keedsanook
ดู Blog ทั้งหมด

สำรองไว้กันเหนียว

เขียนโดย keedsanook
 

ทำไมผู้หญิงรักสวยรักงาม

สมองเชื่อมโยงกับจิตใจหรือไม่

เมื่ออารมณ์หนึ่งหายไปอีกอารมณ์ก็เข้ามาแทนที่
ทำอย่างไรเราจะรักษาอารมณ์นั้นไว้ให้คงอยู่เสมอไป





คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 9 เมษายน 2555 
เวลา : 21:52:00 น.






“อารมณ์” ความรู้สึกเกิดจาก “ความคิด”
“ความคิด” เกิดจาก “การรับรู้”
“การรับรู้” เกิดจากมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น
ได้รับรส ได้สัมผัส

แล้วนำทุกสิ่งไปคิดต่อที่ “สมอง”
จากนั้นจึงสร้าง “อารมณ์” ขึ้นมา
ว่าจะเกิดอารมณ์เช่นใดหลังจากใช้ความคิดประดิษฐ์ความรู้สึก


ถ้ามองตามรูปการณ์นี้
ถ้าเราไม่อยากเกิดอารมณ์
ก็แค่ปิดช่องทางการรับรู้

ทำหูให้หนวก ทิ่มตาให้บอด ตัดลิ้นทิ้ง
ตัดมือทิ้ง ไม่แตะต้องใคร อุดจมูกเอาไว้ไม่ต้องรับกลิ่น


คำถามคือ ถ้าเราทำอย่างนั้นได้จริง
“การรับรู้” จะไม่เกิดขึ้นจริงๆล่ะหรือ


สมองเชื่อมโยงกับจิตใจไหม ?


คำถามนี้พี่ก๋าคิดว่าถ้ามองให้ง่าย
ก็เหมือนการใช้ “เหตุผล” หรือ “ความรู้สึก” ในการตัดสินใจ

ไม่เพียงแต่ผู้หญิงหรอกนะครับ
ผู้ชายก็เป็นครับ สัตว์โลกทุกชนิดก็เป็น

ในบางสถานการณ์เราจึงต้องเลือกใช้ให้ถูกต้อง
ว่าจะใช้หัวใจตัดสิน หรือใช้สมองคิดค้นหาคำตอบและหนทาง


“อารมณ์” ที่เกิดขึ้นกับเราทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาต
ความพยาบาท ความรื่นเริง ความรื่นรมย์ ความสุข
ความทุกข์ ความหวัง ความดี ความงาม ฯลฯ


ไม่มีอารมณ์ใดที่คงทนถาวรเลย

มันมาแล้วมันก็ไป
แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
ตามแต่ “ข้อมูล” ที่วิ่งเข้ามากระทบตัวเราผ่านทางการรับรู้
และการคิด....

ร่างกายสวยๆ ดอกไม้ รถยนต์คันหรู
หนุ่มหน้าตาดี เสื้อผ้าราคาแพง กระเป๋าแบรนด์เนม ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เราเกิดความอยาก
อยากได้มา อยากครอบครอง อยากรักษาเอาไว้
ถ้าไม่ชอบ ไม่พึงพอใจก็อยากผลักไสไปไกลตัว


แต่ทุกสิ่งที่เราขวนขวายอยากได้มา
มี “ระยะเวลา” ของมัน
และไม่อาจดำรงตัวให้อยู่อย่างคงทนถาวรได้เลย
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งใดก็ตาม



การเฝ้าพยายามรักษาอารมณ์
ก็เหมือนการที่เราหยิบทรายริมหาดทรายขึ้นมากำเอาไว้
ไม่ว่าเราจะกำมือแน่นแค่ไหน
ทรายก็ยังคงไหลลงตามร่องนิ้วอยู่ดี


“อารมณ์ความรู้สึก” ก็เช่นกัน
ไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์
รู้สึกดีหรือรู้สึกแย่เพียงใด
เราก็รักษามันเอาไว้ในตัวเราไม่ได้ตลอดไป
ถึงเวลาหนึ่งมันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัยแวดล้อมที่มี



และเราไม่มีความจำเป็นต้องไปนั่งเฝ้าดูอารมณ์
หรือความคิดของตนเองตลอดเวลา
พี่ก๋าคิดว่าให้เราแค่ “รู้ทัน” อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
รับรู้ ปล่อยให้มันคิดและรู้สึกไปตามสัญชาติญาณ
แต่ขอให้เรามีสติกำกับและรู้ทันทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้น
รู้ทันว่าทุกๆสิ่งที่ผ่านเข้ามานั้น....

มันมาแล้วมันก็ไป
ยึดฉวย ยึดถือเอาไว้ไม่ได้เลย


ถ้าบอกเตือนตนไว้ได้บ่อยๆ ทำได้สม่ำเสมอ
เราจะไม่สุขจนล้น หรือทุกข์จนเกินพอดี


แต่จะใช้ชีวิตไปตามที่เป็นด้วยความเข้าใจชีวิตครับ

 

โดย: กะว่าก๋า   11 เมษายน 2555 8:12:20 น. 

 

: งมงาย :


เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่รอเธอ ฉันจำไม่ได้
ที่จำได้ดีคือฉันมีเพียงเธอ แม้นานสักแค่ไหน

เธออยู่ที่ใดยังรักกันไหม ฉันไม่รู้ 
แต่ที่รู้คือฉันนั้นยังไม่เปลี่ยนใจ
ยังอยู่ตรงนี้ถึงแม้จะเหงาและเดียวดาย

ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ 
ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล
ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป
ไม่ว่าใครจะมองว่าฉันงมงาย ฉันก็ยังเหมือนเดิม

เมื่อเธอมีทางชีวิตไม่เหมือนฉัน ฉันห้ามไม่ได้
แต่ฉันจะมีชีวิตเพื่อรอเธอ แม้วันสุดท้าย

เกิดมาได้เจอคนที่ตามหามานานแสนนาน 
ทำให้รู้ว่าเธอมีค่ามากแค่ไหน
จะอยู่ตรงนี้ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เหลือใคร


จะรอแค่เธอถึงแม้ใครหาว่างมงาย

ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันจะยังรักเธอ 
ไม่ว่าเธอกับฉันวันนี้จะอยู่แสนไกล
ก็ยังจะรออย่างมีความหวัง ยังคงไม่เปลี่ยนไป
ไม่ว่านานเท่าไรยังมีเพียงเธอ 

(ไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันมีเธอคนเดียวในหัวใจ)
ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะรักเธอ


กับเพลง....





: รับได้ทุกอย่าง :

รู้อยู่แก่ใจ ว่าเธอไปไหนมา
เห็นอยู่ตำตา ว่าเธอไปกับเขา
นับได้เกือบเดือน ที่ฉันไม่เจอะเธอแม้เงา
รู้รึเปล่า ว่าฉันคิดมากเท่าใด

แค่หลับตาลง ก็พอนึกภาพออก
ไม่บอกก็รู้ ว่าเธอทำอะไร
เมื่ออยู่กับเขา เธอเองคงจะใจถึงใจ
คิดเมื่อไหร่ มันเหมือนมีดกรีดทุกที

แต่กลับมาเถอะที่รัก ถ้าวันนี้เขาไม่แคร์
จะกลับมาอย่างคนแพ้ ก็ไม่ต้องลำบากใจ
จะไม่เอ่ยถามซักคำ จะไม่ตอกย้ำซ้ำเติมหัวใจ
จะโอบกอดเธอ แม้ว่าเธอเคยกอดใคร
ไม่เป็นไร ฉันรับได้ทุกอย่าง

ฉันจับมือเธอ ด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ
ไม่อยากจะคิด ว่าเหลือซักแค่ไหน
ทุกสิ่งที่ฉัน ได้เคยเฝ้าถนอมด้วยหัวใจ
เธอคงให้ ให้เขาไปหมดแล้ว


ไม่เป็นไร ฉันรับได้ทุกอย่าง



ชายคนที่เป็นแบบเพลงแรกหรือเพลงนี้ใครเศร้ากว่ากัน



คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 9 เมษายน 2555 
เวลา : 22:02:00 น.







-1-



ในเช้าวันหนึ่งอยู่ดีดีคอมก็ไม่มีเสียง
ชายหนุ่มพยายามซ่อมคอมของเขา
แต่ไม่ว่าจะกดคลิกไปที่ปุ่มใด
คอมก็ไม่มีเสียงใดใดเล็ดลอดออกมา....

เขาลงไดร์ฟเวอร์ใหม่
ลงโปรแกรมเล่นเพลงใหม่อีกครั้ง

แต่คอมยังคงเงียบเสียงเช่นเดิม


เขาโทรไปตามช่างประจำของตนเอง
ช่วงบ่ายช่างเดินทางมาที่บ้าน
ใช้เวลาเช็คและบู๊ทเครื่องใหม่เกือบ 40 นาที
ช่างจึงหันมาบอกเขาว่า

“สงสัยจะเป็นหนักเลยครับ อาจต้องเปลี่ยน Sound card 
พรุ่งนี้จะเข้ามายกคอมไปซ่อมให้ 
ขอเวลาเช็คคอมสัก 3-4 วันนะครับ ”

หลังจากช่างกลับไป
เขานั่งลงแล้วเปิดคอมที่ไร้เสียง
ดูภาพเคลื่อนไหวแต่ไม่มีเสียงใดใดอย่างหงุดหงิดใจ
เพิ่งซื้อมาแท้ๆ ทำไมเสียเร็วแบบนี้

แล้วสายตาของเขาพลันเหลือบไปเห็น
แจ๊คลำโพงหลุดออกจากตัวลำโพง
เขาหยิบมันเสียบเข้าไป

แล้วเสียงเพลงก็ดังออกมาจากคอม.....







-2-



วันก่อนเขาเปิดตู้เย็น
ค่อยๆนั่งดูห่อขนม ช็อกโกแลต เจลลี่
กล่องน้ำผลไม้ ผลไม้สด

ตรวจวันหมดอายุ
แล้วค่อยๆเลือกออกมาทิ้งลงถังขยะทีละชิ้นๆ

ไม่น่าเชื่อ….มันเยอะอย่างคาดไม่ถึง


ขนมกรุบกรอบบางถุงเปิดทานไม่หมด
เก็บไว้นานเกือบหกเดือน
มันถูกยัดไว้ด้านในสุดของตู้เย็น
แล้วถูกลืมเลือนไป


ผักอบกรอบแบบเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกันสองถุง
ถูกกินทิ้งไว้อย่างละครึ่งถุง
ทิ้งนานจนหมดอายุและไม่กรอบ


เจลลี่หมดอายุไปนานเกือบสามเดือน

นมสดเหลืออีกสองวันจะหมดอายุ



ของทุกอย่างมีวันหมดอายุ
การเก็บรักษาบางสิ่งบางอย่าง
เป็นการเก็บเพื่อรอวันทิ้งเท่านั้นน่ะหรือ ?






-3-



หลายครั้งในชีวิต
คนเรามีเรื่องเศร้า เรื่องราวเจ็บปวดและความทุกข์มากมาย
ตั้งแต่ทุกข์กับเรื่องเล็กๆที่ดูไม่เป็นสาระ
จนถึงความเจ็บปวดระดับลึกไปถึงจิตวิญญาณ


หลายคนเศร้ากับสิ่งที่ตนเองไม่มี
แต่หลายคนเศร้าเพราะไม่เคยรู้ว่าตนเองมีสิ่งนี้
แล้วออกไปเที่ยวเสาะแสวงหามันจากนอกตัว



เราแก้ปัญหาง่ายๆ อย่างยุ่งยาก
แล้วทำให้บาดแผลในใจลุกลามไปด้วยการแก้ไขแบบผิดวิธี
จากนั้นยังจับความทุกข์มาแช่แข็งไว้ในใจ
ปล่อยให้ทุกข์นั้นหมดอายุในใจเรา
กินก็ไม่ได้กิน แต่เก็บมันไว้รกใจ
โดยไม่เคยคิดจัดระเบียบความรู้สึกในใจตนเอง



การปล่อยชีวิตให้จมอยู่กับอดีตที่กลับไปแก้ไขไม่ได้
หรือการฝันลมๆแล้งๆถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
เพ้อไปวันๆว่าคนที่เราเคยรักจะกลับมา
สิ่งที่เราสูญเสียจะมีสิ่งที่ดีกว่าเข้ามาทดแทน
โดยที่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการคิดฝันเพ้อพก
นั้นไม่ต่างอะไรกับการแช่แข็งความทุกข์เอาไว้ในใจตนเองทุกเมื่อเชื่อวัน


คนบางคนจึงต้องทนเจ็บปวดอยู่กับความทุกข์เก่าๆอย่างเนิ่นนาน
เพราะไม่อาจปล่อยวางทุกข์นั้นไปจากความคิดและความรู้สึก


และที่สำคัญไม่เคยหยุดและมองเลยว่า
ความทุกข์ที่เรามีอยู่นั้น....


บางทีมันก็แค่แจ๊คเส้นเล็กๆ
ที่หลุดหลวมไปจากลำโพงแห่งชีวิตเท่านั้นเอง

 

โดย: กะว่าก๋า   11 เมษายน 2555 8:12:43 น. 

 

สวัสดีค่ะคุณเสือ
ไปเที่ยวอุทัยธานีมา 
ซื้อขนมปังสังขยาร้านไพพรรณมาฝากค่ะ




สงกรานต์ไปเที่ยวไหนหรือป่าวคะ

 

โดย: pantawan  11 เมษายน 2555 17:05:12 น. 

 

ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันนะคะ 

 

โดย: ปลาทอง9  12 เมษายน 2555 2:08:32 น. 

 

อรุณสวัสดิ์ครับ




 

โดย: กะว่าก๋า   12 เมษายน 2555 6:18:55 น. 

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


ทักทายกันกับเทศกาลแห่งความสุข
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ

 

โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว  12 เมษายน 2555 7:02:31 น. 

 

เมื่อคนที่เรารัก เขาไม่ให้เราเป็นที่หนึ่งในใจของเขา
เราควรรักเขาต่อไปไหม 
ทั้งที่หัวใจมันพยายามบอกให้เลิกราไป 

สับสน อารมณ์สองอารมณ์มันตีกันอยู่
ใจหนึ่งก็รู้ว่าเธอน่ารัก เธอคือคนนั้นที่ใจฉันรอมานาน 
แต่อีกใจก็คอยเตือนว่ารักนี้มันจบแล้ว 
ทำอย่างไรรักมันก็ไม่เหมือนเก่าอีกแล้ว

เหมือนคนติดยา ขาดมันไม่ได้
ต้องย้ายที่หนีไปไหม หนีเพื่อน หนีทุกคนที่เคยรู้จัก
เพื่อที่จะได้ลืมเธอไป 

พอมีเธออยู่เรากลับมีความสุข 
พอไม่มีเธอความทุกข์มันก็เข้ามาเยือน

ใจหนึ่งล้า และอยากหยุดรัก 
แต่ใจหนึ่งยังมีหวัง และสร้างความหวังอยู่เสมอ

บอกกับตัวเองว่า เธอไม่แคร์ เธอไม่แคร์ 
เธอไม่แคร์เราแล้ว.......

ไม่รู้ว่าเมื่อรักไปแล้ว แต่ท้ายสุดไม่ได้อะไรกลับมา
เธออาจไม่มีใจเลย 

ถ้ามันเป็นอย่างนั้นผมจะได้เข้าใจ และตัดใจจากเธอให้ขาด




คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 9 เมษายน 2555 
เวลา : 22:14:00 น.



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีชายคนหนึ่งซึ่งแอบหลงรักหญิงสาวคนหนึ่งมากมาย
เขาเขียนคำว่า “ฉันรักเธอ” ไว้ที่ผนังบ้านของเขา
ด้วยสีแดงสดซึ่งเป็นอักษรที่ตัวใหญ่มาก


แต่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
หญิงสาวก็ไม่เคยเหลียวแลเขาเลย
เธอมีชายหนุ่มที่เธอรักมากอยู่แล้ว

ชายหนุ่มคนนี้จึงทำได้เพียงแอบรัก
และมองดูคำว่า “ฉันรักเธอ” บนผนังบ้านไปทุกวันอย่างเจ็บปวดใจ



ไม่นานนัก...เขาทาสีขาวทับลงไปบนคำว่า “ฉันรักเธอ”

แล้วเขียนคำว่า “ฉันไม่รักเธอ” ลงไปแทน


แต่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
เขาก็ยังคงรู้สึกดีกับหญิงสาวคนนี้เสมอ


ทุกวันหลังจากกลับมาจากทำงาน
เขาจะนั่งลงแล้วก็มองไปที่ผนังซึ่งมีตัวอักษรขนาดใหญ่สีดำ
เขียนคำว่า “ฉันไม่รักเธอ” เอาไว้
แล้วใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเงาโดยลำพัง.....



นานจนเธอจากไปจากหมู่บ้านนั้น
เกือบจะลืมเลือนเธอไปแล้ว
วันหนึ่งหญิงสาวคนนี้เดินทางกลับมา
วันนี้เขาไม่ได้เป็นชายหนุ่ม
เธอเองก็ไม่ได้เป็นหญิงสาวที่สวยสดงดงามอีกแล้ว

เธอเดินเข้ามาทักทายเขา
พร้อมบอกเล่าเรื่องราวชีวิตคู่ที่ล้มเหลว
บอกเล่าถึงความทุกข์ยากลำบากในช่วงวันเวลาที่ผ่านมา
เขานั่งฟังอย่างเงียบๆ
ราวกับให้โอกาสเธอได้บ่นระบายความทุกข์ในใจออกมาจนหมดสิ้น



แล้วเธอก็สะดุดตากับคำว่า “ฉันไม่รักเธอ” ที่เขียนไว้บนผนัง
เธอถามเขาว่านั่นเขียนให้ใคร เพื่ออะไร ?

ชายหนุ่มไม่รู้จะตอบคำถามของเธออย่างไรดี
ได้แต่เก็บคำถามของเธอกลืนลงคอไปอย่างเงียบงัน

แล้วเธอก็จากเขาไปอีกครั้ง.....




หลายปีที่ผ่านมา...
ชายหนุ่มนั่งมองผนังทุกวัน
ทั้งคำว่า “ฉันรักเธอ” หรือคำว่า “ฉันไม่รักเธอ”
วนเวียนอยู่ในชีวิตของเขามาโดยตลอด


เอาเข้าจริง...ไม่ว่าหญิงสาวจะรู้สึกกับเขาอย่างไร

มันก็ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้สึกไปเองเลย


ต่อให้เขารักเธอมากเพียงใด
หรือโกรธเกลียดเธอมากแค่ไหน
ถ้าเขาไม่แสดง ไม่พูดบอกออกไป
ความรู้สึกเหล่านั้นย่อมจมหายไปกับวันเวลา
เหมือนถ้อยคำที่เขาเขียนไว้บนผนัง
แล้วนั่งมองมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน



เขานึกถึงคำถามของเธอ....


“ถ้อยคำนั้นเธอเขียนให้ใคร ? เพื่ออะไร ?”


นั่นสิ....เขารักเธอ เขาไม่รักเธอ
นั่นเป็นคำถามของเขาหรือของหญิงสาวกันแน่


ที่สุดแล้วเขาเดินไปที่ผนัง
แล้วหยิบสีขาวออกมาทาทับไปบนคำว่า “ฉันไม่รักเธอ”


ทาสีทับลงไปช้าๆ 

และในที่สุด...

ผนังก็กลับมาว่างเปล่าและเป็นสีขาวดังเดิม


 

โดย: กะว่าก๋า   12 เมษายน 2555 7:57:14 น. 

 

วันนี้ตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับอารมณ์ที่สดใส
พอผ่านไปห้าง วันนี้มันแปลกๆทุกอย่างมันเงียบงันไปหมด 
ไม่มีผู้คน...จากที่เคยมีมาก็หายเงียบกริบ
มันเศร้าอยู่ในใจ เพราะท้ายสุดแล้วเราก็ต้องพรากจากกันอยู่ดี 

อยากมีอารมณ์ที่สดใส อยากมีอารมณ์สนุก ครื้นแครง 
อยากหัวเราะ อยากไม่แคร์อะไรเหมือนๆเดิม

รู้สึกว่า..ยังไงมันก็หมุนมาที่เดิม
คือ ความเศร้า น่าเบื่อ หดหู่ อ้างว้างเหมือนเดิม 
ตั้งแต่เด็ก มันผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
เหมือนใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ โดยไร้จุดหมาย
ไม่รู้ว่ามีชีวิตไปทำไม และจะเริ่มทำอะไร
ได้แต่เพ้อฝันถึงความสำเร็จ..ที่ไม่เคยมาถึงเลยสักครั้ง 
ไม่อยากเดินไปทีละก้าว อยากกระโดดไปให้ถึง 
อยากวิ่งตะบี้ตะบันไปให้ถึง ในความต้องการของตัวเอง





คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 9 เมษายน 2555 
เวลา : 22:26:00 น.






หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดของคนหนุ่มในวัยค้นหาตัวเอง
คือการไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เป็นอะไรได้บ้าง
แล้วจะทำอย่างไรจึงจะเดินทางไปจนถึงสุดทางความฝัน


หลายปีก่อนพี่ก๋าเขียนโศลกสั้นๆเก็บเอาไว้ในสมุดบันทึกว่า

“เราจะตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่
ในที่ที่ไม่มีอยู่ได้อย่างไร”



ฟังดูเป็นคำกวนๆนะครับ
แต่สิ่งที่พี่ก๋าตั้งคำถามกับตัวเองในวันนั้นก็คือ

ชีวิตคืออะไร ?
เราทำอะไรกับชีวิตของตัวเองได้บ้าง ?
แล้วสิ่งที่เราทำมันส่งผลให้อะไรเกิดขึ้นทั้งกับตัวเราและคนอื่น ?


และถ้าจะถามให้ถึงที่สุดของความคิด

เราคงต้องถามตัวเองต่อไปว่า

นอกจากใช้ชีวิตแบบไหน ?

เราอยากตายแบบไหน ?


คนที่ไม่เคยคิดถามตัวเองว่า
ตัวเองจะตายแบบไหน ?
มักจะใช้ชีวิตแบบเลื่อนลอยหงอยเหงา
ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปวันๆกับความสำเร็จที่ไม่มีอยู่จริง


เราอยู่ในโลกที่แข่งขันกันตลอดเวลาด้วยความเร็ว
ข้อมูลข่าวสาร เงินทุนที่มากกว่า และโอกาสทางสังคมที่เหนือกว่า

แต่ไม่ค่อยมีใครถามตัวเองเลยว่าเราจะประสบความสำเร็จไปเพื่ออะไร

นอกจากการได้รับการยอมรับว่าเราเก่ง เจ๋ง รวยและเหนือกว่าคนอื่นๆ 
โดยไม่สนใจว่าเราจะรวยหรือประสบความสำเร็จมาด้วยวิธีการใด
เป็นวิธีการที่ถูกต้องและยั่งยืนหรือไม่


ใช่จริงๆละหรือที่ว่าชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่มีแต่ความสุข
ถ้าในวันหนึ่งเราตื่นเช้าขึ้นมา ไปเรียน ไปทำงาน
เจอเพื่อน เจอผู้คนที่ดีน่ารักและรักเรา
เจอแต่เรื่องที่งดงามในชีวิต เจอแต่สิ่งที่ดีงามตลอดเวลา

นั่นเป็นชีวิตที่ดีจริงๆหรือ


คำถามคือ ชีวิตแบบนั้นมันมีอยู่จริงด้วยหรือ


ชีวิตจริงมีด้านที่เศร้าโศก มีคนที่เดินไปฆ่ากันโดยไม่ต้องการเหตุผล
มีความรุนแรงสูญเสียอยู่ตลอดเวลาในทุกมุมโลก
มีเจ้านายจอมโหด มีลูกน้องจอมขี้เกียจ มียาเสพติดทำลายชีวิตเกลื่อนเมือง
มีเพื่อนขี้อิจฉาและชอบการนินทา มีความรักที่ผิดหวังเซซัง 
มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การปล้นฆ่าข่มขืน
มีคนที่พร้อมจะเอาเปรียบเราตลอดเวลา มีโรคภัยไข้เจ็บที่ยากจะรักษาให้หาย ฯลฯ


แล้วสิ่งต่างๆเหล่านี้มันทำให้ชีวิตดูย่ำแย่โหดร้าย
จนเราไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ต่อไปหรือเปล่า



โลกถูกสลับที่ด้วยความสุข ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา


ถ้าเรามัวจับจ้องแต่ความสุข เราจะปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับความเพ้อฝัน
แต่ถ้าเราจ่อมจมอยู่แต่ด้านที่โหดร้าย โลกนี้ก็คล้ายว่าไม่น่าอยู่อีกต่อไป




เราชอบแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม

“มองโลกในแง่ดี” กับ “มองโลกในแง่ร้าย”

ความจริงมันยังมีอีกมุมหนึ่ง
นั่นคือ “มองโลกตามความเป็นจริง”


ถ้าเรามองเห็น “ความจริง” ที่เกิดขึ้นในทุกขณะ
อย่างที่มันเป็น
ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น

เราจะซึมซับรับรู้ทุกสิ่งอย่างเป็นกลาง
เราจะรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดถึงวันหนึ่งก็อาจแปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้
ทุกสิ่งที่เราทำมีผลกระทบเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย
ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือคนรอบข้าง

ถ้าเราทำทุกสิ่งด้วยความตั้งใจ
ด้วยความรับผิดชอบ ด้วยความรู้หน้าที่
ต่อให้สิ่งนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ไม่ได้ช่วยเหลือผู้คนเป็นแสนเป็นล้าน

สิ่งนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่งดงามและเป็นประโยชน์กับโลกอยู่ดี




“ความสำเร็จ” ของคนคนหนึ่งในนิยามความหมายของพี่ก๋า
จึงไม่จำเป็นต้องเป็นคนรวยที่สุดในสามโลก
ไม่จำเป็นต้องมีรถคันใหญ่ บ้านหลังโต เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
หรือเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศใดใด


ขอแค่ใครคนนั้นทำทุกสิ่งที่มีประโยชน์
ทำทุกสิ่งที่เขาทำได้อย่างดีที่สุด
รู้จักเสาะหา และแบ่งปัน
รู้จักใช้ชีวิตอย่างรับผิดชอบและรู้จักหน้าที่ของตนเอง


ถ้าทำได้ตามนั้น...ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักหรือกล่าวถึง
เขาก็เป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมแล้วในความเป็นมนุษย์....





“เราจะตามหาสิ่งที่ไม่มีอยู่
ในที่ที่ไม่มีอยู่ได้อย่างไร”



จงใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดในทุกเวลานาที
จงคิดถึงความตายเอาไว้บ้าง
มองโลกตามความเป็นจริง
และอยู่กับสิ่งนั้นด้วยความเข้าใจ


บางทีสิ่งที่เรากำลังตามหา
อาจไม่จำเป็นต้องออก “ค้นหา” จากที่ไหน
ขอเพียงเรา “ค้นพบ” สิ่งนี้ให้เจอได้ที่ในตัวเรา 
ก็เท่านั้นเอง....

 

โดย: กะว่าก๋า   12 เมษายน 2555 8:03:54 น. 

 

ความรู้ในโลกนี้มีมากมายหลายแบบเหลือเกิน
จนไม่รู้ว่าจะศึกษาอะไรดี 
ศึกษาจนตายก็ไม่รู้ว่าจะศึกษาจบไหม 

แต่กับชีวิตจริงนี่ ไม่เคยได้ศึกษาอะไรเลย 
ก็มีแค่ที่เรียน เล่นฟิตเนส และไปหาคนรัก
วนซ้ำไปซ้ำมา 

เบื่อที่ต้องศึกษาทฤษฎี
จากก่อน ทฤษฎี 90 ปฎิบัติ 10
ตอนนี้อยากเปลี่ยนมาเป็น ทฤษฎี 10 ปฎิบัติ 90 แทน
เบื่อที่ต้องเรียนรู้ทั้งหมด อยากจะหยิบแค่ชิ้นสองชิ้น

ง่วงแล้วนอน นอนแล้วตื่น 
ชีวิตมีเท่านี้หรือเปล่าครับพี่ก๋า
ทั้งอารมณ์ต่างๆ ความสุข ความทุกข์ 
ความสนุก ความน่าเบื่อ ฯลฯ

อารมณ์เหล่านี้มันไม่เคยคงทนเลย
มันเปลี่ยนแปลงไปตาม เหตุและปัจจัย

อยากควบคุมมัน แต่ยังไงก็ทำไม่ได้



คำถามโดย : เสือย้อมแมว 
วันที่ : 9 เมษายน 2555 
เวลา : 22:37:00 น.




……………………………………..




ชีวิตคืออะไร ?


ชีวิต คือ ของขวัญ....เธอจงรับมันเอาไว้
ชีวิต คือ การผจญภัย...เธอจงออกไปรับมือกับมัน
ชีวิต คือ ความลี้ลับ...เธอจงทำให้กระจ่างแจ้ง
ชีวิต คือ เกม...เธอจงลงไปเล่น
ชีวิต คือ การต่อสู้...เธอจงไปเผชิญหน้ากับมัน
ชีวิต คือ ความงาม...เธอจงเชิดชู ยกย่อง สรรเสริญ
ชีวิต คือ ปมปริศนา....เธอจงแก้ให้ออก
ชีวิต คือ โอกาส...เธอจงฉวยเอาไว้
ชีวิต คือ ความเศร้า....เธอจงลิ้มรสไว้เป็นประสบการณ์
ชีวิต คือ บทเพลง....เธอจงขับขานให้สำราญใจ
ชีวิต คือ เป้าหมาย...เธอจงก้าวไปให้ถึง
ชีวิต คือ พันธกิจ....เธอจงกระทำให้ลุล่วง



: เดวิล แม็กนัลลีย์

จาก : Even Eagles Need a Push




หนังสือ : ข้อคิดเติมหัวใจคุณครู
รวบรวม : Charles McGuire & Diana Abitz
แปล : พิศวาส ปทุมุต์ตรังษี 





หนึ่งในวิชาที่สำคัญที่สุด
ก็คือ “วิชาชีวิต”


และในวิชาชีวิตสิ่งที่สำคัญที่สุด
คือวิชา “รู้จักตนเอง”

รู้จักตนเอง---ที่ไม่ใช่รู้จักแค่เราชื่ออะไร เกิดวันเดือนปีอะไร
เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เคยรักเคยเกลียดใครมากี่คน
เรียนจบที่ไหนได้กี่ปริญญา หรือ เรียนรู้ศาสตร์วิชาใดใดมาบ้าง


เหล่าจื่อเคยกล่าวไว้ว่า


“รู้จักคนอื่น เป็นผู้ฉลาด
รู้จักตนเอง เป็นผู้รอบรู้”



เราจะรู้จักตนเองได้อย่างไร

ต้องย้อนกลับไปดู “วิธีคิด” ของตัวเรา

เราคิดอย่างไร เป็นความคิดที่ถูกต้องดีงามแล้วหรือยัง


คำถามสำคัญๆที่จะทำให้เรารู้จักตัวเองก็คือ


เราเกิดมาทำไม ?
เราทำอะไรได้บ้าง ?
แล้วสิ่งที่เราทำจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร ?
ที่สุดแล้วคนเราตายแล้วไปไหน ?
ฯลฯ

มันไม่ได้เป็นคำถามในเชิงปรัชญาซับซ้อนอะไรเลย
แต่เป็นคำถามง่ายๆที่ตอบยาก
ที่ตอบยากเพราะเรามักไม่ค่อยคิดถึงคำถามเหล่านี้
เพราะเราได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ....
และคิดถึงแต่ความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่ยากจะไต่ตามไปถึง




ชีวิตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความสุข ความทุกข์
ความรัก ความฝัน หรือความหวัง


แต่เป็นเรื่องของ “ความเข้าใจ” และ “การยอมรับความจริง”



“ความจริง” อย่างที่มันเป็นเช่นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ต้องพลัดพรากจากคนและสิ่งของที่เรารัก

แต่สิ่งทำให้การเกิด แก่ เจ็บ ตายของแต่ละคนมีความหมายที่แตกต่างกัน
นั่นคือ สิ่งที่เราได้คิด พูด และกระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง



ไม่มีชีวิตใดที่สูงล้ำนำค่า หรือต้อยต่ำจนไร้ค่าความหมาย


คนเราเกิดตายหนึ่งหน....
เราเป็นเจ้าของความตายอย่างเท่าเทียมกัน
เรามีโอกาสที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์
เพื่อที่จะได้คิด พูด ทำสิ่งต่างๆมากมาย



คำถามคือ เราได้รู้ตัวแล้วหรือยัง
ว่าเรากระทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นไปเพื่ออะไร
สิ่งที่เราคิด พูด ทำอยู่มีประโยชน์อย่างไร

ที่สุดแล้ว....
มันจะนำไปสู่การจากลาจากที่งดงามได้อย่างไร




ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งน่ากลัว
เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ยาก
หรือบางที...อาจจะควบคุมไม่ได้เลย


แต่อย่ากลัวเลยครับ ....
แค่เรานั่งเฉยๆสองวินาที
ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นกับเข็มวินาที


อย่ากลัวกับคำถามที่ว่า “ชีวิตคืออะไร ?”
เพราะถ้าเราค้นพบหนทางที่ถูกต้องแล้ว
เราจะถามและตอบตัวเองได้ทันทีว่า


“อะไรคือชีวิต
ชีวิตคืออะไร ?”

 

โดย: กะว่าก๋า   12 เมษายน 2555 8:13:09 น.

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น