ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #25 : CHAP 24

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.76K
      20
      9 มิ.ย. 56

     

     

    CHAPTER 24

     

     

    สนามแข่งถูกใช้วอร์มร่างกายก่อนที่จะถึงเวลาแข่งจริง นักกีฬาจากหลากหลายทีมผลัดกันขึ้นมาเข้าท่าบ้าง ชิงจับบ้าง รันโดริบ้างเพื่อเรียกเหงื่อก่อนลงแข่ง ซึ่งการขึ้นวอร์มก็มีเวลาจำกัด จงฮยอนขอให้ทุกคนลงมาจากสนามก่อนการแข่งจริงจะเริ่มขึ้นอย่างน้อย 15 นาที เพื่อเตรียมสถานที่

     

    คยองซูจัดชายเสื้อของตัวเองยัดเข้าในสายคาดเอว ริมฝีปากสีอ่อนเผยอปล่อยลมหายใจออกมาเป็นจังหวะ เมื่อจัดสภาพเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วจึงก้มเคารพเซฮุนที่เป็นหุ่นให้รันโดริและเดินมาข้างเบาะ ร่างหนาที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วยื่นขวดน้ำให้ทั้งคยองซูและเซฮุน ส่วนลู่หานที่มาถึงได้พักหนึ่งก็ยื่นน้ำให้ชานยอลกับแพคฮยอนด้วย

     

    “ตอนแข่งทำให้ได้แบบซ้อมด้วย มีสมาธิให้มาก” คำพูดช่างเรียบนิ่งพอกับใบหน้าที่เรียบขึง แต่ฝ่ายที่ได้รับแนะนำยังส่งยิ้มจางๆ มาให้หลังจากกระดกน้ำและพยายามปรับจังหวะการหายใจ

     

    “เซฮุนด้วย เล่นทีมต้องระวังให้มาก ประมาทไม่ได้เด็ดขาดโดยเฉพาะทีมมหาลัย m ทางนั้นเห็นฝีมือนายคราวก่อนแล้ว คราวนี้เล่นไม่เลี้ยงแน่” เซฮุนพยักหน้ารับ “เอาล่ะ ไปพักได้ คยองซูเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”

     

    คนตัวบางเดินห่างออกไปพร้อมกับเซฮุน แพคฮยอนมองหน้ากัปตันทีมสลับกับมองชานยอล สื่อสารกันทางสายตาได้ครู่หนึ่งชานยอลก็พยักหน้าเบาๆ แพคฮยอนจึงตัดสินใจแยกตัวตามสองคนก่อนหน้าไปเช่นกัน

     

    นักกีฬาตัวเต็งยกขวดน้ำดื่มอีกครั้งขณะที่ตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าหล่อของเพื่อนสนิทซึ่งบอกชัดว่าไม่ได้อยู่ในภาวะอารมณ์ที่สมบูรณ์พร้อม คิ้วเข้มแทบชนกัน และเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ริมฝีปากได้รูปนั้นเม้มกันแน่น ชานยอลพรูลมหายใจก่อนจะก้มหน้าคลายสายดำของตัวเอง

     

    “มึงบอกให้คยองซูมีสมาธิ แต่กูว่ามึงนี่แหละที่ควรมีสมาธิที่สุด” กัปตันทีมชำเลืองมองผู้พูดที่ตอนนี้กำลังส่งยิ้มแกนๆ มาให้ “สภาพนี้จะไปนั่งโค้ชคนอื่นได้ยังไง?” จงอินไม่ตอบแต่ถอนหายใจออกมาแทน

     

    “มึงจะคิดอะไรมากวะไอ้ไค? เจ้าตัวเขาพูดเองว่าไม่สนใจ นี่ถ้าออกมาจากปากคนอื่นกูจะไม่ว่าเลย”

     

    “แล้วมึงว่าคยองซูจะไม่สนใจได้จริงๆ เหรอวะ? คนรักเก่าเลยนะ รักมาตั้งแต่มัธยมเนี่ยนะ” จงอินหันมาถามเพื่อนด้วยสีหน้าเคลือบความกังวล ร่างสูงถอนหายใจแล้วตวัดสายดำพาดไหล่ไว้

     

    “แล้วมึงเห็นคยองซูเขาสนใจมั้ยล่ะ? ตั้งแต่เริ่มวอร์มกูก็เห็นคยองซูสนใจอยู่แค่การหาจังหวะสองเข้าท่าตามที่มึงสอนเขามา มึงซะอีกไอ้ไคที่วอกแวกไม่สมกับเป็นมึงเลย มึงเคยแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องการแข่งได้ดีกว่านี้นี่หว่า” จงอินหลบตาซ่อนความอ่อนแอที่อาจเผลอแสดงออกไปให้เพื่อนสนิทได้เห็น แต่มีหรือที่เพื่อนที่คบกันมานานขนาดนี้จะดูไม่ออก  ชานยอลส่ายหัวเบาๆ แล้วพูดต่อ

     

    “ทำแบบนี้คยองซูจะเสียใจนะ กูรู้ ต่อให้บอกว่าไม่ได้สนใจแต่เขาก็ต้องใช้ความพยายามมากที่จะทำมัน ไหนจะต้องโฟกัสเรื่องแข่งอีก ทั้งความกดดันทั้งอะไรตั้งมากมาย มึงไม่ลองคิดบ้างวะว่าทั้งหมดเขาพยายามเพื่อมึง” แม้คำพูดจะยาวยืดและหวังให้กำซาบเข้าไปถึงสมองของจงอินบ้างแต่ถ้านิ่งเงียบแบบนี้เขาก็คงทำอะไรไม่ได้

     

    ชานยอลตบไหล่เพื่อนเบาๆ สองสามครั้งก่อนจะเดินถอดเสื้อยูโดเปลือยท่อนบนเดินกลับไปที่นั่งของทีม จากผู้ชายพูดจาจริงจังเมื่อกี้ก็เปลี่ยนเป็นคนกวนประสาททันทีที่แพคฮยอนเหวี่ยงเสื้อวอร์มมากระแทกหน้าพร้อมคำสรรเสริญว่ามันอุบาทว์ตา ไม่ได้อยากจะดู

     

    ข้างกันเซฮุนกำลังหัวเราะร่วนจนเกลือแร่ที่ลู่หานแอบจิ๊กมาให้แทบพุ่ง ลำบากพ่อกัปตันทีมฟุตบอลต้องยกมือขึ้นปิดปากน้องเล็กของทีมก่อนที่ของเหลวจะทะยานสู่อากาศ คยองซูยิ้มเล็กน้อยให้กับความวุ่นวายประจำวันก่อนจะย้ายสายตาไปมองแผ่นหลังกว้างใต้เสื้อวอร์มทีมของใครอีกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ครู่หนึ่งจงฮยอนก็เดินมาหาจงอินเพื่อตามไปนัดแนะเรื่องระเบียบการ แน่นอนว่าอู๋ฟานซึ่งเป็นกัปตันของอีกทีมก็ต้องไปคุยร่วมกันด้วย

     

    คยองซูลอบถอนหายใจ เขาชักลังเลแล้วว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปนั้นดีแล้วจริงหรือเปล่า ยอมรับว่าวินาทีแรกที่เห็นอู๋อี้ฟานเขาถึงกับลืมวิธีหายใจ ความรู้สึกมากมายไหลทะลักภายในวินาทีเดียว ยิ่งคำเรียกที่มีเพียงเขาและอู๋ฟานจะเข้าใจถูกนำกลับมาใช้เรียกอีกครั้ง คยองซูก็ยิ่งเรียบเรียงคำที่ควรเอ่ยออกไปไม่ถูก

     

     

    “ตัวเล็ก” อู๋ฟานยังคงส่งยิ้มให้ร่างเล็กตรงหน้า “ได้ยินมาจากจื่อเทาว่านายเป็นนักกีฬาของมหาลัย k ตอนแรกพี่ก็ไม่เชื่อจนอี้ชิงมายืนยันอีกเสียง ไม่นึกเลยว่านายจะมาเล่นยูโดจริงๆ”

     

    ควรจะพูดอะไรออกไป ควรจะรู้สึกอย่างไรกับรอยยิ้มนี้ คำถามมากมายต่างตีกันให้วุ่นวายขณะที่ตายังสบตา เวลาเดียวกันอี้ชิงก็โผล่มาจากด้านหลังมายืนข้างๆ ร่างสูงพร้อมกับส่งยิ้มใจดีมาทักทายเช่นเคยก่อนที่จุนมยอนจะตามมายืนด้วย

     

    “ไม่เจอกันตั้งนานแต่ไม่พูดอะไรเลยแบบนี้พี่ก็ไปไม่ถูกเหมือนกันนะ” อู๋ฟานกลั้วหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปหมายจะแตะแขนเล็กนั้น แต่อีกฝ่ายกับชะงักแล้วถอยตัวหนีเล็กน้อยก่อนมือใหญ่จะถึงตัว

     

    “พ...พี่อู๋ฟาน” คยองซูเอ่ยไม่เต็มเสียง อู๋อี้ฟานเลิกคิ้วเป็นเชิงบอกว่ากำลังรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดต่อแม้จะตกใจกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้าเมื่อครู่ไปบ้าง

     

    “ผม...ผมขอตัวไปเซ็นชื่อแล้วช่วยจงอินเตรียมของก่อนนะฮะ จงอิน ไปกันเถอะ” พูดกับร่างสูงเบื้องหน้าและท้ายประโยคหันไปบอกคนตัวหนาที่ยืนยิ่งเงียบเป็นรูปปั้นหินอยู่ข้างๆ คยองซูเป็นฝ่ายดึงมือจงอินให้เดินตามโดยไม่ได้หันกลับมาเห็นสายตาของอู๋ฟานที่ทอดมองทุกการเคลื่อนไหวของตนเองเลย

     

     

     

    การจงใจแยกตัวออกมาแบบที่ทำมันเสียมารยาทคยองซูก็รู้ เขาไม่ให้แม้กระทั่งคำทักทาย ไม่มีการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบในช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกัน แต่คยองซูคิดว่านั่นเป็นการปกป้องความรู้สึกตัวเองที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่ไม่พร้อมรับมือเช่นนี้

     

    คยองซูบอกกับจงอินว่าเขาไม่เป็นไร เขาไม่สนใจและจะไม่ยอมให้เรื่องในอดีตมาเป็นอุปสรรคกับการแข่งเด็ดขาด และถึงตอนนี้เขากล้าพูดได้ว่าภูมิคุ้มกันตัวเองที่มีต่ออู๋ฟานมีมากพอที่จะทำให้คยองซูนิ่งได้ขนาดนี้

     

    เขาต้องไม่ลืมว่าอู๋ฟานคืออดีตที่ไม่อาจหวนคืน อู๋ฟานกำลังมีปัจจุบันกับจางอี้ชิงและอาจหมายรวมถึงอนาคตด้วย ในเมื่อต่างคนต่างมีเส้นทางที่ตัวเองเลือกแล้วเขายังจะต้องสนใจหรืออาลัยอาวรณ์อะไรอีก ที่สำคัญ จงอินยังอยู่กับเขาตรงนี้ นี่ต่างหากคือสิ่งที่ควรให้ความสนใจ เขาจะไม่ทำให้จงอินต้องผิดหวัง

     

    ทิ้งให้เวลาผ่านไปไม่นานการแข่งขันประเภทบุคคลก็เริ่มต้นขึ้น คยองซูไม่รู้ว่าตนควรจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นชื่อของคู่แข่งคนแรกในกระดาษชาร์ต ร่างกายยิ่งร้อนเหมือนไฟถูกจุดติดจนไม่อาจทนยืนอยู่เฉยได้ต้องขยับแขนขาพร้อมเตรียมแข่งในอีกไม่กี่คู่ถัดไป

     

    มือหนาไล่ตบแขนขาเล็กเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ก่อนจะดันคยองซูนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอื้อมคว้ามือบางมาบีบนวดเบาๆ แม้ใบหน้าหล่อคมนั้นจะยังเคลือบความกังวลอยู่แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาที่ฝ่ามือยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

     

    “ได้ล้างตาจริงล่ะคราวนี้ ระวังจังหวะที่เคยพลาดด้วยล่ะ แทมินระวังนายมากขึ้นแน่” จงอินพูดขณะเปลี่ยนไปนวดมืออีกข้างให้คยองซู

     

    “อย่าลืมว่าถ้าเลือกจะเกี่ยวก่อนแล้วเข้าท่าให้ดึงให้เต็มที่ ไม่ต้องยั้ง จะหัวทิ่มหัวตำไม่ต้องสนใจ นาทีนั้นคิดแค่ว่าถ้านายไม่ทุ่มเขา เขาจะกลับมาทุ่มนายคืน”

     

    “โห...โหดจังอ่ะจงอิน ถ้าแทมินคอหักแล้วนายจะเอาที่ไหนไปใช้คืนทีมเขาเนี่ย” คยองซูแกล้งร้องเสียงหลงพลางทำตาโต คนที่กำลังมองอยู่แต่ที่มือขาวจึงเผลอเงยหน้าขึ้นสบตา จงอินหลุดยิ้มออกมาแล้วดีดนิ้วลงไประหว่างคิ้วคนช่างหยอกเบาๆ

     

    “ยังจะเล่นอีก”

     

    “งืออออ ก็ไม่อยากให้จงอินเครียดนี่นา นายเครียดฉันก็ยิ่งกดดันนะ” คนน่ารักยู่หน้าเรียกรอยยิ้มบนริมฝีปากหยักให้ยิ่งกว้างกว่าเดิม คยองซูคือสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิตของเขาจริงๆ เพียงรอยยิ้มเล็กๆ ก็สามารถจุดความสว่างขึ้นในหัวใจได้ ยิ่งนานก็ยิ่งรัก เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันจนไม่อาจเก็บกักไว้ได้ไหว

     

    เสียงเรียกนักกีฬาคู่ถัดไปดังขึ้นเมื่อการแข่งขันคู่ก่อนหน้าจบลง คยองซูลุกขึ้นยืนอย่างรู้งานแล้วเหยียดขายืดกล้ามเนื้ออีกครั้ง หลังจากนั้นจงอินก็ช่วยตบหลัง แขน และขาให้นักกีฬาของทีมเพื่อเตรียมความพร้อมลงแข่งในคู่ถัดไป หากแต่เวลาผ่านไปได้เพียงนาทีเศษเสียงออดบอกว่าหมดเวลาล็อคก็ดังขึ้นพร้อมกับคำสั่งอิปป้งของกรรมการ

     

    จงอินตบไหล่คยองซูเบาๆ เพื่อบอกให้เดินไปเตรียมตัวที่ขอบเบาะได้แล้ว ร่างเล็กเดินนำหน้าไปตามมาด้วยคนที่เตรียมเป็นโค้ช เสียงเซฮุนและคนอื่นๆ ในทีมตะโกนเชียร์ดังมาจากที่นั่ง ขณะเดียวกันก็มีสายตาของนักกีฬาอีกทีมคอยมองคยองซูอยู่เงียบๆ ด้วยเช่นกัน

     

    “ระวังจังหวะแรกให้ดี ค่อยๆ จับอย่าไปคว้าสุดตัว ถ้าเขาไม่จับเราก็ไม่ต้องจับ ต่างคนต่างได้ชิโด้ก็ถือว่าเจ๊ากันไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่โดน 2 ชิโด้แสดงว่าได้คะแนนยูโก้กันทั้งคู่ ถึงตอนนี้ค่อยเริ่มบุก เล่นให้ฉลาด แต่ทางที่ดีปิดเกมส์ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า” จงอินพูดอยู่ข้างหลังขณะที่สองมือกำลังบีบไหล่เล็กเบาๆ ดวงตาคู่เล็กวาวโรจน์ต่างจากครั้งก่อนจับจ้องไปบนสนาม หัวใจเต้นถี่เร็ว

     

    นักกีฬาคู่ก่อนถอยลงมาเคารพเส้นแล้ว จงอินตบไหล่นักกีฬาตัวเองเบาๆ สองสามครั้งก่อนจะถอยลงมานั่งเก้าอี้โค้ชที่อยู่ด้านหลัง

     

    “จงอิน” ทว่าเสียงเล็กที่เอ่ยเรียกชื่อเขาเสียงไม่ดังนักทำให้จงอินต้องนึกแปลกใจ คนที่หันหลังให้เพื่อเผชิญกับสนามแข่งเบื้องหน้าไม่ได้หันกลับมาหา แต่กลับเอ่ยบางอย่างพอให้เขาได้ยินก่อนที่จะก้มเคารพเบาะและก้าวขึ้นไปบนสนามอย่างมั่นใจ

     

    “นายคือคนที่ฉันเชื่อใจที่สุดนะ”

     

    เวลาราวหยุดเดินต่อไปชั่ววินาทีกระทั่งเห็นว่าเจ้าของแผ่นหลังบอบบางขณะนี้ได้ไปยืนประจันหน้ากับแทมินอยู่กลางเบาะแล้ว หลังจากหลุดจากถูกสะกดจิตด้วยคำพูดสั้นๆเพียงประโยคเดียว จงอินก็ไม่สามารถหยุดยิ้มได้

     

    คนๆ นี้แบกรับความกดดันมากมายลงไปแข่งบนสนาม แม้แต่ความรู้สึกที่ยุ่งยากก็ยังแบกเอาไว้บนไหล่เล็กนั้น คงจะจริงอย่างที่ชานยอลบอก เขาอาจทำให้คยองซูต้องเสียใจถ้ายังคิดอะไรงี่เง่าไม่เข้าท่าทั้งที่ความรู้สึกระหว่างเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด

     

    ตอนนี้ เวลานี้ มันไม่มีอีกแล้ว อู๋อี้ฟานนักยูโดคนดังของโรงเรียนคนรักของโดคยองซูรองประธานฝ่ายกีฬา

    จะมีก็แต่คิมจงอินเทพไคแห่งวงการกับโดคยองซูนักกีฬาหน้าใหม่ไฟแรงเด็กปั้นของเขาเท่านั้น

     

    แล้วจะยังต้องกังวลอะไรอีก ในเมื่อทุกอย่างมันกำลังเดินไปข้างหน้า ไม่มีทางที่เวลาจะหวนกลับได้

     

     

    “ฮาจิเมะ!” คำสั่งแรกเริ่มขึ้นพร้อมการย่อตัวและยกมือขึ้นเตรียมชิงจับพร้อมกันทั้งคู่ คยองซูระวังตัวได้ดี ไม่รีบพุ่งเข้าไปจับก่อนเมื่อเห็นว่าแทมินก็ยังนิ่งรอจังหวะอยู่เหมือนกัน ใช้เวลาจดจ้องกันอยู่นานทีเดียวจนกระทั่งกรรมการสั่งมาเต๊ะ ทั้งคู่กลับไปยืนที่เส้นของตัวเอง

     

    “ชิโด้” กรรมการหมุนมือสองข้างวนเข้าหากันตรงหน้าแล้วค่อยชี้มือขวาไปที่คยองซูซึ่งอยู่ฝ่ายน้ำเงิน หมุนอย่างเดิมอีกครั้งแล้วชี้ไปที่แทมินซึ่งอยู่ฝ่ายขาวบ้าง “ชิโด้”

     

    โดนโทษคนละครั้งฐานไม่ยอมเข้ากระทำกันทั้งคู่ จงอินมองไปที่สกอร์บอร์ดดิจิตอล จุดสีแดงขึ้นที่ใต้ตัวบอกคะแนนของแต่ละฝ่ายหนึ่งดวง หลังจากนั้นกรรมการก็สั่งฮาจิเมะให้เล่นต่อ

     

    แม้การโดนโทษครั้งแรกคะแนนยูโก้จะยังไม่ขึ้นที่ฝั่งไหนแต่การเล่นของแทมินก็เริ่มเปลี่ยนไป ฝ่ายนั้นเริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้นและเร่งหาจังหวะชิงจับแล้ว คยองซูพยายามตั้งรับจังหวะที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ แขนเล็กป้องกันทุกการเข้าจับ แต่สุดท้ายด้วยความไวของแทมิน แขนเสื้อข้างขวาของคยองซูก็โดนคว้าไปจนได้

     

    “ใจเย็นๆ คยองซู ไม่มีอะไร อย่าลน!” จงอินตะโกนขึ้นไปเมื่อร่างเล็กถูกลากทันทีที่แขนขวาถูกควบคุม คยองซูยังพยายามป้องกันสาบเสื้อตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังต้องระวังว่าแทมินที่คุมขวาได้แล้วจะยัดเข้าอิปป้อนเมื่อไหร่อีก เพราะถ้าแทมินสวนท่าอิปป้อนเข้ามามีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะลอยหวืด แทมินมือเหนียวราวกับกาว ไม่มีทางที่จะพลาดหลุดมือแน่ๆ

     

    สถานการณ์เริ่มแย่เมื่อแทมินกระชากพาคยองซูเดินเข้าจังหวะตัวเองได้เรื่อยๆ ร่างเล็กเม้มปากแน่น เม็ดเหงื่อเริ่มไหลหยดจากข้างขมับ แขนเสื้อยูโดข้างขวาถูกแทมินรัดแน่นจนไม่ต้องเดาว่าใต้ท้องแขนคงจะเป็นรอยแดงแล้วแน่ๆ ทางด้านแทมินเมื่อเข้าความคิดทั้งหมดเข้าสู่เกมส์การแข่งขันแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถฉุดดึงไว้ได้อีก

     

    “คยองซู!! หลบขวา!” เสียงทุ้มดังก้องเมื่อเป็นไปตามคาด แทมินสวนเข้าอิปป้อนขวาทันทีที่มั่นใจจังหวะ แต่ประสาทของคยองซูก็ตื่นตัวพอ ร่างบางหลบฉากได้ทันท่วงที ทว่าแทมินไม่ได้หยุดแค่นั้น ร่างเล็กเตรียมจะหมุนตัวเกี่ยวโอยูชิการิต่อเป็นจังหวะสอง

     

    จงอินอ่านมันออกในชั่ววินาทีจากการเคลื่อนไหวนั้น แต่เวลาก็น้อยเกินไปที่จะเปล่งเสียงตะโกนบอก เสียงเชียร์ดังลั่นสนามเมื่อการแข่งขันเริ่มดุเดือนเข้มข้นขึ้น กัปตันผิวเข้มหัวใจเต้นรัวเร็วเมื่อหวาดหวั่นว่านักกีฬาอาจจะโดนเกี่ยวขาและเสียคะแนนไป สำหรับยูโดเวลาเพียงวินาทีก็วัดผลแพ้ชนะได้แล้ว

     

    แต่คยองซูกลับพิสูจน์ให้เห็น ณ วินาทีนั้น ว่าประสบการณ์และการฝึกฝนสามารถพัฒนาคนได้จริงๆ

     

    “ยูโก้!

     

    จงอินแทบลุกขึ้นยืนเมื่อสิ้นเสียงกรรมการ ใบหน้าหล่อคมฉายความดีใจอย่างไม่ปิดบัง เกมส์การแข่งขันบนสนามยังคงดำเนินต่อแม้จะมีฝ่ายหนึ่งทำคะแนนได้แล้ว หากไม่มีคำสั่งมาเต๊ะเกมส์จะไม่หยุดเด็ดขาด

     

    จากจังหวะเมื่อกี้นี้เพียงชั่ววินาทีก่อนที่ขาแทมินจะเกี่ยวถึง คยองซูหมุนตัวหลบทันแล้วอาศัยจังหวะนั้นคว้าสาบเสื้ออีกฝ่ายแล้วหมุนตัวเข้าท่าโมโรเต้ทันที น่าเสียดายที่มือซ้ายยังคุมไม่ดีทำให้แทมินหลบได้ แต่คยองซูก็ไม่ปล่อยจังหวะนั้น เขารีบเกี่ยวขาแทมินต่อเนื่องทันทีจนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน แม้การจับของคยองซูยังหลวมมากแต่เพราะเป็นจังหวะต่อเนื่องทำให้แทมินพลาดล้มลง

     

    1 ยูโก้ เป็นของคยองซู เกมส์เปลี่ยนแล้ว

     

    สกอร์บอร์ดขึ้นเลข 1 ที่ใต้ตัว  Y ของฝั่งน้ำเงิน แม้จะเป็นคะแนนเล็กๆ แต่ถ้าทำได้แบบนี้เรื่อยๆ จนหมดเวลาก็เป็นฝ่ายชนะได้เหมือนกัน ตอนนี้เรากำลังได้เปรียบ คยองซูจะต้องใจเย็นลงและระวังกับการตั้งรับแทน เพราะหลังจากนี้แทมินจะต้องเร่งบุกกว่าเดิมแน่

     

    “มาเต๊ะ” นักกีฬาทั้งสองฝ่ายกลับมายืนที่เส้นตัวเอง กรรมการแสดงสัญลักษณ์มือเพื่อบอกให้แต่ละฝ่ายยัดปลายเสื้อเข้าสาย แต่งกายให้เรียบร้อยก่อนจะเริ่มแข่งต่อ ทั้งแทมินและคยองซูต่างเริ่มหอบหายใจเมื่อเวลาผ่านไปได้นาทีเศษ

     

    “ระวังตัวนะคยองซู! กันเขาได้แต่อย่าถอยหนี ไม่อย่างนั้นจะโดนโทษ” การโดนโทษชิโด้ 2 ครั้งมีค่าเท่ากับ 1 ยูโก้ ตอนนี้คยองซูมีคะแนนอยู่แล้ว 1 ยูโก้กับโทษ 1 ชิโด้เหมือนแทมิน จริงอยู่ว่าตอนนี้เรากำลังนำแต่ถ้าหาคยองซูพลาดโดนชิโด้อีกครั้งเดียว คะแนนฝั่งแทมินจะกลายเป็น 1 ยูโก้เท่ากันทันที

     

    เกมส์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แทมินเริ่มบุกอย่างที่คิดไว้จริงๆ จงอินได้ยินจงฮยอนที่นั่งโค้ชอยู่ฝั่งตรงข้ามบอกให้แทมินเร่งหาจังหวะเข้าท่าให้มากขึ้น เพราะถ้ายิ่งแทมินแสดงให้กรรมการเห็นว่าตัวพยายามเข้ากระทำขณะที่คยองซูเอาแต่ตั้งรับโอกาสที่กรรมการจะให้โทษชิโด้ฐานไม่ยอมเข้ากระทำกับคยองซูมีสูงมาก เขาต้องรีบแก้เกมส์ ไม่อย่างนั้นคะแนนที่ได้มาต้องเสียเปล่าแน่

     

    “อย่ารอนาน เขาจับเราก็จับ คุมจังหวะให้ดีแล้วเข้าไปเลย” จงอินบอก และในวินาทีถัดมาต่างฝ่ายต่างก็พุ่งเข้าไปจับชุดของกันและกัน ยื้อแย่งกันคุมจังหวะอยู่พักหนึ่งก่อนที่แทมินจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกหน จงอินกุมมือชื้นเหงื่อของตัวเองแน่น ไม่ใช่แค่คยองซู แต่เขาเองก็ต้องใจเย็นๆ เหมือนกัน

     

    ไม่นานนักแทมินก็เข้าท่าทันที แต่นับว่ายังหลวมมากเหมือนตั้งใจจะเข้าหลอกเพื่อให้เห็นว่าเข้ากระทำแล้ว คยองซูเองก็ฉลาดพอที่จะสวนกลับทุกการตอบโต้ของแทมิน หากแทมินเข้าท่าครั้งหนึ่งคยองซูก็จะสวนกลับเข้าท่าครั้งหนึ่งเช่นกัน ถ้าแทมินเข้าสองจังหวะติดคยองซูเองก็ทำไม่ต่าง ไม่ยอมให้อีกฝ่ายแสดงออกว่ากระทำอยู่ฝ่ายเดียว

     

    เลขบนนาฬิกาดิจิตอลขนาดใหญ่ถอยหลังไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่นาทีสุดท้าย คะแนนบนสกอร์ยังอยู่ที่เดิมตรงข้ามกับความเหนื่อยและล้าของร่างกายที่มีแต่จะยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ แทมินเริ่มกดดันขึ้นเมื่อไม่สามารถชิงเข้าทำคะแนนได้เลย คยองซูคอยดักอยู่ทุกทาง แม้จะไม่เร่งทำคะแนนแต่ก็ไม่ยอมให้เขาทำคะแนนได้เช่นกัน เป็นวิธีที่ฉลาดสำหรับคนที่ไม่เสี่ยงวัดดวง

     

    “เวลาไม่มีแล้วแทมิน แลกไปเลย!

     

    “จังหวะสอง!!” เสียงโค้ชของสองฝ่ายสวนกันแทบในทันที เมื่อเวลาเริ่มเข้าสู่ช่วง 30 วินาทีสุดท้าย

     

    แทมินหมุนตัวเข้าท่าเต็มที่เพราะไม่มีอะไรให้เสียแล้ว ความรุนแรงของมันมีมากพอที่จะทำให้คยองซูกระเด็นไปตามแรงดึง เขาไม่สามารถสวนจังหวะสองตามที่จงอินบอกได้ทันแต่ก็นับว่าโชคดีมากที่ไหวตัวทันและชิงขยับหลบฉากออกมาก่อนเลยทำให้ไม่เสียคะแนนไป

     

    คยองซูกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงลำคอแห้งผาก เขาหายใจถี่จนแสบคอและจมูกไปหมด สองมือก็ล้าจนแทบกำชุดอีกฝ่ายไว้ไม่ไหวแล้ว แต่เขาจะหยุดตรงนี้ไม่ได้ ชัยชนะอยู่แค่นี้แล้วถ้าอ่อนลงแม้แต่นิดเดียวเกมส์ต้องเปลี่ยนแน่ ยิ่งวินาทีนี้แทมินเล่นหนักจนแทบไม่เหลือช่วงให้เขาได้เข้ากระทำ

     

    เวลาเริ่มไล่ท้ายเข้ามาทุกที แทมินจึงตัดสินใจใช้แรงเฮือกสุดท้ายหมุนตัวเข้าท่าโมโรเต้เต็มที่ คยองซูแทบอ้าปากค้างด้วยความตกใจเมื่อถูกสวนกลับเร็วขนาดนี้ คิดว่าตัวเองจะต้องถูกดึงไปข้างหน้าอย่างแรงแน่ๆ จึงถ่วงหลังไว้เต็มที่เพื่อยื้อแรงกัน ทว่ากลับทำให้จงอินที่นั่งโค้ชอยู่ถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนเสียงดัง

     

    “อย่าถ่วงหลัง!!” เวลามีไม่มากพอที่จะบอกเหตุผล แต่คยองซูก็รู้คำตอบได้ด้วยตัวเองในวินาทีหลังจากนั้น

     

    ราวกับถูกเหยียบทับรอยทางของตัวเอง แทมินไม่ได้จะทุ่มด้วยท่าโมโรเต้ตั้งแต่แรก คนตัวเล็กบิดตัวกลับมาแล้วเกี่ยวขาคยองซูต่อเป็นจังหวะสอง แรงถ่วงของคยองซูเองมีแรงมากพอที่จะทำให้ร่างของตัวเองหงายไปข้างหลัง นั่นคือเหตุผลที่แท้จริง

     

    “คยองซูซ้อนหลัง!! / ซ้อน!!” เสียงชานยอลที่ผุดลุกตะโกนจากตรงที่นั่งมาแทบจะพร้อมๆ กับเสียงของจงอินที่นั่งโค้ชอยู่ ตะโกนออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าคนที่กำลังถูกทุ่มอยู่อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจะเข้าใจหรือไม่ เพราะมันเป็นสิ่งที่จงอินไม่เคยสอนและคยองซูก็ไม่เคยฝึกมา

     

    แต่บางครั้ง เรื่องเหลือเชื่อก็มักจะเกิดขึ้นได้ ทุกอย่างเป็นไปได้หากเรียนรู้จากความผิดพลาด

     

    ตึง! ปรี๊ดดดดดดดด!!

     

    “วาซาริ!” ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเพียงเสี้ยววินาที เสียงทุ่มดังขึ้นก่อนเสียงออดหมดเวลาอย่างฉิวเฉียดตามมาด้วยเสียงกรรมการขานให้คะแนน

     

    เสียงหอบหายใจดังถี่ในชั่ววินาทีที่ทั้งสนามแทบเงียบกริบ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเฮและเสียงปรบมือดังทั่วโรงยิม ตอนนั้นเองถึงได้รู้ตัวพร้อมกันทั้งคู่

     

    แทมินเสียคะแนนวาซาริจากท่าซ้อนหลังของคยองซู...ท่าที่คยองซูเคยถูกจงอินทุ่มตอนที่ฝึกจังหวะสองด้วยกัน เพียงเสี้ยววินาทีที่เบี่ยงตัวหลบฉากแล้วยืดขาตัดหลังขาที่กำลังมาเกี่ยวแล้วใช้แรงของเจ้าตัวเหวี่ยงให้ผู้กระทำล้มเอง การใช้แรงของอีกฝ่ายมาทำให้เราเป็นฝ่ายได้เปรียบ นั่นแหละคือหัวใจของยูโด

     

    คยองซูจึงได้คะแนนวาซาริในวินาทีสุดท้าย และเป็นฝ่ายชนะ

     

    “โซเรมาเระ” คำสั่งสิ้นสุดการแข่งขันดังขึ้นพร้อมกับกรรมการผายมือเอียงขึ้นด้านบนไปทางฝ่ายน้ำเงิน เสียงเฮดังก้อง ทั้งคู่ก้มเคารพให้กันและแทมินเป็นฝ่ายยิ้มกว้างเดินเข้ามาหาคยองซูที่กลางเบาะ มือเล็กต่างสัมผัสมือกันเพื่อแสดงความยินดีและขอโทษกัน แม้ไม่มีบทสนทนาใดๆ นอกจากเสียงหอบหายใจแต่น้ำใจนักกีฬาที่แสดงออกมาแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

     

    คยองซูเคารพตามจุดต่างๆ ของเบาะแล้วถอยกลับมาขอบเบาะ หันกลับมามองคนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วและก็ต้องยิ้มกว้างแม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม

     

    จงอินในตอนนี้ดูราวกับเป็นนักกีฬาที่ขึ้นไปแข่งเสียเอง ใบหน้าคมจัดบอกชัดว่ากำลังปั้นสีหน้าไม่ถูก ความรู้สึกมากมายผสมปนเปจนสะท้อนออกมาทางดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้น ทิ้งเวลาอยู่หลายวินาทีกว่าที่มือหนาจะยกขึ้นมาแตะไหล่เล็กที่กำลังไหวขึ้นลง จากนั้นก็ดึงเข้ามาสู่อ้อมกอดของตัวเองอย่างง่ายดาย

     

    ใบหน้าหวานชุ่มเหงื่อแนบลงบนอกแกร่งที่หัวใจกำลังสะท้อนเสียงออกมาถึงข้างนอก แขนแกร่งโอบกอดร่างเล็กไว้ไม่แน่นมากนักเพื่อให้อีกคนได้สูดออกซิเจนเข้าปอด เขาหลับตา แล้วกระซิบเบาๆ

     

    “เก่งมาก คยองซูของฉัน”

     

     

     

    ร่างสูงนั่งที่เดิมไม่ไปไหนและใช้ดวงตาคมเข้มจับจ้องไปที่คนตัวเล็กที่กำลังอาศัยตักของกัปตันทีมตัวเองหนุนนอนอยู่ตรงที่นั่งอีกฝั่งของสนาม ผ้าขนหนูผืนเล็กที่ถูกใช้เป็นผ้าเย็นโปะอยู่บนหน้าผากมน หลับตาลงเพื่อพักสายตาและทำสมาธิก่อนจะต้องแข่งรอบชิงชนะเลิศในอีก 10 นาทีข้างหน้า

     

    จื่อเทามองลูกพี่ลูกน้องแล้วถอนหายใจเสียงเบา ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดที่ตรงหน้าอีกฝ่ายบดบังจุดสายตาเข้าพอดิบพอดีจึงทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้มารบกวน คนอายุน้อยกว่ายิ้มแล้วพูดด้วยภาษาบ้านเกิด

     

    “เฮีย ผมจะไปที่ทีมมหาลัย k มีอะไรจะฝากไปให้ใครหรือเปล่า?” ใครของจื่อเทาคงไม่ต้องขยายความว่าหมายถึงใครก็พอจะเข้าใจได้ อู๋ฟานส่ายหน้า

     

    “ไม่ล่ะ ให้เขาพักเถอะ ว่าแต่เราน่ะ จะไปหาน้องเซฮุนคนนั้นใช่มั้ยล่ะ?” อู๋ฟานถามกลับ แต่จื่อเทากลับไหวไหล่ให้เป็นคำตอบแทน พี่ชายจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ “ก็ขอให้โชคดีแล้วกัน คิดจะสู้กับเพื่อนเก่าฉันก็ยากหน่อยนะ เสี่ยวลู่หานน่ะคนจริง อย่าดูถูกหน้าหวานๆ แบบนั้นเชียว”

     

    “ผมไม่สนใจอยู่แล้ว เซฮุนต่างหากที่จะตัดสินใจ” พูดจบก็ยิ้มกวนๆ ให้อู๋ฟานอีกครั้งแล้วเดินจากไป กัปตันทีมมหาลัย m มองตามน้องชายตัวสูงพร้อมหัวเราะไล่หลังแล้วจึงหันกลับมาสนใจภาพตรงหน้าต่อ

     

    ดูเหมือนคิมจงอินจะให้คนตัวเล็กนั้นลุกขึ้นได้แล้ว มือหนาหยิบผ้าเย็นออกจากหน้าผากแล้วส่งให้แพคฮยอนที่นั่งถัดลงไปเพื่อขอผ้าผืนใหม่มาให้คนที่เพิ่งลุกขึ้นมาเข็ดหน้าเช็ดตา ความห่วงใยที่เห็นตรงหน้าทำให้อู๋ฟานเผลอขมวดคิ้ว แม้จะเข้าใจได้ว่าเป็นธรรมดาระหว่างนักกีฬากับกัปตันหรือแม้กระทั่งนักกีฬาทีมเดียวกันก็ตาม

     

    “ถ้าสงสัยขนาดนั้นทำไมไม่ถามไปเลยตรงๆ ซะล่ะ” ภาษาจีนถูกเอ่ยออกมาด้วยเสียงเล็กคุ้นหู อู๋ฟานหันมองเจ้าของคำพูดที่กำลังยืนพิงกำลังส่งยิ้มใจดีแต่ดูมีปริศนาเป็นเอกลักษณ์ส่งมาให้เขา

     

    “จะยอมพูดด้วยหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”

     

    “ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะเห็นนายสภาพนี้ รู้ตัวไหมว่าจากราชสิงห์ที่เขาว่ากันกลายเป็นแมวถูกเจ้าของทิ้งไปเลย” พูดจบก็หัวเราะคิกแล้วเดินมานั่งลงข้างๆ คนที่กำลังตวัดสายตาเคืองๆ แบบไม่จริงจังนักให้เขา อี้ชิงพรูลมหายใจ ยิ้มบางและหันมองไปที่เดียวกับคนข้างๆ

     

    “อย่าทำให้ฉันอิจฉาคยองซูมากไปกว่านี้ได้ไหม” เพราะน้ำเสียงที่เบาบางและเรียบเฉยทำให้อู๋ฟานต้องหันมองคนพูด อี้ชิงยังคงยิ้มและมองภาพเบื้องหน้า

     

    “ไม่นึกว่าจะได้ยินแม่พระแห่งวงการอย่างนายพูดแบบนี้เหมือนกันนะ” ร่างสูงคลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วหันไปหยิบกระเป๋าใบโตของตัวเองมาและลงมือรื้อหาบางอย่าง “จะอิจฉาคยองซูทำไม? มันไม่มีอะไรสักหน่อย”

     

    “เด็กคนนั้นน่ะมีพรสวรรค์นะ ทั้งที่ตัวเล็กแค่นั้นแถมยังเพิ่งเริ่มเล่นได้ไม่เท่าไหร่ยังมีฝีมือดีขนาดนั้น ส่วนฉันน่ะซ้อมหนักอยู่เกือบปีกว่าจะได้แข่งสนามแรกแถมยังแพ้ไม่เป็นท่าอีก น่าอายชะมัด” ร่างบางหัวเราะหลังพูดจบ ฟังแล้วเหมือนจะเป็นเหตุผลที่ทำให้อิจฉาคยองซูแต่อู๋ฟานรู้ดีว่าอี้ชิงตั้งใจเลี่ยงมันไป

     

    “อิจฉาเด็กใหม่แบบนี้ กลัวหรือไง?” ถามพร้อมยกยิ้มจ้องอีกฝ่าย อี้ชิงยิ้มตอบพลางส่ายหน้า

     

    “ถามแบบนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติกันเลยนะ”

     

    “ก็แล้วไป” ร่างสูงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ อย่างน้อยถ้าไม่ใช่โหมดแม่พระแห่งวงการผู้พกพารอยยิ้มและความใจดีไปด้วยทุกที่แม้กระทั่งสนามแข่งที่มีแต่การต่อสู้ อิ้ชิงในโหมดนักรบกระหายชัยชนะด้วยท่าทีสุขุมแบบนี้ก็ยังดีเสียกว่ามานั่งพูดอะไรเศร้าซึมไม่สมกับเป็นรองประธานชมรมของเขา

     

    มือหนาหยิบสิ่งที่หาเมื่อกี้ออกมาจากกระเป๋า เสื้อวอร์มสีเข้มปักชื่อทีมด้านหลังถูกสวมทับเสื้อยูโดที่อี้ชิงใส่อยู่ อู๋ฟานจัดเสื้อวอร์มของตัวเองให้คลุมร่างเล็กๆ นั้นแล้วรูดซิบให้ ลุกขึ้นยืนด้านหน้าพร้อมกับยกยิ้ม

     

    “เอาล่ะ เตรียมวอร์มเรียกเหงื่อได้แล้ว อีกไม่กี่นาทีจะแข่งรอบชิง” รองประธานที่ตอนนี้อยู่ในตำแหน่งนักกีฬาตัวเต็งลุกขึ้นยืนเตรียมวอร์มร่างกายตามคำสั่งของประธาน

     

    “ห้ามประมาทเด็ดขาด ถึงแม้คู่ต่อสู้จะเป็นเด็กใหม่ที่ชื่อโดคยองซูก็ตาม” 



     

    TBC.


     

    Mirror* talk : มาต่อแล้วค่ะ มาอย่างเต็มอิ่มกับการแข่งขันครั้งที่สองของคยองซูซึ่งปะทะกับคู่ปรับเก่า โฮรววววว ในที่สุดก็ชนะแล้วเนอะ แต่รอบชิงนี่ท่าจะหนักหนาเอาการ คู่ต่อสู้คนนี้รับมือทั้งทางกายและทางใจไม่ง่ายเลย จริงมั้ยคะ? ฮา

    สำหรับกติกาการแข่งขันต่างๆ บางทีเราอาจจะข้ามๆ ไปหรืออธิบายไม่ละเอียด ทุกคนสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากยูทูปได้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งจริงอย่างโอลิมปิคหรืออื่นๆ จะช่วยทำให้เห็นภาพได้มากเลย แต่เท่าที่อ่านคอมเม้นท์มามีนักอ่านจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่เคยผ่านการเรียนยูโดตอนมัธยมมาแล้ว เราไม่แน่ใจว่าอาจารย์ของคุณได้เคยให้ไปดูการแข่งขันจริงๆ หรือเปล่า แต่โรงเรียนเราเวลามีแข่งที่จังหวัดเป็นเจ้าภาพทีอาจารย์ก็จะให้นักเรียนที่เรียนยูโดไปเห็นของจริงด้วยล่ะค่ะ ตอนที่เรายังอยู่ ม.4 (ตอนนั้นเป็นนักกีฬามาแล้ว 6 ปี) มีแข่งยูโดคัดเลือกตัวแทนภาคเพื่อไปแข่งกีฬาเยาวชนแห่งชาติ เพื่อนๆ เราต้องมาดูการแข่งเพื่อจดคะแนนไปส่ง มากันยกชั้น ทุกห้อง แข่งไปนี่กดดันไปนะ กลัวแพ้ละจะอาย 5555* ที่จะบอกก็คือถ้าไม่เคยเห็นการแข่งจริงสามารถหาคลิปดูได้เลยค่ะ จะมีบอกลักษณะท่าทางสัญลักษณ์การให้คะแนนของกรรมการให้เห็น ส่วนพวกเรื่องคะแนนคงไม่งงกันเนอะ ถ้าใครงงนี่บอกเลยว่างงแล้วเราจะไปตอบให้เคลียร์ ฮา

    เอาล่ะ ทอล์คไว้แต่เพียงเท่านี้ อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว ถึงจะเริ่มเอื่อยและไม่สนุกอย่างไรก็อยู่ด้วยกันไปจนจบก่อนนะ TTvTT ลุยมาด้วยกันตั้งขนาดนี้แล้ว ฮึบๆ

    ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษรนะคะ รักสุดๆ ฝุดๆ ไปเลยยยย


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×