NuT_N
ดู Blog ทั้งหมด

เล่าเรื่องเมืองทอง1

เขียนโดย NuT_N

มีเรียนทำวิเคราะห์วรรณคดี ได้ทำเรื่องนี้ก็มีความตั้งใจจะเขียนเล่าเรื่องเก็บเอาไว้ เสียดายวรรณคดีสนุกๆ >w<

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

พญาคนธรรพ์ชื่อ กมลมิตร ได้บำเพ็ญตบะบูชาพระอิศวร พระอิศวรพอพระทัยจึงเสด็จลงมากล่าวประทานพรให้ แต่กมลมิตรมุ่งบำเพ็ญตบะด้วยความภักดีและบริสุทธิ์ใจไม่ได้ตั้งใจจะขอพรแต่แรกจึงปฏิเสธ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้พระอิศวรพอพระทัยในความภักดีของกมลมิตรมากขึ้น พระอิศวรจึงกล่าวให้กมลมิตรขอพรโดยยกเหตุผลว่าพระองค์ตรัสแล้วไม่อาจคืนคำ กมลมิตรจึงกล่าวขอพรให้ตนได้ชายาที่งามดั่งแสงจันทร์ที่ปักอยู่บนเกศาของพระอิศวร และมีเนตรงามดำขลับดั่งพระศอของพระอิศวร เพื่อจะได้ระลึกถึงความเมตตาของพระอิศวรที่ยอมสละพระองค์เสวยพิษเพื่อช่วยเหลือเหล่าเทวดาและมวลมนุษย์เมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทร
 

พระอิศวรเห็นว่าสิ่งที่พญาคนธรรพ์ขอจะนำภัยมาให้แก่ตัวกมลมิตรเอง แต่ด้วยความเมตตาก็ประทานให้และกลับไปยังที่ประทับ ฝ่ายกมลมิตรกลับมายังที่พักของตน ขณะเดินมาถึงสวนดอกไม้ก็พบกับสตรีนางหนึ่งพายเรืออยู่ในสระดอกบัว รูปร่างงดงามยิ่งนัก เนตรก็ดำงามดั่งศอของพระอิศวร นางได้แนะนำตัวว่าชื่อ อนุศยินี และกล่าวฝากตัวแก่กมลมิตร กมลมิตรจึงรับนางมาเป็นชายา


ด้วยความรักและหลงใหลในตัวนางอนุศยินี กมลมิตรเที่ยวกล่าวโอ้อวดชมความงามของนางให้แก่ผู้อื่นฟังไปทั่ว จนใครได้ยินก็พากันหมั่นไส้ กระทั่งวันหนึ่งเหล่าคนธรรพ์มาร่วมงานร้องรำทำเพลงกัน กมลมิตรก็กล่าวโอ้อวดความงามชายาของตนว่าสวยที่สุดไม่มีใครเทียบ เพื่อนคนธรรพ์นึกหมั่นไส้ได้กล่าวเยาะเย้ยไม่เชื่อ และเอ่ยท้าว่าถ้านางอนุศยินีงามจริงก็ให้ไปยั่วฤษีปาปะนาศน์ที่บำเพ็ญพรตอยู่ หากนางสวยจริงก็คงทำสำเร็จ ด้วยความโกรธที่โดนดูถูกกมลมิตรจึงรับคำท้า กลับไปหานางอนุศยินีและพานางไปยั่วฤๅษีที่อาศรม ฝ่ายนางอนุศยินีแม้จะกลัวบาปกรรมที่ไปขัดการบำเพ็ญตบะของฤๅษี แต่ด้วยความที่ตนเองก็อยากรู้ว่าตนสวยจริงหรือไม่จึงตกลงทำตามที่กมลมิตรขอ


ฤาษีปาปะนาศน์เห็นสตรีงดงามมายั่วยวนก็รู้เล่ห์กลและโกรธมาก กล่าวสาปกมลมิตรและนางอนุศยินีให้ทั้งคู่ไปเกิดเป็นมนุษย์ ให้ได้รักกันแล้วก็ต้องพลัดพรากจากกัน และต้องไปตกระกำลำบากชดใช้บาปที่ทำ เมื่อใดก็ตามที่ทั้งสองหันมาห้ำหั่นฆ่ากันเอง ทั้งคู่ก็จะพ้นคำสาป


พระอิศวรเมื่อเห็นทั้งคู่จุติไปเกิดเป็นมนุษย์ ก็คิดว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตนด้วยจึงมีเหตุให้เป็นเช่นนี้ จึงคิดช่วยเหลือโดยนำดอกบัวปักลงไปในดินสร้างเป็นเกาะกลางน้ำมีปราสาททองคำ และนำร่างของนางอนุศยินีไปเก็บรักษาไว้ที่นั่น


นางอนุศยินีไปเกิดเป็นพระธิดาท้าวชัยทัตแห่งกรุงอินทิราลัย ได้ชื่อว่า กนกเรขา และยังคงลักษณะผิวพรรณงามดั่งรัศมีจันทร์และดวงตาดำงามพิเศษในชาติที่แล้วมาด้วย เมื่อนางกนกเรขาโตเป็นสาวสมควรจะได้อภิเษก ท้าวชัยทัตจึงปรึกษากับพระมเหสีหาคู่สยุมพรแก่นางกนกเรขา แต่นางกนกเรขาปฏิเสธไม่ขอแต่งงาน ท้าวชัยทัตจึงซักถามจนนางยอมเล่าให้ฟังว่า พระอิศวรได้มาเข้าฝันบอกเรื่องเนื้อคู่แก่นางว่าต้องเป็นชายที่มาจากเมืองทองคำชื่อกนกนคร ท้าวชัยทัตได้ยินดังนั้นจึงให้เสนาอำมาตย์ป่าวประกาศหาชายใดก็ตามที่เคยไปเมืองกนกนครและมาแจ้งเรื่องได้ถูกต้องตรงกับพระธิดา พระองค์จะประทานนางกนกเรขาให้เป็นชายาและแบ่งอาณาจักรให้ปกครอง


ฝ่ายกมลมิตร ได้ลงมาเกิดเป็นโอรสท้าวธรรมราชแห่งเมื่องอละกา ได้ชื่อว่า อมรสิงห์ เมื่อเจริญวัยเป็นหนุ่มรูปงามองอาจ ท้าวธรรมราชจะหาคู่ให้อภิเษกก็ไม่ยอม บอกแก่พระบิดาว่า ตนมีสตรีที่ปรารถนาแล้ว เป็นนางในฝัน โดยอมรสิงห์มักจะฝันว่าเห็นนางกำลังพายเรืออยู่ในสระบัว ท้าวธรรมราชไม่เชื่อ ยืนกรานจะให้อมรสิงห์อภิเษกกับบุตรีเจ้าเมืองที่พระองค์ไปสู่ขอมาให้ อมรสิงห์โต้เถียงว่าหากอยากได้พระธิดาองค์นั้นนักก็ให้พระบิดารับมาเป็นชายาเองเสีย ท้าวธรรมราชโกรธมาก จึงสั่งนำอมรสิงห์ไปขังเอาไว้จนกว่าจะรู้สำนึก แต่ผู้คุมกลับปล่อยให้อมรสิงห์หนีออกไปได้


อมรสิงห์เมื่อหนีออกจากเมืองอละกาก็ปลอมตัวแต่งกายมอซอเที่ยวตามหานางในฝันไปยังเมืองต่างๆ แม้แต่ในป่าน้อยใหญ่ กระทั่งถึงเมืองอินทิราลัยได้เกิดความท้อแท้คิดฆ่าตัวตาย แต่เมื่อได้ยินเสียงป่าวประกาศเรื่องตามหาชายที่รู้เรื่องเมืองกนกนคร อมรสิงห์ก็เกิดความอยากลองดีเข้าไปแจ้งว่าตนเคยไปเมืองกนกนครจนได้เข้าพบท้าวชัยทัตและนางกนกเรขาในวัง ต่างฝ่ายต่างจำกันไม่ได้แต่ก็คุ้นหน้ากัน อมรสิงห์เมื่อเห็นนางกนกเรขาก็เกิดความละอายใจจึงเอ่ยบอกไปตามตรงว่าตนโกหก นางกนกเรขาก็โกรธกล่าวบริภาษอมรสิงห์ ท้าวชัยทัตจึงให้คนขับไล่อมรสิงห์ออกไปจากวัง อมรสิงห์ตัดใจจากนางกนกเรขาไม่ได้จึงออกตามหาเมืองกนกนคร


อมรสิงห์เดินทางเข้าไปในป่า  เห็นโยคียืนอยู่ใต้ต้นไม้จึงเข้าไปถามเรื่องเมืองทอง โยคีได้กล่าวว่าจะยอมบอกก็ต่อเมื่ออมรสิงห์เอาปัญญามาแลก โดยการตอบคำถามสามข้อคือ  ทางแห่งโลกสุขโศกอย่างไร ทางแห่งสตรีสุขเศร้าอย่างไร และทางแห่งนิพพานเป็นอย่างไร


อมรสิงห์ดูท่าทางของโยคีก็รู้ว่าเป็นรากษสปลอมมา จึงเล่านิทานโต้ตอบปัญหาข้อแรกไปว่า มีวัดเก่าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีฝูงค้างคาวอาศัยอยู่ วันหนึ่งเกิดฝนตกหนัก หญิงชราและนกเค้าแมวตัวหนึ่งเข้ามาหลบฝน ณ วัดร้างแห่งนั้น พวกค้างคาวเกิดตกใจกลัวจึงลงมาถามหญิงชราว่านางเป็นใคร หญิงชราโกหกไปว่าตนคือพระสรัสวดี และชี้ไปที่นกเค้าแมวตัวนั้นพลางบอกว่านั่นคือพญานกยูงอันเป็นพาหนะของพระสรัสวดี พวกค้างคาวก็พากันหลงเชื่อ เมื่อฝนหยุดตก หญิงชราคนนั้นไปจากวัด แต่นกเค้าแมวยังอยู่ก็บูชานกเค้าแมวเรื่อยมา


ต่อมาวันหนึ่ง นกยูงบินเข้ามาพักเหนื่อยในวัด พวกค้างคาวจึงเข้าไปถาม นกยูงตัวนั้นก็บอกแนะนำตัวว่าตนเป็นนกยูงพาหนะของพระสรัสวดี เหล่าค้างคาวก็ไม่เชื่อ หัวเราะเยาะเย้ยหาว่านกยูงโกหก แล้วชี้ไปที่นกเค้าแมวซึ่งยังอาศัยอยู่ในวัดว่านั่นต่างหากพญานกยูงตัวจริง แม้ว่านกยูงอธิบายอย่างไรก็ไม่ฟัง นกยูงจึงบินหนีไปเพราะเห็นว่าความโง่ของค้างคาวเหล่านั้นจะอธิบายให้กระจ่างอย่างไรก็คงไม่เกิดผล


เมื่ออมรสิงห์เล่าจบ โยคีที่สัญญาว่าจะบอกทางให้ก็แปลงเป็นพังพอนเข้าไปมุดอยู่ในรู อมรสิงห์ก็นึกโกรธ กล่าวตัดพ้อโยคีว่าตนเล่านิทานตอบปัญหาไปแล้วใยไม่บอกทางไปกนกนครให้แต่โดยดี โยคีจึงบอกว่าอมรสิงห์ตอบปัญหาอีกสองข้อที่เหลือ


มีโยคีรูปหนึ่งบำเพ็ญตบะจนพระอินทร์ร้อนอาสน์ พระอินทร์จึงให้นางอัปสรลงมายั่วและได้เสียกับโยคีจนมีลูกด้วยกัน เมื่อเห็นว่าฤษีหมดฤทธิ์ลงแล้ว นางอัปสรก็กลับขึ้นไปบนสวรรค์ทิ้งโยคีและลูกสาวของตนเอาไว้ ฝ่ายโยคีเกิดความละอายใจและเสียดายในตบะของตนที่อุตส่าห์บำเพ็ญเพียรจึงควักลูกตาตัวเองเสีย ต่อมาลูกสาวของโยคีกับนางอัปสรเจริญวัยเป็นสาวสวยมาก ความงามของนางทั่วทั้งฟ้าดินไม่มีใครเทียบ แต่เพราะโตมาในป่าไม่มีมนุษย์อาศัย แม้แต่โยคีผู้เป็นพ่อก็ตาบอด ความงามของนางจึงไม่มีผู้ใดรู้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว


วันหนึ่งมีกาบินผ่านมาเห็น จึงพูดจายกยอความงามของนางและกล่าวเสียดายที่นางอยู่ในป่าไม่มีผู้ใดพบเห็น หากอยู่ในเมืองมนุษย์ ความงามของนางจะปรากฏชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล จะมีแต่คนมารุมรัก หากพระราชามาเห็นก็คงรับนางไปเป็นมเหสี มีแก้วแหวนเงินทองและนางกำนัลให้ใช้สอยมากมาย เหตุใดนางจึงไม่เดินทางไปยังเมืองมนุษย์เสีย บุตรสาวโยคีได้ยินดังนั้นก็อยากไปเมืองมนุษย์ แต่ก็ระลึกถึงบุญคุณโยคีผู้เป็นบิดาด้วยความกตัญญู นางจึงขับไล่อีกาไปเสียแล้วอยู่รับใช้บิดาในป่าจวบจนสิ้นอายุขัย ไม่มีผู้ใดได้พบเห็นหรือล่วงรู้ความงามของนางเลย


เมื่ออมรสิงห์ล่าจบ โยคีก็แปลงเป็นค้างคาวล่อหลอกอมรสิงห์ แล้วให้อมรสิงห์เฉลยทางแห่งนิพพานอันเป็นข้อสุดท้าย อมรสิงห์เล่านิทานตอบว่า มีกษัตริย์ชราผู้หนึ่งครองเมืองอันอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมไปด้วยบริวารและทรัพย์ศฤงคารมากมาย วันหนึ่งกษัตริย์องค์นั้นมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเด็กลากเกวียนของเล่นแล้วเกวียนนั้นหัก นั่งร้องไห้ ก็รำลึกถึงเมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงเยาว์วัย คิดว่าวัยเด็กนั้นช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน แต่ตัวเรานั้นแก่ชราแล้วหาความสุขมิได้ จึงเปล่งวาจาขอความหนุ่มกับพระอิศวร ฝ่ายพระอิศวรเมื่อได้ยินคำขอของกษัตริย์เฒ่าก็ลงมาหา ตรัสว่านี่เป็นครั้งที่เก้าสิบเก้าแล้วที่กษัตริย์ขอความหนุ่มกับเรา ชาติก่อนๆท่านก็ขอเราเช่นนี้


กษัตริย์ชราได้ยินดังนั้นก็ถามพระอิศวรว่าเมื่อไหร่ตนจะทางหลุดพ้นจากทุกข์นี้ พระอิศวรก็ไม่ยอมบอก แต่กล่าวว่ากษัตริย์ชราจะรู้ด้วยปัญญามิใช่เพราะเวลา จากนั้นก็เสด็จกลับเขาไกรลาส ต่อมากษัตริย์เฒ่าเกิดคิดถึงพระธิดาของพระองค์จึงเสด็จไปหา โดยไม่รู้ว่าพระธิดาถูกงูพิษกัดตายไปนานแล้วแต่ไม่มีใครบอกด้วยเกรงพระองค์จะเสียพระทัย เมื่อไปถึงจึงพบแต่พระศพของพระธิดาที่ยังสาวมีแมลงวันตอมอยู่ กษัตริย์ชราก็เกิดปลงสังขาร ออกจากวังไปบำเพ็ญตบะริมแม่น้ำคงคาจวบจนสิ้นอายุขัย


โยคีได้ฟังอมรสิงห์ตอบปัญหาเสร็จสิ้นก็แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกล่อ อมรสิงห์จึงฟาดพระขรรค์ไปโดนลิ้นโยคีขาด โยคีจึงแปลงร่างกลับคืนเป็นรากษสกล่าวฝากความแค้นแล้วลอยหนีไป


อมรสิงห์เที่ยวเดินไปในป่า ตกกลางคืนก็เดินมาถึงริมสระแห่งหนึ่งเห็นหญิงงามกำลังร้องรำทำเพลงและได้กล่าวแนะนำตัวว่าเป็นพวกแทตย์และกล่าวเชื้อเชิญ ยั่วยวนอมรสิงห์ อมรสิงห์ที่มีนางกนกเรชาในใจอยู่แล้วก็ไม่หลงไปตามกลนั้น ครั้นนางถามว่าตานางและผมนางสวยขนาดไหน อมรสิงห์ก็ตอบไปว่านางนั้นงามดั่งฟ้า แต่เหนือยิ่งกว่าฟ้าก็ยังมีมหาสมุทรยามราตรี นางอสูรก็โกรธ กล่าวตัดพ้อและร้องไห้ น้ำตาของนางนองเอ่อล้นจนท่วมป่าแล้วนางก็ลอยหายไป อมรสิงห์คว้ากิ่งไม้ปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้หนีน้ำ กระทั่งรุ่งสางจึงเห็นว่าต้นไม่ที่ตนปีนขึ้นมานั้นแท้จริงแล้วเป็นหน้าผา นางอสูรตนนั้นแสร้างทำมายาหลอกลวงให้อมรสิงห์เห็นว่าน้ำท่วมเพื่อจะได้ปีนขึ้นมา หากอมรสิงห์หมดแรงลงจากต้นไม้ก็เท่ากับตกหน้าผาตาย


ขณะที่อมรสิงห์นึกเจ็บใจที่ตนมาเสียรู้นางอสูรอยู่นั้น มีหงส์สองตัวคาบศพหงส์ทองบินมาเกาะที่หน้าผา สอบถามความกันจึงได้รู้ว่า ศพหงส์ทองนั้นเป็นพญาหงส์ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ พญาหงส์ได้สิ้นชีพเมื่อบินไปยังเมืองกนกนคร และหงส์ทั้งสองกำลังจะนำศพกลับไปยังสวรรค์ อมรสิงห์ได้ยินดังนั้นจึงชักพระขรรค์เข้าขู่หงส์ทั้งสองให้พาตนไปยังเมืองกนกนคร หากไม่ทำตามจะทำร้ายศพหงส์ทองนั้นทิ้งเสีย พวกหงส์จึงจำใจพาอมรสิงห์บินไปยังกนกนครก่อนแล้วจะกลับมานำศพหงส์ทองกลับไปสวรรค์


อมรสิงห์เกาะหงส์บินไปยังเมืองกนกนคร ผ่านป่าเขามากมาย กระทั่งเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ พบเกาะๆหนึ่งก็เข้าใจว่าเป็นเกาะเมืองกนกนคร ยังมิทันจะได้ถึงก็พลัดตกจากหงส์ตกลงไปในน้ำเสียก่อน อมรสิงห์ว่ายน้ำไปถึงเกาะ เกาะนั้นก็เคลื่อนไหว ปรากฏว่าเกาะนั้นเป็นหลังของปลาตัวใหญ่ซึ่งแท้จริงแล้วคือพญามกระ พาหนะของพระวรุณ พญามกระนั้นรู้เรื่องคำสาปของอมรสิงห์ตั้งแต่ตอนที่เป็นพญาคนธรรพ์กมลมิตร จึงได้อาสาพาอมรสิงห์ไปยังเมืองกนกนคร อมรสิงห์จึงได้มีโอกาสพักผ่อนก็หลับไปได้ฝันถึงนางกนกเรชา เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนได้มาถึงเมืองกนกนครแล้ว

มีต่อ...

http://my.dek-d.com/one-deadly/blog/?blog_id=10178867

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น