โครงเรื่องพระเวสสันดร กัณฑ์กุมาร
บทนำ
มหาเวสสันดร กุมารบรรพ กัณฑ์ที่๘นี้ เป็นสำนวนของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นกัณฑ์ที่ใช้คำได้ไพเราะเหมาะกับเนื้อเรื่องและตัวละคร ซึ่งนอกจากจะมีคุณค่าด้านวรรณกรรมศิลป์ในเรื่องของการใช้ถ้อยคำสำนวนแล้ว ยังมีคุณค่าในด้านสังคมที่สื่อในเรื่องของความเสียสละ ความอดทน และความกตัญญูอีกด้วย
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อศึกษาวรรณคดีเรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร ทั้งด้านเนื้อหา
ลักษณะนิสัยตัวละคร ผู้แต่ง
๒. สามารถบูรณาการความรู้ที่ได้ในรายวิชามาใช้ในการนำเสนอ
๓. สามารถบูรณาการความรู้ที่ได้มาใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวัน
เนื้อเรื่อง
ชาดก หมายถึงเรื่องราวของพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นแล้วในชาติก่อน เป็นนิทานอิงธรรมมะหรือนิทานสุภาษิต เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่ผู้ใด จะทรงยกหลักธรรมและนิทานนั้นๆมาเป็นตัวอย่าง สำหรับพระเวสสันดรชาดกเป็นชาดกที่ใหญ่ที่สุด
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้แต่งมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร กัณฑ์ที่ ๘
และมัทรีกัณฑ์ที่ ๙ มีลักษณะพิเศษของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกทุกย่อหน้าจะยกคาถาบาลีขึ้นก่อน แล้วรำพันเป็นร่ายยาวระหว่างข้อความยาวๆจะมีคำภาษาบาลีแทรกไว้เป็นระยะ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก
๑. เลียนแบบการแต่งของมหาชาติคำหลวง ซึ่งยกภาษาบาลีขึ้นตอนหนึ่งแล้วแปลงมาเป็นคำประพันธ์ไทยควบคู่กัน
๒. เพื่อเพิ่มคำศักสิทธิ์ เพราะเชื่อว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์เรื่องมหาเวสสันดรเป็นภาษาบาลี
๓. เลียนแบบกาพย์มหาชาติซึ่งแต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ที่นักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งเป็นร่ายยาวและแทรกคำภาษาบาลีลงในตอนต้นข้อความและระหว่างร่าย
ผู้แต่งเจ้าพระยาพระคลัง รูปแบบการแต่งยกคาถาภาษาบาลีขึ้นเป็นหลักแล้วแต่งแปลเป็นภาษาไทยด้วยร่ายยาว ประดับด้วย 11 พระคาถา เพลงพิณพาทย์ประจำกัณฑ์ คือ “โอดเชิดฉิ่ง”ที่มาของเนื้อเรื่อง มหานิบาตชาดกที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา มีคาถาเกิน 80 คาถาขึ้นไปมี 10 เรื่อง คือ “ทศชาติชาดก หรือพระเจ้าสิบชาติ
เนื้อเรื่องย่อ
กล่าวถึงชูชกรอนแรมไปจนถึงอาศรมของพระเวสสันดรได้พักผ่อนที่ค่าคบไม้หนึ่งราตรี รุ่งขึ้นเมื่อพระนางมัทรีเข้าป่าไปหาผลไม้แล้วชูชกก็ได้เข้าเฝ้าทูลขอชาลีและกัณหา พระเวสสันดรก็ประทานให้ ส่วนกุมารทั้งสองได้ยินคำสนทนาปราศัยของพระราชบิดากับชูชก รู้ว่าภัยมาถึงตัวก็พากันลัดเลาะลงไปซ่อนตัวอยู่ในสระ เอาใบบุษบงบังเกศี เอาวารีมาบังตัว ชูชกเมื่อไม่เห็นสองกุมารก็หันมาตัดพ้อต่อว่าพระเวสสันดรว่า เป็นนักบวชใจคดเป็นนักพรตเจ้าเล่ห์ ปากกับใจไม่ตรงกัน หน้าไหว้หลังหลอก พระเวสสันดรทรงติดตามไปพบรอยเท้าของพระโอรสธิดาที่ริมสระก็ทราบว่าอยู่ในนั้น จึงเรียกชาลี กัณหาขึ้นจากสระ เรียกว่า สำเภาหรือยานนาวาและนำชาลี กัณหาไปมอบแก่ชูชกพร้อมตีราคาสองกุมารว่า ชาลีมีค่าพันตำลึงทอง ( เท่ากับ 4,000 บาท ) กัณหานุชน้องราชทรัพย์ 7 สิ่ง ๆ ละร้อยสุวรรณอีกไม่น้อย 100 ตำลึง แล้วชูชกก็นำชาลี กัณหาล่วงลับไป
ประวัติของ เจ้าพระยาพระคลัง
เจ้าพระยาพระคลัง เกิดสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รับราชการเป็นหลวงสรวิชิต ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แล้วได้เลื่อนเป็นพระยาพิพัฒน์โกษาและพระยาพระคลังเสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่าในสมัยรัชกาลที่ 1 ผลงานนิพนธ์ในสมัยกรุงธนบุรี ได้แก่ บทมโหรีเรื่องกากี,อิเหนาคำฉันท์,ลิลิตเพชรมงกุฎ, ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้แก่ ราชาธิราช,ลิลิตศรีวิชัยชาดก , สามก๊ก , ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง , ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี ถึงแก่อาสัญกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ.234
ลักษณะนิสัยตัวละคร พระเวสสันดรมีคุณลักษณะสำคัญที่ปรากฏชัดเจนในกัณฑ์กุมาร คือ
1. มีจิตยินดีในการบริจาคทาน ยินดีบริจาคแม้แต่ลูกอันเป็นที่รักซึ่งเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับบุคคลธรรมดาจะทำได้ ดังตัวอย่างข้อความ
“ โส โพธิสตโต ปางนั้นสมเด็จพระบรมนราพิสุธิพุทธางกูร ได้ฟังพราหมณ์อธิบายทูลขอสองกุมาร มีน้ำพระทัยชื่นบานเอิบอาบด้วยกุศลลาภอันเลิศฟ้า อุปมาเหมือนบุรุษอันยากไร้ มีผู้นำทรัพย์มานับให้พันตำลึงถึงมือแล้วเมื่อใด น้ำพระทัยท้าวเธอก็ปราโมทย์เหมือนฉะนั้น ”
2. มุ่งบำเพ็ญพรต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตทางโลก ทรงแยกกันอยู่กับพระนางมัทรี ดังตัวอย่างข้อความ ตอนหลังจากนางมัทรีฝันร้าย
“ เอ๊ เจ้ามัทรีเจ้ามาไยเวลาป่านฉะนี้พระน้องเอ่ยผิดเวลากาล หรือเจ้าลืมคำปฏิญาณแรกนิยม ว่าไม่คบหาสมาคมกันเป็นเชิงชั้นฉันฆราวาสเวลานี้นี่ก็ผิดประหลาดอยู่แล้วนะเจ้าเป็นไรเล่าจึ่งล่วงมา ”
3. ปรารถนาที่จะสำเร็จพระโพธิญาณ เพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งหลาย ดังตัวอย่างข้อความ
“ ครั้นอาตมาจะอาลัยหลงอยู่ด้วยความรัก ไหนจะหักสิเนหาให้เหือดหาย ด้วยอาตมาจะมุ่งหมายพระโพธิญาณทานธุระจะเริดร้าง ”
4. สมาธิ มีความอดทนอดกลั้นระงับดับความโกรธได้ ดังตัวอย่างข้อความ
“ น้ำพระทัยท้าวเธอถอยคืนจากอุเบกษา บังเกิดวิชชามาห่อหุ้ม พระปัญญานั้นกลัดกลุ้มไปด้วยโมโหให้ลุ่มหลง โทโสเข้าซ้ำส่งให้บังเกิดวิหิงสาขึ้นทันที ว่าอุเหม่ ! อุเหม่ ! พราหมณ์ ผู้นี้นี่อาจองทะนงหนอ มาตีลูกต่อหน้าพ่อไม่เกรงใจ ธชีเอ่ยกูมาอยู่ป่าเปล่าเมื่อไร ทั้งพระขรรค์ศิลป์ชัยก็ถือมา ธนจาปํ คเหตวา ก็ทรงพระแสงธนูศรกระสันมั่นกับมือ ฆ่าพราหมณ์ผู้นี้เสียเถิดหรือ เธอก็ฮึดหื้ออยู่แต่ในพระทัย ภายหลังจึงตั้งจิตพิจารณาในพระอริยประเพณีหน่อพุทธางกูร ก็รู้ว่าอาตมะนี่เพื่มพูนมหาปุตตบริจาคเจียวสิหว่า เมื่อพระปัญญาบังเกิดมี พระบรมราชฤษีเธอจึ่งตรัสสอนพระองค์เองว่า โภ เวสสนตร ดูกรมหาเวสสันดร อย่าอาวรณ์โว้เว้ทำเนาเขา ข้ากับเจ้าเขาจะตีกันไม่ต้องการ ให้ลูกเป็นทานแล้ว พระพักตร์ก็ผ่องแผ้วแจ่มใส ”
5. มีปัญญาหยั่งรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ดังตัวอย่างข้อความ
“ โส โพธิสตโต ปางนั้นสมเด็จพระหน่อชินวงศ์องค์โพธิสัตว์ เงี่ยพระโสตสดับอรรถตั้งแต่ต้นจนอวสานก็ทรงทราบด้วยพระอนุมานปัญญาบารเมศว่า เสว วันรุ่งพรุ่งนี้จะมีเหตุด้วยปฏิคาหกยาจกจะมารับพระราชทาน ”
พระชาลี กัณหา
เป็นแบบอย่างของลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่ เข้าใจในเจตนาแห่งการประพฤติธรรม เพื่อประโยชน์ของหมู่มากของพ่อ คือ พระเวสสันดร
ชูชก
1. มีความอดทนต่อความลำบากเพื่อผลประโยชน์ของตน ดังตัวอย่างข้อความ
“ จะทูลขอพระยอดรักปิโยรส ได้แล้วก็จะบทจรมุ่งไปหาเมีย เห็นจะไม่เสียทีที่ถ่อร่างมาหอมรวน คิดแล้วเฒ่าก็หันหวนหาที่นอน พอจะซอกซอนให้พ้นสัตว์จตุบาท เฒ่าก็ปืนทะลุดทะลาดขึ้นสู่ชะง่อนเขา พราหมณ์ก็นั่งซบเซาคำนึงนึก เสียงสกุลร้องก้องกึกให้หวั่นหวาด พระพายชายพัดบุปผชาติหอมระรวยมา เฒ่าก็เหวี่ยงย่ามละว้าวางลงต่างหมอน นอนไขว้ห้างทางสาธยายมนต์ ”
2. รู้จักพินิจพิจารณาหาช่องทางที่เหมาะสม ดังตัวอย่างข้อความ
“ มาตรแม้นและว่าอาตมะจะรุกร้นโลภเข้าไปขอ ซึ่งพระปิยบุตรน้อยหน่อผู้แนบอก ที่ไหนพระนางเธอจะยอมยกซึ่งพระปิยบุตรทานบารมี น่าที่จะเสียทีทั้งสองทาง ฝ่ายพระองค์ผู้ทรงสร้างก็จะเสียศรัทธาผล ฝ่ายเราผู้แสนจนก็จะปราศจากลาภคว้าน้ำเหลวอยู่ลังเล เสว เอ ! ต่อรุ่งเวลาพรุ่งนี้เถิดสินะคอยให้พระนางเธอหลีกละพระเจ้าลูกทั้งคู่เข้าสู่ดง ยังแต่องค์พระสมเด็จพระชินวงศ์วรราช อุปสงกมิตวา อาตมาจึ่งจะลีลาศลอดเลาะเข้าไปสู่เฉพาะพระเพ็ญพักตร์ จะทูลขอพระยอดรักปิโยรส”
3. ประพฤติตนไม่เหมาะสมทั้งการพูดและการกระทำ ดังตัวอย่างข้อความ
“ พระองค์จะให้อยู่ท่าพระมัทรี ข้อนี้จวนจะกราบลา อิตถิโย มนุตํ ขึ้นชื่อว่ามารยาหญิงนี้แสนแยบ ดีแต่ว่าจะคิดแคบเสียดายของเคยครอบครองภิรมณ์รื่น คอยแต่ว่าจะรวมริบยากที่จะยกหยิบเอาออกยื่นเป็นยอดทาน ขึ้นชื่อว่าสามานย์มัจฉริยะเกิดกันกั้นกุศล หมื่อนแสนจะได้ดีแต่ละคนนี้ทั้งยาก ”
ข้อคิดประจำกัณฑ์
1. ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ไม่ผลีพลามเข้าไปขอ รอจนพระมัทรีเข้าป่าจึงเข้าเฝ้าเพื่อขอสองกุมาร เป็นเหตุให้ชูชกประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา ดังภาษิตโบราณว่า "ช้า ๆ จะได้พร้าเล่มงาม ด่วนได้ด้วยสามผลีผลามมักพลิกแพลงฯ" ช้าเป็นการนานเป็นคุณรู้จักโอกาสมีมารยาท กล้าพูด กล้าหาญใจเย็น เป็นสำเร็จ เพราะ "ถ้อยคำของคนขัด ความปรารถนาของคนยากเป็นโชคลาภ และเสียงเพลงของนักบุญ"
2. พ่อแม่ทุกคนรักลูกเหมือนกัน แต่เป็นห่วง
ไม่เท่ากัน ห่วงหญิงมากกว่าห่วงชาย เพราะ ท่านเปรียบไว้ว่า "ลูกหญิงเหมือนข้าวสารลูกชายเหมือนข้าวเปลือก" หญิงนั่นยิ่งโตเป็นสาวก็ยิ่งยุ่งยิ่งสวยก็ยิ่งยุ่ง
!
3. สติ เตํ นิวารณํ สติเป็นเครื่องป้องกันอันตรายทั้งปวงได้ ขันติ สาหสวารณา ขันติ ป้องกันความหุนหันพลันแล่นได้ เป็นเหตุให้พระเวสสันดรไม่ประหารชูชกด้วยพระขรรค์เมื่อถูกชูชกประณามและเฆี่ยนตีชาลี กัณหา ต่อเฉพาะพระพักตร์
4. วิสัยหญิงนั้น แม้จะมากอยู่ด้วยเมตตากรุณา ชอบปลดเปลื้องทุกข์แก่ผู้อื่นก็จริง แต่เว้นอย่างเดียว ที่หญิงไม่มีวันจะสละสิ่งนั้น คือ " ลูก "
น.ส.สุพัตรา โอ่งเจริญ
สาขาวิชาภาษาไทย ศศ.บ.
ราชภัฏเชียงใหม่
ความคิดเห็น
ขอบคุณมากนะคะ ^ ^
น่ารักานทุกคนเลยยยยยยย
๕๕๕๕๕๕๕๕๕
ไหง เป็นงี้ไป
สวยนะ
เเต่อ่านยากอ่ะ