แอร์สจ๊วต...กับเส้นทางสู่ฟากฟ้า
เขียนโดย
Philips
แอร์โฮสเตส (Air Hostess) = พนักงานต้อนรับหญิง
แอร์สจ๊วต (Air Steward) = พนักงานต้อนรับชาย
* ในภาษาอังกฤษ ใช้ศัพท์คำว่า Flight Attendat หรือ Cabin Crew ซึ่งหมายรวมทั้งแอร์โฮสเตส และแอร์สจ๊วตเข้าด้วยกัน
ในบทความนี้ จะขอเริ่มต้นเล่าถึงการผันตัวเองจากนักศิกษาคณะสื่อสารมวลชน จากไร่ส้มสีโทนร้อนแห่งหนึ่ง ที่มีประสบการณ์ทำงานนักข่าว โต๊ะข่าวต่างประเทศ และผันตัวมาเป็นแอร์สจ๊วตของสายการบินยักษ์ใหญ่ ว่าก่อนที่เราจะก้าวเข้ามาสู่สายอาชีพนี้ ต้องผ่านขั้นตอน หรือด่านต่างๆอะไรบ้าง
คุณสมบัติแรกที่สายการบินมองหาจากตัวผู้สมัคร คือ บุคลิกภาพและรูปลักษณ์ภายนอก ต้องดูดี มีความมั่นใจ สดใส น่าเชื่อถือ... แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะสายการบินแต่ละแห่ง มีสไตล์ และสเป็คของคนที่จะคัดเข้าไปทำงานด้วยไม่เหมือนกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อันรับแรก คุณจะต้องดูดีที่สุด ในแบบที่คุณเป็น
ต่อมา คือทักษะทางด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ยิ่งพูดได้คล่องเหมือนภาษาแม่เท่าไหร่ ยิ่งได้เปรียน เพราะภาษาอังกฤษ เป็นภาษาหลักของการทำงานของอาชีพนี้เลยทีเดียว และยิ่งมีดีกรีภาษาที่ 3 ด้วยเเล้ว ไม่ว่าจะเป็น จีน เกาหลี ญุี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย สเปน อารบิก ฯลฯ ก็จะยิ่งทำให้คุณกลายเป็นผู้สมัครที่โดดเด่นมากกว่าคนอื่นๆด้วย
1. ขั้นตอนการกรอกใบสมัครออนไลน์
เมื่อมีการเปิดรับสมัครจากสายการบิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเปิดรับสมัครทางหน้าเว็บไซต์ของสายการบินเอง ให้เรากรอกเอกสาร และเตรียมแนบไฟล์เอกสารต่างๆทั้งหมด ตามที่บริษัทต้องการ เช่น หน้า Passport, ผลคะแนนการสอบภาษาอังกฤษ (TOEIC), เอกสารแสดงประวัติการทำงาน, ประกาศนียบัตรต่างๆ เป็นต้น และนอกจากนี้จะต้องมีการแนบรูปถ่าย ทั้งแบบครึ่งตัว เต็มตัว ในรูปแบบชุดเป็นทางการ หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า Formal และบางสายการบิน เช่น สายการบินแถบตะวันอออกกลาง อาจมีการให้ผู้สมัครแนบรูปถ่ายแบบเต็มตัวในแบบไม่เป็นทางการ หรือ Casual look ด้วย
** รูปถ่ายเป็นสิ่งที่สำคัญมากในขั้นตอนนี้ หลายๆคนอาจเลือกใช้บริการของสตูดิโอถ่ายภาพเพื่อการสมัครงานสายการบิน หรือใครที่มีฝีมือทางด้านการถ่ายภาพก็จัดเต็มมาให้มากที่สุด แต่ว่าอย่าตกแต่งหรือรีทัชมากเกินไป จนกรรมการเห็นหน้าเราเเล้วจะตกใจ ว่าทำไมรูปถ่ายกับตัวจริงช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
2. การ Prescreen
เมื่อกรอกใบสมัครออนไลน์เรียนร้อยแล้ว ทางสายการบินจะมีการประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรก ให้เข้ามาทำการพรีสกรีน หรืออธิบายง่ายๆก็คือ เหมือนเข้ามาคัดตัวประกวดนางงามในรอบแรกนั่นเอง โดยในวันนี้ ผูสมัครทุกคน จะแต่งตัวจัดเต็มกันอย่างมากถึงมากที่สุด เพื่อให้ดูเป๊ะ สง่า และดึงดูดสายตาจากคณะกรรมการ และในขั้นตอนนี้นี่เอง เราจะมีโอกาสได้พบกับคณะกรรมการเป็นครั้งแรก เริ่มต้นจากการ ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง เพื่อดูความสมส่วนของเรา ว่าอยู่ในมาตรฐาน BMI ตามที่สายการบินต้องการหรือไม่ โดยสารการบินส่วนใหญ่จะมีการกำหนดเกณฑ์ดังนี้
พนักงานต้อนรับหญิง ส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 160 ซม.
พนักงานต้อนรับชาย ส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 170 ซม.
โดยที่น้ำหนักและส่วนสูง ต้องมีความสัมพันธ์กันตามเกณฑ์ที่แต่ละสายการบินกำหนดมาอย่างเคร่งครัด
เมื่อผ่านด่านนี้แล้ว ด่านต่อไปคือเข้าพบคณะกรรมการ เพื่อทำการสัมภาษณ์สั้นๆให้รู้จักตัวตนของผู้สมัครแต่ละคน พิจารณาบุคลิกภาพ ท่าทางการเดิน การยิ้ม การนั่ง การทำท่าปิดที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะของผู้โดยสาร หรือบางสายการบินโดยเฉพาะสายการบินของประเทศไทย อาจมีการให้ผู้สมัครแต่ละคนไหว้ให้ดูด้วย
** ขั้นตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ First Immpression หมายถึง ความประทับใจเมื่อแรกเห็น ผู้สมัครเเต่ละคน ต้องนำเสนอความเป็นตัวเองออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สามารถมัดใจคณะกรรมการได้ในระยะเวลาอันสั้น เสร็จจากขั้นตอนนี้ ก็รอการประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือกรอบที่ 2 เพื่อเข้าสู่รอบต่อไป ...
3. การสอบวัดทักษะทางเชาว์ปัญญา หรือ Aptitude Test
ผู้สมัครที่ผ่านด่านพรีสกรีนมาได้เรียนร้อยแล้ว บางสายการบิน ผู้สมัครต้องทำการสอบวัดระดับทักษะทางเชาว์ปัญญา หรือเรียกง่ายๆว่า การทำข้อสอบนักบิน บางสายการบินใช้ข้อสอบเดียวกันกับนักบิน แต่มีเกณฑ์การคัดเลือก และส่วนของคะแนนในการพิจารณาที่แตกต่างกันไปตามตำแหน่งหน้าที่ของการปฏิบัติงาน ในการสอบนี้ ข้อสอบจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยเเบ่งเป็นพาร์ทต่างๆ ได้แก่ ลำดับอนุกรมตัวเลข อนุกรมรูปภาพ การพับกล่อง การจดจำอักษร การจดจำภาพ วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ความรู้เกี่ยวกับสายการบิน และความรู้ทั่วไป โดยการสอบครั้งนี้ จะจัดขึ้นที่หอประชุมขนาดใหญ่ที่รวบรวมผู้สมัครทั้งหมดเข้าด้วยกัน แบ่งแยกเป็นแถวๆ มีการสลับชุดของข้อสอบ และมีคณะกรรการคุมสอบคอยเดินตรวจตราการสอบอยู่ตลอดเวลาด้วย ด่านนี้คือ ต้องพึ่งความสามารถ ไหวพริบ และเชาว์ปัญญาของแต่ละคนล้วนๆเลยทีเดียว
4. Group Discussion และ Final Interview
ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่สามารถผ่านเข้าสู่ด่านนี้ได้ เพราะรอบการสอบวัดทักษาะทางเชาว์ปัญญา ได้ทำการคัดผู้สมัครออกไปประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
ในรอบนี้ ผู้สมัครจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม และถูกนัดมาสัมภาษณ์ในรอบ วัน และเวลาที่แตกต่างกัน โดยแต่ละกลุ่ม จะมีสมาชิกประมาณ 5-6 คน เข้าพบกรรมการในห้องๆหนึ่ง เพื่อทำการจับฉลากรับหัวข้อการทำ Group Discussion (การสนทนาแบบกลุ่ม เพื่อถกเถียง ค้นหาวิธีในการแก้ไขปัญหาต่างๆ)
โดยหัวใจของรอบนี้ คือ กรรมการต้องการดูทักษะของผู้สมัครแต่ละคน ในการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น ภาวะการเป็นผู้นำ ภาวะการเป็นผู้ตาม การเป็นผู้พูดและเป็นผู้ฟังที่ดี คามเสียสละ ความอ่อนน้อม ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ ผู้สมัครแต่ละคนจะต้อง Balance สิ่งต่างๆที่กล่าวไปแล้วทั้งหมด ผ่านการแสดงออกในขณะทำ Group Discussion ให้ได้ ฟังแล้วหลายๆคนอาจจะรู้สึกว่า มันจะเป็นไปได้ยังไงเนี่ย ... แต่ขอบอกเลยว่า ผู้สมัครแแต่ละคน ผ่านการฝึกซ้อมและเทรนมาอย่างดี จนทุกวันนี้ยังจำความขนลุกในตอนนั้นได้อย่างมิจางหาย :)
โดยหัวข้อต่างๆส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปัญหาที่เกิดบนบ่อยๆบนเครื่องบิน ร้านอาหาร สถานีรถไฟ โรงแรม เป็นต้น (ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในสถานที่ที่มีการให้บริการลูกค้า)
และเมื่อทำ Group Discussion เสร็จเเล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอน Final Interview หรือการสัมภาษณ์เชิงลึกขึ้นสุดท้าย ในขั้นตอนนี้ จะเป็นการสัมภาษณ์ที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น - การสัมภาษณ์เดี่ยว (กรรมการ 1 ท่าน ต่อผู้สมัคร 1 คน)
- การสัมภาษณ์คู่ (กกรมการ 1 ท่าน ต่อผู้สมัคร 2 คน)
ซึ่งในขั้นตอนนี้ ผู้สมัครแต่ละคนจะถูกถามคำถามในรูปแบบที่หลากหลายมาก เพื่อให้กรรมการรู้จักตัวตนของแต่ละคนอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงการถามคำถามวัดทัศนติต่างๆ คำถามทางจิตวิทยาที่หลากหลาย เพื่อดูการแสดงออกทางสีหน้า การควบคุมอารมณ์ ไหวพริบ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ที่บอกเลยว่า หินสุดๆ ผู้สมัครบางคนถึงขั้นร้องไห้กับขั้นตอนนี้เลยก็มี แต่ขอบอกเคล็ดลับสักเล็กน้อยว่า ถึงแม้เราจะตกใจและกลัวแค่ไหน แต่คณะกรรมการก็คงไม่ถึงขั้นฆ่าผู้สมัครอย่างเราแน่ๆ เพราะฉะนั้น จงยิ้ม และใจดีสู้เสือเอาไว้ก่อน เป็นไงเป็นกัน :) และอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุด คือ อย่าพยายามเป็นตัวของคนอื่น เช่นการตอบในสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้ หรือเราไม่เคยคิดที่จะทำ ให้เราตอบคำถามอย่างเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด นำเสนอออกมาให้คณะกรรมการเห็น แต่ก็ไม่ใช่ว่า มีความเป็นตัวเองในแบบที่งานนี้ไม่ต้องการ เช่น เป็นคนขี้เกียจ นอนตื่นสาย และเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา ถ้าหากใครตอบแบบนี้ไปแล้ว ก็คงจะรู้ว่าต้องลากกระเป๋ากลับบ้านไปตั้งแต่รอบนี้แน่นอน (ที่พูดตามนี้ คือมันเคยเกิดขึ้นกับผู้สมัครหลายคนแล้วจริงๆ ที่ตอบความเป็นตัวเองในแบบที่ไม่ได้ดีที่สุด ในแบบที่งานนี้ไม่ได้ต้องการออกมาต่อหน้าคณะกรรมการ แล้วพอคิดได้จะเปลี่ยนคำตอบก็สายไปแล้วล่ะ)
** ทุกขั้นตอน ดำเนินการเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด / ยกเว้นสายการบินของประเทศไทยบางสาย ที่มีการแทรกคำถามเชิงลึก เป็นภาษาไทยด้วย แต่แอบเคยได้ยินมาว่า ผู้สมัครคนไหน ที่พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว หรือจบการศึกษามาจากต่างประเทศ กรรมการจะชอบถามเป็นภาษาไทย และในทางกลับกัน ผู้สมัครที่ดูใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่ค่อยคล่อง กรรมการจะจัดคำถามภาษาอังกฤษล้วนๆให้กับผู้สมัครท่านนั้นเลยทีเดียว :)
**** ถึงแม้รอบนี้จะไม่ใช่รอบพรีสกรีน แต่ Grooming หรือการแต่งกาย เสื้อผ้า หน้า ผม ต้องเป๊ะให้มาก ถึงมากที่สุด เพราะในรอบนี้ เราต้องอยู่กับคณะกรรมการเป็นเวลานานที่สุด ถ้าเทียบกับขั้นตอนอื่นๆที่ผ่านมา และในระหว่างการทำ Group Discission นี้ ขอแอบบอกเลยว่า ในแบบประเมิณการให้คะแนนของคณะกรรมการ มีคะเเนนในส่วนของ Grooming เป็นหนึ่งในหัวข้อการให้คะแนนด้วย และน้ำหนักของคะแนนในส่วนนี้ ก็ค่อนข้างมากเลยทีเดียว
5. การสอบภาษาต่างประเทศ เป็นภาษาที่สาม
สำหรับในรอบนี้ ผู้สมัครคนไหนที่สามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ นอกเหนือจากภาษาไทยและอังกฤษ จะถูกเรียกมาทำการสัมภาษณ์ภาษาที่สาม กับคณะกรรมการเจ้าของภาษา โดยภาษาที่สามที่เป็นที่นิยม และสายการบินส่วนใหญ่ต้องการ ได้แก่ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย สเปน และอารบิก
โดยระหว่างการสัมภาษณ์ กรรมการจะให้เราแนะนำตัวเป็นภาษานั้นๆ ซักถามและพูดคุยสั้นๆ มีการอ่านออกเสียงบทความ และการประกาศบนเครื่องบิน การเขียนคำศัพท์และบทความสั้นๆให้คณะกรรมการพิจารณาด้วย
ผู้สมัครที่ได้มาทำการสัมภาษณ์รอบนี้ จะได้คะแนนพิเศษเพิ่มด้วย ประมาณ 5% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้มาทำการสัมภาษณ์ภาษาต่างประเทศเป็นภาษาที่สามก็ไม่ต้องกังวลไป สามารถนั่งเฝ้าจอ รอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้านได้เลย เพราะขั้นตอนต่อไปก็คือ ...
6. การประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือกตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และปฐมนิเทศน์เตรียมความพร้อม
ในรอบนี้ บริษัทจะทำการประกาศผลการรับสมัครผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของบริษัท ขอแวดงความยินดีกับผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รอบนี้ คุณ"ใกล้"ความฝันเข้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ... ใช่เเล้วครับ ฟังไม่ผิด ที่ใช้คำว่าใกล้ความฝัน เพราะว่ามันยังไม่ถึงฝันยังไงล่ะ
ผู้สมัครที่มีชื่ออยู่ในรอบนี้ เรียกสั้นๆว่า ผู้ผ่านรอบ Final จะต้องมาเข้ารับการฟังปฐมนิเทศน์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบคัดเลือกรอบต่อไป ... ใช่แล้วครับ การเเข่งขันยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร ด่านต่อไปที่เราต้องพบเจอ ก็คือ ...
7. การสอบว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์
ในรอบนี้ เป็นการใช้ความสามารถทางด้านร่างกายล้วนๆ โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการสอบว่าน้ำ คือ
พนักงานต้อนรับหญิง ว่ายน้ำระยะ 50 เมตร
พนักงานต้อนรับชาย ว่ายน้ำระยะ 100 เมตร
โดยในการสอบว่าน้ำ จะต้องเป็นท่าฟรีสไตล์ ครึ่งหนึ่งของระยะทางทั้งหมด นั่นหมายความว่า อีกครึ่งหนึ่งจะเป็นท่าอะไรก็ได้ โดยที่มีข้อกำหนดคือ ขาห้ามแตะพื้นสระน้ำ
** บางสายการบิน อาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน เช่น
พนักงานต้อนรับหญิง ว่ายน้ำระยะ 25 เมตร
พนักงานต้อนรับชาย ว่ายน้ำระยะ 50 เมตร เป็นต้น
8. การตรวจร่างกายที่สถาบันเวชศาสตร์การบิน
ผู้ที่ผ่านการทดสอบว่ายน้ำทุกคน ต้องมาทำการตรวจร่างกายที่สถาบันเวชศาสตร์การบิน เพื่อดูว่า ร่างกายของเราเหมาะกับการทำงานบนเครื่องบิน ที่มีสภาพความกดอากาศและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากการทำงานบนพื้นดินได้หรือไม่ โดยในการตรวจสุขภาพ ก็จะมีขั้นตอนการตรวจต่างๆ ที่อาจจะมีบางขั้นตอนที่แตกต่างจากการตรวจสุขภาพทั่วๆไป ได้แก่
- การตรวจเลือด
- การเอ็กซเรย์ปอด เพื่อดูว่า เรามีจุดสีขาวในปอดหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องเซย์กู๊ดบายไปเลยตั้งแต่ขั้นตอนนี้ เพราะผู้สมัครท่านนั้นอาจจะเป็นโรคติดต่อ ที่สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้โดยสารและเพื่อนร่วมงานได้
- การเอ็กซเรย์กระดูกสันหลัง มีการกำหนดค่าความคดงอของกระดูกสันหลังไว้ด้วย ถ้ามีการคดงอเกินกว่าที่สายการบินกำหนด ก็ต้องเซย์กู๊ดบายเช่นกัน
- การทดสอบการมองเห็น
- การทดสอบการได้ยิน
- การเข้าพบแพทย์เวชศาสตร์การบิน
และเมื่อทำการตรวจสุขภาพเสร็จแล้ว ก็รอผลการตรวจสุขภาพ ผู้สมัครท่านใด ที่ผลการตรวจร่างกาย ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด แม้จะไม่ผ่านแค่ข้อเดียว ก็ต้องลากกระเป๋ากลับบ้านไปอย่างหน้าเสียดาย ส่วนผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์การตรวจร่างกายตามที่บริษัทกำหนดทุกอย่าง ก็ต้องขอบอกว่า ...
9. การประกาศผลผู้ที่ผ่านการตรวจร่างกาย
ขอแสดงความยินดี ท่านคือ The Survival ที่มีคุณสมบัติในการปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ทีนี้ก็รอไปเซ็นสัญญากับทางสายการบิน เเละเริ่มเข้ารับการปฐมนิเทศน์พนักงานใหม่ได้เลย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับด่านมหัศจรรย์ทั้ง 9 ด่านนี้ แต่ขอบอกเลยว่า ผู้สมัครที่มาถึงด่านที่ 9 นี้แล้ว ก็ยังไม่สามารถขึ้นไปทำการบินได้เลยทันที เพราะผู้ที่ผ่านการคัดเลือกทุกคน จะต้องผ่านการกระบวนการฝึกอบรมอันสุดโหดไปอีก 3-4 เดือนเต็มๆ จนกว่าจะได้รับการติดปีกขึ้นไปเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจริงๆ
ตอนนี้ต้องขอตัวไปบินก่อน ติดตามกันได้ในบทความต่อไปครับ
แจ้ง Blog ไม่เหมาะสม
22 พ.ค. 62
267
0
ความคิดเห็น