวของครอบครัว.....



เราทำสิ่งที่เสี่ยงได้
นั่นเพราะเราลืมคิดไปว่า 

“เราต้องแลกมันมาด้วยอะไรบ้าง ?”



....................................................



คำถามเราทำให้พี่ก๋านึกถึงเรื่องเซ็กส์
น่าแปลกใจไหมครับ
ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
เรื่องเซ็กส์ยังเป็นหัวข้อที่วัยรุ่นทุกคนสนใจและอยากลอง

มันน่าเจ็บปวดตรงที่ตอนวัยรุ่นไปลองเรื่องเซ็กส์
เราทำไปแบบ “ไม่รู้” 
เจ้าอาการไม่รู้นี่แหละครับ ที่พี่ก๋าเรียกว่า “เสี่ยง”


เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีเซ็กส์โดยใช้สัญชาติญาณล้วนๆ
ความใคร่มันจะนำความรัก
และเมื่อเป็นเซ็กส์ที่ปราศจากความรัก
ผลของมันคือ “เซ็กส์ที่ไม่ปลอดภัย”


เด็กมากมายนั่งดูดีวีดี คลิปหลุดและคลิปโป๊
เรียนรู้จากเพื่อน จากหนังเอวี
แล้วเราก็เชื่อกันไปเองว่าการทำตามในคลิปแบบนั้น
คือ ความเท่ คือสิ่งที่จะทำให้ผู้หญิงมีความสุข
สุดท้ายแล้วเซ็กส์แบบนั้นคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข

ในหนังโป๊เหล่านั้นมันไม่มีฉากที่พร่ำพรรณนาถึง “ความรัก”
มีแต่การได้มา การครอบครอง การรุกเร้าและความเจ็บปวด

แต่เมื่อเราดูๆๆๆๆๆๆๆ
สั่งสมข้อมูลแบบนี้ไว้ในใจเยอะๆ 
แล้วเผอลไผลไปเชื่อมั่นว่านั่นคือ “ความรัก”

จนเอาไปใช้กับคู่นอน....

เซ็กส์ที่เกิดขึ้นจาก “ความรู้” แบบนี้จึง “เสี่ยงมาก”
เสี่ยงต่อการเป็นเซ็กส์ที่อันตรายและทำร้ายคนที่เรามีเซ็กส์ด้วย



ตอนนี้ประเทศของเราติดอันดับ
หญิงสาวอายุต่ำกว่า 15 ปีที่มีอัตราการตั้งครรภ์สูงที่สุดโลก


เรามีคดีข่มขืน รุมโทรมมากมาย
เกิดขึ้นแทบจะในทุกวินาที

เรามีทั้งหญิงสาวที่ออกไปล่าแต้มและนอนกับผู้ชายโดยไม่เลือกหน้า

เรามีคดีพ่อกระทำชำเราลูก เรามีคดีพระตุ๋ยเด็กชาย 
เรามีนักเรียนนักศึกษามากมายที่กลายเป็นเอเย่นต์และโสเภณี 

ฯลฯ


ถ้าเราจะโทษสื่อยั่วยุทั้งหลาย
นั่นคงทำได้เพียงส่วนหนึ่ง

แต่ประเด็นหลักมันน่าจะอยู่ที่ “ความรู้” ที่เรามีกับเรื่อง “เพศศึกษา”

น่าจะอยู่กับ “การรับรู้” ต่อข้อมูลข่าวสารที่เรามี.....

ที่สุดแล้ว...อยู่ที่ “ปัญญา” และการมองเห็น “คุณค่า” ในตัวเอง
มากกว่าการนั่งคิดถึงการทำให้ตัวขาว จั๊กแร้ขาว 
หรือทำศัลยกรรมทั้งแต่หน้าจรดเท้าเพื่อให้สวย ใส และเซ็กซี่
หรือคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้มีอวัยวะเพศชายที่ใหญ่โตมโหฬาร
หรือคิดสรรหาท่าร่วมเพศที่แปลกพิสดารพันลึกแบบหลุดโลก
อย่างความรู้ความเชื่อที่เราเคยเรียนรู้กันมา....


“ความรู้แบบผิดๆ” มัน “เสี่ยง” จริงๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดในชีวิต



..........................................



พี่ก๋าเป็นคนใจร้อนและกล้าได้กล้าเสียเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น
แต่สุดท้ายพี่ก๋าคิดว่า “สติ” และ “การรอคอย” ต่างหากที่สำคัญ

ชีวิตไม่ได้มีแต่การห้อตะบึงไปข้างหน้า
เราเดินไปช้าช้าและทำให้มันสวยงามได้ในทุกๆเรื่อง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน ความรัก เซ็กส์
หรือช่วงเวลาในการประสบความสำเร็จในชีวิต



วันก่อนพี่ก๋าเพิ่งเล่านิทานสอนลูก
ว่าผู้ที่ชนะที่แท้จริง
ไม่ได้หมายความว่าเขาเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 ในทุกๆเรื่อง
แพ้ก็ได้ --- แต่ในขณะที่แพ้นั้น
เราได้หันกลับไปช่วยเพื่อนที่กำลังล้มให้ลุกขึ้นยืน
และเดินเข้าเส้นชัยกับเราได้


นั่นต่างหากที่เป็น “ผู้ชนะที่แท้จริง”





....................................





“ความรู้” ที่ผ่านกระบวนการ “คิด” ที่ดี
จะทำให้ “ความเสี่ยง” ลดน้อยลงไป

หลายเรื่องในชีวิตเราเสี่ยงได้ พลาดได้
เริ่มต้นใหม่ได้

แต่บางสิ่งมันยากจริงๆที่จะกลับมาแก้ไข

เพราะที่สุดแล้ว….
เราอาจแค่ตายไปพร้อมกับความสะใจ
และความเสี่ยงที่ขาดสติเท่านั้นเอง



.................................





พี่ก๋าไม่ค่อยเชื่อทฤษฎีการลงทุน
ที่ชอบสอนกันว่า


“ยิ่งเสี่ยงมาก ผลตอบแทนยิ่งสูง”


พี่ก๋าเชื่อในความไม่ประมาท เชื่อในการลงทุนระยะยาว
เชื่อว่าถ้าเราทำอะไรแบบไม่โลภ เราจะไม่เสียสิ่งที่เรามี




และสิ่งที่เราควรเสี่ยงให้มากที่สุด
นั่นคือ การกล้าเสี่ยงที่จะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เพื่อให้เป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆวัน

นั่นต่างหาก คือ หนทางเสี่ยงที่ดีที่สุดที่เราควรทำ 

 

โดย: กะว่าก๋า   16 มีนาคม 2555 22:45:38 น. 

 

ซิกมุนด์ ฟรอยด์เคยกล่าวเอาไว้ว่า 
ผู้ชายอาจจะตกหลุมรักผู้หญิงสักคนหนึ่งเป็นเวลาถึง 6 ปี โดยไม่รู้ตัว 
จนกระทั่งหลายอีกปีผ่านไป ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อโลก 
เขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่เขาไม่รู้ออกมาเป็นคำพูดได้ 

เขามีความรู้สึกแต่เขาไม่รู้จักมัน

เหมือนผมที่เก็บความรักไว้ในใจกักขังมันเอาไว้ 
ไม่ยอมให้มันออกไปเจอความโหดร้ายในโลกความเป็นจริง 


อยากดูในมุมมองของพี่ก๋าดูว่ามันจะเป็นอย่างไร





คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 14 มีนาคม 2555 
เวลา : 23:29:00 น.






......................................




สมัยเด็กๆจนมาเป็นวัยรุ่น
พี่ก๋าเคยนับเล่นๆนะ
ว่าเคยแอบปิ๊งเพื่อนสาวมากี่คน 5555

อารมณ์ประมาณแอบรักเธออยู่ในใจ
เก็บรักไว้หมายแอบอิง 5555

นับดูแล้วมีประมาณ 10 กว่าคน
แต่เชื่อไหมว่า...ไม่มีสักคนเลย
ที่พี่ก๋ากล้าเดินเข้าไปเพื่อบอกว่า


“ฉันชอบเธอ”
“ฉันอยากรู้จักกับเธอ”
“มาเป็นเพื่อนกันไหม ?”

ฯลฯ


สิ่งที่พี่ก๋าทำมาตลอดทั้งชีวิต
คือ แอบมอง แอบชอบ แอบคิด แอบฝัน
แอบเพ้อ แล้วก็แอบอกหักไปเอง
ชนิดที่สาวเจ้าไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าเราแอบชอบเธออยู่ 5555



รักแบบแอบๆ
แอบเก็บเธอไว้ในใจ

ถ้ามองในวันนั้นมันน่ารักดีนะ
ทำให้ใจกระชุ่มกระชวย
ยังไงเสียพี่ก๋าก็ยังชอบใจกว่าการที่เดินเข้าไปในเธค
แล้วคว้าสาวแปลกหน้ามาหลับนอนด้วยกันที่ห้อง
ก่อนจะตื่นเช้ามาแล้วจากไปเหมือนคนไม่รู้จักกัน


“มีความรู้สึก แต่ไม่รู้จักมัน”


บางครั้งความรู้สึกบางอย่าง
ก็แทนที่ด้วยคำพูดไม่ได้หรอกครับ

เราอาจชอบคนๆหนึ่งมาก
แต่เรารู้สึกลึกๆว่าเธอคงไม่ชอบเรา
หรือไม่เหมาะสมกับเรา


ความรู้สึกแบบนี้พี่ก๋าเรียกมันว่า “สัญชาตญาณ”



บางเรื่องในชีวิต
เราจึงต้องคิดเอาเองว่าจะใช้ “สมอง” หรือ “หัวใจ” ในการค้นหาคำตอบ
เรื่องที่ต้องใช้เหตุผล ก็ต้องใช้สมองไปหาคำตอบ
ส่วนเรื่องอารมณ์ความรู้สึก
อะไรจะดีไปกว่าการตอบด้วยหัวใจ

อย่าเผลอไปใช้สลับกันเชียวครับ
เพราะในเรื่องราวของความรัก
บางครั้งมันก็ไม่ต้องการเหตุผล ไม่สนใจทฤษฎีใดใดทั้งนั้น

ถ้าจะต้องรัก มันก็รักครับ
ถึงจะไม่มีอะไรที่เหมาะสมกันเลย ก็รักกันได้
หรือต่อให้หวานล้ำหยดย้อยแค่ไหน
วันหนึ่งหมดรัก ก็ต้องเลิกรากันไป



มอง “ความรัก” ว่าคือ “การเรียนรู้” ดูสิครับ
รักจะได้ไม่น่ากลัวและเต็มไปด้วยความคาดหวัง
รักแบบง่ายๆ...แต่อย่ามักง่าย
รักง่ายๆคือ ทำให้มันเป็นธรรมชาติ
อย่าไปฝืน อย่าไปดัด อย่าไปปรับตัวเอง
เพื่อให้ใครมารัก หรือเพื่อไปรักใคร

เป็นอย่างที่เราเป็น แต่เป็นให้ดี
ให้รู้ว่าคนรักที่ดีเป็นอย่างไร
แล้วก็พยายามครับ พยายามเป็นคนรักที่ดีในแบบที่เราคาดหวัง
แต่อย่าไปผลักความคาดหวังนี้ให้อีกฝ่าย
ทำที่ตัวเราเอง ทำตัวเองให้เป็น “คนรักที่ดีพอ”
แล้ววันหนึ่งน้องจะเจอ “คนรักที่พอดี” ครับ










 

โดย: กะว่าก๋า   16 มีนาคม 2555 23:13:12 น. 

 


ตามอ่านบล็อกพี่ก๋า 
อ่านแล้วแล้วมันขัดๆกันนิดหน่อย

เลยจะถามว่าถ้าเรารักตัวเองไม่เป็น 
แล้วเราจะรักผู้อื่นได้ไม่ดีจริงหรือ
ถ้าเรายังไม่รักตัวเอง เราก็ไม่ควรไปรักผู้อื่นหรือเปล่า

รักเพื่อน รักพ่อ แม่ พี่ แฟน เพื่อนร่วมโลก 

รักตัวเอง รักยังไง 
แล้วมันไม่เป็นการเห็นแก่ตัวเหรอ

พี่ก๋าลองบอกข้อดีของการแอบรักเค้าข้างเดียวสิครับ 
เราจะได้ภูมิใจตัวเองบ้าง ฮ่าๆๆๆ 




คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 14 มีนาคม 2555 
เวลา : 23:29:00 น.






....................................





พี่ก๋าพูดบ่อยๆในบล็อก 
ว่าเราต้องรักตัวเองให้เป็น
ก่อนที่จะคิดไปรักใคร


ลองนึกถึงถังน้ำที่ก้นรั่วดูนะครับ
ต่อให้ถังน้ำใบนี้ไปหาถังน้ำอีกใบที่สวยเพียงใด
หรือมีขนาดใหญ่เพียงใด
ก็ไม่อาจเติมเต็มน้ำในถังใบนี้ได้

เทน้ำลงไปเท่าไหร่
มันก็รั่วออกมาจากก้นถังจนหมด


คนที่รักตัวเองไม่เป็นในความหมายของพี่ก๋า
ก็คือ คนที่เป็นเหมือนถังน้ำก้นรั่วครับ



...................................




คนรักบางประเภทมักจะตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า


“ฉันทำดีกับเค้าขนาดนี้ ทำไมเค้าถึงไม่เคยสนใจใยดีฉันเลย”



คนที่รักตัวเองไม่เป็น
จะหึงหวงโดยคิดว่านั่นคือความห่วงใย
บ่อยครั้งเลยเถิดกลายเป็นการยึดติดยึดครองและหวงแหน



ผู้หญิงที่โทรจิกแฟน 100 มิสคอล
ผู้ชายที่ทำร้ายร่างกายแฟนสาวเพราะความหึงหวง
คู่รักที่ยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจตลอดเวลา
หรือ คนรักที่ต้องการการพึ่งพา พึ่งพิง 
และคิดว่าชีวิตนี้ไม่สามารถขาดอีกฝ่ายได้

เหล่านี้....บางทีอาจเป็นคนรักที่น่าอึดอัดเวลาได้อยู่ใกล้ๆ
และกลายเป็นถังก้นรั่วที่เติมความรักลงไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม




..............................




พี่ก๋าเคยเป็นถังก้นรั่วมาก่อนนะครับ
เคยมองความรักเป็นเรื่องของความสมบูรณ์แบบ
ถ้าไม่เจอคนที่ดีพอ ฉันไม่แต่งงานก็ได้
อยู่ตัวคนเดียวก็มีความสุขได้
ในขณะที่ชีวิตแต่ละวันถูกใช้ไปตามความเชื่อความฝัน
ตามอารมณ์ขึ้นๆลงๆของตัวเอง

ถ้าตอนนั้นพี่ก๋ารีบแต่งงาน คงต้องจบลงด้วยการหย่าร้างแน่นอน
เพราะคงไม่มีสาวคนไหนทนนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของพี่ก๋าได้


จนวันหนึ่งที่พี่ก๋าได้เรียนรู้และรู้จักตัวเองมากขึ้น
ได้เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนความคิด
เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ

นั่นเป็นจุดที่ทำให้เรารู้ว่า
ความรักไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว
ความรักไม่ใช่การมองเห็นแต่สิ่งที่เราอยากมอง
ไม่ใช่การได้มาแต่สิ่งที่เราต้องการ

แต่ความรักคือการยอมรับในความแตกต่าง
การอยู่ร่วมกัน เรียนรู้กันไป
ปรับปรุงตัวเอง และ ต้องแบ่งปันความรู้สึกร่วมกันกับคนรัก


พอคิดและเชื่อแบบนี้ได้
พี่ก๋าว่าคนๆนั้นก็เริ่มเป็นคนที่รักตัวเองเป็น
และน่าจะเป็นคนรักที่ดีได้แล้วล่ะครับ



.................................




ถ้าตอนนี้เรายังเป็นคนรักที่ไม่ดีพอ
ยังเป็นถังก้นรั่ว
ก็แอบรักเขาหรือเธอไปก่อน
ไม่เห็นจะแปลกอะไร

เอาเวลาที่รอ
ไปพัฒนาตัวเอง ไปปรับปรุงความคิดของตัวเอง
เลิกเจ็บปวดกับสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เพื่อกลับมาอยู่กับความจริงอย่างที่มันเป็นให้ได้

เรียนรู้ว่าข้อดีของเราคืออะไร
ยังมีข้อเสียอะไรที่ต้องปรับปรุง


ถึงวันหนึ่ง...
ถังที่เคยรั่ว
มันจะถูกปะรอยรั่วด้วยสิ่งที่เรียกว่า

“ความรักที่งดงาม” เองล่ะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า   17 มีนาคม 2555 7:50:20 น. 

 

ถ้าคนรักไม่ซื่อสัตย์ แล้วเราควรทำอย่างไร





คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 15 มีนาคม 2555 
เวลา : 00:48:00 น.




…………………………………..




ถ้าปลาที่เราวางไว้ถูกกิน
อย่าไปโทษว่าเป็นความผิดของแมว


ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน
อย่าให้จบลงตรงคำว่า


“นี่เป็นความผิดของใคร ?”


เพราะคำถามนี้ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเลย



เรียนรู้จาก “ความไม่เข้าใจ” จน “เข้าใจ”
เรียนรู้จากความขุ่นเคืองใจว่าเพราะอะไร
ทำไมเราถึงต้องเสียเวลาในชีวิต
เพื่อมานั่งทะเลาะเบาะแว้งกันหรือเกลียดกัน
แทนที่จะเอาวันเวลาเหล่านั้นมารักกัน


ความไม่ซื่อสัตย์ในชีวิตคู่เกิดขึ้นจากใคร
ถ้าเราหยุดกล่าวโทษอีกฝ่าย
เราอาจได้รู้ว่า
แท้ที่จริงปัญหาในความรัก
มันไม่เคยเกิดขึ้นจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ไม่เคยเกิดขึ้นฝ่ายเดียว
แต่มันเกาะเกี่ยวปัญหาเล็กๆหลายๆปัญหา
ก่อนจะกลายเป็นก้อนปัญหาขนาดใหญ่ที่ยากต่อการแก้ไขเยียวยา


ค่อยๆนั่งลง นั่งมองปัญหาอย่างจริงจัง
ไม่คิดเข้าข้างตัวเอง
เอาใจเขามาใส่ใจเรา

บางทีเราจะรู้
บางทีเราจะเห็น
ว่าแท้ที่จริงแล้ว...เรานั่นล่ะ
ที่อาจเป็นตัวปัญหาที่แท้จริง
เพียงแต่เราไม่ยอมรับความจริง


ถ้ายอมรับความจริงได้
เราจะแก้ไขปัญหาได้
ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างไร
รักกันต่อหรือเลิกรา
แต่เราจะได้เรียนรู้แล้วว่า
ปัญหาความรักที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
เกิดขึ้นจากอะไร
แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อหาทางออก
...ออกจากปัญหานี้ ?



ท้ายที่สุดแล้ว....
ถ้าคนรักไม่ซื่อสัตย์ 
แล้วเราควรทำอย่างไร


ถ้าใจหมดรัก
กายหมดความหวานชื่น

ก็ทำใจและเลิกรากันไปเถิดครับ

 

โดย: กะว่าก๋า   18 มีนาคม 2555 7:35:55 น. 

 

เอานิทานมาให้พี่ก๋าอ่าน คำถามผุดมามากมาย 
อยากให้พี่ก๋าอ่านเรื่อง การศึกษา วิจัย 
แล้วนำมาปรับเป็นการจีบหญิงแทน 555 

โดยตัวเอกคือ คุณปฎิบัติ





ที่มา : http://chaisawatvarious.wordpress.com




คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 16 มีนาคม 2555 
เวลา : 22:55:00 น.




พี่ก๋าอ่านนิทานเรื่องนี้จนจบ
ไม่แน่ใจว่าคนเขียนต้องการสื่ออะไร

แต่ทุกวิธีทั้งการสังเคราะห์ การวิเคราะห์
การศึกษาทฤษฏี ไปจนถึงขั้นตอนของการลงมือปฏิบัติ

มันเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนเดียวกัน
ไม่มีสิ่งไหนดีที่สุด เจ๋งที่สุด
เพราะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในกระบวนการเรียนรู้.....



................................
เวลาเรามองความรัก
จงมองให้เหมือนกับที่เรามองดูต้นไม้ต้นหนึ่ง


เราเลือกมองแต่ดอกที่สวยที่สุดของมันไม่ได้
เพราะนั่นไม่ใช่ต้นไม้

ถ้าหยิบกิ่งไม้หนึ่งอันขึ้นมาถามว่า

“นี่คือต้นไม้หรือไม่ ?”

เราไม่อาจตอบได้ว่านี่คือต้นไม้

เช่นเดียวกับการมองต้นไม้แบบแยกส่วน
ว่านี่คือ รากแก้ว รากฝอย กิ่ง ก้าน ใบ หนาม ดอก ผล

นั่นไม่ใช่ต้นไม้.....
แต่เป็นส่วนประกอบของต้นไม้


เช่นเดียวกันกับเวลาที่เรามองดูความรัก
เราไม่อาจมองแบบแยกส่วนได้ว่านี่คือความคิดถึง นี่คือคนรัก
นี่คือความเศร้า คือความหึงหวง คือการครอบครอง
หรือเป็นความผูกพัน ฯลฯ


ทั้งหมดนั่นล่ะ คือ ความรัก 
โดยไม่อาจแยกส่วนออกมาได้


การมีใครสักคนที่เรารู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ
และต่อให้เรารักมากมายเพียงใด
ใช่ว่านั่นจะเป็นบทสรุปว่าเขาหรือเธอ คือ “ความรัก”

เพราะเขาหรือเธอยังเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ
ในสิ่งที่เรียกว่า “ความรักทั้งหมด” นั่นเอง



....................................




จะลงมือทำอย่างเดียวโดยไม่มีความรู้ด้านทฤษฏี
บางทีทำให้ยิ่งเสียเวลาค้นหาคำตอบ

ค้นหาคำตอบโดยไม่มีการสังเคราะห์หรือวิเคราะห์ที่ไปที่มา
คำตอบที่ได้ก็อาจเป็นเพียงความบังเอิญ

ฯลฯ


เวลาเรียนรู้ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด
พี่ก๋าคิดว่าเรามีวิธีเข้าถึงคำตอบได้มากมายหลายหนทาง
ไม่มีหนทางใดที่ดีที่สุดหรือถูกต้องที่สุด
แต่ละคำถามจะมีวิธีการแสวงหาคำตอบที่แตกต่างกัน

ปัญหาคือ 

เราได้คำตอบนั้นมาอย่างไร
...เรารู้หรือไม่

คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดแล้วหรือยัง
....แล้วเราแน่ใจได้อย่างไร

ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือหรือวิธีการใดในการหาคำตอบ

คงต้องมองคำถามให้รอบด้าน
คิดให้ถ้วนถี่


ไม่ใช่ถือพวงมาลัยมาหนึ่งอัน
แล้วร้องบอกคนอื่นว่านี่คือรถยนต์
นี่คือรถยนต์.....

วิธีคิดแบบนี้ --- น่ากลัวและอันตรายครับ !!!!

 

โดย: กะว่าก๋า   18 มีนาคม 2555 7:36:19 น. 

 

พี่ก๋า มีเป้าหมายในชีวิตไหมครับ



คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 17 มีนาคม 2555 
เวลา : 00:32:00 น.




..................................





ณ วันนี้ 
พี่ก๋าไม่มีเป้าหมายในชีวิตเลยครับ



……………………………………





เมื่อก่อนพี่ก๋าเป็นคนที่วางแผนชีวิตไว้ล่วงหน้าตลอด
เรียนจบ ม.3 อยากเรียนต่ออะไร
เรียนต่อ ปวช. ปวส. ด้านสถาปัตยกรรม 5 ปี
คิดไว้เรียบร้อยว่าอยากเรียนต่อด้านครู
เลือกอย่างจำเพาะเจาะจงที่จะเรียนต่อด้านครุศาสตร์สถาปัตยกรรม
เรียนปริญญาตรีจบปุ๊บตั้งใจมากๆเลยว่า
จะไปทำงานที่สำนักงานสถาปนิกสักปีหรือสองปี
จากนั้นกลับไปเป็นครูที่คณะฯเดิมที่ตนเองเคยจบมา
แล้วเป็นครูสักสองสามปีก่อนทำเรื่องลาศึกษาต่อปริญญาโท
พร้อมทำงานด้านสถาปนิกไปด้วย


ทุกอย่างดูดีและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้


พี่ก๋าเรียนจบด้วยคะแนนเกือบเกียรตินิยม
กลับมาถึงเชียงใหม่สมัครงานที่แรกและที่เดียว
ได้รับเลือกให้เข้าทำงานในตำแหน่งสถาปนิกทันที

เรื่องไปเป็นครูที่คณะฯ
ได้พูดคุยคร่าวๆไว้กับอาจารย์ผู้ใหญ่ในคณะฯแล้ว

ทุกอย่างลงตัวและเป็นไปตามที่คิด



จนวันหนึ่ง...
พ่อพี่ก๋าเรียกเข้าไปคุย
แล้วบอกให้พี่ก๋าไปลาออกจากสำนักงานสถาปนิก
เพื่อมาช่วยงานที่ร้านขายเครื่องหนัง

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต....


เรียนมา 7 ปี
เป็นสถาปนิกได้เดือนเดียว

แล้วจากนั้น 15 ปีต่อมา
พี่ก๋าไม่เคยได้เดินอยู่บนเส้นทางแห่งความฝันอีกเลย




......................................



ช่วงแรกของการทำงานกับที่บ้าน
พี่ก๋าไม่มีความสุขเลย
เพราะงานที่ทำไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเรียนมา
ไม่ได้เป็นงานที่เราชอบเป็นทุนเดิม ไร้ซึ่งความถนัด
แถมงานยังหนักมาก ปรับตัวยาก
ไม่เข้าใจงาน ไม่เข้าใจคน
ชีวิตเลยสับสนอยู่นานหลายปี

ทำงานด้วยความไม่สนุก
ใจมันเป็นทุกข์จากสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ....



จนวันหนึ่งหลังจากทำงานมา 4-5 ปี
มีโอกาสได้รู้จักอีกด้านมุมของความคิดตัวเอง

จึงได้รู้ว่า

เราทุกข์เพราะเราอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
ให้เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ
พอเปลี่ยนไม่ได้เลยเศร้าและโกรธ

แต่พอเราเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองได้

งานที่เคยน่าเบื่อ ผู้คนที่เคยน่าชัง
เรากลับมองเห็นอีกด้านมุมของสิ่งต่างๆ
อย่างที่เราไม่เคยได้เห็น

ทุกอย่างเหมือนเดิมทั้งคนและงาน
แต่พอ “ทัศนคติ” ที่เรามีเปลี่ยนไป


เหมือนเรากลายเป็นคนใหม่
เหมือนเราได้ทำงานในที่ใหม่ 
เจอคนใหม่ๆที่มีอะไรให้เราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา


.........................................




การเปลี่ยนแปลงตัวเองในครั้งนั้น
ทำให้พี่ก๋าเลิกคิดถึงการวางแผนและเป้าหมาย

แต่เปลี่ยนเป็นการเดินช้าช้า เดินเรื่อยเรื่อย
วิธีการเดินทาง คนร่วมทาง 
สำคัญกว่าเป้าหมายของการเดินทาง


ไม่มีประโยชน์อีกแล้วที่จะใช้ชีวิตแบบควบตะบึง
เพื่อไปให้ถึงจุดหมายเร็วๆ
โดยไม่สนใจใคร


พี่ก๋าว่าชีวิตมันคือการเดินทาง
และระหว่างเส้นทางมีอะไรสวยงามให้เราหยุดมองตั้งเยอะ
เพียงแต่ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตแบบเคร่งครัด 
เคร่งเครียดและจริงจังมากเกินพอดี
แถมยังวิ่งเร็วเกินไปจนไม่มีเวลาที่จะหยุดและชื่นชมสิ่งต่างๆรอบตัวเลย


เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตไม่ได้อยู่ที่เส้นชัย
แต่อยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าเรา
ถ้าเราเดินไปเรื่อยๆพร้อมกับความสุขในใจเรา
ไม่ว่าหนทางจะใกล้หรือไกลแค่ไหน
พี่ก๋าว่าเราก็สามารถเดินได้อย่างมีความสุขในทุกขณะจิตจริงๆครับ

 

โดย: กะว่าก๋า   18 มีนาคม 2555 7:36:39 น. 

 

ตอบจบทุกๆคำถามแล้วนะครับ

 

โดย: กะว่าก๋า   18 มีนาคม 2555 7:37:01 น.

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น