ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] Counter Attack Mankind

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 ดวงตาที่มุ่งมั่น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.4K
      87
      29 ส.ค. 57

     

    Counter Attack Mankind

    1

    ดวงตาที่มุ่งมั่น

                จากการที่กำแพงในเขตทรอสต์ ถูกไททันมหึมาพังจนทะลุเป็นช่องโหว่ปล่อยให้ไททันจำนวนมากบุกเข้ามาสังหารมนุษย์ อาร์มินจึงเสนอแผนการให้เอเลนแปลงร่างเป็นไททันทันแบกก้อนหินขนาดใหญ่ไปอุดช่องดังกล่าวเพื่อเป็นการสกัดกั้นไม่ให้ยักษ์ร้ายหลั่งไหลเข้ามาในดินแดนมนุษย์มากไปกว่านี้ แม้จะมีหลายคนคัดค้าน แต่ ดอท พิกซิส ผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยป้องกันกำแพงกลับเห็นด้วยกับความคิดนี้ จึงสั่งให้ทหารทุกคนคอยให้การคุ้มกันเอเลน ที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองระหว่างแบกก้อนหินได้ ดำเนินการปิดช่องกำแพงจนเป็นผลสำเร็จ แต่หลังจากภารกิจดังกล่าวลุล่วง เอเลนกลับถูกกองสารวัตรทหารนำตัวไปจองจำไว้ในคุกใต้ดิน เพื่อรอการพิจารณาโทษข้อหาเป็นภัยร้ายแรงต่อมนุษยชาติ

    แน่นอนว่าพิกซิสไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว เพราะเขามองว่าด้วยพลังของเอเลน ทำให้มีโอกาสชนะศัตรู โชคดีที่เอลวิน สมิธ ผู้บัญชาการหน่วยสำรวจได้เดินทางกลับเข้ามาในเมือง หลังจากฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว เขาก็มีแผนการดึงตัวเอเลนเข้ามาในหน่วยเพื่อจะได้ศึกษาและใช้ประโยชน์จากพลังของไททัน

    การสอบสวนดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด และเกือบจะเกิดเหตุการณ์วิกฤตเมื่อเอเลนโกรธในพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นบุคคลผู้สูงส่ง อาการเกรี้ยวกราดของเขาทำให้ไนล์บังเกิดความกลัวจนถึงกับออกคำสั่งให้ลูกน้องเล็งปืนไปยังเด็กหนุ่ม แต่รีไวเข้ามาแก้สถานการณ์ไว้ได้ทัน จากนั้นเอลวินจึงเสนอความคิดเรื่องการเดินทางไปยังเขตขิกันขิน่าร์ เพื่อค้นหาความลับของไททันที่ถูกฝังอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านเยเกอร์

    ด้วยความคิดนี่เองทำให้ ดาริอุส แซคเคลย์ ผู้บัญชาการสูงสุดเห็นด้วย เมื่อเสร็จสิ้นการสอบสวนเอเลนจึงได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมกับหน่วยสำรวจ โดยมีข้อแม้ว่าเขาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของ รีไว

    ในตอนแรก เอแลนยังคงถูกกักบริเวณ เพราะแม้จะถูกบรรจุให้เข้าไปอยู่ในหน่วยสำรวจแล้ว แต่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะหน่วยสารวัตรทหาร ยังคงหวาดระแวงในตัวเขา ไนล์ ดอร์ค ผบ.หน่วยถึงกับออกคำสั่งให้นำตัวเอเลนไปขังไว้ในคุกใต้ดินตามเดิมเลยด้วยซ้ำแต่ฮันซี่กลับแย้งหัวชนฝาและออกปากรับประกันด้วยตำแหน่งของตัวเองว่า เอเลนจะไม่มีวันกลายร่างเป็นไททันและไม่มีทางสร้างปัญหาให้กับใครแน่ๆ

    ไม้ดื้อชนิดหัวชนฝาของฮันซี่ ทำให้คนหัวแข็งอย่างไนล์ต้องยอมจำนน เขาจึงปล่อยให้เอเลนนอนพักบนห้องรับรองของหน่วยอย่างไม่เต็มใจนัก และออกคำสั่งห้ามทุกคนเข้าพบเอเลน ยกเว้นเอลวิน ฮันซี่และรีไว

    ระหว่างที่อยู่ตามลำพัง เอเลนรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากเพราะไม่คิดว่าเขาจะกลายร่างเป็นสิ่งที่ตนเองชิงชังรังเกียจอย่างไททันได้ เด็กหนุ่มพยายามคิดแล้วคิดอีกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่นอกจากภาพพร่ามัวของพ่อ กับคำสัญญาเรื่องห้องใต้ดินแล้ว เขาก็นึกอะไรไม่ออก พอคิดมากๆเข้าก็เริ่มหงุดหงิด เอเลนจึงเอาหัวโขกกำแพงเพื่อระบายความคับแค้นในใจ รีไวซึ่งเข้ามาเห็นพอดีจึงเอ่ยปากถาม

    “ทำอะไรของแก”

    เอเลนหยุดแต่ยังเอาหัวพิงผนังเอาไว้แบบนั้น ปล่อยให้เลือดสีแดงเข้มไหลผ่านหางตาลงไปยังแก้มจนถึงปลายคาง

    “ผมเครียดที่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงกลายเป็นไททัน”

    รีไวมองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาเรียวสีเทาเฉยชายากแก่การอ่าน

    “ทำแบบนั้นแล้วจะคิดออกเหรอ”

    “ไม่ครับ” เอเลนตอบอย่างปวดร้าว หัวหน้าทหารร่างเล็กจึงยืนกอดอกและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเชิงดูถูก

    “รู้ว่าไม่ แต่แกก็ยังอุตส่าห์ทำเรื่องโง่ๆนี่อยู่อีก”

    ช่างเป็นคำพูดประชดที่เหมือนกับมีดปักเข้าไปในหัวใจ เอเลนเม้มปากแน่นก่อนหันไปโต้

    “แล้วจะให้ผมทำยังไงละครับ”

    “เลิกทำตัวไร้สาระและเตรียมตัวออกเดินทาง” รีไวพูด “แกจะต้องไปที่ศูนย์บัญชาการเก่ากับฉันและฝึกเพื่อความพร้อมสำหรับการสำรวจครั้งต่อไป ฉันไม่สนหรอกว่าเด็กเหลือขออย่างแกจะเป็นมนุษย์หรือไททัน ขอแค่อย่าทำตัวเป็นภาระกับคนอื่นเท่านั้นก็พอ”     

    คำพูดของรีไวทำให้เอเลนต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน

    “ออกเดินทาง? ศูนย์บัญชาการของหน่วยสำรวจไม่ได้อยู่ในเมืองหรอกเหรอครับ”

    “ถ้าอยู่ในเมืองแล้วจะเรียกว่าหน่วยสำรวจได้ยังไง” รีไวพูดเสียงกระด้างพลางจ้องเด็กหนุ่มเขม็งก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้แกหยุดคิดเรื่องโง่ๆพวกนั้นแล้วพักผ่อนให้มากๆก็พอ”

    เขาหยุดพูดและมองเลือดที่แห้งเกรอะกรังบนใบหน้าของเอเลนแล้วขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก

    “สกปรกชะมัด”

    เด็กหนุ่มสะดุ้งและยกมือขึ้นแตะใบหน้าของตัวเองโดยอัตโนมัติ

    “อ๊ะ ! ขอโทษครับ ผมจะไปล้างเดี๋ยวนี้”

    “เดี๋ยว” รีไวร้องห้ามพร้อมกับยื่นห่อผ้าที่ถือมาด้วยไปข้างหน้า “ของแก”

    “อะไรเหรอครับ” ปากถามพร้อมกับรับมาถืออย่างงุนงง หัวหน้าทหารร่างเล็กนิ่วหน้าอย่างรำคาญใจ

    “ฉันต้องอธิบายให้ฟังทุกเรื่องเลยหรือไง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดจนเอเลนต้องรีบขยับถอยออกห่างเพราะกลัวว่าจะโดนลูกเตะมหากาฬซ้ำอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับหมุนตัวเดินตรงไปที่ประตูเสียเฉยๆ พอมือแตะลูกบิด รีไวก็เอี้ยวคอหันกลับมา

    “พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า”

    เหมือนเป็นคำสั่งกลายๆว่าให้เด็กหนุ่มรีบเข้านอน เอเลนจึงรีบยกกำปั้นข้างขวาขึ้นจรดบนอกเพื่อแสดงความเคารพก่อนเอ่ยปากขานรับ

    “ครับ”

    รีไวมองเด็กหนุ่มด้วยหางตาแต่ไม่ได้พูดอะไร พออีกฝ่ายพ้นจากห้องไปแล้ว เอเลนจึงรีบเปิดผ้าห่อนั้นและอ้าปากค้างเมื่อพบว่ามันเป็นเครื่องแบบของหน่วยสำรวจ

    “ปีกแห่งเสรี” เด็กหนุ่มพึมพำพลางลูบปีกนกสีน้ำเงินสลับขาวอันเป็นตราสัญลักษณ์ของหน่วยสำรวจ หัวใจบังเกิดความปลื้มปีติขึ้นมาอย่างท่วมท้น ในที่สุดเขาก็ได้เข้าร่วมกับหน่วยที่เคยใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก หน่วยที่ได้ก้าวออกจากกำแพงอันแสนอุดอู้ออกไปสู่โลกภายนอก หน่วยที่ได้ต่อสู้กับไททันเพื่ออิสรภาพของมนุษยชาติอย่างแท้จริง

    “เราทำสำเร็จแล้ว” เอเลนพูดกับตัวเองด้วยความดีใจ

    การเดินทางเริ่มขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นตั้งแต่แสงอรุณยังไม่จับขอบฟ้า หน่วยพิเศษอันมี รีไว กุนเทอร์ เอลโด้ ออรูโอ้และเพตร้า ได้ควบม้าพาเอเลนออกจากเมืองผ่านเนินเขาเตี้ยไปจนถึงป่าทึบอันมีต้นสนขนาดยักษ์ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ใบสีเขียวสดของมันช่วยบดบังความร้อนของแสงอาทิตย์มิให้สาดส่องลงมายังร่างของคนทั้งหก ด้วยระยะทางของศูนย์บัญชาการที่ห่างไกลจากชุมชนทำให้ใช้เวลาเดินทางนานกว่าที่คิดเอาไว้ กระนั้นเอเลนก็ยังมีโอกาสได้ชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติรอบตัวได้บ้าง หลายครั้งที่เขาเห็นนกป่าสีสวยสะบัดปีกโบยบินอยู่ท่ามกลางแมกไม้สีเขียวขจีเพราะตกใจเสียงกีบม้ากระทบกับผืนดินดังกุบกับ เด็กหนุ่มยิ้มและหลับตาลงอย่างอิ่มสุขเมื่อสัมผัสกับลมเย็นที่มาปะทะกับใบหน้า

    อา...เขากำลังควบม้าอยู่กลางป่า กับหน่วยที่ได้ชื่อว่าแกร่งที่สุดของมวลมนุษยชาติ มุ่งหน้าตรงไปยังศูนย์บัญชาการหน่วยสำรวจที่เฝ้าใฝ่ฝันมาโดยตลอด เอเลนคิดอย่างปลาบปลื้ม อิ่มเอม กำลังเคลิบเคลิ้มกับความรู้สึกดังกล่าวจู่ๆแผ่นหลังเขาก็ร้อนวาบขึ้นมาเหมือนโดนเล็กแหลมทิ่มแทง พอหันไปมอง เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าความรู้สึกดังกล่าวมาจากสายตาของชายร่างเล็กที่ควบม้าตามมาข้างหลัง

    หัวหน้ารีไว

    เด็กหนุ่มรีบหันหน้ากลับไปมองทางตามเดิม เพราะสายตาที่เย็นชาของคนข้างหลังทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบซึ่งเอเลนไม่แน่ใจว่าเป็นความหวาดหวั่นหรือเกรงกลัว แต่สิ่งหนึ่งที่เอเลนแน่ใจก็คือ หากเขาเกิดกลายร่างเป็นไททันในตอนนี้ รีไวคงลงมือสังหารเขาทันทีโดยไม่มีการลังเล

    “เฮ่ย ตาน่ะมองทางด้วยสิไอ้หนู” เสียงชายที่ควบมาเคียงข้างมาโดยตลอดดังขึ้น เอเลนสะดุ้งและรีบปฏิบัติตามคำสั่งทันที กระนั้นก็ยังไม่วายชำเลืองตามองคนพูดที่ยังคงจ้องมาด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก เขาเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างสูง ผมหยิกหยักศกแต่ตัดสั้นจนแทบจะเป็นทรงเดียวกับรีไว ไม่ใช่แค่ทรงผม การแต่งตัวหรือแม้แต่วิธีการพูดของเขาเลียนแบบรีไวมาทุกกระเบียดนิ้ว ตอนอยู่ในเมือง ระหว่างการเตรียมม้า เอเลนเคยเจอกับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด ผู้ชายคนนี้ก็คือออรูโอ้

    “อย่ามัวแต่เหม่อสิ” ออรูโอ้พูด พอเห็นเด็กหนุ่มกลับไปให้ความสนใจกับการควบม้า เขาก็พล่ามต่อ “ทางไปศูนย์บัญชาการยังอยู่อีกไกล ขืนมัวแต่อ้อยอิ่งมีหวังได้ค่ำก่อนถึงกันพอดี”

    “เอ้อ...” เอเลนเอ่ยปากอย่างลังเลก่อนตัดสินใจถาม “ทำไมศูนย์บัญชาการถึงอยู่กลางป่าแบบนี้ละครับ”

    ออรูโอ้ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเหมือนให้ดูว่าเขาเป็นคนสลักสำคัญก่อนเริ่มต้นสาธยาย

    “เคยเป็นน่ะ” เขาพูด “อดีตฐานบัญชาการหน่วยสำรวจก็แค่ดัดแปลงมาจากปราสาทโบราณเท่านั้นแหละ มันอาจจะดูน่าประทับใจ แต่ฐานบัญชาการที่อยู่ห่างจากแม่น้ำและกำแพงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับหน่วยสำรวจหรอก ตอนแรกมันถูกใช้แค่เป็นสถานที่รวบรวมคนที่มีความตั้งใจแรงกล้า พอเบื้องบนมีคำสั่งให้ย้าย ที่นี่ก็ถูกทิ้งร้าง แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเราจะได้กลับมาใช้อีกครั้งในฐานะสถานที่ที่เอาไว้ซ่อนตัวนาย”

    เอเลนไม่ได้ฟังสิ่งที่ออรูโอ้พูดเท่าใดนัก เพราะแผ่นหลังที่ร้อนวาบทำให้เขาต้องขยับตัวเพื่อให้คลายความอึดอัดก่อนจะค่อยๆหันหน้ากลับไปมองรีไว อีกฝ่ายยังคงจ้องเขม็งมายังเด็กหนุ่มด้วยดวงตาสีเทาที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร พอเห็นดังนั้นออรูโอ้ก็บังเกิดความไม่พอใจขึ้นมาในทันที

    “อย่าได้ใจไปล่ะ ไอ้เด็กใหม่” เขาโพล่งออกมาด้วยความหมั่นไส้ แน่ละ ใครจะไปยอมให้เจ้าทหารที่เพิ่งเรียนจบตกเป็นเป้าสนใจของหัวหน้ารีไวคนสำคัญ เอเลนเองก็เหมือนจะรู้ดีว่ากำลังโดนเขม่น จึงรีบรับคำเบาๆ

    “ครับ”

    “จะไททันหรืออะไรก็ไม่รู้ละ” ออรูโอ้พูดพลางบังคับม้าของตัวเองให้วิ่งเทียบข้างในขณะเดียวกันก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “เราไม่ปล่อยให้หัวหน้ารีไวต้องมาคอยดูแลไอ้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำน....”

    ยังไม่ทันจบประโยค ม้าที่นั่งอยู่เกิดสะดุดกับก้อนหิน ปากที่กำลังขยับของออรูโอ้จึงกระแทกกันเป็นเหตุให้ฟันกัดลิ้นจนเป็นแผลเลือดไหลออกมาเป็นทาง

    “โอ๊ย!!!!

    จอมปากมากร้องลั่นจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ทั้งหมดควบม้าต่อไปโดยไม่สนทนาต่อกันอีกครู่ใหญ่ ยอดปราสาทก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมู่แมกไม้ เอเลนจ้องด้วยหัวใจเต้นระทึก ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นอดีตศูนย์บัญชาการ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยสำรวจ และเขาจะต้องใช้ชีวิตกับกลุ่มคนอันแข็งแกร่งอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าจะต้องเผชิญกับการฝึกหรือการทดสอบอะไรก็ตาม เด็กหนุ่มก็พร้อมรับกับสิ่งเหล่านั้นด้วยความเต็มใจ ช่วงที่กำลังคิดอะไรวุ่นวายอยู่นั้นเอง เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา

    “ถึงเสียที”

    น้ำเสียงฟังเหมือนโล่งอก พอเหลือบตามองเอเลนจึงรู้ว่าคนพูดเป็นชายตัวสูงผมสีทองที่ไว้เคราน้อยๆพองาม หากจำไม่ผิด ดูเหมือนเขาคนนี้จะมีชื่อว่า เอลโด้ ดวงตาที่มองตรงไปข้างหน้าทำให้เอเลนต้องเลื่อนสายตามองตาม นั่นเองจึงรู้ว่าตอนนี้ทั้งหมดกำลังล่วงเข้าสู่ลานกว้างหน้าปราสาทหลังมหึมา

    “เหนื่อยชะมัด” เสียงกุนเทอร์เปรยขึ้นมาเบาๆและปิดปากเงียบอย่างฉับพลันเมื่อเห็นสายตาคมกริบของรีไว แต่หัวหน้าทหารร่างเตี้ยก็ไม่ได้กล่าวตำหนิออกมาสักคำ นอกจากจะชำเลืองไปทางเอเลนและบังคับม้าให้ตรงไปยังคอกซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตัวปราสาทเท่าใดนัก เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว กุนเทอร์ซึ่งมีตำแหน่งอาวุโสที่สุดจึงออกคำสั่ง

    “ให้เวลาพักสิบนาที แล้วไปรวมกันที่หน้าปราสาท เรามีงานต้องทำอีกมาก”

    พอลงจากหลังม้า สิ่งแรกที่ออรูโอ้ทำก็คือตรวจดูแผลในปาก เมื่อเห็นว่าไม่เป็นอะไรมากจึงหยิบถุงหนังจากอานม้ามารินใส่ถ้วยและไถลไปนั่งที่บันไดหิน ซดน้ำไปได้สองสามอึกเพตร้าซึ่งตามมาดูด้วยความเป็นห่วงจึงเอ่ยปากถาม

    “เป็นยังไง”

    ออรูโอ้ยักไหล่อย่างวางมาดก่อนตอบด้วยท่าทางยโส

    “คนอย่างฉัน ไม่ยี่หระกับแผลแค่นี้หรอก”

    เพตร้ามองอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้

    “ทำเป็นปากดี เพราะพูดมากระหว่างขี่ม้าไม่ใช่เหรอ ถึงได้กัดลิ้นตัวเอง”

    “ฉันกำลังสั่งสอนเจ้าเด็กใหม่นั่นต่างหาก” ออรูโอ้เถียง “ความประทับใจแรกคือสิ่งสำคัญที่เราควรทำกับคนที่เพิ่งเข้ามาในทีม”

    เอเลนเงี่ยหูฟังการสนทนาระหว่างเพตร้ากับออรูโอ้พลางตรวจดูม้าของตัวเองไปพลาง แน่นอนว่าเขารู้สึกประทับใจกับทีมพิเศษของหน่วยสำรวจ แต่ไม่ใช่การพูดจาแบบยกตนข่มท่านอย่างที่ชายผู้ชอบทำตัวเลียนแบบรีไวนั่นบอก หากเป็นความสามารถเหนือชั้นของพวกเขาแต่ละคน

    คิดพลางหันไปมองเพตร้า รัล สาวผมทองอายุน้อยที่สุดของทีม เห็นตัวเล็กแบบนี้แต่ฝีมือกลับโดดเด่นจนน่ากลัว เพราะเธอสามารถสังหารไททันด้วยฝีมือของตัวเองไป 10 ตัว และร่วมจัดการพร้อมกับทีมไปได้ 46 ตัว ส่วนชายปากมากที่ชื่อว่า ออรูโอ้ โบซัค ถึงแม้จะขี้เก๊กและวางท่าเหมือนเห็นคนสำคัญ สามารถฆ่าไททันไปแล้วถึง 39 ตัวในขณะที่เอลโด้ จิน ทำได้ 14 ตัว ส่วนกุนเทอร์ที่ดูเงียบขรึมที่สุด กำจัดไททันตามลำพังได้ 7 ตัว แต่มีส่วนร่วมกับทีมในการสังหารไปได้ถึง 40 ตัว

    สุดยอดของสุดยอดทหาร เอเลนคิดด้วยความรู้สึกชื่นชมและหวาดหวั่นไปในคราวเดียวกัน นี่เป็นคนที่หัวหน้ารีไวคัดเลือกเองกับมือ และพวกเขาทั้งหมดก็พร้อมที่จะลงมือสังหารเขาได้ทันที หากควบคุมตัวเองไม่ได้และกลายร่างเป็นไททันขึ้นมา นึกถึงตรงนี้แล้วเอเลนถึงกับตัวสั่น เด็กหนุ่มรีบสูดลมหายใจเข้าเพื่อขับไล่ความวิตกกังวลทั้งหมดออกไป ไม่! เขาจะต้องมีความกล้า และต้องบังคับตัวเองให้ได้ และจะต้องฝึกฝนตัวเองให้แกร่งขึ้น เพื่อเป้าหมายเดียวเท่านั้นคือ กำจัดไททันให้หมดไปจากโลกนี้

    พักผ่อนกันพอหายเหนื่อยแล้ว ภารกิจแรกของทีมพิเศษคือ ทำความสะอาดปราสาททั้งหลัง นั่นเองที่ทำให้เอเลนได้รู้ถึงตัวตนหลายอย่างของหัวหน้ารีไว อย่างแรกคือเขาเป็นคนที่เกลียดฝุ่น ผงและความสกปรกทั้งหลายชนิดเข้าไส้ อีกอย่างที่ได้ฟังมาจากเพตร้าก็คือ บุรุษผู้แข็งแกร่งคนนี้เคยเป็นหัวหน้าของเหล่าอาชญากรในเมืองใต้ดิน

    มิน่า เขาถึงดูเย็นชา ใช้คำพูดแข็งกระด้าง แถมยังมีท่าทางที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครเท่าใดนัก น่าแปลกก็คือ แม้จะเคยเป็นคนจำพวก ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่กลับปฏิบัติตัวตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเอลวินอย่างเคร่งครัด และนั่นเองที่ทำให้เอเลนอยากจะทำความรู้จักกับหัวหน้ารีไวให้มากกว่านี้ เขาตั้งใจว่าจะขออนุญาตพูดคุยด้วยสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงในห้องนั่งเล่น แต่พอรู้ว่าตัวเองต้องลงไปนอนในห้องใต้ดินของปราสาทแล้ว เด็กหนุ่มต้องยืนคอตกด้วยความผิดหวัง เพราะนั่นย่อมหมายความว่า เขาจะต้องโดนจองจำด้วยโซ่ตรวนทั้งข้อมือและข้อเท้าเหมือนกับตอนที่โดนขังอยู่ในคุกของสารวัตรทหาร

    โชคดีที่การทำความสะอาดเสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็ว หลังจัดการมื้อค่ำ ทั้งหมดก็นั่งสนทนากันในห้องพักผ่อน เอลโด้ได้ถามเอเลนถึงสาเหตุที่กลายเป็นไททัน ซึ่งเด็กหนุ่มเองก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ จึงพูดได้แค่เพียงว่า เขาสามารถแปลงร่างได้โดยการกัดมือ และมีความมุ่งมั่นกับบางสิ่ง ระหว่างที่อธิบายอยู่นั้น เอเลนก็หยุดและขมวดคิ้วอย่างนึกแปลกใจว่า เหตุใดจึงจำเรื่องนี้ได้ สีหน้าของเขาทำให้รีไวตัดบท

    “เรื่องนั้นพวกนายก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

    เอลโด้นิ่ง เพราะรู้ดีว่าหัวหน้าของเขาหมายถึง ก่อนเดินทางมายังศูนย์บัญชาการ พวกตนทั้งสี่ได้รับคำอธิบายจากฮันซี่มาคร่าวๆแล้วว่า เอเลนแปลงร่างเป็นไททันได้อย่างไร พอเห็นลูกน้องไม่พูดอะไรอีก รีไวจึงเบนความสนใจกลับไปที่เอเลน

    “จะยังไงก็ช่าง ฉันว่าแกควรอยู่ห่างๆจากเธอคนนั้นจะดีกว่า”

    พูดพลางยกถ้วยชาขึ้นดื่มด้วยวิธีการจับที่ไม่เหมือนใคร เพราะมันเป็นการวางนิ้วรอบปากถ้วย ซึ่งโดยปรกติทั่วไปแล้ว จะจับที่ตัวหรือหูถ้วยมากกว่า เอเลนมองด้วยความทึ่งก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างสงสัย

    “หมายถึงใครเหรอครับ”

    ยังไม่ทันจบประโยค ประตูห้องก็ถูกกระแทกเสียงดังโครม เหมือนใครบางคนเดินมาชน พอเพตร้าปลดดาลออกปล่อยให้คนข้างนอกก้าวเข้ามา เด็กหนุ่มจึงรู้ว่า เธอคนนั้นที่รีไวพูดถึงคือฮันซี่ โซ หัวหน้าหมู่สติเฟื่องของหน่วยสำรวจ

    “สวัสดีจ้าหนุ่มๆ ดีจังที่ได้อยู่ในปราสาทใหญ่โตแบบนี้ ขอฉันมาอยู่ด้วยคนจะได้ไหม” ฮันซี่เอ่ยปากทักทายอย่างร่าเริงตามนิสัย แต่รีไวกลับพูดด้วยสีหน้าเฉยชา

    “มาเร็วนี่”    

    “แหม ก็ฉันคิดถึงคนสำคัญของเรานี่นา” ฮันซี่ตอบพร้อมกับเลื่อนสายตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะ “ไงจ๊ะเอเลน” 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×