คะแนน 5/5
นักวิจารณ์ Rebel.
COTH : THRONE OF BLOOD บัลลังก์โลหิต
“ปฐมบทแห่งสงครามที่สะท้อนสันดานดิบของหลายเผ่าพันธุ์”
*หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้มีภาคต่อซึ่งเป็นสงครามแบบเดือดๆ คือ COTH II ศึกแห่งทวยเทพ ซึ่งในบทวิจารณ์นี้เป็นภาคแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม (COTH I บัลลังก์โลหิต)
เมื่อคำทำนายถูกเอ่ยขึ้น โกรลโทเปียอาณาจักรแห่งสันติภาพเกิดการล่มสลาย และเรื่องราวความขัดแย้งต่างๆ ก็ได้เกิดขึ้นกับแปดราชอาณาจักร แปดเผ่าพันธุ์ หลายเผ่าพันธุ์ต่างเตรียมการรับมือกับเหตุต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ การทรราช กบฏ และเล่ห์กลที่ส่งผลให้ย่อยยับ มุ่งหน้าค้นหาบัลลังก์โลหิตที่เชื่อว่าจะสามารถควบคุมจิตใจประชากรทั้งมวลของแปดอาณาจักรให้ตกอยู่ใต้บัญชาตนได้ ความสูญเสียกำลังจะมาเยือนทุกหย่อมหญ้า แผ่นดินจะนองไปด้วยสายโลหิตดั่งสายธาร แล้วเผ่าพันธุ์ใดที่จะกำชัย หรือทุกฝ่ายจะต้องพ่ายจนถึงกาลอวสานของโลก ปฐมบทแห่งมหาสงครามแปดอาณาจักรจักกู่ก้องกัมปนาท
โครงเรื่อง (การดำเนินเรื่อง, ความสมเหตุสมผล, ความน่าสนใจฯ)
พล็อตมีความน่าสนใจ การดำเนินเรื่องโดยรวมมีปมมากมายที่โรยทาง ทั้งประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ทำให้เกิดจุดไคลแม็กซ์ มีความสนุกภายในเรื่องเคล้ากับปมที่ทำให้น่าติดตามต่อระดับหนึ่ง มีจังหวะที่ต่อเนื่องไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป มีข้อมูลที่ค่อนข้างแน่นและการสื่อมันออกมาผ่านเรื่องราวโดยไม่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียด ทุกอย่างดูเหมือนจะเหมาะเจาะเกือบทั้งหมด การดำเนินเรื่องมีความสมเหตุสมผล และเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงช่วงหนึ่งก่อนจะถึงไคลแม็กซ์รู้สึกว่าพล็อตยืดหยุ่น ไม่แน่นเหมือนช่วงเริ่มเรื่อง อาจด้วยเป็นช่วงที่เรื่องราวทั้งหลายกำลังจะมาเกี่ยวข้องกัน ทำให้การสื่อค่อนข้างไม่ครบถ้วน โดยรวมเป็นนิยายที่น่าติดตามและมีความสนุกซ่อนอยู่เกือบทุกจุด จนบางทีก็สามารถทำให้อารมณ์ร่วมความสนุกระเบิดออกมาได้เลยทีเดียว
แต่ยังติดที่ความสมจริงของเนื้อเรื่อง ด้วยแปดอาณาจักรนั้นอยู่ในสภาวะใกล้สงครามจนถึงสภาวะสงคราม เนื้อเรื่องน่าจะหนักหน่วงบรรยากาศน่าจะตึงเครียดมากกว่านี้ ประมาณว่าดาร์กแฟนตาซี หรือถ้าเปรียบเป็นดนตรีก็แนวเดธเมทัล ต้องทำให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือด กดดัน ความยากลำบากและสถานการณ์ตอนนั้นได้ดียิ่งกว่านี้ นอกจากนี้ยังต้องมีการถ่ายทอดความโศกเศร้าจากการสูญเสีย ความหวาดกลัวของประชาชน ฯลฯ หากปรับปรุงในเรื่องของการบรรยายได้ จะทำให้ดึงอารมณ์ดาร์กแฟนตาซีออกมาได้จนถึงจุดสุดยอด
ตัวละคร
ในส่วนของตัวละครนั้นแยกได้เป็นสองส่วน นั่นคือตัวละครหลักกับตัวละครที่เกิดมาเพื่อตาย (เป็นหมากย่อยในการดำเนินเรื่อง) ซึ่งส่วนของตัวละครหลักนั้นทำได้ค่อนข้างดีด้วยการกระทำ ความรู้สึกนึกคิด กลยุทธ์และการตัดสินใจในแบบเฉพาะตัว มีสิ่งที่ทำให้น่าสนใจคือประวัติและความหลัง แต่ในบางครั้งตัวละครเหล่านี้กลับแหกออกจากความเป็นตัวเองด้วยการตัดสินใจและทัศนคติที่ไม่ค่อยสมบูรณ์แบบ กล่าวคือไม่สมเหตุสมผล ในบางครั้งตัวละครก็มีความนึกคิดที่ไม่เหมาะสมกับบทบาทของตัวเอง ดูเหมือนตัวละครไม่ค่อยมีความคิดตรงกับวัยวุฒิ (ความคิดที่ไม่สมกับอายุ) ซึ่งตัวละครส่วนมากเป็นผู้ใหญ่ ควรจะมีการตัดสินใจและมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้
เหตุดังกล่าวที่ทำให้ตัวละครไม่สมบูรณ์แบบอาจเป็นเพราะนักเขียนเข้าถึงจิตใจของตัวละครเหล่านั้นไม่ลึกซึ้งพอ หรืออาจเพราะนักเขียนยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ ประกอบกับอายุของนักเขียนที่แตกต่างจากอายุของตัวละครในเรื่องมาก ส่งผลให้ไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้ใหญ่นัก ควรทำความรู้จักตัวละครของตัวเองให้ดีกว่านี้
ตัวละครย่อยประกอบเรื่องราว และตัวละครที่เกิดมาเพื่อตาย ส่วนนี้ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์มากนัก เพราะตามธรรมชาติตัวละครเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีมิติที่ชัดเจนเท่าตัวละครหลัก และนักเขียนก็สามารถทำมันออกมาได้น่าพอใจ ในส่วนของตัวละครย่อยที่ความสำคัญรองลงมาจากตัวละครหลักนั้นค่อนข้างสมบทบาท และตัวละครที่เกิดมาเพื่อตายก็ใช่ว่าจะตายไปดื้อๆ สาเหตุต่างๆ ที่ทำให้พวกเขาตายนั่นสมเหตุสมผล และตัวละครเหล่านี้ตอนที่ยังมีชีวิตก็สร้างได้ดี มีมิติไม่ดูแบนจนเกินไป และการตายของพวกเขาก็ไม่สูญเปล่าด้วย มันทำให้เรื่องราวดำเนินต่อไปด้วยปมที่มีมากขึ้น หรือทำให้เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพราะได้กำจัดตัวละครที่หมดความจำเป็นแล้วออกไป
มีตัวละครเยอะเกินความจำเป็น ซึ่งอาจมาจากความต้องการที่จะให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์แบบ อาณาจักรต่างๆ ต้องมีตำแหน่งต่างๆ ครบถ้วน แต่ในความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องใส่ตัวละครย่อยมาเยอะก็ได้ มันยากต่อการจดจำและอาจทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสน ควรตัดออกไปบ้างในส่วนที่สมควร อย่าให้รกจนเกินไป
การใช้ภาษา (การบรรยาย, สัญลักษณ์, บทสนทนาฯ)
การบรรยายใช้มุมมองบุรุษที่หนึ่งกับบุรุษที่สามผสมกัน ซึ่งขอติตรงนี้อย่างมาก เพราะนิยายทั่วๆ ไปนั้นเลือกที่จะใช้มุมมองการบรรยายเพียงมุมมองเดียวต่อเรื่อง ซึ่งจะขอกล่าวคร่าวๆ ถึงมุมมองการบรรยายสองประเภทนี้ หรือนักเขียนอาจจะรู้อยู่แล้วแต่ก็ขอแนะนำการใช้
1.บุรุษที่หนึ่ง นั่นคือเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวละครเอง สะท้อนสิ่งที่ตัวละครตัวนั้นเห็น และให้ตัวละครเล่าเรื่องราวหรือความรู้สึกนึกคิดของตนลงไปในเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้ใช้มุมมองของเฟร่งมุในบางตอน
2.บุรุษที่สาม นั่นคือการเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของนักเขียนเอง นักเขียนจะเล่าเรื่องราวโดยรอบและทั้งหมดในนิยาย สามารถเข้าถึงตัวละครหรือความเป็นไปได้มากกว่า
เมื่อเปรียบเทียบการบรรยายสองแบบนี้แล้ว นักเขียนใช้มุมมองบุรุษที่สามมากกว่า ซึ่งนับเป็นการดีสำหรับนิยายแฟนตาซีสงครามลักษณะนี้ เพราะต้องรับรู้ถึงเรื่องราวของทุกฝ่ายได้ และการบรรยายที่มีอิสระมากกว่า แต่ผู้เขียนกลับใช้มุมมองบุรุษที่หนึ่งในบางตอน (โดยเฉพาะตอนที่มีเฟร่งมุในเหตุการณ์) ส่งผลให้นิยายเรื่องนี้มีการบรรยายสองแบบ ซึ่งนับว่าไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะนิยายโดยทั่วไปแล้วเลือกใช้การบรรยายเพียงมุมมองเดียวเท่านั้น
มีการสับสนในการใช้คำสรรพนาม มีหลายจุดที่ใช้สลับกันมั่ว เช่นในบทที่ 2 ประโยค "เบาๆ หน่อย!" อิริคตะโกนบอกเป็นครั้งคราว ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องของตน เหล่าผู้ร่วมยินดีเหวี่ยงผมเข้าไป...” ทั้งๆ ที่ในตอนแรกบรรยายด้วยมุมมองบุรุษที่ 1 ซึ่งเป็นมุมมองของเฟร่งมุ แต่ในตอนที่สองและประโยคนี้มีทั้งการบรรยายแบบบุรุษที่ 3 และมีทั้งมุมมองของบุรุษที่ 1 แต่! มุมมองบุรุษที่ 1 กลับเป็นมุมมองของอีริคแทนที่จะเป็นมุมมองของเฟร่งมุ ผม? ผมในที่นี้เป็นมุมมองของอิริคทั้งที่ต้นเรื่องเฟร่งมุเป็นเจ้าของมุมมองบุรุษที่ 1 มาโดยตลอด >บทที่ 3 “มันได้รับการดูแลอย่างดีตั้งแต่ที่ผมบอกชื่อ...มันอาจได้รับการดูแลดีกว่าข้าอีก” ในที่นี้ควรจะเลือกเอาสักอย่างว่าจะใช้ผมหรือข้าแทนตัวเองดี >หรือในบทที่ 4 ที่มีการสับสนตัวละคร ดังประโยคนี้ “แต่ถ้าหากข้าไม่ทำ ความรุ่งโรจน์ของอันเดดก็จะจบลง โกเดดคิดก่อนที่จะพยักหน้าให้เอมมิเดด” ซึ่งอันที่จริงน่าจะเป็น เอมมิเดดคิดก่อนที่จะพยักหน้าให้โกเดด เพราะผู้ใช้คาถาอสูรทูตคือเอมมิเดด โกเดดเป็นคนขอ และเอมมิเดดนั่นแหละที่ต้องเป็นคนตัดสินใจ เป็นต้น
การใช้ภาษาในการบรรยายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวดี นั่นคือการบรรยายของนักเขียนนั้นช่วยขับโทนเรื่องให้มีความแข็งแกร่งขึ้นมาสมกับที่เป็นนิยายสงคราม มีความต่อเนื่องและบรรยายไม่สับสน เพียงแต่ว่ามีข้อเสียคือมักใช้ภาษาพูดเข้ามาในบทบรรยายแทนที่จะใช้ภาษาเขียนทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เสียความสมบูรณ์ในส่วนของการบรรยายไป สูญเสียความสละสลวยไป
เมื่อกล่าวถึงการบรรยายที่เห็นภาพนั้น นักเขียนนับว่าทำได้ดีทีเดียว แต่การที่จะเห็นภาพได้ชัดเจน รับรู้ได้ถึงบรรยากาศในเรื่องนั้น ควรจะบรรยายให้สละสลวยและถึงรสถึงชาติมากกว่านี้ นักเขียนอาจจะขาดประสบการณ์การอ่าน หรือซึมซับการใช้ภาษาที่สละสลวย และวิธีการบรรยายมาน้อยเกินไป นิยายเรื่องนี้จึงมีจุดเด่นเพียงพล็อตและปมต่างๆ ควรจะพยายามใช้ภาษาการบรรยายขับมันออกมาให้มากกว่านี้ เพราะนักอ่านชอบที่จะอ่านนิยายที่เข้าถึงความรู้สึกมากกว่าเรื่องราวดิบๆ
การใช้เสียง เช่น ตูมมมมม!!!!!! ซูมมมมม!!!!! เป็นอีกข้อเสียหนึ่ง ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่านักเขียนต้องการให้การบรรยายชัดเจนขึ้น จึงเพิ่มเสียงพวกนี้เข้ามา แต่แท้จริงแล้วมันกลับส่งผลให้ความสวยงามของภาษาหายไป ยกตัวอย่างเช่น “ตูมมมม!!!! ป้อมปราการระเบิดเป็นเศษเสี่ยง” น่าจะสามารถใช้ “เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ทางทิศเหนือ เมื่อเขามองไปทางนั้นพบว่าป้อมปราการกำลังพังทลาย” แทนได้ อย่างนี้เป็นต้น
การใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ ! ต่อท้ายเสียงอุทาน หรือเสียงเอฟเฟ็กต์ต่างๆ (ดังเช่นข้างต้น) ตามหลักภาษาไทยแล้วใช้ได้เพียงหนึ่งตัว ไม่สามารถใส่ติดกันรัวๆ ได้
การใช้เครื่องหมายอัญประกาศ “...” เมื่อใส่ไว้ด้านหน้าแล้วต้องใส่ไว้ด้านหลังเพื่อปิดประโยคด้วย มีอยู่เล็กน้อยที่ลืมใส่ปิดด้านหลัง
การเว้นวรรคควรเว้นเพียงวรรคเดียว ไม่ควรเว้นวรรครัวๆ ส่วนการเปลี่ยนฉากควรเว้นบรรทัดสองครั้ง
จุดไข่ปลา ... ตามหลักแล้วใช้ในการที่การบรรยายหรือคำพูดยืดยาวแต่ต้องการตัดส่วนที่ไม่ต้องการออก เพื่อย่นให้กระชับ และควรใช้เพียงสามจุดเท่านั้น พบเห็นการใช้สองจุด สี่จุดก็มี
การใช้วงเล็บ (…) ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีในบทบรรยาย ในภาษาไทยยังสามารถหาคำทดแทนการใช้วงเล็บได้ และมันก็ทำให้ได้ใจความดีขึ้นด้วย เช่นคำว่า ซึ่ง
การย่อหน้าไม่ควรย่อเข้ามามากเกินไปจนดูไม่งาม ควรย่อหน้าให้พอดี และไม่ลืมย่อหน้าเด็ดขาด
ในส่วนของบทสนทนานั้นค่อนข้างทำได้ดีและเป็นธรรมชาติตัวละครมีจังหวะการสนทนาที่ต่อเนื่องสมจริง ดังนั้นในส่วนนี้ถือว่าทำได้ดี และไม่ค่อยรู้สึกติดขัดใดๆ
ในนิยายเรื่องนี้มีคำผิดประปรายซึ่งล้วนเกิดจากการพิมพ์ตกทั้งสิ้น นอกเหนือจากการพิมพ์ตกที่เห็นจะเป็นข้อเสียจริงๆ คือการใช้คำว่าการ-การณ์ มักมีการใช้ผิดๆ เช่นคำว่า แผนการณ์ (แผนการ), คิดการณ์ใหญ่ (คิดการใหญ่) การใช้ ฎ-ฏ ผิดที่ผิดทาง เช่น ปฎิเสธ (ปฏิเสธ), ปรากฎ (ปรากฏ) และการใช้ความหมายที่ผิดเช่นคำว่า ทุรยศ ที่หมายถึงการถอดยศ ปลดยศ ซึ่งใช้ผิด นำมาใช้แทนคำว่าทรยศ ที่แปลว่าหักหลัง
แก่นเรื่อง หรือข้อคิดต่างๆ (ในมุมมองของนักวิจารณ์)
สะท้อนความนึกคิด ความเห็นแก่ตัว ความทะเยอทะยาน ความหวาดกลัวฯ รวมๆ คือนิสัยเบื้องลึกของมนุษย์ทั้งดีและเลวออกมาได้ดี มีการสะท้อนให้เห็นเล่ห์เหลี่ยม การหักหลังต่างๆ นานา ดังคำกล่าวที่ว่า “...อย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด” มีการสะท้อนแนวความคิดระหว่างคนดีกับคนเลวมาอย่าเข้มข้น ดังนั้นนิยายเรื่องนี้จึงมีข้อคิดอยู่มากมายโรยบางๆ เรื่อยๆ หากตั้งใจมองถึงมัน และสามารถนำมาเปรียบกับสังคมปัจจุบันได้ แม้นิยายเรื่องนี้จะอยู่ในธีมค่อนข้างโบราณก็ตาม
-วิจารณ์โดย Rebel. จาก Cobain {review}