parnjomsa845
ดู Blog ทั้งหมด

การสืบพันธุ์ของพืช

เขียนโดย parnjomsa845

พืชมีดอก

 

              พืชมีดอก จัดเป็นพืชชั้นสูง ดอกเป็นส่วนสำคัญในการสืบพันธุ์ มีทั้งไม้ยืนต้น และไม้ล้มลุก
ซึ่งมีเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างใกล้ชิด เช่น นำมาเป็นอาหาร ตกแต่งสถานที่ สร้างบ้าน
และทำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ

            พืชมีดอก ขึ้นอยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆได้ทั่วไป บางชนิดลอยอยู่ที่ผิวน้ำ เช่น ผักตบชวา บัว จอก
และแหน บางชนิดจมอยู่ในน้ำ เช่น สาหร่ายหางกระรอก บางชนิดชอบขึ้นอยู่ตามที่ชื้นแฉะ เช่น ผักบุ้ง และผักกระสัง บางชนิดขึ้นในที่แห้งแล้งเช่น กระบองเพชร แต่ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่ตามดินทั่ว ๆไป

             เมื่อพืชมีดอกเจริญเติบโตอยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมจนเจริญเติบโตเต็มที่ แล้วจึงจะสร้างดอก
ซึ่งดอกของพืชมีดอกแต่ละชนิดจะมีรูปร่าง ขนาด สี และส่วนประกอบแตกต่างกันออกไป

ลักษณะของพืชมีดอก

       พืชมีดอก หมายถึง พืชที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะออก ดอก เพื่อใช้ในการสืบพันธุ์ เช่น เงาะ ทุเรียน กุหลาบ มะลิ บัว กล้วยไม้ พืชดอกบางชนิดมีดอกขนาดใหญ่สามารถมองเห็นชัดเจน เช่น ดอกผลไม้ต่าง ๆ บางชนิดมีขนาดเล็กมาก
จนมองเกือบไม่เห็นส่วนประกอบต่าง ๆภายในดอก เช่น จอก แหน สีของดอก ก็จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของพืช แม้แต่พืชชนิดเดียวกันแต่ต่างพันธุ์ ก็ให้ดอกที่มีลักษณะและ สีที่แตกต่างกันได้

       พืชมีดอกบางชนิดไม่ค่อยออกดอก นาน ๆ จึงจะออกดอกให้เราเห็นสักครั้ง เช่น ไผ่ ตะไคร้ ว่านต่าง ๆ

ดอกของพืชจำแนกตามการเกิด

   ดอก ของพืชเราสามารถจำแนกตามการเกิดออกได้ 2 ชนิด คือ

        1. ดอกเดี่ยว คือ ดอกที่โผล่ขึ้นมาจากก้านชูดอกเพียงก้าน เช่น ดอกบัว
ดอกกุหลาบ ดอกชบา ดอกดาวเรือง
ดอกตานตะวัน ฯลฯ

 

    
          2. ดอกช่อ คือ ดอกหลายๆ ดอกที่โผล่ออกมาจากก้านดอกเดียวกัน เช่น ดอกเข็ม ดอกกล้วยไม้ ดอกเงาะ ดอกมะม่วง ดอกเข็ม ดอกทุเรียน ฯลฯ

การสืบพันธุ์ของพืชมีดอก

         พืชมีดอก จะอาศัย ดอก เป็นอวัยวะในการสืบพันธุ์ เรียกว่า การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ การสืบพันธุ์
ของพืชมีดอก ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 2 ขั้นตอน คือ การถ่ายละอองเรณู และ การปฏิสนธิ นอกจากนี้
พืชมีดอกยังสามารถสืบพันธุ์โดยใช้วิธีอื่นที่ไม่ต้องใช้ดอก เรียกว่า การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น ใช้ กิ่ง
ใบ ราก ลำต้น

การสืบพันธุ์ของพืชมีดอกแบบอาศัยเพศ

                เมื่อพืชมีดอกเจริญเติบโตเต็มที่จะเริ่มออกดอก ภายในดอกจะมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์
โดยเกสรตัวผู้สร้างเซลล์สืบพันธุ์ตัวผู้ หรือละอองเรณูเก็บไว้ใน อับละอองเรณู ส่วนเกสรตัวเมียจะมีรังไข่
ซึ่งภายในรังไข่จะมีไข่ ( ออวุล ) ทำหน้าที่เก็บเซลล์สืบพันธุ์ตัวเมีย หรือ ไข่อ่อนเอาไว้ การสืบพันธุ์ของ
พืชมีดอกแบบอาศัยเพศ มีลำดับ 2 ขั้นตอน คือ

                1. การถ่ายละอองเรณ


                2. การปฏิสนธิ

 

 

การถ่ายละอองเรณ

                 การถ่ายละอองเรณู คือการที่ละอองเรณูของเกสรตัวผู้ไปตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย ซึ่งสามารถเกิดขึ้น
ได้ 3 รูปแบบ คือ

               1. การถ่ายละอองเรณูภายในดอกเดียวกัน มักเกิดกับดอกสมบูรณ์เพศที่เกสรตัวผู้อยู่กว่าเกสรตัวเมีย

               2. การถ่ายละอองเรณูข้ามดอก แต่อยู่ภายในต้นเดียวกัน

               3. การถ่ายละอองเรณูข้ามดอก และอยู่คนละต้นกัน มักเกิดกับดอกสมบูรณ์เพศที่เกสรตัวผู้อยู่ต่ำกว่า
เกสรตัวเมีย ซึ่งไม่เอื้อให้เกิดการถ่ายละอองเรณูภายในดอกเดียวกัน และเกิดกับดอกไม่สมบูรณ์เพศ ซึ่งมีเกสรตัวผู้
และเกสรตัวเมียอยู่คนละต้นกัน


 

ปัจจัยที่ช่วยในการถ่ายละอองเรณู

            ปัจจัยที่ช่วยในการถ่ายละอองเรณู เพื่อให้พืชมีดอกเกิดการปฏิสนธิ สร้างผลและเมล็ดในการสืบพันธุ์ ได้แก่

            1. ลม เป็นตัวช่วยพัดพาละอองเรณูให้ไปตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย มักเกิดกับดอกที่มีขนาด มีน้ำหนักเบา ไม่มีกลิ่น และมีเป็นดอกจำนวนมาก เช่น ดอกของพืชตระกูลหญ้าชนิดต่าง ๆ

            2. สัตว์ ได้แก่ แมลง ( ผึ่ง ผีเสื้อ ) นกบางชนิด ค้างคาวบางชนิด เป็นตัวช่วยให้เกิดการถ่ายละอองเรณู
จากดอกหนึ่ง
ไปยังอีกดอกหนึ่งได้ มักเกิดกับที่มีสีสวย มีกลิ่นหอม หรือมีต่อมน้ำหวาน ซึ่งเป็นตัวล่อให้สัตว์เหล่านี้เข้าหา

            3. น้ำ อาจเป็นน้ำที่เรารดให้แก่พืชหรือน้ำฝนที่ตกลงมา จะเป็นตัวพาละอองเกสรตัวผู้จากดอกที่อยู่ด้านบน
ให้ไปตกลงบนยอดเกสรตัวเมียของดอกที่อยู่ด้านล่างได้

               4. คน ทำการถ่ายละอองเรณู เพื่อให้พืชเกิดการผสมพันธุ์ และได้พืชที่มีลักษณะพันธุ์ดีตามที่ต้องการ

การปฏิสนธิ

           การปฏิสนธคือ การที่เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้เข้าผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย โดยหลังจากที่ละอองเรณู
ตกลงบนยอดเกสรตัวเมียแล้ว ละอองเรณูจะงอกหลอดแทงลงไปในก้านเกสรตัวเมียจนถึงไข่อ่อน ( ออวุล ) ที่อยู่
ภายในรังไข่ ภายในหลอดละอองเรณูจะมีเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้อยู่ ซึ่งจะเข้ามาไปผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
(เซลล์ไข่ ) ที่อยู่ในไข่อ่อนโดยผ่านทางรูเปิดที่อยู่ข้างใต้ ได้เป็นเซลล์ใหม่อยู่ภายในไข่อ่อน ( เซลล์ใหม่ที่ได้ก็ คือ
เซลล์ที่จะเจริญเป็นต้นพืชต้นใหม่ )

             

การปฏิสนธ

 

การเปลี่ยนแปลงของดอกหลังปฏิสนธ

             หลังจากการปฏิสนธิ ยอดและก้านชูเกสรตัวเมียจะเหยี่วลง กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย
ก็จะแห้งแล้วร่วงหลุดไป ส่วนรังไข่ และ ออวุล หรือไข่ จะเจริญเติบโตต่อไป โดย รังไข่ จะเจริญกลายป็น ผล 
ส่วน ออวุล หรือไข่ จะเจริญไปเป็น เมล็ด ซึ่งภายในเมล็ดจะเก็บต้นอ่อน และอาหารสะสมไว้ภายใน เพื่อเกิดเป็น
ต้นใหม่
             เมื่อเมล็ดพืชแพร่กระจายไปในที่ต่าง และไปตกในที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการงอกของเมล็ด
เมล็ดก็จะงอกเป็นต้นใหม่ต่อไป วิธีนี้ทำให้พืชดอกที่อยู่ตามธรรมชาติสามารถแพร่ได้โดยไม่สูญพันธุ์ไป
            


การสืบพันธุ์ของพืชมีดอกแบบไม่อาศัยเพศ

             นอกจากพืชมีดอก ใช้วิธีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศแล้ว พืชมีดอกยังใช้วิธีการสืบพันธุ์ โดยไม่ต้อง
อาศัยเซลล์สืบพันธุ์ หรือไม่ต้องอาศัยการสร้างเมล็ดได้อีกด้วย วิธีการสืบพันธุ์แบบนี้ เรียกว่า การสืบพันธุ์แบบ
ไม่ต้องอาศัยเพศ
เช่น การแตกหน่อ


          
นอกจากนี้เรายังนำส่วนต่าง ๆ ของพืชมีดอก เช่น กิ่ง ตา ยอด ใบ ลำต้น หัว ราก มาใช้ในการขยายพันธุ์

พืชไร้ดอก หรือพืชไม่มีดอก

          พืชไร้ดอก จัดเป็นพืชขั้นต่ำ เป็นพืชที่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วไม่มีดอก ดังนั้นพืชไร้ดอกจึงไม่สามารถสร้างผล
ที่มีเมล็ดสำหรับในการสืบพันธุ์เหมือนอย่างพืชมีดอกได้  และมีส่วนประกอบที่ไม่ชัดเจนว่าเป็น ราก ลำต้น หรือใบ จึงต้องอาศัยสิ่งอื่นช่วยในการสืบพันธุ์

          พืชไร้ดอก เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นอันดับแรกของโลก มีขนาดเล็กมากจนถึงขนาดใหญ่ ในปัจจุบันนี้
ีมีพืชไร้ดอกจำนวนไม่มาก บางชนิดได้สูญพันธุ์ไปจากโลก เนื่องจากสภาพแวดล้อมในธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงไป
พืชไร้ดอกเท่าที่พอจะพบได้ตามธรรมชาติ จำพวก มอส และ เฟิน พบได้ง่ายมากกว่าพืชไร้ดอกชนิดอื่น พืชไร้ดอกบางชนิด
มีทั้งประโยชน์ และโทษ ดังนี้
          1. เห็ด กินเป็นอาหาร เช่น เห็ดบางชนิด ได้แก่ เห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู เห็ดนางฟ้า แต่เห็ดบางชนิดกินแล้ว
เป็นพิษ ทำให้มึนเมาอาเจียนได้ จึงไม่ควรเก็บเห็ดที่ไม่รู้จักมากิน นอกจากนี้ สาหร่ายบางชนิดก็นำมาทำเป็นอาหารได้
          2. บักเตรซึ่งเป็นพืชไร้ดอกขนาดเล็กมาก บางชนิดทำให้เกิดโรคแก่มนุษย์ บักเตรีช่วยย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์
ให้ผุพังเน่าเปื่อยสลายกลายเป็นปุ๋ย เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน
          3. รา บางชนิด นำมาสกัดทำยา เช่น ยาเพนนิซิลิน
          4. ยีสต์ ่วยทำให้ขนมปังฟูขึ้นได้ และใช้ในอุตสาหกรรมหมักหลายอย่าง เช่นทำเหล้าองุ่น เบียร์ เต้าเจี้ยว เนย

มอส

 

เฟินก้ามปู

 

ข้าหลวงหลังลาย

แหล่งที่มา

http://school.obec.go.th/wattammaram/web1/notree.html

องค์ประกอบของดอก

               ดอกของพืชเป็นส่วนที่พืชใช้ในการสืบพันธุ์ ดอกของพืชมีส่วนประกอบที่สำคัญ 4 ส่วน คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย


     1. กลีบเลี้ยง เป็นส่วนที่อยู่นอกสุดของดอก มักมีสีเขียวคล้ายใบทำหน้าที่
ี่ห่อหุ้มส่วนที่อยู่ข้างในของดอกไว้ ในขณะที่ดอกยังอ่อนอยู่ หรือที่ยังเป็นดอกตูม เพื่อป้องกันอันตรายจากแมลง และศัตร
      2. กลีบดอก เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากกลีบเลี้ยงเข้าไป มักมีสีสันสวยงาม
บางชนิดมีกลิ่นหอม ซึ่งสีสันที่สดใส และกลิ่นหอมของดอกไม้จะช่วยล่อแมลง
ให้มาตอม เพื่อช่วยในการผสมเกสร

       3. เกสรตัวผู้ เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากกลีบดอกเข้าไป เป็นอวัยวะสร้างเซลล์
สืบพันธุ์ตัวผู้ มักมีหลายอัน เกสรตัวผู้แต่ละอัน ประกอบด้วย

         3.1. ก้านเกสรตัวผู้ หรือก้านชูอับเรณู มีลักษณะเป็นก้านยาวๆ ทำหน้าที่
ชูอับเรณู  
         3.2. อับเรณูมีลัษณะเป็นกระเปาะ เป็นแหล่งสร้างและเก็บ"ละอองเรณู" ซึ่งภายในละอองเรณูจะมี" เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ " ยู่
     


 


      4. เกสรตัวเมีย
เป็นส่วนที่อยู่ในสุด คือตรงกลางดอก ทำหน้าที่สร้างเซลล์
สืบพันธุ์ตัวเมีย ที่ปลายยอดเกสรตัวเมียจะมีลักษณะเป็นขนและมีน้ำเหนียว ๆ
เคลือบอยู่ เพื่อช่วยในการดักจับละอองเรณู และในน้ำเหนียว ๆ นี้จะมี " น้ำตาล "
เป็นองค์ประกอบอยู่ จะช่วยกระตุ้นให้ละอองเรณูเกิดการงอกหลอด ซึ่งเกสรตัวเมียประกอบด้วย
          4.1. ยอดเกสรตัวเมีย อยู่ตรงส่วยบนสุดของเกสรตัวเมีย เป็นส่วนรองรับละอองเรณูของเกสรตัวผู้
          4.2. ก้านชูเกสรตัวเมีย ทำหน้าที่ชูเกสรตัวเมีย
          4.3. รังไขอยู่ส่วนล่างสุดของเกสรตัวเมีย มีลักษณะเป็นกระเปาะ ภายในมี " ไข่อ่อน " หรือ " ออวุล " ซึ่งมี " เซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย " อยู่

ลักษณะดอกของพืช

             ดอกไม้บางชนิดมีองค์ประกอบครบทั้ง 4 ส่วน แต่ดอกไม้บางชนิดมีองค์ประกอบไม่ครบทั้ง 4 ส่วน
ทำให้เราสามารถแบ่งประเภทของพืชมีดอกได้ โดยใช้ลักษณะของดอกเป็นเกณฑ์ ได้ดังนี้
          
          1. ใช้ส่วนประกอบของดอกเป็นเกณฑ์ ได้แก่


ดอกสมบูรณ์
 1.1. ดอกสมบูรณ  หมายถึง  ดอกที่มีองค์ประกอบครบ 4 ส่วน คือ กลีบดอก
กลีบเลี้ยง
เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย ได้แก่ ดอกพริก ดอกกุหลาบ ดอกชบา ดอกต้อยติ่ง
ดอกมะเขือ ดอกพู่ระหง ดอกผักบุ้ง ดอกบานบุรี ดอกมะลิ ดอกชงโค ดอกอัญชัน ดอกมะแว้ง ดอกแค ดอกการเวก

ดอกไม่สมบูรณ์
1.2. ดอกไม่สมบูรณ์  หมายถึง  ดอกที่มีองค์ประกอบไม่ครบ 4 ส่วน ได้แก่
ดอกมะพร้าว ดอกมะระ ดอกบวบ ดอกฟักทอง ดอกตำลึง ดอกมะละกอ ดอกข้าว ดอกข้าวโพด ดอกตำลึง ดอกฟักทอง ดอกจำปา ดอกจำปี ดอกบานเย็น ดอกเฟื่องฟ้า ดอกมะยม ดอกมะเดื่อ ดอกตาล ดอกบวบ ดอกหญ้า ดอกแตงกวา

  
         2. ใช้เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียเป็นเกณฑ์ ได้แก่


ดอกสมบูรณ์เพศ
 2.1. ดอกสมบูรณ์เพศ  หมายถึง ดอกที่มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่
ในดอกเดียวกัน
ได้แก่ ดอกพู่ระหง ดอกบัว ดอกกุหลาบ ดอกบัว ดอกชงโค ดอกถั่ว ดอกมะเขือ ดอกพริก ดอกกล้วยไม้ ดอกมะม่วง ดอกชบา ดอกข้าว ดอกต้อยติ่ง ดอกจำปา ดอกมะลิ เฟื่องฟ้า ดอกอัญชัน ดอกแค ดอกผักบุ้ง

ดอกไม่สมบูรณ์เพศ

 2.2. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ  หมายถึง  ดอกที่มีเกสรตัวผู้ หรือเกสรเมีย เพียง
อย่างเดียวในหนึ่งดอก
โดยดอกที่มีเฉพาะเกสรตัวผู้ เรียกว่า ดอกตัวผู้ ส่วนดอกที่มีเฉพาะเกสรตัวเมีย เรียกว่า ดอกตัวเมียได้แก่ ดอกบวบ ดอกฟักทอง ดอกมะละกอ ดอกข้าวโพด ดอกมะยม ดอกตำลึง ดอกมะพร้าว ดอกตาล ดอกเงาะ
ดอกฟักทอง ดอกบวบ ดอกแตงกวา ดอกมะยม ดอกมะระ ดอกหน้าวัว ดอกมะเดื่อ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
เจ่งวะ
ความคิดเห็นที่ 2
ดีมากๆๆๆๆๆๆ
ความคิดเห็นที่ 3
สาะเส้าสื่ส่ท่าสพ้ดน่แอ้สปมเ
ความคิดเห็นที่ 4
55555555555555555!!!!!!
ความคิดเห็นที่ 5
ขอบคุนนะ กำลังหาอยู่พอดีเลย
ความคิดเห็นที่ 6
อ่านไม่รู้เรื่องเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยเห็นแต่รูปผู้หญิง
ความคิดเห็นที่ 7
สวยค่ะ