การขยายความ
การขยายความ
การขยายความ หมายถึง วิธีการถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจข้อมูล ข่าวสาร หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ศึกษาค้นคว้า แปลความ ตีความ อย่างมีวิจารณญาณแล้วถ่ายทอดรายละเอียดของข้อมูล เรื่องราว เพิ่มมากขึ้น ชัดเจน มีสาระและเหตุผล โดยอาศัยเรื่องเดิมหรือข้อความที่ปรากฏเป็นพื้นฐาน การขยายความสามารถทำได้หลาย
วิธี ดังนี้
วิธี ดังนี้
๑.การกล่าวถึงสาเหตุและผลที่สัมพันธ์กัน
๒.การยกตัวอย่างหรือข้อเท็จจริงมาประกอบเนื้อเรื่องเดิม
๓.การอธิบายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเพิ่มเติม
๔.การคาดคะเน (การอนุมาน) สิ่งที่น่าจะเป็น หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยอาศัยข้อมูลเหตุผลจาก เรื่องเดิมเป็นพื้นฐานการคิดคาดคะเน
หลักการพิจารณาการขยายความ
๑.ต้องมีความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
๒.พิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับความคิดหลักในเรื่องนั้น ๆ ข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็นในเนื้อเรื่องโดยพิจารณาว่าเนื้อความตอนใดเป็นข้อเท็จจริง ตอนใดเป็นข้อคิดเห็น ความรู้ศึกหรืออารมณ์ของผู้เขียน ผู้เขียนเจตนาอย่างไรในการเขียน และการมุ่งหวังให้ผู้อ่านตอบสนองอย่างไง
๓.การเกิดความคิดแทรกและความคิดเสริม ความคิดแทรกเป็นความคิดที่เกิดขึ้นในขณะที่อ่าน
ส่วนความคิดเสริมเป็นความคิดที่เกิดขึ้นหลังจากที่อ่านเรื่องจบแล้ว
๔.การลำดับข้อความที่จะนำมาสนับสนุนความคิดหลัก ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ความรู้สึกอารมณ์
และเจตนาของผู้เขียน ความคิดแทรก ความคิดเสริมที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ชัดเจน มีสาระ มีเหตุผล น่าเชื่อถือ
๕. ควรมีตัวอย่าง หรือข้อมูลอื่น ที่จะทำให้เรื่องมีน้ำหนักเป็นที่น่าเชื่อถือ
ตัวอย่างการขยายความ
ตัวอย่างการขยายความ
ตัวอย่างที่ ๑
ฝนตกหยิม ๆ ยายฉิมเก็บเห็ด
จากข้อความนี้ สามารถขยายความออกไปได้โดยคิดถึงสิ่งที่นาจะเป็นและใช้เหตุผลประกอบได้ดังนี้
๑.หญิงชราชื่อฉิม มีฐานะยากจน เพระต้องออกไปหาเห็ดแม้ว่าฝนจะตก
แกสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ (อาจจะขาดก็ได้เพราะยากจน)
๒.ยายฉิมผู้นี้อยู่ตามลำพัง เพราะหากมีลูกหลานก็ไม่น่าจะใจร้ายปล่อย
ให้แกออกไปเก็บเห็ดตามลำพังขณะฝนตก
๓. ยายฉิมอาศัยอยู่ในกระท่อมชายป่า เพราะเป็นภูมิประเทศที่เที่ยวหาเห็ดได้
๔.ขณะที่แกออกไปเก็บเห็ดนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ เพราะถ้าสายอาจมีคนอื่นมาเก็บไป
ก่อนหรือมิฉะนั้นดอกเห็ดก็จะบานซึ่งไม่เป็นที่นิยมที่จะรับประทาน
๕.เป็นช่วงฤดูฝน
๖.ยายฉิมน่าจะเก็บเห็ดเพื่อเอาไปขาย เพราะอายุขนาดนั้นคงไมสามารถทำงานหนักอย่างอื่นเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ และที่ต้องเก็บเห็ดไปขายเป็นการดิ้นรนกระเสือกกระสนเลี้ยงชีพ เพราะไม่มีลูกหลานคอยดูแล
ตัวอย่างที่ ๒
ตัวอย่างที่ ๓
ตัวอย่างที่ ๒
โครงโลกนิติ ของสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร บทหนึ่งกล่าวไว้ว่า
ดูขาดูเมื่อใช้ งานหนัก
ดูมิตรพงสารัก เมื่อไร้
ดูมิตรพงสารัก เมื่อไร้
ดูเมียเมื่อไข้จัก จวนชีพ
อาจจักรู้จิตไว้ ว่าร้ายฤาดี
ตีความได้ว่า จะดูจิตใจข้าทาส มิตร และภรรยาว่าสดีหรือไม่ ให้ดูจากการกระทำของเขา
ขยายความได้ว่า การดูจิตใจผู้ใดว่าร้ายหรือไม่ ต้องสังเกตจากการกระทำของคนผู้นั้น เช่น จะดูว่าข้าทาสมีความอดทนขยันขันแข็งหรือไม่ ให้สังเกตเมื่อใช้งานหนักเพราะถ้าตั้งใจทำงาน หมายความว่าข้าทาสนั้นไม่ขี้เกียจ จะดูว่าจริงใจหรือไม่ให้ดูเมื่อเรายากไร้เพราะเมื่อเราร่ำรวยมีเพื่อนฝูงมากมาย แต่เมื่อถึงคราวลำบากมิตรแท้เท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือเรา และจะดูว่าภรรยารักสามีหรือไม่ให้ดูทีเมื่อสามีป่วยว่าภรรยาจะปรนนิบัติดูแลสามีหรือไม่
ตัวอย่างที่ ๓
เหล่าแม่ค้าเรือพ่ายร้องขายของ ส่งเสียงร้องซื้อได้ไหมจ๊ะ ก่อนจะสาย ทั้งผักปลาผลไม้สวนล้วนมากมาย ดูวุ่นวายสับสนเดินชนกัน
จากตัวอย่างนี้ สามารถขยายความได้โยการคาดคะเนอย่างมีเหตุผลจากความเดิมดังนี้
๑. สถานที่ขายของมีลักษณะเป็นตลาดน้ำ เพราะแม่ค้าพายเรือขายของ
๒. ตลาดขายของเฉพาะช่วงเช้า ไม่ขายตลาดวัน อนุมานได้จากข้อความว่า ก่อนจะสาย
ซึ่งแสดงว่า พอสายก็หยุดขาย
๓. ข้อความในวรรคที่สาม แสดงว่า การปลูกผัก ผลไม้ ในบริเวณแถบนั้นได้ผลสมบูรณ์
(แม่ค้าน่าจะเก็บผักหรือผลไม้ที่ปลูกในละแวกนั้นมาขาย เพราะต้องมาให้ทนตลาดตอนเช้า หากเก็บมาจากที่ไกล ๆ อาจพายเรือไม่ทันเวลา)
๔. แสดงว่าแม่น้ำลำคลองละแวกนั้นยังดีอยู่ ยังไม่เน่าเหม็น ปลาที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำลำ
คลองยังมีจำนวนมาก เพราะสามารถจับมาขายได้
๕. ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นมีเป็นจำนวนมาก เฉพาะที่มาจ่ายตลาดก็มาถึงขนาดเดินชนกัน
ความคิดเห็น
อยากได้เนื้อหาเรื่องอะไร ก็มาบอกกันได้นะคะ
ทำงานของครูโอม..........ต้องทำงานที่หน้านี้........เรื่องการขยายความ
""คนเราพบกันเพื่อจาก มีเพื่อละ นี้เป็นสัจธรรม""
""คนเราพบกันเพื่อจาก มีเพื่อละ นี้เป็นสัจธรรม""
""คนเราพบกันเพื่อจาก มีเพื่อละ นี้เป็นสัจธรรม""