1.พัฒนาการของศิลปะไทย
ศิลปะเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เพื่อสนองความต้องการทางด้านอารมณ์ จิตใจ ศิลปะสะท้อนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม ผลงานศิลปะในแต่ละสังคม แต่ละยุค แต่ละสมัย จึงสามารถบ่งบอกถึงความเจริญ ความเสื่อมถอย ความเชื่อ ค่านิยม ความสามารถ และสติปัญญาของมนุษย์ในสังคมนั้นๆ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาได้นอกเหนือจากบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ศิลปะในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นศิลปะเกี่ยวกับศาสนา การแบ่งยุคสมัยของศิลปะจะต้องใช้รูปแบบลักษณะทางศิลปะที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเป็นเกณฑ์ในการแบ่งช่วงสมัย
การแบ่งยุคสมัยทางศิลปะโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา ได้แก่ ศิลปะไทย ก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ศิลปะไทยหลังพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา คือ ศิลปะซึ่งสร้างขึ้นในวัฒนธรรมไทย
1.1 ศิลปะไทยก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 (ก่อน พ.ศ. 1800)
ศิลปะไทยในช่วงเวลาก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นในวัฒนธรรมอื่นๆ ซึ่งต่อมาได้ผสมผสานกันทางวัฒนธรรมจนก่อให้เกิดศิลปะไทยขึ้น ศิลปะในช่วงเวลานี้ ได้แก่
- ศิลปะทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16)
- ศิลปะลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 12-18)
- ศิลปะอู่ทอง (พุทธศตวรรษที่ 18-20)
- ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-18)
- ศิลปะเชียงแสน (พุทธศตวรรษที่ 16-19)
ศิลปะแบบแรกที่เกิดขึ้นในดินแดนประเทศไทยคือศิลปะทวารวดี เป็นศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทโดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียในสมัยคุปตะ ศิลปะสมัยหลังคุปตะ และศิลปะสมัยปาละ-เสนะ ตามลำดับ
ธรรมจักรและกวางหมอบ ศิลปะทวารวดี
ปราสาทหินพิมาย ศิลปะลพบุรี
ในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย หลังจากความเสื่อมของศิลปะทวารวดีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 แล้ว ศิลปะลพบุรีซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรก็ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่
ศิลปะลพบุรีเป็นศิลปะที่มีลักษณะรูปแบบทางศิลปะคล้ายคลึงศิลปะเขมรในประเทศกัมพูชา โดยสร้างขึ้นทั้งในคติศาสนา พราหมณ์-ฮินดู เช่นปราสาทหินพนมรุ้ง
บริเวณภาคกลางของประเทศไทย เป็นบริเวณที่มีการผสมผสานทางอารยธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากศิลปะอู่ทอง ศิลปะอู่ทองเป็นศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะทวารวดีและศิลปะลพบุรีมาผสมผสาน
ทางภาคใต้ของประเทศไทย ได้เกิดศิลปะศรีวิชัยในช่วงเวลาประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-18 โดยเริ่มแรกอยู่ในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย แล้วจึงแพร่หลายไปยังภูมิภา๕อื่นๆของประเทศไทย ลักษณะทางศิลปะได้รับอิทธิพลจากศิลปะสมัยหลังคุปตะและศิลปะสมัยปาละ-เสนะ ตามลำดับ ศิลปะศรีวิชัยถูกสร้างขึ้นในคติพระพุทธศาสนานิกายมหายานและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ทางภาคเหนือของประเทศไทย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาได้เกิดศิลปะเชียงแสนขึ้น โดยศิลปะเชียงแสนส่วนมากเป็นประติมากรรมและสถาปัตยกรรม สำหรับประติมากรรมประติมากรรมจะเป็นฝีมือของชาติไทยที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคเหนือ ศิลปะได้รับอิทธิพลจากศิลปะปาละ พบมากที่เมืองเชียงแสนซึ่งเป็นเมืองสำคัญในระยะนั้น จึงตั้งชื่อศิลปะแบบนี้ว่า ศิลปะเชียงแสน
1.2 ศิลปะไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา
1.2.1 ศิลปะสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19-20 )
ศิลปะสุโขทัยจัดเป็นศิลปะที่มีความงดงามและมีสัญลักษณ์เป็นของตนเองมากที่สุด โดยเฉพาะการสร้างพระพุทธรูป ศิลปะสุโขทัยได้รับอิทธิพลจากศิลปะลังกา ศรีวิชัย ขอมหรือเขมร พม่า ผสมผสานปรับปรุงให้สอดคล้องกับอุดมคติของตนเองอย่างเหมาะสมกลมกลืน และมีอิทธิพลต่อศิลปะแบบอื่นๆ ของไทยในระยะต่อมา
1.สถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่สร้างขึ้นเนื่องในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะสถูปเจดีย์มีลักษณะเฉพาะของสุโขทัย แบ่งเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือทรงดอกบัวตูม เป็นเจดีย์สุโขทัยแท้ และเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา พร้อมกับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เป็นเจดีย์สร้างบนฐานสี่เหลี่ยมยกสูงประดับปูนปั้นเป็นรูปช้าง
เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา
สถาปัตยกรรมอีกลักษณะหนึ่ง ได้แก่ พระปรางค์มักจะเลียนแบบปรางค์ในศิลปะลพบุรี ปรางค์แบบเขมรซึ่งมีอยู่เดิม แต่ถูกดัดแปลงเป็นปรางค์แบบไทย คือ ทรงสูงชะลูดขึ้นกว่าเดิม มียอดเรียวแหลมเพิ่มลวดลายตกแต่งแบบสุโขทัยเข้าไป ปรางค์เหล่านี้เดิมเป็นเทวาลัยในลัทธิพราหมณ์ แล้วดัดแปลงเป็นปรางค์ในพระพุทธศาสนา
2.ประติมากรรม พระพุทธรูปสุโขทัยจัดเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดในบรรดาศิลปกรรมไทยแบบต่างๆ นิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปสี่อิริยาบถ คือ นั่ง นอน ยืน เดิน พระพุทธรูปเดินหรือเรียกกันว่า ปางลีลา เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะเฉพาะของสุโขทัยที่งามที่สุด
พระพุธรูปปางลีลา
ในสมัยสุโขทัยมีการทำเครื่องเคลือบดินเผาที่สำคัญอย่างหนึ่งเรียกว่า เครื่องสังคโลก กล่าวกันว่าอาจจะนำแบบย่างมาจากจีนหรือช่างไทยเป็นผู้ค้นคิดและพัฒนาขึ้นเอง เครื่องสังคโลกเป็นเครื่องเคลือบดินเผาเซลาดอนสีเขียวไข่กา ส่วนมากเป็นเครื่องถ้วยชาม ผลิตเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและส่งเป็นสินค้าออกนอกจากนี้ยังทำเป็นตุ๊กตาและส่วนประกอบตกแต่งอาคารสถาปัตยกรรมพระพุทธศาสนา
3.จิตรกรรม จิตรกรรมสมัยสุโขทัยชำรุดไปหมดแล้ว มีแต่ภาพเส้นที่ยังหลงเหลือให้เห็น คือ ภาพสลักลายเส้นบนเพดานในอุโมงค์มณฑปวัดศรีชุม นอกเมืองสุโขทัย แกะสลักเป็นเรื่องราวในชาดก โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะลังกา
4.นาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยได้ปรากฏหลักฐานในจารึกหลักที่ 1 ว่า ชาวสุโขทัยมักจะเล่นดนตรีและนาฏศิลป์ประกอบในงานพิธีและงานนักขัตฤกษ์ต่างๆ โดยมีการตีประโคมกลอง การบรรเลงพาทย์ พิณ และการขับร้อง ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึงการเต้นรำ ฟ้อนระบำ และการบรรเลงเครื่องดีดสีตีเป่าต่างๆ เครื่องคนตรีดังกล่าวหลายชนิดรับมาจากอินเดีย จึงสันนิษฐานได้ว่านาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์สุโขทัยได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียแล้วปรับปรุง ให้เหมาะสมกับสภาพชีวิตของคนไทย มีการร่ายรำที่งดงามประกอบเพลงดนตรี แต่ยังไม่มีการเล่นเป็นเรื่องเป็นราว
5.วรรณกรรม วรรณกรรมไทยชิ้นแรกปรากฏขึ้นในรูปของจารึก ได้แก่ จารึกหลักที่ 1 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช นอกจากนี้ยังมีวรรณกรรมที่แปลมาจากคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา คือ เรื่องไตรภูมิพระร่วง หรือไตรภูมิกถา
1.2.1 ศิลปะอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 20-24 )
ศิลปะสมัยอยุธยาเป็นศิลปะท่าสร้างขึ้นในอาณาจักรอยุธยาในระยะเวลา 417 ปี ซึ่งมีศิลปกรรมแขนงต่างๆเกิดขึ้นมาก ศิลปกรรมเหล่านี้มีรูปแบบเนื้อหาที่คล้ายคลึงกัน และมีวิวัฒนาการไปตามสภาพของบ้านเมือง
1.สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมอยุธยาสามารถแบ่งช่วงเวลาออกได้เป็น 3 ยุคด้วยกัน คือ สถาปัตยกรรมอยุธยาตอนต้น ตั้งแต่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1893 จนถึงสมัยพระบรมไตรโลกนาถใน พ.ศ. 2031 ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบศิลปะลพบุรี หรือ ศิลปะเขมร กับศิลปะอู่ทอง ลักษณะทางสถาปัตยกรรมนิยมสร้างปรางค์เป็นประธานของวัดโดยมีลักษณะเลียนแบบปรางค์เขมรแต่มีลักษณะสูงชะลูดกว่า
สถาปัตยกรรมอยุธยาตอนกลาง เริ่มตั้งแต่สมเด็จกระบรมไตรโลกนาถเสด็จขึ้นครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลกใน พ.ศ. 2006 จนถึงสมัยพระเจ้าปราสาททองใน พ.ศ. 2172 สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย โดยหันไปนิยมเจดีย์ทรงลังกาแบบสุโขทัยแทนปรางค์แบบเขมร
สถาปัตยกรรมอยุธยาตอนปลาย เริ่มตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2172 จนถึงสิ้นสมัยอยุธยาใน พ.ศ. 2310 เป็นช่วงเวลาที่ศิลปะเขมรเข้ามามีอิทธิพลในศิลปะอยุธยาอีกครั้ง โดยเฉพาะรูปแบบสถาปัตยกรรมปรางค์และสถาปัตยกรรมเขมร
วัดไชยวัฒนาราม สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. 2275 - 2301) เป็นช่วงของการบูรณปฏิสังขรณ์การสร้างพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองเป็นที่นิยม
สถาปัตยกรรมแบบอื่น ๆ คือโบสถ์ วิหาร สมัยอยุธยาตอนต้นนิยมทำขนาดใหญ่มากเป็นอาคารโถงสี่เหลี่ยม ตัวอาคาร ผนัง เสา ก่อด้วยอิฐ ผนังอาคารเจาะเป็นช่องแคบๆ คล้ายซี่กรง เรียกว่า ลูกฟัก เพื่อให้มีทางระบายลมและแสงแดดส่องผ่านเข้าไปได้บ้าง ยังไม่มีการเขียนภาพจิตกรรมฝาผนังตกแต่ง พอถึงสมัยอยุธยาตอนกลางอาคารลดขนาดเล็กลง ก่อผนังทึบ เจาะช่องระบายลมแคบๆ มีบานประตู 2-3 ช่อง
อาคารสมัยอยุธยาตอนปลาย ฐานอาคารนิยมทำเป็นรูปโค้งคล้ายท้องเรือ ถือเป็นลักษณะเฉพาะของอาคารสมัยนี้ มีการเจาะหน้าต่างที่ผนังอาคาร ตกแต่งประดับซุ้มประตูหน้าต่างอย่างประณีต ใช้กระเบื้องเคลือบมุงหลังคา ในสมัยนี้มีการติดต่อการค้ากับยุโรปมากขึ้น ทำให้ได้รับวิทยาการใหม่ๆ มีการนำเอาศิลปะการก่อสร้างอาคารของยุโรปเข้ามาผสม
สำหรับสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของอยุธยาถูกทำลายไปมากจนยากที่จะหารูปแบบที่แท้จริงได้ มีเพียงฐานรากเท่านั้นที่พอมีเค้าโครงให้เห็นได้บ้าง เป็นพระที่นั่งอยู่นอกกรุงศรีอยุธยา
ส่วนสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองนั้น ก็มีป้อมปราการและกำแพงเมือง นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยของประชาชน ซึ่งเรียกว่า เรือนไทย นิยมสร้างเป็นเรือนชั้นเดียว ยกพื้นสูงใต้ถุนโปร่ง มี 2 ลักษณะ คือ เรือนเครื่องผูก ปลูกด้วยไม้ไผ่ ใช้เส้นหวายและตอกเป็นเครื่องผูกรัด เป็นที่อยู่ของชาวบ้านทั่วไป และเรือนเครื่องสับ ปลูกด้วยไม้ การปลูกต้องอาศัยวิธีเข้าปากไม้ โดยปากเป็นร่องในตัวไม้แต่ละตัว แล้วนำมาสับประกบกัน เป็นเรือนของผู้มีฐานะดี
2.ประติมากรรม ศิลปะอยุธยาด้านประติมากรรม ส่วนมาสกสร้างเนื่องในพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปสมัยนี้นิยมหล่อด้วยสำริด พระประธานในโบสถ์วิหารสมัยนี้มักเป็นปูนปั้นหรือสำริดขนาดใหญ่โตคับโบสถ์ สมัยอยุธยาตอนปลายนิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องกันมาก
พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย
นอกจากนี้ยังมีการสร้างพระพิมพ์ทำเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆ หลายองค์บนแผ่นเดียวกัน เรียกว่า พระแผง หรือพระกำแพงห้าร้อย
3.จิตรกรรม ภาพจิตกรรมอยุธยาเหลืออยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องพระพุทธศาสนาในสมันอยุธยาตอนต้นนิยมเขียนลงบนผนังคูหาปรางค์และคูหาเจดีย์เท่านั้น ยังไม่มีการเขียนบนผนังโบสถ์วิหาร วิธีเขียนจะเขียนภาพบนผนังขณะที่ผิวปูนที่ฉาบยังหมาดๆอยู่ เพื่อให้เนื้อสีซึมเข้าไปในผนัง เรียกว่า ภาพปูนเปียก
4.ประณีตศิลป์ ในสมัยอยุธยามีหลายประเภท เท่าที่ปรากฏหลักฐานเหลืออยู่เป็นพวกเครื่องไม้จำหลัก การเขียนลายรดน้ำ เครื่องเงิน เครื่องทอง เครื่องถม และการประดับมุกส่วนใหญ่เป็นศิลปกรรมมี่สร้างขึ้นปลายสมัยอยุธยา มีเพียงไม่กี่ชิ้นที่เป็นของสมัยกลางและสมัยต้น
ในสมัยปลายอยุธยา ประณีตศิลป์รุ่งเรืองมาก นอกจากนี้มีการประดับมุก
5.นาฏศิลป์ การแสดงนาฏศิลป์สมัยอยุธยามีการแสดงเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนด้านการดนตรีก็พัฒนาขึ้นมาก มีการประสมวง 3 ลักษณะ ได้แก่ วงมโหรี วงปี่พาทย์ และวงเครื่องสาย มีบทเพลงและทำนองเพลงของสมัยอยุธยาเป็นอันมากที่สืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน
6.วรรณกรรม วรรณกรรมสมัยอยุธยาเท่าที่มีหลักฐานเหลืออยู่และพอจะตรวจสอบได้มีไม่มากนัก ลักษณะวรรณกรรมค่อนข้างหลากหลายในเนื้อหา คือ มีทั้งวรรณกรรมที่เกี่ยวกับพิธีกรรมศาสนาและคำสอน การสดุดีและเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ ตลอดจนวรรณกรรมเกี่ยวกับความรัก การบันเทิงเริงรมย์ และการบันทึกเหตุการณ์ มีทั้งประเภทร้อยแก้วและร้อยกรอง โดยมีลักษณะสำคัญร่วมกันประการหนึ่ง คือ ผู้แต่งวรรณกรรมเป็นคนชั้นสูงและมีความสัมพันธ์กับราชสำนัก
สมัยต้นอยุธยา วรรณกรรมสำคัญ คือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จัดเป็นรุ่งเรืองทางวรรณกรรมอีกสมัยหนึ่ง วรรณกรรมที่แต่งขึ้นในระยะนี้ค่อนข้างมีเนื้อหาหลากหลาย นอกจากนี้ก็มี จินดามณี เป็นแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรกที่พระโหราธิบดีแต่งขึ้นใน พ.ศ. 2215 และพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ รวบรวมขึ้ใน พ.ศ. 2223
ระยะสุดท้ายของความรุ่งเรืองทางวรรณกรรมอยู่ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ วรรณคดียุคนี้ส่วนใหญ่เป็นประเภทร้อยกรอง ทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย
สำหรับสมัยธนบุรี (พ.ศ. 2310-2325) เป็นช่วงเวลาสั้นเพียง 15 ปีเท่านั้น ศิลปกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้นคงเป็นไปตามแบบอย่างของอยุธยา จึงผนวกรวมเข้าไว้ในศิลปะอยุธยา
1.2.3 ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-3 พ.ศ. 2325-2394)
ศิลปะรัตนโกสินทร์ เริ่มตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นใน พ.ศ. 2325
1. สถาปัตยกรรม กล่าวกันว่าการสร้างกรุงเทพ เป็นการนำแบบอย่างของปราสาทราชวังและวัดวาอารามที่ถูกทำลายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกมารื้อฟื้นขึ้นอีกครั้ง
อาคารบ้านเรือนยังคงสร้างบ้านไม้แบบเรือนไทยกันทั่วไป ในสมัยรัชกาลที่ 3 เปลี่ยนแปลงไปบ้าง คือ เจ้านายและขุนนางนิยมก่อสร้างอาคารบ้านเรือนด้วยอิฐโบกปูน และมุงหลังคาด้วยกระเบื้องแบบจีน
เจดีย์ที่วัดยานนาวา สมัยรัชกาลที่ 3
สถาปัตยกรรมทางด้านศาสดาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ยังนิยมสร้างปรางค์และเจดีย์ไม้สิบสอง โบสถ์และวิหารก็ยังคงเลียนแบบมาจากอยุธยา คือ เป็นแบบทรงโรงฐานแอ่นโค้งตกท้องช้าง จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของโบสถ์ วิหารครั้งสำคัญกลายเป็นแบบที่มีอิทธิพลศิลปะจีนอย่างมาก เรียกว่า แบบพระราชนิยม กล่าวคือ เลิกระบบช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เสาทำเป็นเสาสี่เหลี่ยมไม่มีหัวเสา หน้าบันประดับลายปูนปั้นหรือเครื่องถ้วยจีน ศิลปะแบบพระราชนิยมนี้เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย ดังนั้น วัดที่สร้างใหม่และวัดที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในรัชกาลนี้จึงมักสร้างตามศิลปะแบบพระราชนิยมแทบทั้งสิ้น
2. ประติมากรรม สมัยรัตนโกสินทร์มิได้ให้ความสำคัญในการสร้างพระพุทธรูปเหมือนสมัยสุโขทัยหรืออยุธยา แต่มุ่งไปที่การสร้างวัดและบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามมากกว่า
ประติมากรรมตกแต่งที่แปลกในสมัยนี้ คือ ความนิยมนำภาพสลักตุ๊กตาหินยืนกลางแจ้งมาประดับไว้ตามประตู ตามลาน ทำเป็นรูปคน ตัวงิ้ว รูปสิงโต โดยใช้ช่างฝีมือชาวจีน
3. จิตรกรรม จิตรกรรมรัตนโกสินทร์ตอนต้น ถือเป็นยุคแบบแผนของจิตรกรรมแบบประเพณีไทยเพราะมีรูปแบบที่พัฒนาสืบต่อมาจากสมัยอยุธยาจนเกิดลักษณะเฉพาะของจิตรกรรมแบบประเพณีไทย มีทั้งจิตรกรรมฝาผนัง ภาพพระบฏ ตลอดจนภาพเขียนแบบสมุดไทย
รูปแบบเฉพาะของจิตรกรรมที่จัดว่าเป็นแบบอย่างของสมัยนี้ คือ ภาพเทวดาและกษัตริย์ ราชสำนัก จะเขียนอย่างงดงาม มีการปิดทองให้ดูเด่น จะแสดงความรู้สึกด้วยกิริยาอาการ แต่ใบหน้าสงบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดๆท่าทางจะเป็นอย่างละคร หรือเป็นท่าประดิษฐ์มากกว่าจะเป็นท่าทางธรรมชาติ ส่วนภาพคนธรรมดาสามัญจะเขียนตามสภาพความเป็นจริง
สำหรับภาพพระบฏ คือ ภาพเขียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ส่วนภาพเขียนแบบสมุดไทย หรือหนังสือตัวเขียนสมัยโบราณมี 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเขียนลงบนใบลานเป็นแผ่นๆอีกชนิดหนึ่งเขียนกระดาษข่อย หนังสือใบลานใช้เฉพาะเรื่องในพระพุทธศาสนาแต่สมุดข่อยใช้กับเรื่องราวต่างๆ ได้ทั่วไป
อนึ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีจิตรกรรมไทยแบบพระราชนิยมเกิดขึ้นด้วย คือ จิตรกรรมฝาผนังที่เขียนแบบจีน
ภาพฝาผนัง
4. ประณีตศิลป์ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประณีตศิลป์มีความสำคัญ เพราะมีสิ่งจำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้นใหม่แทนของที่ถูกทำลายและของเก่าที่ชำรุดไปแล้ว มีการรวบรวมช่างประเภทต่างๆที่เรียกว่า ช่างสิบหมู่ เข้ามาสร้างงานประณีตศิลป์
5. นาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ นาฏศิลป์ประเภทโขน ละคร ระบำ และหนัง เฟื่องฟูมากขึ้นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ทรงถือเป็นพระราชภาระให้การสนับสนุน
สำหรับดนตรีไทยก็มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปมาก ในด้านเครื่องดนตรีมีการเพิ่มเครื่องดนตรีเข้าไปในวงมโหรีและวงปี่พาทย์ จนเกิดวงปี่พาทย์เครื่องคู่และวงมโหรีเครื่องคู่ขึ้น
วงมโหรีประกอบด้วยเครื่องดีด สี ตี เป่า
วงปี่พาทย์ เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องตีเป็นหลัก ที่สำคัญ ได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก เครื่องเป่าคือปี่ใน มีเครื่องกำกับจังหวะ คือ ฉิ่งและตะโพน กลองทัด
วงปี่พาทย์เครื่องคู่ มีเครื่องดนตรี ดังนี้
ระนาดเอก 1 ราง คู่กับระนาดทุ้ม 1 ราง
ฆ้องวงใหญ่ 1 วง คู่กับฆ้องวงเล็ก 1 วง
ปี่นอก 1 เลา คู่กับปี่ใน 1 เลา
ฉิ่ง 1 คู่ ตะโพน 1 ใบ กลองทัด 2ใบ
วงมโหรีเครื่องคู่ประกอบด้วยฉาบเล็ก ฉิ่ง โหม่ง กรับพวง โทน รำมะนา ซอด้วง ขลุ่ย เพียงออ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ขลุ่ยหลีบ ซออู้ จะเข้ 2 ตัว ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ซอสามสายหลีบ
6. วรรณกรรม ในสมัยรัตนโกสินทร์ วรรณกรรมสมัยรัชกาดที่ 1-2 และต้นรัชกาลที่ 3 มีพัฒนาการสืบเนื่องมาจากปลายสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี ส่วนแนวเรื่องจะเกี่ยวกับพุทธประวัติ สุภาษิต บทสดุดี ชาดก ความรัก สงครามกับความรัก สำหรับร้อยแก้วมีน้อย เป็นงานแปลจากภาษาทางเอเชีย 4 เรื่อง ได้แก่ อิหร่านราชธรรม แปลจากภาษาเปอร์เซีย ไซฮั่น สามก๊ก
วรรณกรรมรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ 2 พระมหากษัตริย์ทรงพระราชนิพนธ์ทั้งบทละครใน บทละครนอก นอกจากนี้ยังทรงพระราชนิพนธ์ กาพย์เห่เรือ บทพากย์โขนบางตอน และเสภาขุนช้างขุนแผนบางตอน กวีคนสำคัญที่ถือกันว่าเป็นกวีของประชาชนในสมัยนี้คือ สุนทรภู่
ในช่วงกลางสมัยรัชกาลที่ 3 คือใน พ.ศ. 2379 ได้เกิดการพิมพ์ขึ้นในเมืองไทย ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของวรรณกรรม เริ่มจากการเกิดหนังสือพิมพ์ ซึ่งทำให้เกิดนักเขียนและนักอ่านเพิ่มขึ้น
ความคิดเห็น
อยากไปเที่ยวดูอะ...
ไปด้วยกันไหมมม
อ่านแล้วเข้าจัยง่าย
ขอบคุณนะค่ะที่มีสิ่งดีๆมาแบ่งปันกัน
เนื้อหาน่าสนจัยดี
มีข้อมูลน่าสนจัยแบบ นี้เอามาแป่งปั่นกันอีกนะ คร ๊าบ บ^
เนื้อหาน่าสนใจดีค่ะ
ถึงว่า ทำไมวัฒนธรรมไทยสวยงานอย่างนี้
ขอบคุณมากค่ะ
อยากไปเที่ยวทุกที่เลย
ขอบคุณนะคะ ^^"
น่าสนใจ
เนื้อหาน่าสนใจ ครอบคลุม ทำความเข้าใจได้ง่ายค่ะ
ติดต่อเรา ตลอด 24 ชั่วโมง
AIS: 084-417-7063
DTAC : 080-559-7275
Email : casinobet99@hotmail.com
หาให้หน่อยดิ
^
^ความรู้นะค่ะ(ดันเขียนไม่ครบอีกนะเรา)