ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกียรติคุณสุนทรภู่

    ลำดับตอนที่ #14 : ▣ พระอภัยมณี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.04K
      0
      25 ม.ค. 57


    นื้อหาในเรื่อง พระอภัยมณี นอกจากมีความแปลกใหม่ด้านเค้าโครงเรื่อง แต่ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่แสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ของผู้ประพันธ์ว่ามีความรู้กว้างขวางและละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง นักวิชาการส่วนมากลงความเห็นพ้องกันว่า สุนทรภู่ได้รับแรงบันดาลใจมากมายจากวรรณคดีโบราณทั้งของไทยและของต่างประเทศ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัสว่า "เรื่องพระอภัยมณี สุนทรภู่ตั้งใจแต่งโดยประณีตทั้งตัวเรื่องและถ้อยคำสำนวน ส่วนตัวเรื่องนั้นพยายามตรวจตราหาเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังสือต่างๆ บ้าง เรื่องที่รู้โดยผู้อื่นบอกเล่าบ้าง เอามาตริตรองเลือกคัดประดิษฐ์ติดต่อแต่ง ประกอบกับความคิดของสุนทรภู่เอง" ประจักษ์ ประภาพิทยากร กล่าวว่า "วรรณคดีที่สุนทรภู่อาศัยเค้ามานั้น มีทั้งวรรณคดีจีน ชวา ไทย แขก พร้อมมูล วรรณคดีที่กล่าวมานี้สุนทรภู่ต้องรู้ดีแน่" หรือ สุรีย์ พงศ์อารักษ์ กล่าวถึง พระอภัยมณี ว่า "เนื้อเรื่องส่วนใหญ่แตกต่างจากวรรณคดีไทยแนวจักรๆ วงศ์ๆ ทั่วไป เค้าโครงเรื่องได้มาจากวรรณคดีต่างๆ ของไทยและวรรณคดีต่างประเทศหลายเรื่อง เช่น เรื่องอาหรับราตรี เรื่องไซ่ฮั่น เป็นต้น รวมถึงเค้าเรื่องจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ในชีวิตของสุนทรภู่ และจินตนาการที่ผสมผสานผูกร้อยเข้าด้วยกัน" เค้าโครงจากวรรณกรรมต่างประเทศนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า เค้าเรื่องที่มาจากอาหรับราตรี ของเซอร์ริชาร์ด เบอร์ตัน คือนิทานว่าด้วยเรื่องของกษัตริย์ชาติอิสลามไปตีเมืองซึ่งนางพระยาเป็นคริสตัง เมื่อพบกันในสนามรบก็เกิดรักกัน ทำนองเดียวกับที่พระอภัยมณีพบนางละเวงวัณฬาในสนามรบ ส่วนเค้าโครงที่มาจากไซ่ฮั่น คือส่วนที่ว่าด้วยเพลงปี่ของเตียวเหลียง ผู้วิเศษที่ชำนาญการเป่าปี่แก้วจนอาจสะกดผู้คนได้ ทำนองเดียวกับวิชาปี่ของพระอภัยมณี  นอกจากนี้ยังมีความเห็นจากนักวิชาการอื่นอีกหลายท่านล้วนลงความเห็นไปในทางเดียวกันทั้งสิ้น
              เนื้อหาส่วนใหญ่ของเรื่องเกิดขึ้นในทะเล นับแต่ถ้ำนางผีเสื้อสมุทร เกาะแก้วพิสดาร เมืองรมจักร เมืองการะเวก เมืองผลึก และเมืองลังกา ล้วนไปมาหาสู่กันได้จากทางทะเลเท่านั้น รายละเอียดการเดินทางในทะเลแต่ละครั้งจะมีการบรรยายอย่างละเอียด มีการบรรยายถึงสัตว์น้ำต่างๆ การบรรยายถึงการดูดาว การบรรยายถึงสถานที่ซึ่งอิงกับนิทานปรัมปรา สิ่งต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า หากสุนทรภู่มิได้ไปเห็นด้วยตัวเอง ก็ต้องได้อ่านและได้ฟังมาอย่างมากเหลือเกิน จนสามารถกลั่นกรองและคัดเลือกมานำเสนอได้อย่างเหมาะเจาะ

    พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา

     
        ๏ แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์
    สมมุติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์   ผ่านสมบัติรัตนานามธานี
    อันกรุงไกรใหญ่ยาวสิบเก้าโยชน์   ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี
    สพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี   ชาวบูรีหรรษาสถาวร
    มีเอกองค์นงลักษณ์อรรคราช   พระนางนาฎนามประทุมเกศร
    สนมนางแสนสุรางคนิกร   ดังกินนรน่ารักลักขณา
    มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์   ประไพพักตรเพียงเทพเลขา
    ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา   พึ่งแรกรุ่นชัณษาสิบห้าปี
    อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้องๆ   เนื้อดังทองนพคุณจำรุญศรี
    พึ่งโสกันต์ชัณษาสิบสามปี   พระชนนีรักใคร่ดังไนยยา
    สมเด็จท้าวปิตุรงค์ดำรงราชย์   แสนสวาทลูกน้อยเสนหา
    จะเษกสองครองสมบัติขัตติยา   แต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ
    จึงดำรัสเรียกพระโอรสราช   มาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร
    พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณ   อันชายชาญเชื้อกษัตริย์ขัตติยา
    ย่อมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวท   สิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา
    ได้ป้องกันอันตรายนัครา   ตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ
    พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์   จงรีบรัดเสาะแสวงแห่งสถาน
    หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญ   เป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ
     
    ๏ บัดนั้นพี่น้องสองกษัตริย์   ประนมหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา
    จึงทูลความตามจิตต์เจตนา   ลูกคิดมาจะประมาณก็นานครัน
    หวังแสวงไปตำแหน่งสำนักปราชญ์   ซึ่งรู้ศาสตราเวทวิเศษขยัน
    ก็สมจิตต์เหมือนลูกคิดทุกคืนวัน   พอแสงจันทร์แจ่มฟ้าจะลาจร
    แล้วก้มกราบปิตุราชมาตุรงค์   ทั้งสององค์ลูบหลังแล้วสั่งสอน
    จะเดินทางไกลในป่าพนาดอน   จงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ
    จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้ง   จนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร
    แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาล   อดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย
    พระพี่น้องสององค์ทรงสดับ   เคารพรับบังคมด้วยสมหมาย
    พระเชษฐาบัญชาชวนน้องชาย   มาทรงสานสาคเรศบนเตียงรอง
    แล้วแต่งองค์สอดทรงเครื่องกษัตริย์   เนาวรัตน์เรืองศรีไม่มีสอง
    แล้วลีลามาสถิตบนแท่นทอง   จนย่ำฆ้องสุริยนสนธยา
    จึงชวนกันจรจรัลจากสถาน   ออกทวารเบื้องบูรพาทิศา
    ศศิธรจรแจ้งกระจ่างตา   ทั้งสองราเดินเรียงมาเคียงกัน ฯ
     
    ๏ ล่วงตำบลชนบาทไปหลายบ้าน   เข้าดอนด่านแดนไพรพอไก่ขัน
    เสียงเสือกวางกลางเนินพนมวัน   ให้หวั่นหวั่นวังเวงหวาดฤทัย
    จนแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า   พระสุริยาเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล
    คณนกเริงร้องคนองไพร   เสียงเรไรจักระจั่นสนั่นเนิน
    ทั้งสององค์เหนื่อยอ่อนเข้าผ่อนพัก   หยุดสำนักลำเนาภูเขาเขิน
    ครั้นหายเหนื่อยเมื่อยล้าอุสาห์เดิน   พิศเพลินมิ่งไม้ในไพรวัน
    บ้างผลิดอกออกผลพวงระย้า   ปีบจำปาสุกรมสวรรค์
    พระอภัยมีศรีสุวรรณ   ต่างชิงกันเก็บพลางตามทางมา
    พระพี่เก็บกาหลงส่งให้น้องๆ   เดินประคองเคียงกันด้วยหรรษา
    พระน้องเก็บมุลลีให้พี่ยา   ทั้งสองราเดินดมแล้วชมเชย
    เห็นมะม่วงผลพึ่งสุกห่าม   ทำไม้ง่ามน้อยน้อยสอยเสวย
    อร่อยหวานปานเปรียบสรนมเนย   อิ่มแล้วเลยล่วงทางมากลางดง
    ครั้งสิ้นแสงสุริยทิพากร   สำนักนอนเนินผาป่าระหง
    ทั้งสองแสนเหนื่อยยากลำบากองค์   บาทบงส์บวมบอบระบมตรม
    พระเชษฐาอาไลยถึงไอศวรรย์   กับกำนัลน้อยน้อยนางสนม
    น้องคนึงถึงพี่เลี้ยงแลนางนม   กับบรมปิตุเรศพระมารดา ฯ
     
    ๏ สิบห้าวันเดินในไพรสณฑ์   ถึงตำบลบ้านหนึ่งใหญ่นักหนา
    เรียกว่าบ้านจันตคามพราหมณ์พฤฒา   มีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน
    อาจารย์หนึ่งขำนาญในการปี่   ทั้งดีดสีแสนเสานะเราะหนักหนา
    ผู้ใดได้ฟังวังเวงในวิญญา   เคลิ้มนิทราลืมกายดังวายปราณ
    อันสองท่านราชครุนั้นอยู่ตึก   จดจารึกอักขราไว้หน้าบ้าน
    เป็นข้อความตามมีวิชาการ   แสนชำนาญเลิศลบภพไตร
    แม้ผู้ใดใครจะเรียนวิชามั่ง   จงอ่านหนังสือแจ้งแถลงไข
    ถ้ามีทองแสนตำลึงมาถึงใจ   จึงจะได้ศึกษาวิชาการ ฯ
     
    ๏ วันนั้นพระอภัยมณีศรีสุวรรณ   จรจรัลเข้ามาถึงหน้าบ้าน
    เห็นลิขิตปิดไว้กับใบทวาร   พระทรงอ่านแจ้งจิตต์ในกิจจา
    อันท่านครูอยู่ตึกตำแหน่งนี้   ฝีปากปี่เป่าเสนาะเพราะหนักหนา
    จึงดำรัสตรัสแก่พระน้องยา   อันวิชาสิ่งนี้พี่ชอบใจ
    แต่เที่ยวดูเสียให้รู้ทั้งย่านบ้าน   ท่านอาจารย์ยังจะมีอยู่ที่ไหน
    ตรัสพลางย่างเยื้องครรไลไป   ถึงตึกใหญ่ที่ครูอยู่สำนัก
    เห็นแผ่นผาจารึกลายลิขิต   เข้ายืนชิดอ่านดูรู้ประจักษ์
    ท่านอาจารย์การกระบองก็คล่องนัก   ได้ทองหนักแสนตำลึงจึงได้เรียน
    จึงบัญชาว่ากับพระน้องแก้ว   พ่อเห็นแล้วเหนือที่ลายลิขิตเขียน
    สองอาจารย์ปานดวงแก้ววิเชียร   เจ้ารักเรียนที่ท่านอาจารย์ใด
    อนุชาว่าการกลศึก   น้องนี้นึกรักมาแต่ไหนไหน
    ถ้าเรียนรู้รำกระบองได้ว่องไว   จะชิงไชยข้าศึกไม่นึกเกรง
    พระเชษฐาว่าจริงแล้วเจ้าพี่   วิชามีแล้วใครไม่ข่มแหง
    แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลง   หมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง
    ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลก   ได้ดับโศกศูนย์หายทั้งชายหญิง
    แต่ขัดสนจนจิตต์คิดประวิง   ด้วยทรัพย์สิ่งหนึ่งนี้ไม่มีมา ฯ
     
    ๏ ศรีสุวรรณปัญญาฉลาดแหลม   จึงยิ้มแย้มเยื้อนตอบพระเชษฐา
    ธำมรงค์เรือนมณีมีราคา   จะคิดค่าควรแสนตำลึงทอง
    พอบูชาอาจารย์เอาต่างทรัพย์   เห็นจะรับสอนสั่งเราทั้งสอง
    อันตัวน้องนี้จะอยู่ด้วยครูกระบอง   หัดให้คล่องเชี่ยวชาญชำนาญดี
    ขอพระองค์จงเสด็จไปท้ายบ้าน   อยู่ศึกษาอาจารย์ข้างดีดสี
    ครั้นเสร็จสมปรารถนาไม่ช้าที   จะตามพี่ไปหาที่อาจารย์
    พระอภัยได้คิดถึงคำน้อง   ต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
    เข้าหยุดยั้งสั่งเสียกันเสร็จการ   กลับไปหาอาจารย์ดังใจนึก
    ศรีสุวรรณกุมารชาญฉลาด   ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างตึก
    เห็นภูมิฐานเคหาโอฬารึก   ทั้งที่ฝึกสอนสานุศิษย์มี
    มองเขม้นเห็นพราหมณ์พฤฒาเฒ่า   กระหมวดเกล้าเอนหลังนั่งเก้าอี้
    ดูรูปร่างอย่างเยี่ยงพระโยคี   กระบองสี่ศอกวางไว้ข้างกาย
    ก็แจ้งว่าอาจารย์เจ้าของตึก   เห็นสมนึกเหมือนจิตต์ที่คิดหมาย
    กระทั่งไอให้เสียงเป็นแยบคาย   แล้วก้มกายเข้าไปหาท่านอาจารย์ ฯ
     
    ๏ ฝ่ายพราหมณ์พรหมโบราณอาจารย์เฒ่า   เป็นพงศ์เผ่าพฤฒามหาศาล
    ชำเลืองเนตรแลดูเห็นกุมาร   ศรีสัณฐานผุดผ่องดังทองทา
    ดูแน่งน้อยรูปร่างเหมือนอย่างหุ่น   พึ่งแรกรุ่นน่ารักเป็นนักหนา
    อร่ามเรืองเครื่องประดับระยับตา   ก็รู้ว่ากษัตริย์ขัตติยวงศ์
    จึงขยดลดเลื่อนลงนั่งใกล้   แล้วถามไต่ข้อความตามประสงค์
    มีธุระอะไรในใจจง   เจ้าจึงตรงมาหาจงว่าไป ฯ
     
    ๏ หน่อกษัตริย์ขัตติยวงศ์ทรงสดับ   น้อมคำนับเล่าแจ้งแถลงไข
    พระบิดาห้าบำรุงซึ่งกรุงไกร   บัญชาให้เที่ยวหาวิชาการ
    จึงดั้นด้นเดินเนินป่ามาถึงนี่   พอเห็นมีอักขราอยู่หน้าบ้าน
    รู้ว่าท่านพฤฒาเป็นอาจารย์   ขอประทานพากเพียรเรียนวิชา
    แต่โปรดเกล้าคราวมาข้ายากแค้น   อันทองแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา
    ธำมรงค์เรือนมณีฉันมีมา   ตีราคาควรแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา
    แล้วถอดแหวนวงน้อยที่ก้อยขวา   ให้พฤฒาทดแทนคุณสนอง
    ตาพราหมณ์เฒ่าเอาสำลีประชีรอง   ขอดประคองไว้ในผมให้สมควร
    แล้วไต่ถามนามวงศ์ถึงพงศา   สนทนาปรีดิ์เปรมเกษมสรวล
    อยู่เคหาตาพราหมณ์ไม่ลามลวน   ครั้งค่ำชวนหน่อไทเข้าไสยา
    ถึงยามดึกฝึกสอนในการยุทธ   เพลงอาวุธอาบดั้งให้ตั้งท่า
    กระบองกระบี่ถี่ถ้วนทุกวิชา   ค่อยศึกษาตั้งใจจะให้ดี ฯ
     
    ๏ ฝ่ายเชษฐามาที่ท้ายบ้าน   ก็เข้าหาอาจารย์ที่ดีดสี
    เอาธำมรงค์ทรงนิ้วดัชนี   ให้พราหมณ์ตีค่าแสนตำลึงทอง ฯ
     
    ๏ ฝ่านครูเฒ่าพินทรพราหมณ์รามราช   แสนสวาทรักใคร่มิได้หมอง
    ให้ข้าไทใช้สอยคอยประคอง   เข้าในห้องหัดเพลงบันเลงพิณ
    แล้วพาไยอดเขาให้เป่าปี่   ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น
    แต่เสือช้างกล่างไพรถ้าได้ยิน   ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง
    ประมาณเสร็จเจ็ดเดือนโดยวิถาร   พระกุมารได้สมอามรณ์หวัง
    สิ้นความรู้ครุประสิทธิ์ไม่ปิดบัง   จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล
    ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ   จะรบรับสารพัดให้ขัดสน
    เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน   ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
    คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส   เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
    ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ   จึงคิดอ่านเอาไชยเหมือนใจจง
    แล้วให้ปี่ที่เพราะเสนาะเสียง   ยินสำเนียงถึงไหนก็ไหลหลง
    อวยพรพลางทางหยิบธำมรงค์   คืนให้องค์กุมาราแล้วว่าพลัน
    ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน   เพราะหวงแหนกำชับไว้ขับขัน
    ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ   จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา
    ต่อกษัตริย์เศรษฐีที่มีทรัพย์   มาคำนับจึงได้ดังปรารถนา
    จงคืนเข้าบุรีรักษ์นัครา   ให้ชื่นจิตต์พระบิดาและมารดร ฯ
     
    ๏ หน่อกษัตริย์โสมนัสด้วยสมนึก   จดจารึกคำท่านอาจารย์สอน
    พิไรร่ำอำลาด้วยอาวรณ์   แล้วบทจรจากบ้านอาจารย์ตน ฯ
     
    ๏ ฝ่ายนฤบดีศรีสุวรรณ   ก็เข้มขันกลศึกที่ฝึกฝน
    ทั้งโล่ห์เขนเจนจัดหัดประจญ   ในการกลอาวุธสุดทำนอง
    จนหมดสิ้นความรู้ท่านครูเฒ่า   จึงเรียกเจ้าเข้ามานั่งสองต่อสอง
    เลือกล้วนเหล็กมุลลีตีกระบอง   ให้เป็นของคู่หัตถ์กษัตรา
    ทั้งธำมรงค์วงนั้นก็คืนได้   แถลงไขข้อความตามปฤศนา
    เหมือนอาจารย์คนนั้นที่พรรณรา   แล้วพฤฒาอวยไชยไปจงดี
    หน่อกษัตริย์สุริวงศ์ทรงสดับ   น้อมคำนับปรีดิ์เปรมเกษมศรี
    ครรไลลาอาจารย์จรลี   ตามวิถีแถวทางถนนมา
    พอมาพบพี่ชายที่ท้ายบ้าน   สองสำราญสรวลสันต์แล้วหรรษา
    ต่างเล่าความตามที่เรียนรู้วิชา   แล้วพี่พาน้องเดินดำเนินไป
    ออกจากบ้านจันตคามข้ามทิวทุ่ง   หมายตรงกรุงรัตนาเข้าป่าใหญ่
    สิบห้าวันบรรลุถึงเวียงไชย   พอท้าวไทยสุทัศน์กษัตรา
    ออกแท่นทองท้องพระโรงจำรูญศรี   แสนเสนีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา
    พระพี่น้องสององค์ก็ตรงมา   เฝ้าบิดาที่ท้องพระโรงไชย ฯ
     
    ๏ กรุงกษัตริย์สุริยวงศ์พระทรงยศ   เห็นโอรสยินดีจะมีไหน
    เรียกมานั่งข้างแท่นทองประไพ   แล้วถามไถ่ทุกข์ยากเมื่อจากวัง
    หนึ่งพี่น้องสองเสาะแสวงหา   ได้วิชาเสร็จสมอารมณ์หวัง
    หรือปลดเปล่าเล่าให้บิดาฟัง   พ่อนี้นั่งคอยท่าทุกราตรี ฯ
     
    ๏ พระพี่น้องสององค์ทรงสวัสดิ์   ประสานหัตถ์น้อมประณตบทศรี
    พระเชษฐาทูลแถลงแจ้งคดี   ลูกเรียนกลดนตรีชำนาญชาญ
    ศรีสุวรรณนั้นเรียนในการยุทธ   เพลงอาวุธเข้มแข็งกำแหงหาญ
    ทั้งสองสิ่งยิ่งยอดวิชาการ   ใครจะปานเปรียบได้นั้นไม่มี ฯ
     
    ๏ ท้าวสุทัศน์ฟังอรรถโอรสราช   บรมนาถขัดข้องให้หมองศรี
    โกรธกระทืบบาทาแล้วพาที   อย่าอวดดีเลยกูไม่พอใจ
    อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลง   เป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง
    แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวัง   มันก็ยังเรียนร่ำได้ชำนาญ
    อันวิชาอาวุธแลโลห์เขน   ชอบแต่เกณฑ์ศึกเสือเชื้อทหาร
    เป็นกษัตริย์จักพรรดิ์พิสดาร   มาเรียนการเช่นนั้นด้วยอันใด
    ลูกกาลีมีแต่จะขายหน้า   ช่างชั่วช้าทุจริตผิดวิสัย
    จะให้อยู่เวียงวังก็จังไร   ชอบมาไสคอส่งเสียจากเมือง
    ไปเที่ยวเล่นเป็นปี่แล้วมิสา   มาพูดจาให้กูคันหูเหือง
    พระพิโรธโกรธตรัสด้วยขัดเคือง   แล้วย่างเยื้องจากบัลลังค์เข้าวังใน ฯ
     
    ๏ แสนสงสารพี่น้องสองกษัตริย์   บิดาตรัสโกรธาไม่ปราไสย
    อัปยศอดสูเสนาใน   ทั้งน้อยใจผินหน้าปรึกษากัน
    พระเชษฐาว่าโอ้พ่อเพื่อนยาก   สู้ลำบากบุกป่าพนาสัณฑ์
    มาถึงวังยังไม่ถึงสักครึ่งวัน   ยังไม่ทันทดลองทั้งสองคน
    พระกริ้วกราดคาดโทษว่าโฉดเขลา   พี่กับเจ้านี้ก็เห็นไม่เป็นผล
    อยู่ก็อายไพร่ฟ้าประชาชน   ผิดก็ดันดั้นไปในไพรวัน
    แล้วสวมสอดกอดน้องประคองหัตถ์   สองกษัตริย์โศกทรงกรรแสงศัลย์
    พระอภัยมณีศรีสุวรรณ   ก็พากันซวนซบสลบไป
    ฝ่ายมหาเสนาพฤฒามาตย์   เห็นหน่อนาถนิ่งแน่เข้าแก้ไข
    ทั้งสองตื่นฟื้นกายระกำใจ   ชลไนย์แนวนองทั้งสององค์ ฯ
     
    ๏ พระเชษฐาว่ากรรมแล้วน้องเอ๋ย   อย่าอยู่เลยเรามาไปไพรระหง
    มิทันสั่งอำมาตย์ญาติวงศ์   ทั้งสององค์ออกจากจังหวัดวัง
    พระพี่ชายชวนเกินดำเนินหน้า   อนุชาโฉมงามมาตามหลัง
    พระออกนอกนัคราเข้าป่ารัง   ครั้นเหนื่อยนั่งสนทนาปรึกษากัน
    อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้   ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์
    ทั้งโภชนาอาหารกันดารครัน   ยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณ ฯ
     
    ๏ พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด   เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
    แม้นชีวันยังไม่บรรไลยลาญ   ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
    เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง   พอประทังกายาอยู่อาไสรย
    มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร   ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ฯ
     
    ๏ พระเชษฐาว่าจริงแล้วน้องรัก   เจ้าแหลมหลักตักเตือนสติพี่
    กระนั้นแต่งองค์ไปทำไมมี   ให้เป็นที่กังขาประชาชน
    เราปลอมแปลงแต่งกายเป็นชายไพร่   เหมือนยากไร้แรมทางมากลางหน
    สองกษัตริย์ตรัสคิดเห็นชอบกล   จึงปลดเปลื้องเครื่องต้นออกจากกาย
    เอาภูษาผ้าห่มห่อกระหวัด   แล้วคาดรัดเอวไว้มิให้หาย
    ศรีสุวรรณนั้นคุมกระบองกราย   พระพี่ชายถือปี่แล้วลีลา
    ค่อนด้นดั้นเดินเนินพนมพนาเวศ   สีขเรศถ้วยธารละหานผา
    ครั้นค่ำค้างกลางเถื่อนได้เดือนเศษ   ออกพ้นเขตต์เข้าไม้ไพรสิงขร
    ถึงเนินทรายชายทะเลชโลธร   ในสาครคลื่นลั่นสนั่นดัง
    ทั้งสองราล้าเหนื่อยกำลัง   ลงหยุดนั่งนอนเล่นเย็นสบาย ฯ
     
    ๏ จะจับบทบุตรพราหมณ์สามมาณพ   ได้มาพบคบกันเล่นเป็นสหาย
    คนหนึ่งชื่อโมราปรีชาชาย   มีแยบคายชำนาญในการกล
    เอาฟางหญ้ามาผูกสำเภาได้   แล้วแล่นไปในจังหวัดไม่ขัดสน
    คนหนึ่งมีวิชาชื่อสานน   ร้องเรียกฝนลมได้ดังใจจง
    คนหนึ่งนั้นมีนามพราหมณ์วิเชียร   เที่ยวร่ำเรียนสงครามตามประสงค์
    ถือธนูสู้ศึกนึกทนง   หมายจะปลงชีวาปัจจามิตร
    ธนูนั้นลั่นทีละเจ็ดลูก   หมายให้ถูกที่ตรงไหนก็ไม่ผิด
    ล้วนแรกรุ่นร่วมรู้คู่ชีวิต   เคยไปเล่นเป็นนิจที่เนินทราย
    พอแดดร่มลมตกลงชายเขา   ขึ้นสำเภายนต์ใหญ่ดังใจหมาย
    ออกจากบ้านอ่านมนต์เรียกพระพาย   แสนสบายบุกป่ามาบนดิน
    ถึงทะเลเล่นตรงลงในน้ำ   เที่ยงลอยลำเล่นมหาชลาสินธุ์
    มาใกล้ไทรสาขาริมวาริน   ก็ได้ยินสุรเสียงสำเนียงคน
    เห็นพี่น้องสององค์ล้วนทรงโฉม   งามประโลมหลากจิตต์คิดฉงน
    ทอดสมอรอราเภตรายนต์   ทั้งสามคนขึ้นเดินบนเนินทราย
    เข้ามาใกล้ไทรทองสองกษัตริย์   โสมนัสถามไต่ดังใจหมาย
    ว่าดูรามาณพทั้งสองนาย   เจ้าเพื่อนชายชื่อไรไปไหนมา
    ฤาเดินดงกลางทางมาต่างบ้าน   จงแจ้งการณ์ให้เราฟังที่กังกา
    แม้นไม่มี่พี่น้องญาติกา   เราจะพาไว้เรือนเป็นเพื่อนกัน ฯ
     
    ๏ พระฟังความถามทักเห็นรักใคร่   จึงขานไขความจริงทุกสิ่งสรรพ์
    เราชื่ออภัยมณีศรีสุวรรณ   เป็นพงศ์พันธุ์จักรพรรดิ์สวัสดี
    ไปร่ำเรียนวิชาที่อาจารย์   ตำบลบ้านจันตคามพนาศรี
    อันตัวเรานี้ชำนาญการดนตรี   น้องเรานี้ก็ชำนาญการศัสตรา
    พระปิตุเรศขับไล่มิให้อยู่   ว่าเรียนรู้ต่ำชาติวาสนา
    เราพี่น้องสองคนจึงซนมา   หวังจะหาแห่งครูผู้ชำนาญ
    ด้วยจะใคร่ไต่ถามตามสงไสย   วิชาใดจึงจะดีให้วิถาร
    ที่สมศักดิ์จักรพรรดิพิสดาร   จะคิดอ่านเรียนร่ำเอาตำรา
    อันตัวเจ้าเผ่าพราหมณ์สามมาณพ   ได้มาพบกันวันนี้ดีหนักหนา
    ท่านทั้งสามนามใดไปไหนมา   จงเมตตาบอกเล่าให้เข้าใจ ฯ
     
    ๏ ดรุณพราหมณ์สามคนได้แจ้งอรรถ   ว่ากษัตริย์สุริยวงศ์ไม่สงไสย
    ประณตนั่งบังคมขออไภย   พระอย่าได้ถือความข้าสามคน
    ซึ่งพระองค์ทรงไต่ถาม   จะทูลความให้แจ้งแห่งนุสนธิ์
    ข้างชื่อวิเชียรโมราเจ้าสานน   ทั้งสามคนคู่ชีวิตเป็นมิตรกัน
    แสวงหาตั้งเพียรเพื่อเรียนรู้   ได้เป็นคู่ศึกษาวิชาขยัน
    ได้เรียนรู้เรียกลมฝนคือคนนั้น   ข้าแข็งขันยิงธนูสู้ไพริน
    ยิงออกไปได้ทีละเจ็ดลูก   จะให้ถูกตรงไหนก็ได้สิ้น
    คนนั้นผูกเรือยนต์แล่นบนดิน   อยู่บ้านอินทคามทั้งสามคน
    ซึ่งองค์พระอนุชาเรียนอาวุธ   เข้ายงยุทธข้าก็เห็นจะเป็นผล
    แต่ดนตรีนี้ดูไม่ชอบกล   ข้าสนเท่ห์ในน้ำใจจริง
    ดนตรีมีคุณที่ข้อไหน   ฤาใช้ได้แต่ข้างเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
    ยังสงไสยในจิตต์คิดประวิง   จงแจ้งจริงให้กระจ่างสว่างใจ ฯ
     
    ๏ พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม   จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
    อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป   ย้อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
    ถึงมนุษย์ครุฑทาเทวราช   จัตุบาทกลางป่าพนาสิน
    แม้นเราเป่าปี่ให้ได้ยิน   ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
    ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ   อันลัทธิดนตรีดีนักหนา
    ซึ่งสงไสยไม่สิ้นในวิญญา   จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง
    แล้วหยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้   เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง
    พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดัง   สำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจ ฯ
     
    ๏ ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย   ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
    ถึงร้อยรสบุปผาสุมาไลย   จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
    พระจันทรจรสว่างกลางโพยม   ไม่เทียมโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย
    แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย   ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
    เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียง   สำเนียงเพียงการะเวกกังวานหวาน
    หวาดประหวัดสัตรีฤดีดาล   ให้ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป
    ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่   ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับไหล
    พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ   เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทราย ฯ
                     

    นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี

     
    จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ   อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย
    ได้เป็นใหญ่ในพวกปิศาจพราย   สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา
    ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้าง   เที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา
    ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภา   เป็นภักษานางมารสำราญใจ
    แล้วแล่นน้ำดำโดดโลดทะลึ่ง   เสียงโผงผึงเผ่นโผนโจนไถล
    เข้าใกล้ฝั่งวังวลข้างต้นไทร   พอนางได้ยินเสียงสำเนียงดัง
    วิเวกแว่ววังเวงด้วยเพลงปี่   ป่วนฤดีดาลดิ้นถวิลหวัง
    เสน่หาอาวรณ์อ่อนกำลัง   เข้าเกยฝั่งหาดทรายสบายใจ
    แล้วลุกขึ้นเท้าแขนแหงนชะแง้   ชำเลืองแลหลากจิตคิดสงสัย
    เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมใจ   นั่งเป่าปี่อยู่ใต้พระไทรทอง
    ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น   เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง
    ถ้าแม้นได้กันกับกูเป็นคู่ครอง   จะประคองกอดแอบไว้แนบเนื้อ
    น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ   ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ
    ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ   นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง
    ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก   สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง
    อุตลุดผุดทะลึ่งขึ้นตึงตัง   โดยกำลังโลดโผนโจนกระโจม
    ชุลมุนหมุนกลมดังลมพัด   กอดกระหวัดอุ้มองค์พระทรงโฉม
    กลับกระโดดลงน้ำเสียงต้ำโครม   กระทุ่มโถมถีบดำไปถ้ำทอง
    ครั้นถึงแท่นผาศิลาลาด   แสนสวาทเปรมปรีดิ์ไม่มีสอง
    ค่อยวางองค์ลงบนเตียงเคียงประคอง   ทำกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยยินดี ฯ
     
     
    ๏ แสนสงสารพระอภัยใจจะขาด   กลัวอำนาจนางยักขินีศรี
    สลบล้มมิได้สมประฤๅดี   อยู่บนที่แผ่นผาศิลาลาย ฯ
     
     
    ๏ อสุรีผีเสื้อแสนสวาท   เห็นภูวนาถนิ่งไปก็ใจหาย
    เออพ่อคุณทูนหัวผัวข้าตาย   ราพณ์ร้ายลูบต้องประคององค์
    เห็นอุ่นอยู่รู้ว่าสลบหลับ   ยังไม่ดับชนม์ชีพเป็นผุยผง
    พ่อทูนหัวกลัวน้องนี้มั่นคง   ด้วยรูปทรงอัปลักษณ์เป็นยักษ์มาร
    จำจะแสร้งแปลงร่างเป็นนางมนุษย์   ให้ผาดผุดทรวดทรงส่งสัณฐาน
    เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน   จะเกี้ยวพานรักใคร่ดังใจจง
    แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญหาย   สกนธ์กายดังกินนรนวลหง
    เอาธารามาชโลมพระโฉมยง   เข้าแอบองค์นวดฟั้นคั้นประคองฯ
     
     
    ๏ พระพลิกฟื้นตื่นสมประดีได้   ในฤทัยหมกมุ่นให้ขุ่นหมอง
    แลเขม้นเห็นนางนวลละออง   เคียงประคองอยู่บนแท่นแผ่นศิลา
    นิ่งพินิจพิศดูรู้ว่ายักษ์   ด้วยแววจักษุหายทั้งซ้ายขวา
    ยิ่งชิงชังคั่งแค้นแน่นอุรา   จะใคร่ด่าให้ระยำด้วยคำพาล
    แล้วคิดกลับดับเดือดให้เหือดหาย   จึงอุบายวิงวอนด้วยอ่อนหวาน
    นี่แน่นางอสุรีขินีมาร   ไม่ต้องการที่จะแกล้งมาแปลงกาย
    จะขอถามตามตรงจงประจักษ์   เจ้าเป็นยักษ์อยู่ในวนชลสาย
    อันตัวเราเป็นมนุษย์บุรุษชาย   เจ้าคิดร้ายลักพาเอามาไย
    เข้าอิงแอบแนบข้างอยู่อย่างนี้   หรือว่ามีข้อประสงค์ที่ตรงไหน
    มนุษย์ยักษ์รักกันด้วยอันใด   ผิดวิสัยที่จะอยู่เป็นคู่ควร ฯ
     
     
    ๏ อสุรีผีเสื้อสดับเสียง   เพราะสำเนียงเสนาะในฤทัยหวน
    ทำเสแสร้งใส่จริตกระบิดกระบวน   ละมุนม้วนเมียงหมอบแล้วยอบตัว
    อันน้องนี้ไร้คู่ที่สู่สม   เป็นสาวพรหมจารีไม่มีผัว
    ถึงเป็นยักษ์ยังไม่มีราคีมัว   พระมากลัวผู้หญิงด้วยสิ่งใด
    แม่เจ้าเอ๋ยคิดมาน่าหัวร่อ   เห็นเขาง้อแล้วยิ่งว่าไม่ปราศรัย
    พลางแกล้งทำสะบัดสะบิ้งทิ้งสไบ   ร้อนเหมือนใจจะขาดประหลาดนัก
    แล้วแกล้งทำสำออยพูดอ้อยอิ่ง   เข้าแอบอิงเอนทับลงกับตัก
    ยิ่งถอยหนีก็ยิ่งตามด้วยความรัก   ยิ่งพลิกผลักก็ยิ่งแอบแนบอุรา ฯ
     
         
    ๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต   มิได้คิดอินังชังน้ำหน้า
    ถีบจนพลัดจากแท่นแผ่นศิลา   แล้วเดือดด่าว่าอีกาลีลาม
    เขาเบือนเบื่อเหลือเกลียดขี้เกียจตอบ   ยังขืนปลอบปลุกปล้ำอีส่ำสาม
    ทำแสนแง่แสนงอนฉะอ้อนความ   แพศยาบ้ากามกวนอารมณ์
    ถึงมาตรแม้นม้วยมุดสุดชีวาตม์   อย่าหมายมาดว่ากูจะสู่สม
    สัญชาติยักษ์ไม่สมัครสมาคม   แล้วทุดถ่มน้ำลายไม่ใยดี ฯ
     
         
    ๏ อีนางยักษ์กลับปลอบไม่ตอบโกรธ   พระจงโปรดเกล้าน้องอย่าหมองศรี
    ข้าหมายเหมือนภัสดาถึงด่าตี   ก็ตามทีเถิดเมียไม่เสียใจ
    จนผู้หญิงอิงแอบแนบถนอม   กระไรหม่อมจะตั้งปึ่งไปถึงไหน
    ช่างไม่คิดขวยเก้อเอออะไร   ทำบ้าใบ้เบือนหนีไปทีเดียว
    มาร่วมเรียงเคียงข้างอยู่อย่างนี้   ยังว่ามีน้ำใจจะไม่เกี่ยว
    น่าอดสูผู้หญิงเสียจริงเจียว   พลางกลมเกลียวกอดรัดกษัตรา ฯ
         
         
    ๏ พระเหวี่ยงวัดขัดใจมิให้ต้อง   จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสองพระหัตถา
    มันดื้อด้านทานทนพ้นปัญญา   จึงแกล้งว่าวิงวอนให้อ่อนใจ
    อะไรเจ้าเฝ้ากวนกันจู้จี้   ข้าจะหนีหน่ายนางไปข้างไหน
    ขอพักนอนเสียสักหน่อยถอยออกไป   สบายใจจึงค่อยมาพูดจากัน
    แล้วเอนองค์ลงบนแท่นแสนระทด   โศกกำสรดซบทรงกันแสงศัลย์
    โอ้สงสารป่านฉะนี้ศรีสุวรรณ   อยู่ด้วยกันหลัดหลัดมาพลัดพราย
    พอตื่นขึ้นยามเย็นไม่เห็นพี่   จะโศกีโหยหาน่าใจหาย
    ได้เห็นแต่เจ้าพราหมณ์ทั้งสามนาย   เขาผันผายลับตาจะอาวรณ์
    นิจจาเอ๋ยเคยเห็นกันพี่น้อง   มาเที่ยวท่องบุกเดินเนินสิงขร
    อียักษ์ลักพี่ลงมาในสาคร   จะทุกข์ร้อนว้าเหว่อยู่เอกา
    พระนึกนึกแล้วสะอึกสะอื้นไห้   ชลเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา
    ซบพระพักตร์อยู่บนแท่นแผ่นศิลา   ทรงโศกากำสรดระทดใจ ฯ
         
         
    ๏ อีนางยักษ์ฟังสะอื้นค่อยชื่นจิต   สำคัญคิดแว่วว่าพระปราศรัย
    เข้าอิงแอบแนบองค์พระทรงชัย   เห็นเธอไม่ผินผันจำนรรจา
    คิดว่าหลับกลับปลุกขึ้นโลมลูบ   ประจงจูบปรางซ้ายแล้วย้ายขวา
    ค่อยยกหัตถ์ภูวนาถพาดอุรา   ในกามาปั่นป่วนให้ยวนยี
    เห็นทรงศักดิ์ผลักพลิกทำหยิกเย้า   มาลูบคลำทำเขาแล้วเบือนหนี
    จะกอดไว้ไม่วางเหมือนอย่างนี้   แค้นนักหนาฟ้าผี่เถอะดื้อดึง ฯ
         
         
    ๏ พระแค้นคำซ้ำด่าอีหน้าด้าน   ใครจะร่านเหมือนเช่นนี้ไม่มีถึง
    น่าอดสูกูได้ทำไมมึง   มาเคล้าคลึงโลมลูบจูบผู้ชาย
    ทั้งเหม็นสาบเหม็นสางเหมือนอย่างศพ   ไม่น่าคบน่ารักยักษ์ฉิบหาย
    มายั่วเย้าเฝ้าเบียดเกลียดจะตาย   ไม่มีอายมีเจ็บเท่าเล็บมือ ฯ
         
         
    ๏ อีนางยักษ์ควักค้อนแล้วย้อนว่า   ส่วนร่ำด่ากระนั้นได้เขาไม่ถือ
    ทีขอจูบแต่พอถูกจมูกครือ   ยิ่งอึงอื้อบ่นว่าเป็นน่าชัง
    เมื่ออยู่สองต่อสองในห้องหับ   จะบังคับมิให้ใครกลุ้มใจมั่ง
    ถึงโกรธขึ้งอย่างไรก็ไม่ฟัง   พลางเข้านั่งแอบข้างไม่ห่างกาย ฯ
     
     
    ๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต   เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย
    ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบาย   มันกอดกายเซ้าซี้พิรี้พิไร
    จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาท   ไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย
    ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัย   ต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน
    จึงบัญชาว่านี่แน่นางยักษ์   จะร่วมรักกันก็เห็นไม่เป็นผล
    อันเชื้อชาติอสุรินทร์ย่อมกินคน   มาแปดปนเป็นมิตรเราคิดกลัว
    ไปข้างหน้าถ้าเคืองน้ำใจเจ้า   จะกินเราเสียไม่คิดว่าเป็นผัว
    แม้นให้สัตย์ปฏิญาณสาบานตัว   ให้หายกลัวแล้วจะอยู่เป็นคู่ครอง ฯ
     
     
    ๏ อียักษ์ฟังดังได้ผ่านวิมานสวรรค์   เกษมสันต์นบนอบตอบสนอง
    แม้นเคลือบแคลงแหนงในพระทัยปอง   จงฟังน้องจะให้สัตย์ปฏิญาณ
    แม้นโว้เว้เนรคุณพระทูนหัว   อันเป็นผัวเพื่อนรักสมัครสมาน
    ขอทุกเทพเทวัญจงบันดาล   ประหารผลาญชีวาตม์ให้ขาดรอน
    จนสุดสิ้นดินฟ้าสุธาทวีป   ไม่สิ้นชีพก็ไม่เสื่อมสโมสร
    พอให้สัตย์เสร็จคำทำฉะอ้อน   ระทวยอ่อนเอนทับลงกับเพลา ฯ
     
     
    ๏ พระฟังคำจำจิตพิศวาส   ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า
    การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา   เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง
    เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด   กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง
    กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง   ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด
    กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพล่องกระแพล่ง   ปักเป้าแทงแต่ละทีไม่มีผิด
    จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด   ประกบติดตกผางลงกลางดิน
    สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม   เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น
    เป็นวิสัยในภพธรนินทร์   ไม่สุดสิ้นเสน่ห์ประเวณี ฯ
     
     
    ๏ นางผีเสื้อเมื่อได้ประสมสอง   ดังจะล่องลอยฟ้าในราศี
    ประคองคอยปรนนิบัติเข้าพัดวี   อยู่ข้างที่แผ่นผาศิลาลาย
    ครั้นรุ่งรางนางไปในไพรสณฑ์   เที่ยวเก็บผลพฤกษามาถวาย
    จะนั่งนอนผ่อนตามความสบาย   นิมิตกายรูปร่างสำอางตา ฯ
    .
    .
    .
                     

    ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร์

     
    ๏ อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก   สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย
    ซึ่งเกิดเหตุเชษฐาเธอหายไป   ก็ยังไม่รู้เห็นว่าเป็นตาย
    ควรจะคิดติดตามแสวงหา   แล่นนาวาไปในวนชลสาย
    แม้นพระพี่มิม้วยชีวาวาย   ก็ดีร้ายจะได้พบประสพกัน ฯ
    .
    .
    .
    เป็นบุพเพสันนิวาสพาสนา   กษัตราจะได้คู่ที่สู่สม
    สำเภาน้อยลอยแล่นมาตามลม   ลุอุดมรมจักรนัครา
    ที่ตรงหน้าธานีนั้นมีเกาะ   เรือจำเพาะเข้าออกตามซอกผา
    เห็นหอคอยลอยลิ่วตรงทิวตา   ก็รู้ว่าปากน้ำเป็นสำคัญ
    พระปรึกษาว่ากับพราหมณ์ทั้งสามพี่   นครนี้น้องเห็นจะคับขัน
    จึงระวังตั้งกองอยู่ป้องกัน   จะเป็นจันตะประเทศหรือท้าวไท
    .
    .
    .
    อันองค์ผู้ดำรงอาณาราษฎร์   นามพระบาทท้าวทศวงศา
    มีโฉมยงองค์ราชธิดา   ชื่อนางแก้วเกษราวิลาวัณย์
    .
    .
    .
    กรุงกษัตริย์ขัตติยาทุกธานี   มาสู่ขอภูมีไม่ให้ใคร
    เมื่อปีกลายฝ่ายท้าวอุเทนราช   เป็นเชื้อชาติชาวชวาภาษาไสย
    อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกร   เป็นเมืองใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตย์ติวงศ์
    ให้ทูตามาสนองละอองบาท   จะขอราชธิดาโดยประสงค์
    แม้นไม่ให้จะประจญรณรงค์   กับผู้พงศ์จักรพรรดิ์ขัตติยา
    ข้างเจ้านายฝ่ายเรามิได้ให้   ว่าท้าวไทเป็นคนนอกพระศาสนา
    .
    .
    .
    ถึงจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติ   พี่สวาทแล้วมาเปรียบประเทียบฉัน
    แกล้งลวงเล่นเห็นรู้ไม่เท่าทัน   แต่เช่นนั้นแล้วอย่านึกคะนึงปอง
    .
    .
    .
                     

    ศรีสุวรรณพบนางเกษรา

     
    สงสารแก้วเกษราธิดาท้าว   เมื่อครั้งคราวจะได้คู่สู่สงวน
    สถิตอยู่แท่นสุวรรณให้รัญจวน   แต่อักอ่วนป่วนใจไม่ไสยา
    พอหลับลงทรงซึ่งสุบินนิมิต   ประหวัดจิตนุชนาฏหวาดผวา
    ตื่นสะดุ้งรุ่งแสงพระสุริยา   พระธิดานึกแหนงแคลงฤทัย
    จึงเรียกสี่พี่เลี้ยงมาเคียงข้าง   นุชนางเล่าแจ้งแถลงไข
    ฉันฝันว่าวาสุกรีอันเกรียงไกร   เข้ามาในแท่นสุวรรณอันบรรจง
    เกี่ยวกระหวัดรัดรอบอุราน้อง   ฉันร่ำร้องอยู่บนเตียงจนเสียงหลง
    ให้ร้อนรุ่มกลุ่มจิตพิษภุชงค์   หมายว่าปลงชีวานิคาลัย
    จนเดี๋ยวนี้นึกกลัวยังตัวสั่น   อันความฝันพี่เห็นเป็นไฉน
    .
    .
    .
    ยุพยงทรงอ่านอักษรพลัน   มีสำคัญว่างูหมู่กุมภา
    แม้นขบกัดรัดใครในนิมิต   จะได้ชมสมสนิทเสน่หา
    แม้นงูร้ายฝ่ายคู่ภิรมยา   วาสนาฟุ้งเฟื่องเรืองเจริญ
    .
    .
    .
    ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์   จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา
    บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์   ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง
    ทรงสะพักสไบกรองลายทองริ้ว   สัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง
    สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์   ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส
    .
    .
    .
    ศรีสุวรรณนั้นนั่งผินหลังนิ่ง   เสียงผู้หญิงหวั่นไหวฤทัยหวาม
    ชำเลืองเห็นพระธิดาพงางาม   ให้มีความพิศวาสจะขาดใจ
    ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้น   พอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย
    จนลืมองค์หลงแลตะลึงไป   เหมือนนางในดุสิตลงมาดิน
    ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราดังเหลาหล่อ   พระทรวงศอสองขนงดังวงศิลป์
    นวลละอองสองปรางอย่างลูกอิน   ช่างงามสิ้นสรรพางค์สำอางองค์
    ยิ่งพินิจพิศเพ่งให้เปล่งปลั่ง   ใจกำลังรุ่นหนุ่มให้ลุ่มหลง
    กระแอมพลางทางออกให้เห็นองค์   ดูโฉมยงอยู่แต่ไกลมิให้เคือง
    .
    .
    .
    พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์   หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย
    องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจ   แฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา
    .
    .
    .
    ฝ่ายพระนุชบุตรีกรุงกษัตริย์   มาถึงวังยังประหวัดถวิลหา
    เห็นเจ้าพราหมณ์งามติดในตามา   เข้าไสยายามค่ำยิ่งรำจวน
    คิดสงสารป่านฉะนี้เจ้าพราหมณ์น้อย   จะอยู่คอยหรือจะไปเสียไกลสวน
    เมื่อเดินมาพอพ้นต้นลำดวน   ทำแย้มสรวลเหมือนจะชวนจำนรรจา
    เหตุไฉนไม่ตรัสหรือขัดข้อง   จะหนีน้องไปเสียแล้วกระมังหนา
    เป็นพราหมณ์เทศพรหมจรรย์จรัลมา   หรือกษัตริย์ขัตติยาอยู่เมืองไกล
    ทำปลอมแปลงแกล้งจู่มาดูน้อง   หรือจะต้องประสงค์ที่ตรงไหน
    จะมาเดียวหรือจะมาด้วยข้าไท   จะกลับไปหรือจะอยู่ไม่รู้เลย
    เสียดายนักหนักทรวงดวงสมร   สะอื้นอ้อนอิงแอบแนบเขนย
    ไม่แต่งองค์ทรงเล่นเหมือนเช่นเคย   ลืมเสวยลืมสรงหลงรำพึง
    .
    .
    .
    ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้ม   ตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา
    พระบุตรีลีลาศชำเลืองมา   ไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ
    พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับ   ด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย
    ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้   ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ
    .
    .
    .
    พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวน   จนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน
    โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาล   ไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร
    เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์   จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน
    บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจ   จะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย
    .
    .
    .
                     

    ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา

     
    จะสอนสั่งสิ่งเดียวเกี้ยวผู้หญิง   ถ้าถึงจริงก็มักช้าประดาหาย
    ให้หวานหวานไว้สักหน่อยค่อยสบาย   นี่แยบคายเจ้าชู้แต่บูราณ
    .
    .
    .
    พี่บอกแล้วไม่เชื่อนั้นเหลือใจ   หนักอะไรจะเหมือนรักหนักอุรา
    หลงอะไรจะเหมือนหลงทรงมนุษย์   ที่โศกสุดเศร้าแสนเสน่หา
    จนลืมตัวมัวหมองเพราะต้องตา   ต้องตรึกตราตรอมจิตเพราะปิดความ
    บุราณว่าถ้าเหลือกำลังลาก   ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม
    แม้นพ่อบอกออกบ้างไม่พรางความ   จะเป็นล่ามแก้ไขให้ได้การ ฯ
    .
    .
    .
    ศรีสุวรรณชั้นเชิงฉลาดแหลม   ทำยิ้มแย้มเยื้อนว่าอย่าสงสัย
    ฉันพี่น้องท้องเดียวมาเที่ยวไกล   อันห่วงใยไม่มีทั้งสี่คน
    หมายพระนุชบุตรีเป็นที่พึ่ง   คิดรำพึงสารพัดจะขัดสน
    เสด็จมาเที่ยวเล่นเห็นชอบกล   นฤมลมองหาสุมาลี
    .
    .
    .
    พระว่าพลางทางตัดใบตองอ่อน   มาเขียนกลอนกล่าวประโลมนางโฉมฉาย
    จบลงเอยอ่านต้นไปจนปลาย   ไม่คลาดคลายถูกถ้วนแล้วม้วนตอง
    เอาโศกแซมแกมรักสลักหนาม   เหมือนบอกความรักนางว่าหมางหมอง
    .
    .
    .
    แล้วถอดธำมรงค์ครุฑบุษรา   ฝากถวายพระธิดาวิลาวัณย์ ฯ
    .
    .
    .
    นางโฉมยงทรงหยิบใบตองอ่อน   เห็นโศกซ้อนแซมรักสลักหนาม
    ก็แจ้งจิตปริศนาปัญญาพราหมณ์   แกล้งนิ่งความคลี่สารออกอ่านพลัน
    ในสารศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์   บุรีรัตนามหาศวรรย์
    สวาทหวังพระธิดาวิลาวัณย์   สู้เดินดั้นดงแดนแสนกันดาร
    พยายามข้ามมหามหรรณพ   หวังประสบวรนุชสุดสงสาร
    มาอาศัยในสวนอุทยาน   บุญบันดาลดลจิตพระธิดา
    เผอิญให้โฉมงามทรามสวาท   มาประพาสชมพรรณบุปผา
    พี่ยลยอดเยาวเรศเกษรา   ช่างโสภานิ่มน้องละอองนวล
    ประไพพริ้มนิ่มน้อยกลอยสวาท   ดังนางในไกรลาสมาเล่นสวน
    เสด็จกลับลับไปให้รัญจวน   เฝ้าอักอ่วนอาวรณ์ร้อนฤทัย
    ด้วยยามยากจากเมืองมามุ่งหมาย   ดังกระต่ายเต้นแลดูแขไข
    ครั้นเดือนดับลับเหลี่ยมเมรุไกร   โอ้อาลัยเหลือแลชะแง้คอย
    เหมือนอกพี่ที่แสนเสน่ห์นุช   เห็นสูงสุดที่จะได้สิ่งใดสอย
    ถ้าได้ดวงดอกฟ้าลีลาลอย   ก็จะค่อยประคองนวลสงวนเชย
    จึงแต่งสารเสี่ยงทายถวายแหวน   ใบตองแทนแผ่นทองพระน้องเอ๋ย
    ถ้าแม้นมาดชาติก่อนเป็นคู่เคย   ขอให้เผยพจนารถประภาษมา
    แม้นแม่ไม่อนุกูลสูญสวาท   เห็นสิ้นชาติชีวังจะสังขาร์
    จะเอากรุงรมจักรนัครา   เป็นป่าช้าสุมเพลิงเชิงตะกอน
    ขอเชิญนุชบุตรีปรานีสนอง   อย่าหม่นหมองหมางรักในอักษร
    ช่วยชี้ชอบตอบถ้อยสุนทรวอน   ให้วายร้อนที่วิตกในอกเอย
    .
    .
    .
    ครั้นค่ำลงทรงกลอนอักษรสนอง   เขียนจำลองลงแผ่นกระดาษหนัง
    ให้หักใบเต่าร้างที่กลางวัน   มาห่อทั้งดอกรักอักขรา ฯ
    .
    .
    .
    ศุภสารฉานสนองใบตองอ่อน   ซึ่งวิงวอนว่าไม่ขาดสวาทหวัง
    ก็ขอบใจไมตรีดีกว่าชัง   ไม่ปิดบังบอกวงศ์พงศ์ประยูร
    อันบุรีรัตนามหาสวรรค์   สารพันโภคัยทั้งไอศูรย์
    .
    .
    .
    ซึ่งเสี่ยงทายหมายมาดสวาทมา   มิเมตตาชีวันจะบรรลัย
    ทั้งรำพันสรรเสริญเห็นเกินนัก   ถึงจะรักก็ไม่รักจนตักษัย
    ที่ข้อนั้นครั้นละเชื่อก็เหลือใจ   เขาว่าไว้หวานนักก็มักรา
    ถ้ารักนักมักหน่ายคล้ายอิเหนา   ต้องจากเยาวยุพินจินตรา
    แม้นพระองค์ทรงเดชเจตนา   จงตรึกตราตรองความตามบุราณ
    เสด็จกลับกรุงไกรไอศวรรย์   จึงจัดสรรทูตถือหนังสือสาร
    มาทูลองค์ทรงศักดิ์จักรพาล   โปรดประทานก็จะได้ดังใจจง
    .
    .
    .
    เจ้าพราหมณ์น้อยอ่อนห้ามหรือพราหมณ์ใหญ่   เข้าเคียงไหล่โลมนางอยู่กลางสวน
    ทำเกลียวกลมสมยอมซ้อมสำนวน   มาก่อกวนเกาแก้ที่แผลคัน
    .
    .
    .
    พระบุตรีกริ้วกราดตวาดว่า   นี่ใครมาหาให้พี่ตีหมากผัว
    เฝ้าหวงหึงอึงไปช่างไม่กลัว   ไม่มีชั่วตัวดีทั้งสี่คน
    อย่าทะเลาะกันที่นี่ให้มีฉาว   ไปว่ากล่าวถากถางกันกลางถนน
    เหมือนไก่เห็นตีนงูเขารู้กล   มาพลอยบ่นปนแปดข้าน่ารำคาญ ฯ
                     

    ศรีสุวรรณรบท้าวอุเทน

     
    พอเดือนยี่มีผู้ถือหนังสือบอก   ชาวด่านนอกนัคราพนาสัณฑ์
    ทั้งเหนือใต้ฝ่ายปัศจิมมาพร้อมกัน   บังคมคัลทูลท้าวเจ้าพารา
    ว่าบัดนี้ท้าวอุเทนเกณฑ์ทหาร   เป็นสามด่านข้าศึกฮึกหนักหนา
    พวกนายด่านบ้านนอกบอกเข้ามา   แล้ววันทาทูลแถลงแจ้งคดี
    หนังสือบอกปากน้ำว่ากำปั่น   สักห้าพันพลชวากลาสี
    มาทอดสู้อยู่ตรงท่าหน้าธานี   ห่างสักสี่สิบเส้นพอเห็นกัน
    ข้างฝ่ายเหนือบอกว่าปัจจามิตร   พวกฝรั่งอังกฤษกับมักกะสัน
    ล้วนขี่ม้าห้าหมื่นพื้นฉกรรจ์   เข้าบุกบั่นตีบ้านด่านดงมา
    อันโยธามาทางตะวันตก   กระบวนบกแบกพื้นล้วนปืนผา
    มลายูสุระตันวิลันดา   ตีเข้ามาในด่านชานบุรี ฯ
    .
    .
    .
    ไปรบรับทัพแขกให้แตกไป   อย่าให้ไพรีรุกบุกเข้ามา
    ที่ปากน้ำสำคัญอยู่แห่งหนึ่ง   เอาโซ่ขึงค่ายคูดูรักษา
    ให้ลากปืนป้อมฝรั่งขึ้นจังกา   คอยยิงข้าศึกให้บรรลัยลาญ
    .
    .
    .
    ถึงสุดคิดปิตุรงค์จะส่งลูก   จะไปผูกคอตายให้หายสูญ
    ไม่ขอพบคนแขกแปลกประยูร   แล้วนางพูนเทวษร่ำระกำใจ
    .
    .
    .
    แม้นดวงเนตรเกษราชีวาวาย   จะขอตายตามสัตย์ที่ปฏิญาณ
    .
    .
    .
    พระยอดรักรูปทองของน้องเอ๋ย   เมื่อไรเลยน้องจะได้ออกไปหา
    แม้นบ้านเสียเมืองแตกแขกเข้ามา   จะอุตส่าห์ไปให้พบประสบองค์
    ขอวายวางข้างบาทบทเรศ   พระปิ่นเกษกษัตริย์ชาติราชหงส์
    ถึงชาตินี้มิได้อยู่เป็นคู่คง   ขอพบองค์ภูวนาททุกชาติไป
    อันชายอื่นหมื่นแสนทั้งแผ่นภพ   ไม่ขอคบขอคิดพิสมัย
    .
    .
    .
    ศรีสุดาหน้าม่อยชม้อยชม้าย   ทำเอียงอายอ่อนคอแล้วพ้อให้
    น่าหัวเราะทั้งทุกข์สนุกใจ   พระจะไปเป็นทหารสงสารจริง
    อันศึกเสือเหนือใต้มิใช่ง่าย   ไม่สบายเหมือนหนึ่งเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
    .
    .
    .
    จะกล่าวฝ่ายทัพอุเทนราช   พบอำมาตย์รมจักรเข้าหักหาญ
    ทั้งยิงแย้งแทงฟันประจัญบาน   ไทยไม่ทานมือแขกก็แตกยับ
    พลชวามลายูทั้งมูหงิด   ก็ตามติดหักโหมเข้าโจมจับ
    ชาวบุรีหนีหลบไม่รบรับ   จนกองทัพโอบอ้อมเข้าล้อมเมืองฯ
    .
    .
    .
    สงสารท้าวทศวงศ์พงศ์กษัตริย์   โทมนัสทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง
    .
    .
    .
    เที่ยวตรวจไตรไพร่พหลพลโยธา   ให้รักษาหน้าที่เชิงเทินไว้
    แม้นข้าศึกฮึกฮักมาหักหาญ   จะต่อตีปีนสะพานขึ้นด้านไหน
    หลอมตะกั่วคั่วทรายปรายลงไป   ยิงปืนใหญ่แย้งรับให้ยับเยิน
    แล้วเกณฑ์ไพร่ในบุรีไว้สี่หมื่น   ฉายค่ำคืนการชุกจะฉุกเฉิน
    จะได้เพิ่มเติมคนบนเชิงเทิน   เสด็จเดินช้างตรวจทุกหมวดมาฯ
    .
    .
    .
    ฝ่ายทหารท่านท้าวอุเทนราช   สี่อำมาตย์ตัวนายทั้งซ้ายขวา
    เข้าตั้งค่ายรายกำแพงแย่งปีกกา   แล้วปรึกษาคิดอ่านการณรงค์
    ว่าจะให้ทูตถือหนังสือสาร   ไปว่าขานข้อความตามประสงค์
    แม้นเจ้าเมืองรมจักรยังรักองค์   ให้เร่งส่งพระธิดาอย่าช้านาน
    เห็นพร้อมใจให้เสมียนเขียนหนังสือ   ให้ผู้ถือสาราที่กล้าหาญ
    ขึ้นขี่ม้าโบกธงตรงทวาร   ชูแต่สารไว้ให้เห็นเป็นสำคัญ
    .
    .
    .
    บัดนี้เราเข้ามาล้อมป้อมปราการ   ชีวิตท่านเหมือนลูกไก่อยู่ในมือ
    แม้นบีบเข้าก็จะตายคลายก็รอด   จะคิดลอดหลบหลีกไปอีกหรือ
    .
    .
    .
    มิอ่อนน้อมยอมยิงจะชิงชัย   ก็เห็นไม่พ้นอาญาปัจจามิตร
    แม้นทรงธรรม์กรุณาประชาราษฎร์   อนุญาตยอมถวายให้หายผิด
    .
    .
    .
    อันชาตินี้พี่ไม่ขอเป็นข้าแขก   ถึงเมืองแตกจะไปตายอยู่ปลายสวน
    .
    .
    .
    หน่อกษัตริย์ว่าถ้าเช่นนั้น   จะพากันไปเฝ้าเจ้ากรุงศรี
    เราเดินทางหว่างค่ายพวกไพรี   ให้โยธีกองทัพออกจับตัว
    จึงฝ่าฟันข้าศึกสะอึกไล่   เอาหัวไอ้พวกชาวพลไปคนละหัว
    แทนธูปเทียนดอกไม้ถวายตัว   ให้เห็นทั่วจะได้ลือฝีมือเราฯ
    .
    .
    .
    ฝ่ายฝรั่งอังกฤษคิดประหลาด   พราหมณ์ยังอาจเดินมุ่งเข้ากรุงศรี
    จะจับไว้ไต่ถามความบุรี   พวกโยธีพรูพร้อมออกล้อมพราหมณ์
    พระโฉมยงทรงกระบองของวิเศษ   สำแดงเดชชิงชัยในสนาม
    .
    .
    .
    ตัดศีรษะโยธาที่ฆ่าตาย   ทั้งสามนายหัวมาหน้าประตู
    พวกรักษาหน้าที่ก็มี่ฉาว   ทั้งนายบ่าวบอกกันสนั่นหู
    เห็นพราหมณ์หิ้วหัวแขกแดกกันดู   เปิดประตูให้เจ้าเข้าในเมือง
    .
    .
    .
    เจ้าพราหมณ์ว่าข้าพเจ้าสำเภาแตก   เป็นแต่แขกเมืองมาอยู่อาศัย
    เห็นเขาล้อมป้อมปราการรำคาญใจ   ไม่มีใครรบรับกับทมิฬ
    จึงเข้ามาว่าจะขอออกต่อต้าน   สังหารผลาญพวกแขกให้แตกสิ้น
    สนองพระเดชพระคุณท้าวเจ้าแผ่นดิน   ให้เพิ่มภิญโญยศปรากฏไป ฯ
    .
    .
    .
    นี่แน่เจ้าเผ่าพราหมณ์นามไฉน   จะชิงชัยช่วยสังหารผลาญปรปักษ์
    ซึ่งฝ่าฟันเข้ามาได้ขอบใจนัก   แต่จะหักศึกเสือเห็นเหลือมือ
    ด้วยตัวเจ้าเยาว์ยังกำลังน้อย   เหมือนไก่ต้อยจะไปสู้อ้ายอูหรือ
    .
    .
    .
    แม้นเจ้าออกชิงชัยไม่ชนะ   ก็เห็นจะชุลมุนวุ่นหนักหนา
    ซึ่งจะปราบศัตรูกู้พารา   ด้วยวิชาความรู้หรือสู้รบ
    .
    .
    .
    เจ้าพราหมณ์ฟังบังคมบรมนารถ   ข้าพระบาทพากเพียรเรียนจนจบ
    ชำนาญในไตรเพทวิเศษครบ   จะรุกรบราวีให้มีชัย
    ซึ่งจะส่งองค์พระบุตรีนั้น   ทมิฬมันจะประมาทพระบาทได้
    .
    .
    .
    แล้วโปรดให้ไปนัดนายกองทัพ   ให้ออกรับรบสู้เป็นคู่ขัน
    จะสังหารผลาญนายวายชีวัน   แล้วไล่ฟันพวกไพร่ให้เป็นเบือ ฯ
    .
    .
    .
     
    ซึ่งอาสาสงครามเพราะความรัก
    พระคุณหนักยิ่งกว่าสุธาสถาน   แม้นมีไชยไพรินทมิฬมาร
    จะสำราญเริงรื่นทุกคืนวัน   ถ้าเสียทัพอัปราปัจจามิตร
    พระทรงฤทธิมรณาจะอาสัญ   มิขออยู่สู้ตายวายชีวัน
    พระฟังคำจำใจไกลสวาท   ใจจะขาดเสียด้วยรักนั้นหนักหนา
    กระซิบสั่งสายใจอาลัยลา   แม่ดวงเนตรเกษราจงถาวร
    พี่ขอฝากความรักที่หนักอก   ช่วยปิดปกไว้แต่ในน้ำใจสมร
    ถึงม้วยดินสิ้นฟ้าและสาคร   อย่าม้วยมรณ์ไมตรีของพี่เลย
    ขอฝากความเสน่หาสามิภักดิ์   ภิรมย์รักร่วมเรียงเคียงเขนย
    ถึงตัวไปใจอยู่เป็นคู่เชย   เมื่อไรเลยจึงจะสมอารมณ์เรียม ฯ
     
    นางฟังคำร่ำว่าน่าสังเวช   ชลเนตรฟูมฟายไม่อายเหนียม
    ประณตนอบตอบความตามธรรมเนียม   น้องทุกข์เทียมเท่าฟ้าสุธาธาร
    แม้นมิกีดปิตุราชมาตุรงค์   จะเชิญองค์ไว้ปราสาทราชฐาน
    บรรทมที่ยี่ภู่ช่วยอยู่งาน   ให้สำราญร่มเกล้าทุกเพรางาย
    นี่จนใจได้แต่ใจนี่ไปด้วย   เป็นเพื่อนม้วยภูวนาทเหมือนมาดหมาย
    แม้นเมตตาอย่าให้น้องต้องได้อาย   นางฟูมฟายชลนาด้วยอาลัย
    .
    .
    .
    สมเด็จท้าวเจ้าบุรินทร์ปิ่นประเทศ   ทอดพระเนตรโยธาที่หน้าฉาน
    เห็นพร้อมกันบันเทิงเริงสำราญ   พระเบิกบานเบือนพักตร์มาทักพราหมณ์
    .
    .
    .
    ศรีสุวรรณกับสามเจ้าพราหมณ์พร้อม   ประณตน้อมนบปิ่นบดินทร์สูร
    พอสบเนตรเกษรายิ่งอาดูร   ต้องจำทูลลามาขึ้นพาชี
    ให้ทหารขานโห่ขึ้นสามหน   ดำเนินพลออกทวารอิสานศรี
    เสียงฆ้องกลองก้องสะเทือนธรณี   พวกโยธีเดินกระบวนล้วนทวนธง
    พวกนายทัพขับม้าพยศย่าง   ดูเหมือนอย่างหุ่นเชิดระเหิดระหง
    แกล้งชักน้อยซอยเต้นเผ่นผจง   ผ่านมาตรงหน้าพลับพลาสง่างาม
    เหล่าทหารราญรณผจญศึก   กระหึ่มฮึกโห่ร้องก้องสนาม
    ให้หยุดยั้งตั้งที่สีหนาม   เรียงไปตามรัถยาหน้ากำแพง ฯ
     
    ฝ่ายฝรั่งปังกลิมาวิชาเยนทร์   สุรเหนมูรตานชาญกำแหง
    เห็นชาวเมืองออกมาตั้งอยู่กลางแปลง   ล้วนเสื้อแดงสักหลาดดาษดา
    นายทั้งสี่มีสัปทนกั้น   แต่ไกลกันไม่ตระหนักรู้จักหน้า
    ทั้งสี่ค่ายนายหมวดตรวจโยธา   ปังกลิมากองแขกแทรกสมทบ
    วิชาเยนทร์เกณฑ์ฝรั่งฝ่ายอังกฤษ   มุรหวิดแข็งขันเข้าบรรจบ
    สุรเหนเกณฑ์ชวาล้วนกล้ารบ   เข้าสมทบกับปิตันวิลันดา
    มลายูมูรตานเป็นนายทัพ   สมทบกับกองฝรั่งบังกุล่า
    เป็นโยธีสี่หมู่ผู้ศักดา   ถือศัสตรากริชตรีกระบี่ยาว
    ฝ่ายทหารฝรั่งทั้งห้าหมื่น   ถือแต่พื้นทวนคู่ใส่ภู่ขาว
    บ้างถือหอกดาบสั้นกั้นหยั่นยาว   เสียงเกรียวกราวเข้าสมทบบรรจบกัน
    ฝ่ายนายทัพทั้งสี่เสนีใหญ่   ต่างสอดใส่เสื้อแดงดูแข็งขัน
    คาดเข็มขัดรัดผ้าเช็ดหน้าพลัน   สวมเกราะกันอาวุธยุทธนา
    ใส่หมวกดำกำมะหยี่ล้วนมียอด   ขนนกสอดแซมใส่ทั้งซ้ายขวา
    ครั้นเสร็จสรรพจับกระบี่ขึ้นขี่ม้า   ให้โยธาเดินธงตรงออกไป
    .
    .
    .
    หน่อกษัตริย์กวัดแกว่งพระแสงกระบอง   เข้าตีต้องปังกลิมาชีวาวาย
    เจ้าโมราอานุภาพเอาดาบฉะ   ตัดศีรษะสุรเหนกระเด็นหาย
    วิเชียรนั้นฟันมุรตานุตาย   สานนุนายพราหมณ์ฆ่าวิชาเยนทร์
    พวกฝรั่งอังกฤษมุรหงิดแตก   บ้างตื่นแตกต่างวิ่งทิ้งโล่เขน
    .
    .
    .
    สมเด็จท้าวทศวงศ์ตรงเข้าใกล้   จึงปราศรัยว่าเจ้าแรงแข็งขยัน
    ช่วยรบแขกแตกตายวายชีวัน   ขอเชิญขวัญนัยนาเข้าธานี


    เว็บนี้เหมาะสำหรับเปิดในเบาเซอร์
    Chrome,Firefox
    ขอบคุณธีมตกแต่ง  MINOR
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×