ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายใยรักสายใยฝัน

    ลำดับตอนที่ #1 : มรดก *Rewrite*

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.74K
      7
      18 พ.ย. 64

    "มันจะแดงอะไรหนักหนาวะ?!"     

           การจราจรในเมืองหลวงของประเทศไทยไม่เคยทำให้รู้สึกโหโมหรืออยากทำผิดกฏหมายจราจรเท่าวันนี้ เพราะทุกไฟแดงเขามีความรู้สึกว่านานเกินความจำเป็นจนเขาจะฝ่าไฟแดงออกไป หรือแม้แต่การขับพุ่งชนรถคันข้างหน้าและตามด้วยการขับด้วยความเร็วสูงเพื่อไปหาบิดาของเขาที่ไม่ได้คุยหรือติดต่อกันมานานเกือบสิบปีให้เร็วที่สุดเท่าที่รถเก่าของเขาจะทำได้

           เจตพล  ชวโรจน์  หรือ พล ชายหนุ่มมาดเท่ หน้าตาหล่อคม ร่างผอมสูงตามมาตรฐานนายแบบ  เจ้าของร้านกาแฟขนาดกลางที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทย  ผู้มีความสงบนิ่งจนผู้คนที่ไม่รู้จักพลดีจะคิดว่าเจ้าตัวโกรธอยู่ตลอดเวลา  หากแต่พลไม่เหลือเคร้าของความสงบนิ่งอยู่เลย  เพราะตอนนี้พลกำลังรีบร้อนขับรถคันเก่าของเขาไปบ้านของบิดาที่ตั้งอยู่ย่านหรูใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครที่มีการจราจรยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลา คำสถบต่างๆนานาหลุดออกมาจากปากของเขาเมื่อมีรถคันไหนมาทำให้เขาช้าลง

         โชคดีเหลือเกินที่เช้านี้เขาทำธุระอยู่ในกรุงเทพฯพอดีและกำลังจะเดินทางไปทางจังหวัดก่อนที่จะได้รับสายโทรศัพท์  แจ้งข่าว   แต่ด้วยความถือทิฐิที่มีมายาวนานทำให้เขาเกือบไม่รับสายในตอนแรกเพราะเห็นว่าเป็นชื่อของพ่อ   แต่พอตัดสินใจรับสายที่ว่าหลังจากคำนึงแล้วว่าคงมีสาเหตุที่จำเป็นจริงๆไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายเองก็คงไม่โทรมา แผนการทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปและทำให้เขากลับบ้านที่ไม่ได้กลับมานานทันที

          พลขับรถเข้ามาในบ้านตระกูลชวโรจน์ที่ดูเหมือนทุกคนกำลังรอเขาอยู่    แม่บ้านและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวิ่งหน้าตาตื่นมาเปิดประตูเหล็กดัดให้เขา     เขาขับรถพุ่งตรงไปหน้าบ้านด้วยความเร็ว  พลแทบจะวิ่งออกจากรถเมื่อเขาจอดรถที่หน้าประตูแล้ว   เขาไม่สนใจที่จะหยิบของหรือประเป๋าอะไรติดตัวออกมาด้วยซ้ำเพราะเร่งรีบที่จะไปหาพ่อของเขาที่อยู่ในบ้านเขาไม่สนใจว่าเขายังไม่ได้ดับเครื่องยนต์เลยด้วยซ้ำ

    "พี่นวล คุณพ่ออยู่ไหน?"

          พลวิ่งเข้ามาในบ้านด้วยความรีบร้อนก่อนจะถามคนแม่บ้านที่เป็นคนเก่าแก่ของบ้านที่ออกมาต้อนรับเขาด้วยหน้าตาที่เศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด  และดวงตาช้ำเกิดจากการร้องไห้อย่างหนัก


    "คุณท่านอยู่ด้านบนค่ะ คุณท่านรอคุณหนูอยู่ค่ะ"     แม่บ้านคนเก่าแก่ของบ้าน พี่นวล ตอบเขาเสียงสั่นๆ และมีก้อนสะอื้นขึ้นมาอีกครั้งเล็กน้อย    เขาพยักหน้าและเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปด้านในตัวบ้าน

    ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติเขาจะอยู่ปลอบพี่นวลคนเก่าแก่ของบ้านอย่างคนคุ้นเคย  แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เขาวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองที่ห้องนอนของพ่อ

    พ่อของเขายังคงใช้ห้องเดิมไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่เขาจำความได้และตั้งแต่มารดาของเขาเสียชีวิตลงพ่อก็ยังใช้ห้องเดิมอยู่แม้จะแต่งงานใหม่    ทุกอย่างยังเหมือนเดิมจะต่างไปก็แต่บรรยายกาศที่ดูเศร้าๆ   เขามาถึงประตูห้องนอนของพ่อแล้ว   แต่เมื่อจะจับประตูและเดินเข้าไปตัวเขาก็เกิดความลังเลเล็กน้อยจนพี่นวลที่เดินมาแตะไหล่เขาเบาๆ เขาจึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป

    "พ่อครับ"

    "พลใช่ไหม?"     คนบนเตียงลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรงและหันหาเจ้าของเสียงที่เขาเฝ้าคอยการมาฝืนกำลังที่รู้ว่าเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตัวเอง

    “ครับ ผมเอง”

    ห้องนอนกว้างขว้าง และตรงกลางห้องที่เคยตั้งเตียงนอนขนาดใหญ่หายไปแทนที่ด้วยเตียงพยาบาลที่มีเสาแขวนถุงน้ำเกลือและสายโยงต่างๆจากเครื่องมื่อทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยปราถนาจะให้มาดูแลตนที่บ้าน พยุงกำลังและลมหายใจสุดท้ายไว้ให้ได้นานที่สุด   ทีมหมอและพยาบาลยืนอยู่ข้างหัวเตียงด้วยอาการสำรวม   พลเดินกึ่งวิ่งไปหาผู้เป็นบิดาที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงพยาบาล  

    "มาช้าจริง"

            เสียงดังจากด้านหลังดังเข้าโสตประสาทของพลเป็นเสียงที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังต่อตัวเขาแต่ก็คุ้นเคยดีกับน้ำเสียงและเจ้าของเสียงคือนภาพร ชวโรจน์ แม่เลี้ยงของเขา ผู้ที่เคยเป็นบ้านเล็ก     หลังภรรยาหลวงเสียชีวิตลงจึงได้แต่งงานยก นภาพรเป็นภรรยาเอก 

    เธอกับพ่อของมีลูกสาวอีกสองคนที่ถอดแบบหน้าตาเธอมาแทบทุกอย่าง และทั้งสองยืนอยู่ข้างมารดาของตน ซึ่งเขาไม่ได้มีปัญหาเคืองใจกับน้องสาวต่างมารดาทั้งสองแต่กลับสนิทชิดเชื้อกันพอสมควรมากกว่าที่แม่เลี้ยงและพ่อของเขารับรู้

    "หุบปาก นภา แค่ก แค่ก แค่ก "

    "อย่าตะโกนครับคุณพ่อ พักผ่อนนะ  ผมไม่ได้สนใจคุณนภาอยู่แล้ว"   

    พลหยิบแก้วน้ำจับหลอดสีขาวประคองให้ติดกับริมฝีปากของพ่อเพื่อให้พ่อได้ดื่มน้ำก่อนจะจับออกเมื่อพ่อของเขาดื่มจนพอแล้ว   บิดาของเขาจับมือทั้งสองข้างของเขาขึ้นมา

    "พ่อขอโทษ สะ....สำหรับ ระ...เรื่องที่ผ่านมา ยกโทษให้พ่อด้วย พ่อทำผิดกับแก กับนฤมล แม่ของแก"

    "อย่าเพิ่งพูดเลยครับ"  

    "มะ...ไม่ แฮ่ก แฮ่ก พ่อรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาไม่มาก หลายปีที่ผ่านมาพ่อขอโทษ ยกโทษให้พ่อได้ไหม?"

    "ครับ ผมยกโทษให้พ่อ"

    "ดี ดี ดี....... พ่อฝากทุกอย่างที่พ่อทำมาให้ลูกดูแลต่อ ดูแลน้องสาวของเราทั้งสองคน กับคนอื่นๆในบ้านด้วย… อึก! นฤมลฉันจะไปหาเธอแล้ว..."       มือใหญ่ที่กุมมือพลอยู่นั้นหล่นลงไปข้างตัว พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายและกำลังทั้งหมดก็หายไปเช่นกัน

    หยดน้ำตาของพลไหลรินออกมา นภาพรที่วางท่าหยิ่งทะนงก็ร่ำไห้ตอนการจากไปของสามี  น้องสาวต่างมารดาทั้งสองของก็ร่ำไห้จากการจากไปของพ่อเช่นกัน    ทั้งสามเดินเข้าไปสวมกอดร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นสามีและผู้เป็นพ่อเพื่อเก็บไออุ่นเป็นครั้งสุดท้าย      
     

    พยาบาลส่วนตัวที่ดูแลผู้ที่เพิ่งจากไปไม่มีใครกลั้นน้ำตาของความเสียใจได้     คุณหมอเดินเข้ามาขานเวลาเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ       เหล่าแม่บ้านและคนงานของบ้านที่เฝ้ารออยู่หน้าห้องต่างก็พากันร้องไห้ต่อการจากไปของเจ้านายเช่นกัน

         

     

    พิธีการทางศาสนาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเรียบง่ายตามความตั้งใจของทายาทคนโต ซึ่งก็คือเจตพล   สื่อต่างๆลงข่าวการจากไปของ  ชุมพล ชวโรจน์ เจ้าของกิจการไร่กาแฟขนาดใหญ่ของประเทศที่มีกำลังส่งออกตลอดทั้งปี  ธุรกิจและกิจการต่างๆ อีกมากมายในเครือชวโรจน์คอมเพล็กซ์ทั้งในประเทศและนอก 

    ข่าวการจากไปของหัวเรือใหญ่ชวโรจน์คอมเพล็กซ์ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก   การตั้งสวดศพเพื่อสวดตามหลักศาสนาคริสต์ถูกจัดขึ้นเพียงแค่สามวัน  ตามด้วยพิธีฝังตามหลักศาสนาคริสต์ทั้งหมดมีขึ้นอย่างรวดเร็วและเรียบง่ายที่สุดท่ามกลางพนักงานผู้บริหารระดับสูง ครอบครัว เพื่อนสนิท  บุคคลผู้ใกล้ชิด และสื่อมวลชนที่สนใจในตัวทายาทผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่คนใหม่ของชวโรจน์คอมเพล็กซ์       ซึ่งก็คือ เจตพล ชวโรจน์ บุตรชายคนเดียวของนายชุมพล ชวโรจน์    ทายาทที่ไม่มีสีสันในวงสังคมแม้มีตัวตนในภาคธุรกิจอยู่บ้างก็ตาม
     

    พลจัดพิธีที่แม้จะเรียบง่ายแต่ก็สมเกียรติแม้จะมีคำติติงจากประแสสังคมที่บอกว่าเขาไม่ได้สนใจจะให้เกียรติแก่ผู้ตายจัดพิธีระลึกเพียงแค่สามวัน 

    เมื่อพิธีฝังเรียบร้อยและผ่านพ้นไป  เพื่อนสนิทของพ่อที่เขาเคารพนับถือเป็นญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวก็เดินเข้ามาหาเขาและสมาชิกครอบครัวชวโรจน์   พร้อมกลุ่มบุรุษในชุดสูทที่มองแล้วน่าจะมีอายุใกล้เคียงกันกับคุณอา

    "อามีเรื่องและคุยกับพวกเธอทั้งสี่คน แต่ตรงนี้คงไม่สะดวก"

    "ไชยภพ มาด้านนี้  มีห้องรับรองอยู่ทางด้านนี้"

    นภาพรเชื้อเชิญไชยภพพร้อมกับเดินนำไปที่ห้องรับรองแขกพร้อมกลุ่มบุรุษทั้งสามที่เดินตามคุณไชยภพเงียบๆไปด้วย    เจตพลกับน้องสาวทั้งคนสองจึงเดินตามไปที่ห้องรับรองแขกด้วยเช่นกัน  พอทุกคนเข้ามาภายในห้องรับรองแล้วคุณอาไชยภพก็แนะนำชายคนหนึ่งจากทั้งสาม   เป็นคนที่ดูอาวุโสที่สุดในสามคน

    "เขาคนนี้เป็นทีมทนายส่วนตัวของชุมพล  เป็นทีมที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทแม่หรือหนึ่งในบริษัทลูกชวโรขน์คอนเพล็กซ์จึงไว้ใจได้ว่าทุกอย่างที่เขาพูดออกมาไม่ได้เข้าข้างใคร และไม่ได้รับผลประโยชน์จากบริษัทแน่นอน"      คุณไชยภพตบไหล่ผู้ชายมาดดีในชุดสูทที่ยืนอยู่ข้างๆกัน   จากช่วงที่พูดคุยกันเรื่องรายละเอียดการทำพินัยกรรมทำให้หัวหน้าทีมทนายส่วนตัวกับคุณอาไชยภพมีความสนิทกันพอสมควร

    "ครับ ขอผมกล่าวต่อเลยนะครับเมื่อประมาณสามถึงสี่เดือนที่ผ่านมา  คุณชุมพล ได้เรียกตัวกระผมกับทีมของผมเข้าพบเพื่อจัดทำพินัยกรรมสุดท้ายและสั่งว่าให้เปิดอ่านในวันที่พิธีฝังของท่านสำเร็จเรียบร้อยแล้วครับ"

    คุณทนายว่าเสร็จก็หันไปรับจดหมายสีฟ้าขนาดมาตรฐานมาจากหนึ่งในสองของทีมที่ติดตามมาด้วยก่อนจะโชว์ให้กับสมาชิกครอบครัวชวโรจน์ทุกคนดู

    “คุณพี่บอกว่าไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ให้ แล้วนี่อะไรกัน”      ก่อนสามีจะเสียชีวิตตอนที่ย้ายมารักษาตัวที่บ้านนั้นเธอได้ลองถามสามีแล้วซึ่งสามีก็บอกว่าไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ให้ทำให้เธอรู้สึกโล่งไปไม่น้อยเพราะเธอเป็นภรรยาที่มีทะเบียนสมรสจึงหมายความผลประโยชน์จากประกันชีวิตและผลประโยชน์จากหุ้นของกิจการ  รวมทั้งทรัพย์สินเกินกว่าครึ่งต้องเป็นของเธอแต่อยู่ๆเพื่อนสนิทของสามีก็เดินเข้ามาพร้อมทีมทนายเสียอย่างงั้น 

    "ไอ้ชุุมมันทำพินัยกรรมไว้จริงๆ นภา เชิญคุณทนายอ่านได้เลยครับ"        ไชยภพหันไปบอกทนายให้เปิดซองจดหมายนินัยกรรมสีฟ้าของเพื่อนออกมาอ่านได้เลย

    "ครับ ฉันนายชุมพล  ชวโรจน์ ขอแบ่งทรัพย์สินส่วนตัวของข้าพเจ้าออกเป็นสามส่วน และส่วนที่หนึ่งขอมอบให้แก่ นางสาวรมณ  ชวโรจน์ บุตรสาวคนที่สองของข้าพเจ้าเป็นบ้านพักตากอากาศที่พัทยา รวมถึงธุรกิจรีสอร์ท บ้านเรือนตะวัน ให้แก่เธอผู้ที่ศึกษาร่ำเรียนมาด้านการบริหารกิจการโรงแรมมาโดยตรง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะดูแล พัฒนา และดำเนินกิจการสืบต่อไปจากข้าพเจ้าให้มีผลกำไรและเติบโตอย่างต่อเนื่อง"

    "ส่วนที่สอง ข้าพเจ้าขอมอบทรัพย์สินดังต่อไปนี้ให้แก่ นางสาวรมัย ชวโรจน์ บุตรสาวคนเล็กของข้าพเจ้าเป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัวที่เกาะช้าง ธุรกิจใหม่ของชวโรจน์ที่กำลังทำอยู่นั้นหรือก็คือธุรกิจสินค้าสำหรับแม่และเด็กให้กับบุตรสาวคนเล็กที่กำลังตั้งครรภ์ หลานคนแรกของข้าพเจ้า   และเพื่อให้ลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้าได้เตรียมความพร้อมกับการเป็นแม่คนเป็นอย่างดี"

    "และข้าพเจ้า ขอมอบหุ้นห้างสรรพสินในเครือชวโรจน์ให้แก่บุตรสาวทั้งสองคนช่วยกันดูแลบริหารสืบต่อไปเป็นอัตราส่วนที่เท่าเทียมกันที่สิบเปอร์เซ็นต์จากหุ้นของข้าพเจ้า โดยบุตรชายคนโตเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ในธุรกิจทุกอย่างที่ข้าพเจ้าได้มอบให้ไปก่อนหน้าสิบเปอร์เซ็นต์เช่นกัน  ทั้งนี้ลูกทั้งสามของข้าพเจ้าจะได้รับรู้ว่าบิดาของพวกเขารับรู้คุณค่าของพี่น้องที่ทั้งสามมีต่อกัน"

    สามคนพี่น้องหันมามองหน้ากันและอมยิ้มส่งให้แก่กันจากตอนแรกที่พวกเขามั่นใจมาตลอดว่าพ่อของเขาไม่มีทางรู้แน่นอนว่าพวกเขายังติดต่อและไปมาหาสู่กัน   ตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่พี่ชายคนโตตัดขาดจากคุณพ่อ

    "ส่วนที่สาม  ข้าพเจ้าขอมอบทรัพย์สินทั้งหมดของข้าพเจ้าให้กับบุตรชายคนเดียวของข้าพเจ้า นายเจตพล  ชวโรจน์ เป็นผู้รับทรัพย์สินทั้งหมดต่อจากข้าพเจ้า   โดยหมายถึงการเป็นเจ้าของกิจการชวโรจน์คอมเพล็กซ์ และไร่กาแฟชวโรจน์ บ้านใหญ่ตระกูลชวโรจน์ และสุดท้ายขอตั้งไชยภพ  บุญพรรณ เป็นรองกรรมการบริหารรองจากบุตรชายของข้าพเจ้ามีอำนาจตัดสินใจเทียบเท่ากันโดยไม่มีเงื่อนไข   หากแต่ต้องการจะเปลี่อนแปลงมูลค่าของทรัพย์สินให้กับผู้ใดก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมของข้าพเจ้าขอให้จัดการและเป็นไปตามความต้องการของบุตรชายของข้าพเจ้าทั้งสิ้น"

    "จบเรียบร้อยแล้วครับ  เอกสารทั้งหมดผมจัดการให้เรียบร้อยตามคำสั่งของคุณชุมพลแล้ว คุณชุมพลสั่งให้ผมจัดการเอกสารโอนมอบกรรมสิทธิเหลือเพียงผู้ที่มีชื่อปรากฏในพินัยกรรมเซ็นรับเพียงเท่านั้นครับ นี่ครับนี่เป็นเอกสารแสดงรายการทรัพย์สินที่แต่ละคนได้รับ รบกวนอ่านและเซ็นต์ที่หน้าสุดท้ายด้วยนะครับ"

           แล้วทนายก็หันไปรับซองจดหมายสีน้ำตาลอีกสามซองมาจากลูกน้องอีกคนและส่งเอกสารที่ว่าทั้งหมดส่งให้รมณ รมัย และเจตพล      ทั้งสามใช้เวลาอ่านทวนเล็กน้อยก่อนจะเซ็นชื่อรับ  รมัยจับท้องยื่นนูนออกมาเพราะสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เธอซับน้ำตากับผ้าเช็คหน้าหลังยกปากกาขึ้นจากเอกสาร    เธอส่งเอกสารที่เซ็นเสร็จเรียบร้อยทั้งของเธอและพี่สาวคืนให้ทนายที่ยืนรอรับเอกสาร  ส่วนคุณอาไชยภพที่เซ็นรับต่อจากเจตพลก็เซ็นและส่งคืนให้ทนายเช่นกัน


    "เรียบร้อยแล้วครับ ถ้าอย่างงั้นกระผมขอตัวกลับก่อนเลยนะครับ ทางเราอาจจะติดต่อมาคุณไชยภพที่เป็ยผู้ดูแลทรัพย์สินเพื่อประสานงานกับทีมทนายของชวโรนจ์คอมเพล็กซ์เพื่อดำเนินการโอนหุ้นและทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนะครับ สวัสดีครับ"

            ทนายความทั้งสามคนจากไปโดยมีคุณไชยภพเดินออกไปส่ง   เหลือทิ้งไว้แต่บรรยายกาศที่น่าอึดอัดพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ แล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วเมื่อคนที่เดินออกไปส่งทีมทนายดเดินกลับเข้ามา

    "ฉันไม่เชื่อว่าพินัยกรรมอันนั้นเป็นของจริงนะ  ไชย  ถ้ามันเป็นของจริงและทำไมมันไม่มีชื่อฉัน คุณชุมพลไม่ได้คิดถึงฉันเลย  บ้าเกินไปแล้วไร้สาระที่สุด ไอ้ผัวเฮงซวย!"

    "นภาพรพูดอะไรก็ให้เกียรติไอ้ชุมพล สามีคุณด้วย"

    "คุณนภาพรผมไม่ได้ห้ามหากคุณต้องการที่จะอาศัยอยู่ที่บ้านใหญ่  บ้านของผม  และยินดีที่จะมอบเงินปันผลเพียงห้าเปอร์เซ็นต์จากรายได้ของห้างสรรพสินค้าในเครือชวโรจน์และของน้องอีกคนละหนึ่งเปอร์เซ็นต์    ผมคิดว่ารมณกับรมัยคงไม่มีปัญหาหากต้องแบ่งกำไรจากกิจการให้คุณใช่ไหมรมณ? รมัยด้วย?"
     

    ในประโยคสุดท้ายพลหันไปถามสองสาวที่ยืนมองพี่ชายต่างมารดาเจรจากับมารดาของตัวเองอย่างสงบ  และไม่ขัดเพราะทั้งสองรู้นิสัยของแม่ตัวเองดี และอีกส่วนเล็กๆคือเกรงใจพี่ชาย 

    เพราะทั้งสองเป็นลูกภรรยาน้อยมาก่อน ส่วนพี่ชายเป็นลูกภรรยาหลวงและทั้งสองก็เคารพนับถือพี่ชายต่างมารดามากเพราะเขาไม่เคยรังเกียจพวกเธอที่เป็นลูกภรรยาน้อย แต่กรณีที่พี่ชายกับมารดาของพวกตนไม่ถูกกันพวกเธอทั้งสองคนก็ไม่เข้าไปยุ่งและเลือกจะไม่สนใจ    ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณพ่อที่เพิ่งเสียชีวิตไปให้อบอุ่นและรักพวกเธอไปไม่น้อยกว่าพี่ชายเลย

    และก็ไม่แปลกใจที่ชื่อของแม่ทั้งสองจะไม่มีในพินัยกรรมเพราะปีหลังๆมา  แม่ของพวกเธอทะเลาะกับคุณพ่อบ่อยเหลือเกิน    คุณพ่อของพวกเธอหันหน้าเข้าหางานโหมทำงานจนร่างกายทรุดโทรมแต่แม่ของพวกเธอกับออกไปงานเลี้ยง ดื่มเหล้าและเริ่มมีข่าวคาวว่าควงชายหนุ่มจากที่ไหนไม่รู้ที่เจอที่งานเลี้ยงเข้าโรงแรมจนทะเลาะกันกับพ่อเป็นเรื่องใหญ่แล้วคุณพ่อก็ทรุดจนเข้าโรงพยาบาลก่อนจะรักษาตัวมาตลอดจนเสียชีวิต

    "พวกเราไม่มีปัญหาค่ะพี่พล"      น้องสาวทั้งสองตอบรับพร้อมกันและพลก็พยักหน้ารับทั้งสองก่อนจะออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด

    "กลับบ้านไปพักผ่อนกันเเถอะ เชิญคุณนภาพร ผมจะให้คนขับรถไปส่งที่บ้าน แล้วเราจะคุยกันเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย คุณอาครับถ้ายังไม่รีบกลับผมจะขอคุยกับคุณอาสักหน่อย"

           รมณประคองมารดาเดินกลับออกไปพร้อมน้องสาวเพื่อไม่ให้คุณแม่ของเธออาละวาดหรือโวยวาย ดังนั้นเมื่อเหลือเจตพลกับไชยภพสองคน ไชยภพจึงถามถึงเรื่องที่ชายหนุ่มอยากคุยกับเขา 

    "มีอะไรหรือเปล่าพล?"

    “ขอผมหลีกกระแสสังคม"

    "ได้สิพล แล้วเรื่องที่บริษัทล่ะจะจัดการยังไง?"

    "ช่วงนี้อาจจะต้องรบกวนคุณอาดูแลแทนผมไปก่อน   ผมขอเวลาทำใจกับเตรียมความพร้อมที่จะเข้ามาดูแลชวโรจน์คอมเพล็กซ์  ขอให้ผมได้เรียงระเบียบความคิดก่อน"

    "อืม อย่างน้อยเราก็ไม่ได้คิดจะทิ้งไปแค่นั้นอาก็หายห่วงแล้ว  เรื่องบริษัทไม่ต้องเป็นห่วงหรอกอาจะให้ดูเอง ไปนานหรือเปล่าล่ะ?"

    "ผมจะหายไปสักพักเพราะคุณนภาคงไม่พอใจเรื่องนี้แน่ๆ "

    "อืม แล้วจะไปไหน ต่างประเทศหรือว่ายังไงให้อาช่วยจัดการให้ไหม? แต่ถ้าเป็นไปได้อาอยากให้อยู่ในไทยเพื่อมีเอกสารโอนรับอะไรพวกนี้อย่างน้อยก็ต้องทิ้งที่อยู่ไว้ให้อาด้วย"

    "ขอบคุณคุณอานะครับ  ผมจะไปบ้านที่ดอยอ่างขาง เชียงใหม่  เมื่อเช้าโทรไปสั่งให้ทางนั้นเตรียมบ้านไว้ให้เรียบร้อยแล้ว รบกวนคุณอาอย่าบอกใครนะครับว่าผมไปไหน อันนี้เบอร์ส่วนตัวของผม กับที่อยู่  ร้านกาแฟสาขาที่เชียงใหม่ผมไม่ได้ไปดูนานแล้ว จะว่าไปผมจะได้แวะไปดูแลไร่กาแฟของชวโรจน์ด้วยเลย"

    "แล้วพลจะเดินทางวันไหน?"

    "ตอนนี้ครับ ผมจะขับรถไปเรื่อยๆ เสื้อผ้าก็เก็บเรียบร้อยพร้อมเดินทางอยู่ในรถ"   

    "เอาเถอะอาคงห้ามไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เดินทางปลอดภัยนะ  ที่จริงอาอยากเธอได้รู้ว่าไอ้ชุม  พ่อเธอเขารักเธอมากนะ วันที่เธอกับเขาทะเลาะกันแล้วเธอย้ายออกจากบ้านไปอยู่คนเดียวเขาเสียใจมาก  เขารู้สึกผิดและอยากขอโทษเธอมาตลอด เขาไม่รู้ว่าจะบอกเธอยังไงพอเข้าโรงพยาบาล  เขาเลยคิดยกทุกอย่างที่สร้างมาให้เธอ"

    "คุณพ่อได้ขอโทษผมแล้วครับ ผมขอตัวก่อนนะคุณอา"
     

    แล้วพลก็พนมมือไหว้คุณอาที่รับไหว้เขา   แล้วเขาเดินออกจากห้องรับรองไปที่รถของเขาก่อนออกเดินทางไปที่จุดหมายปลายทางบ้านที่เขาซื้อด้วยเงินจากธุรกิจร้านกาแฟของเขาเอง

    พลถอดสูทและเน็กไทสีดำออกก่อนจะเหวื่ยงของทั้งสองไปที่เบาะด้านหลังพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นมาถึงข้อศอก  เขาก้าวขึ้นบนรถสตาร์ทเครื่องยนต์    ก่อนจะขับและออกตัวไปตามทิศทางเพื่อขึ้นภาคเหนือของประเทศไทย  เขาแวะพักตามจุดพักรถเป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่นานเพราะเขาเดินทางคนเดียว     จอดเข้าห้องน้ำบ้าง จอดหาของกินรองท้องไปตลอดทาง     

    เวลาผ่านไปเขาไม่รีบร้อนกับการเดินทางเพราะเป็นวันธรรมดาและไม่ใช่ช่วงเทศกาลการจราจรจึงโปร่งโล่ง  เขาเลยตั้งใจเลือกเส้นทางที่ต้องผ่านทั้งอุตรดิถต์ แพร่ และลำปาง    แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่สุโขทัยและกำลังจะขับออกนอกชานเมืองสุโขทัยซึ่งเริ่มบ่ายคล้อยมากแล้วเมื่อเขาแวะพักที่จุดพักรถที่จังหวัดสุโขทัย

    เขาแวะพักรถและตัวเองให้คลายเมื่อยเล็กน้อยโดยคิดจะออกเดินทางต่อในเวลาค่ำจนถึงกลางคืนเพื่อไปให้ถึงบ้านพักของเขาที่ดอยอ่างขางทีเดียวโดยไม่หยุดพักรถที่ไหนแล้วจึงใช้เวลาอยู่ที่จุดพักนานกว่าปกติ   แต่ตอนที่เขาเพิ่งกลับมาที่รถพร้อมกาแฟแก้วใหญ่และถุงใส่ขนมอีกเล็กน้อยที่ตั้งใจจะเอามาเก็บก่อนไปหาซื้อของกินอื่นๆเพิ่มเติม    ยังไม่ทันที่จะได้ปิดประตูให้สนิทดีหลังจากเก็บขนมที่เพิ่งซื้อมาก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดอย่างรวดเร็ว

              เหตุการณ์ที่มาเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดชีวิต  ซึ่งเขาไม่คิดว่าเหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย

        เอี้ยด!  ตึง!

    มีรถเสียหลักวิ่งเข้ามากระแทกเสาไฟฟ้าไม่รุนแรงแต่ก็ไม่เบาทางฝั่งของคนขับแน่ๆว่าได้รับผลกระทบไปไม่น้อยและไม่ใกล้ไม่ไกลในจุดพักรถ ใกล้ๆกับที่จอดรถของเขา ตัวเขาเองที่กำลังปิดประตูก้าวพ้นตัวรถออกมาดูอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ  

           รถที่พุ่งเข้าชนนั้นแน่นิ่งไปไม่มีการเคลื่อนไหวพลที่กำลังจะวิ่งเข้าไปดูก็หยุดเท้าเมื่อประตูข้างคนขับเปิดออกพร้อมกับร่างของสตรีที่สวมชุดคลุมมิดชิด เป็นเสื้อคลุมที่มีฮูดปกปิดส่วนศีรษะ  เธอทรุดลงกับพื้นเพราะอาการมึนหัวแน่นอนแต่ไม่ได้หมดสติไปเพราะพลเห็นเธอยกมือขึ้นมาจับศรีษะของตัวเองก็จะส่ายหน้าไปมา

    "คุณ! คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ!"     พลตะโกนถามพร้อมก้าวเข้าไปใกล้จุดที่เกิดอุบัติเหตุเพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นเท่าที่เขาทำได้เพราะจุดพักรถที่นี่เงียบจนค่อนข้างเปลี่ยว ขนาดเกิดอุบัติเหตุยังไม่มีใครออกมาดูเลยสายตาก็มองไปทั่วบริเวณว่ามีกล้องวงจรรอบๆหรือไม่เผื่อหาคู่กรณีที่ทำให้คนขับต้องหักรถจนพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้า

          เธอที่นั่งอยู่กับพื้นมองซ้ายมองขวาอย่างรีบร้อนเมื่อได้ยินของพลตะโกนถามและเห็นเขาเดินเข้ามาใกล้   เธอใช้มือข้างยันกับตัวรถจึงลุกขึ้นยืนได้ส่วนมืออีกข้างก็กุมประคองท้องที่นู้นใหญ่ออกมา     อายุครรภ์ได้เจ็ดหรือแปดเดือนได้พลกะจากสายตาของเขาที่ไม่ได้เชี่ยวชาญแต่ก็ทำให้เขากระตุ้กไปเล็กน้อยไม่คิดว่าจะมีสตรีมีครรภ์ประสบเหตุ  แล้วอยู่ๆเธอก็วิ่งมาหาเขาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้มาทางเขาที่กำลังเดินเข้าไปหาเธอเช่นกัน

    "คุณเป็นอะไรหรือไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนนะ? กระเทิือนหรือเจ็บที่ท้องหรือเปล่า? เดี้ยวผมโทรแจ้งตำรวจให้"

    พลตกใจที่ผู้หญิงท้องวิ่งได้เร็วขนาดนี้เข้ามาหาเขา   เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปประคองผู้หญิงซึ่งตั้งครรภ์ไว้เธอที่วิ่งตรงมาหาเขาเพราะเป็นห่วงเด็กที่อยู่ในท้องของเธอ  และตัวเธอเองเช่นกัน

    "ฉะ...ฉันไม่เป็นอะไร  พาฉันหนี เร็วเข้า ขอร้องล่ะ.... อย่าให้มันจับตัวฉันกับลูกไปได้นะ พาฉันหนี หนี..."     แล้วเธอก็สลบไปจริงๆโชคดีจริงๆที่เขาจับร่างของเธอไว้  ไม่เช่นนั้นเธอได้ลงไปกระแทกพื้นยางมะตอบแข็งๆแน่   เขามองสำรวจเร็วๆไม่มีเลือดไหลออกมาหนึ่งในสัญญาณอันตราย  และตัวเธอเองก็ไม่ได้บาดแผลอะไร

          ด้วยเพราะเหตุใดไม่รู้ทำไมเขาถึงเชื่อและยินดีช่วยเหลือเธอโดยไม่ได้ถามถึงอีกคนที่เป็นคนขับรถที่เธอเพิ่งวิ่งหนีออกมา    เขาจึงกระชับร่างน้อยแต่ท้องใหญ่ขึ้นมาและพาเดินกลับไปที่รถของเขาที่อยู่ไม่ไกลมาก 

    พลบอกตัวเองว่า เขาไม่มีทางเลือกเมื่อเธอบอกว่าพาเธอหนีนี่นะคิดว่าพรุ่งนี้จะพาเธอไปตรวจก็ยังได้    เลยวางหนึ่งร่างแต่สองชีวิตลงบนเบาะหลังก่อนจะเอาเสื้อสูทของเขาที่กองอยู่ก่อนหน้านี้มาหมุนเป็นหมอนให้ที่คอเธอพอเรียบร้อยดีแล้ว  เขาก็ปิดประตูเบาะหลังแล้วเดินอ้อมมาเข้าประจำตำแหน่งที่คนขับและออกรถทันทีก่อนออกมาจากจุดพักก็ยังไม่มีใครเข้าไปดูรถที่เกิดเหตุอยู่ดี

    "กล้าทำเรื่องอันตรายถึงขนาดนี้ได้ทั้งที่ตัวท้องอยู่เนี่ยนะ? ไม่กล้าบ้าบิ่นก็โง่เต็มทีหวังจะมีเหตุผลดีมาบอกเรานะ"     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×