pakprak
ดู Blog ทั้งหมด

ชะเงยทัวร์ ณ ปากแพรก ตอน ยามสาย

เขียนโดย pakprak


ปากแพรกยามสาย ณ ช่วงกลางของถนนบนตลาดเก่า ชุมชน"ปากแพรก" กาญจนบุรี ร้านจิวเวอร์รี่เก๋าๆแบบบุญเยี่ยมเจียระไน หรือคุ้มจันทร์ศิริ พศ. 2469 ก็ส่องแสงประกายให้เห็นว่าเป็น "หนึ่งในสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปตุกีส " ..เก่าแก่และงดงามอายุเกือบ 90 ปี มี 3 ห้อง
 


ชะเงยดู 3 โค้งตั้งรับเสาแบบโรมันทั้ง 4 ที่ระเบียงชั้นบน โค้งพอดีได้สัดส่วนเหมะสมและอ่อนช้อย นี่แหละนะที่เค้าเรียกว่า "ศิลปะ" ปูนปั้น ค้ำยันที่ประตูและเสาก็งดงามไม่แพ้ที่ไหน ที่น่าสนใจคือพลอยเม็ดสีฟ้ากลางป้ายดีไซน์ได้เอกลักษณ์ดีจริงๆ...ไม่เสียทีที่มาชะเงยดู...
 
 


ที่ชอบใจถัดมาคือป้ายร้านปืนสุดคลาสสิค " ศิริชุมแสง" ขายมาตั้งแต่รุ่นทวดจนถึงปัจจุบันรุ่นลูกเป็นผู้ดูแล ป้ายเนี้ยก็คงเป็นมรดกตกทอดมาเทห์มั๊กๆ  คนที่ชอบมากกว่าเราก็เห็นจะเป็น ผู้พันเบิร์ด-พ.ท.วันชนะ สวัสดี ผู้รับบทสมเด็จพระนเรศวร ฉกเอาลูกสาวแสนสวยของเจ้าของร้านไปซะแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน สร้างความแค้นเคืองใจให้เรายิ่งนัก...

 

ใครที่รักปืนชอบปืนก็ส่งมาซ่อมที่นี่ได้ ธุรกิจครอบครัวประสพการณ์นานมากโข...

 
 

ถัดมาก็ได้แก่ โรงแรมกาญจนบุรี สร้างขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ปี 2480 ด้วยปูนพอร์ตแลนด์อีกแล้ว...  

 

ชะเงยดู...รูปทรงแบบจีนเซี่ยงไฮ้และยุโรปผสมกันนัวเนีย...สวยงามลงตัว หน้าต่างประดับกระจกสี ด้านหน้าเป็นปูนปั้นประดับผนังรูปสัตว์มงคล เป็นโรงแรมหลังแรกที่สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก งานไม้ประตูหน้าต่างยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ดี


 

ป้าวิไล นัยวินิจ สาวน้อยในอดีตแห่งบ้านฮั้วฮง เล่าให้คุณฐานกูร โกมารกุล ณ นครฟังว่า

"50 กว่าปีแล้วที่ฉันเห็นโรงแรมนี้มา...แต่ก่อนหน้าบ้านคึกคัก ใครมาเมืองกาญจน์ก็มาพักที่นี่" ยังมีภัตตาคารนำกรุงที่ชั้นล่างอีก ที่ป้าบอกกับผม(คุณฐานกูร)ว่า ใครแต่งงานที่นี่ถือว่าโก้ที่สุด "อาหารเหลาอย่างดี เสียงเฮฮาดังตลอดค่ำคืนเชียวละหลาน"

คุณฐานกูร บอกเล่าไว้ใน อสท...ปากแพรก ถนนสายสั้น คืนวันทอดยาว..ทำให้หมู่เฮามองเห็นภาพในอดีตอย่างชัดเจน...ขอบคุณหลายๆ

 
 

ในอดีต...ห้องทั้งหมดมี 14 ห้องเต็มตลอด  สมัยก่อนคืนละ 2-4 บาท เมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา 60-70 บาท พ่อค้าไม้ ชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน ประชุมข้าราชการ งานเลี้ยง แต่งงานหรูๆ ก็มาที่นี่แหละ  

สมัยก่อนถือว่าสุดยอดแห่งความทันสมัยในเมืองกาญจน์ หาอะไรทานดีๆแบบเจ้าสั่วสมัยก่อน...ก็ที่นี่หละ...เคยเห็นภาพภายในเมื่อเร็วๆนี้ คิดว่ากำลังตกแต่งภายในใหม่...คงจะได้ข่าวดีในไม่ช้า...!!!

 
.

ที่น่าดีใจแทนบรรพบุรุษของร้าน "ง่วนซุ่นเส็ง" ...ลูกหลานของตระกูลนี้...พวกเขายังคงรักษาร่องรอยทางประวัติศาสตร์ไว้เป็นอย่างดี


 

มีเพียงสิ่งต่อเติมเพิ่มอีกชั้นเท่านั้นเพื่อประโยชน์ใช้สอย แต่เมื่อเทียบกับการอนุรักษ์จิตวิญญาณที่บรรพบุรุษสร้างแล้ว " ประเมินค่ามิได้ "

 

เมื่อชะเงยดู...นี่แหละคือสิ่งล้ำค่าที่หาดูยากกกก...ตรงกลางด้านในข้างบนเป็นระเบียงสี่เหลี่ยมคงเอาไว้เก็บสินค้ามาหลายยุคหลายสมัย ...และที่เหนือกว่าสิ่งล้ำค่าคือการบูชาบรรพบุรุษ

 


"นายอิ้ว กุลสุวรรณ" ... ดีใจด้วยครับท่านที่มีลูกหลานกตัญญู...
 
 
อันดับต่อมา...



ร้าน หจก.บุญเลี้ยง(ธนาสันติ) ร้านนี่เป็นร้านโชว์ห่วยธรรมดา..แต่ไม่ธรรมดา เพระใครๆก็จะมาที่ร้านนี้ เปิดเช้าปิดค่ำ 7-20 น. เพราะอยู่ตรงสี่แยกที่ขนส่งสินค้าจากริมแควเข้าสู่ตลาดสดตอนตี3 เปิดมานานจนใครๆเรียกขานสี่แยกที่ติดกับร้านว่า ...

 

" สี่แยกบุญเลี้ยง" ...อะเอากะเขาดิ...ดังไม่ดังก็ดูจากตรงเนี้ย ใครจะไปใครจะมามองหาสากกะเบือยันเรือรบ..."บุญเลี้ยงจัดให้"...ฮึๆไม่รู้เวอร์ไปหรือป่าว!!!
 
 

ฝั่งตรงข้ามที่ยังดังสู้ไม่ได้แต่ก็ขายโชว์ห่วยเหมือนกันคือร้าน " กิติกุล " เปิดเช้าเหมือนกั่นแต่โชว์ห่วยไม่เหมือนกัน ที่จำได้คือข้างร้านมีเตาอั้งโล่เรียงรายกับน้ำเปล่าขายเพียบ!!! ที่น่าสนใจในยามชะเงยดูหน้าร้านก็คือ "กล่องดำ" คงไม่ใช่กล่องดำจากเครื่องบินแน่...แต่คาดว่าจะเป็นกล่องไฟแบบทึบ..รุ่นเก่า  แต่ตรงร้านพลุดอกไม้ไฟมีกล่องดำอีกกล่อง เดี๋ยวตามไปดู
 
แต่ตอนนี้ขอประชาสัมพันธ์ให้ร้านที่ไม่เคยรู้จัก...ไม่เคยผ่าน...ไม่เคยไปกิน...เจอตะกี้นี้หละ
 
โฆษณาน่าสนใจไว้ดังนี้ "...ความคลาสสิคทั้งบรรยากาศและรสชาติของก๊วยเตี๋ยว ไก่ตุ๋น-ก๊วยเตี๋ยวหมู สูตรดั้งเดิมกว่าสี่สิบปี " ก๊วยเตี๋ยว ป้าฟ้า " ร้านอยู่ในตลาดสดเทศบาลเมืองกาญจนบุรี ฝั่ง ถ.ปากแพรก ใกล้แยกร้านบุญเลี้ยง เปิดขายตั้งแต่ 14.00 น ช่วงเย็นมีปีกไก่ย่าง ลูกชิ้นย่าง เสน่ห์ที่สุดของร้านนี้ คืออย่าเพิ่งสั่งถ้ายังไม่ถึงคิว เพราะถ้าสั่งก่อนแกจะลืม ถึงคิวเดี๋ยวป้าถามเอง..." ร้านแบบนี้มีเอกลักษณ์ มีคอมเมนต์เตเตอร์เพียบไปดูได้ที่นี่ เจ็ดหมื่นหนึ่งพัน กาญจนบุรี
 
มีร้าน( คาดว่าจะอร่อย)ดีเพิ่มขึ้นอีกร้านแล้ว...แสดงว่าปากแพรกเริ่มสยายปีกแล้ว...ดีใจจัง!!! ไม่ต้องไปพึ่งภาครัฐ ภาคเอกชนหรือใครๆที่เกี่ยวข้องกับถนนคนเดินปากแพรก 177 ปีก็ได้...อภิโธ่!!!...ทำให้ท้องแล้วก็ทิ้ง... 4-5 ปีแล้วนะเอย...ใจร้ายจัง...
 
ฮึ!!!...ทำแบบนี้ชาวปากแพรกรวมตัวกัน..พึ่งตนเองก็ได้ฟระ!!!...ไม่ง้อเฟยยย!!!
 
.

ถัดมาคือร้านหาดใหญ่ 2 ..

.
หำดใหญ่ชื่อก็ใต้มาอยู่ปากแพรกกาญจนบุรีได้อย่างไร แล้ว 2 คืออะไร สาขาหรือ??? หือ!!!

 

...รู้แต่ว่าเป็นร้านขายพลุไฟ...


 

และ...สินค้าสำหรับคนตาย...กงเต้ก...เพื่อบูชาผู้ล่วงลับสำหรับชาวจีน 

 

ประตูไม้บานเฟี้ยมกับกลอนเหล็กแปลกดี...
 


กล่องไฟเก่าๆที่นี่เป็นไม้ใส่กระจกไม่ใช่โลหะเหมือนร้านที่ผ่านมา แต่ทว่า!!! หาดูไมได้อีกแล้วนะ...ในเมืองกรุง
 
 

เกษแก้ว ป้ายเก๋เก่าดี ชื่อเหมือนร้านทำผม แต่ตอนที่ไปขายผลมะตูมแห้ง...



ชอบป้าคนนี้อัธยาศัยดีแถมยิ้มหวานเสียด้วย...สาวๆน่าจะสวย...เนาะป้าเนาะ!!!
 
 

ต่อมาก็ มาโนช ราดิโอ ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดังที่แสนทันสมัย...ใหญ่สุดๆในยุคนั้น

 

แต่...ปัจจุบันมีเพียงตู้ไม้ให้ดูต่างหน้า...เห็นแล้วอยากเอาเครื่องใช้สมัยก่อนมาตั้งขาย...ต้องไปขอกับท่านมาโนช.. ซะแล้ววววว...
 
 

ถัดมาก็เป็นญาติกัน ชวนพานิช..ไม่ใช่ชวน หลีกภัย บ้านและร้าน 2 ชั้นครึ่ง ชะเงยดูแล้วจะเห็นลวดลายของลูกกรงด้านล่างเป็นลายดอกจีน สวยงามแตกต่างจากบ้านอื่น  ลูกกรงปูนวงรัด้านบนทำให้นึกถึงบ้านฅนรวยสมัยคุณแม่ยังสาวในเมืองกรุงไม่มีผิด
 
 

ประตูบานเฟี้ยมไม้หนา ชะเงยดูช่องระบายลมเป็นซี่กรงเหล็ก ภายในมองเห็นตู้ขายของเก่าๆติดผนัง  " ตู้สินค้าไม้สักติดกับผนัง มันไม่เคยมีปัญหาให้ต้องซ่อมแซมแต่อย่างใด บ้านตึกแต่ก่อนนั้นสร้างดี ใช้ของดี เลยทนนาน"...ลุงสุรพล ตันติวานิช เจ้าของชวนพาณิชเคยเล่าไว้ในอสท.ถ้าฉันจำไม่ผิด นั้นคือเหตุผลที่ทั้งตู้และตึกแถวนี้ผ่านกาลเวลามาอย่างไม่ยากเย็น  และดูเหมือนลุงคนนี้หละที่จะรู้เรื่องการเมืองท้องถิ่นที่นี่เป็นอยางดี...ถามดูซื!!!คำตอบย้าววยาววววววววววว...สนุกดี......
 
 

ถัดมาก็เป็นเรือนไม้ประตูบานเฟี้ยม "กิจพัฒนา"  ขายเครื่องใช้สังกะสีที่ไม่ค่อยมีใครขาย 

ชะเงยดูที่ระเบียงไม้ ..อ่าววววว "ห้องนี้ขาย" จะไปอยู่ไหนหละลุง...น่าเสียดายที่ประกาศขาย ป่านฉะนี้คงย้ายไปแล้ว
 


ข้ามตึกหลังใหม่หลังใหญ่ไปเป็นร้านจักรยานที่เขาเล่าขานว่าเป็นเจ้าของตึกบุญเยี่ยมเจียระไน ที่ตั้งตระหง่านตรงข้ามบ้านบุญผ่อง หรือสิริโอสถนั้นเอง

 

มาถีงบ้านคนดัง หลานสาวเด่น บ้านตึก 3 ชั้นนี้ เป็นบ้านของนายบุญผ่อง สิริเวชชะพันธุ์ "วีรบุรุษสงครามของทางรถไฟสายมรณะ" เป็นผู้จัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคให้กับทหารญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในเสรีไทยที่ได้แอบช่วยฝ่ายพันธมิตรและเชลยศึก


 

บ้านหลังนี้สถาปัตยกรรมเป็นแบบโคโลเนียลเหมือนสิทธิสังข์...

 

บานหน้าต่างคู่ ระเบียงด้านหน้า ช่องลม กระจกสี มีดาดฟ้าด้วย...แต่ก็สู้เรื่องราวของนายบุญผ่องไม่ได้...ใครยังไม่รู้จักก็รีบๆหาข้อมูลซะนะประเดี๋ยวคุยกะใครๆไม่รู้เรื่อง


 

ส่วนหลานสาวเด่นก็คุณ "เจี๋ยบ พิจิตรา" ไง นายบุญผ่องเป็นคุณตา..นางลำไยเป็นคุณยายเป็นน้องสะใภ้ของตาบุญผ่อง พ่อชื่อ...อะ!!!จะสาธยายทำไมนี่...


 

อารมภ์และบรรยากาศเมื่อมาเดินบนถนนสายนี้ในช่วงสายแดดส่องได้ผสมกลมกลืนกันระหว่างโลกเก่ากับโลกใหม่อย่างลงตัว...จนแทบจะไม่รู้สึกเลยว่า...สิ่งที่เราพบอยู่ขณะนี้คือสิ่งที่มีชีวิตมากว่า 180 ปี... ณ ที่นี่!!!..ปากแพรก...
 
 
...
ข้อมูลเพื่มเติม
 
"ปากแพรก ถนนสายสั้น คืนวันทอดยาว" / ฐากูร โกมารกุล ณ นคร. Imprint, 2553
"...ช่วงสงครามโลก พ.ศ.2485 ญี่ปุ่นเข้ายึดเมืองกาญจน์เพื่อสร้างทางรถไฟเชื่อมไปพม่า ตอนนั้นบ้านเราเต็มไปด้วยทหารญี่ปุ่นที่เข้ามากำหนดในเรื่องการค้า" ช่วงนั้นป้าลำไยซึ่งป็นน้องสะใภ้ของบุญผ่องเพิ่งมารับราชการครูได้ไม่นาน เรื่องราวต่างๆ ล้วนมาจากคำบอกเล่าใ นเวลาต่อมาปากแพรกในยามนั้นคือแหล่งสินค้าที่ "ใกล้" ที่สุดของค่ายทหาร ร้านค้ากลางตลาดหลายแห่งถูกผูกขาดการค้าขายกับญี่ปุ่น รวมถึงตึก 3 ชั้นของนายบุญผ่องหลังนี้ "เขาส่งหัวหน้าค่ายเชลยมารับสินค้า เขาสั่งอะไรมาเราก็รับ และมาแบ่งการจัดหาให้ ส่งไปถึงค่ายทั้งทางรถ ทางเรือ" โมงยามนั้นไม่มีใครรู้ว่าสงครามและภาวะ "กดดัน" เช่นนั้นจะยืดเยื้อยาวนานสักเท่าไร
 
"คนเรามันมีหัวใจน่ะ" ป้าลำไยพูดลอยๆ เมื่อมองรูปพี่เขยที่หน้าบ้านใน พ.ศ.นั้นไม่มีใครรู้ว่าชายที่ชื่อบุญผ่อง ทายาทของร้านสิริโอสถ จะกลายเป็น "วีบุรุษสงครามของทางรถไฟสายมรณะ (A War Hero Named Boonpong of Deathrailway)" ในเวลาต่อมา
 
"พี่เขาเห็นใจเชลยสงครามที่ต้องทุกข์ทรมานในค่าย ทั้งความอดอยาก ไข้ป่า รวมถึงความโหดร้ายของทหารญี่ปุ่น" ...
 
แม้ในวันที่สงครามสิ้นสุด หลายคนก็ยังทึ่งกับการบอกพิกัดการทิ้งระเบิดทำลายสะพานข้ามแม่น้ำแควอันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญได้อย่างแม่นยำของฝ่ายสัมพันธมิตร "สะพานมันอยู่ในป่าในดงน่ะ ใครจะไปเห็นได้ชัด ตอนนั้นเชื่อได้ว่าพี่บุญผ่องต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระเบิดลงถูกจุด" หลังความโหดร้ายผ่านพ้น ในปากแพรกตกทอดอยู่ด้วยเรื่องเล่าแห่งสงครามตามความทรงจำของคนที่ร่วมผ่านมันมา บุญผ่องย้ายไปปักหลักที่กรุงเทพฯ ทำธุรกิจรถเมล์โดยสารก็จากรถร่วม 200 คันของกองทัพญี่ปุ่นที่เหลือจากศึกสงครามซึ่งทางฝ่ายสัมพันธมิตรมอบให้เป็นการตอบแทนยังไม่รวมถึงความซาบซึ้งในน้ำใจต่อคนเล็กๆ คนหนึ่งในถนนปากแพรก ที่ย้อนกลับมาเป็นเงินทองที่ได้รับการชดใช้ การได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือยศพันโทจากกองทัพอังกฤษและเนเธอร์แลนด์
...
" ปากแพรก ชุมชนเก่าครั้งสร้างเมืองกาญจนบุรี " www.comingthailand.com
บ้านบุญผ่อง แอนด์ บราเดอร์  เป็นตึกแถว 3 ชั้น 3 คูหา แห่งเดียวของชุมชนปากแพรกยุคนั้น เจ้าของเดิมคือ ขุนสิริเวชภัณฑ์ บิดา นายบุญผ่อง สิริเวชภัณฑ์ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2460 อายุกว่า 94 ปี ลักษณะอาคารชั้นบนมีระเบียง ทั้ง 2 ชั้น กันสาดประดับด้วยกรจกสี ประตูหน้าต่างแบบลูกฟัก มีช่องแสงเป็นกระจกสี ส่วนบนสุดเป็นชั้นดาดฟ้า
 
บ้านบุญผ่อง แอนด์ บราเดอร์ นี้ มีความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ เป็นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้กับทหารญี่ปุ่น โดยมีนายบุญผ่อง สิริเวชภัณฑ์ เป็นเจ้าของร้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในเสรีไทยที่ได้แอบช่วยฝ่ายพันธมิตรและเชลยศึก จนไปสู่การทิ้งระเบิดบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแควเพื่อยับยั้งทหารญี่ปุ่น
 
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลง รัฐบาลออสเตรเลีย และอังกฤษได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และประดับยศเป็นพันโทในกองทัพอังกฤษ โดยได้ถูกยกย่องให้เป็น วีรบุรุษสงครามของทางรถไฟสายมรณะ
 
...

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น