ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {story} me in ❛ Sweden ❜

    ลำดับตอนที่ #2 : [ 2 . ] Warm welcome host family l ยินดีที่ได้รู้จักโฮสแฟมิลี่ชั่วคราว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 227
      3
      7 เม.ย. 57

    [ 2 . ] Warm welcome host family l ยินดีที่ได้รู้จักโฮสแฟมิลี่ชั่วคราว

     

                เราจะได้เจอโฮสแฟมิลี่แล้วค่ะ! บอกตามตรงว่าตอนแรกไม่ได้ตื่นเต้นมากมาย เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับโฮสแฟมิลี่แล้วตั้งแต่ยังอยู่ที่ไทย เป็นโฮสชั่วคราว(โฮสไม่สามารถรับเราได้ตลอดทั้งสิบเดือน)อยู่เมือง Malmö ครั้งแรกที่ได้ข้อมูลโฮสมาเราแทบจะกรี๊ดลั่นห้างเพราะมัลเมอร์คือเมืองที่เราเล็งไว้ 555 ตอนนั้นรู้เพียงเป็นเมืองทางตอนใต้ของสวีเดนที่มีตึกโบราณสวยงาม และด้วยความที่เราไม่อยากอยู่สต็อคโฮล์มด้วย เราอยากอยู่เมืองชนบทตามป่าตามทุ่งมากกว่า เลยดีใจมากที่ได้รู้ว่าจะได้อยู่มัลเมอร์ถึงแม้จะไม่ใช่ตลอดทั้งปีก็ตาม โฮสเราเป็นครูทั้งคู่ มีลูกชายสองคนอายุ7กับ10ขวบ และเคยรับเด็กแลกเปลี่ยนไทยมาแล้วประมาณสองสามครั้ง ก็แอบกังวลหน่อยๆว่าเค้าจะเปรียบเทียบเรากับเด็กไทยคนก่อนๆรึเปล่า

                ค่ายวันสุดท้ายเราได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนและ Contact person หรือผู้ดูแลที่สามารถปรึกษาปัญหาต่างๆด้วยได้ และปรากฏว่า Contact person ของเราคือโฮสมัมเองค่ะ 5555 เนื่องจากค่ายจัดที่สต็อคโฮล์ม ดังนั้นเพื่อนกลุ่มที่ได้โฮสอยู่ในสต็อคโฮล์มก็จะรอโฮสมารับที่ค่าย ส่วนคนที่ได้โฮสอยู่ทางเหนือหรือทางใต้แบบเราก็จะแยกกันไปขึ้นรถไฟไปหาโฮส เรากับเพื่อนอีกประมาณเกือบ 20 คนที่ได้อยู่ในจังหวัด Skåne* ก็ขึ้นบัสไปลงที่สถานีกลางสต็อคโฮล์มแล้วต่อรถไฟไปเมือง Lund ที่อยู่ใน Skåne อีกที เพื่อนคนไทยที่มาด้วยกันได้โฮสอยู่สต็อคโฮล์มค่ะเราเลยแยกกันที่ค่ายเลย

    *Skåne(สกัวเน่) เป็นจังหวัดใหญ่ทางตอนใต้ของสวีเดน มีเมืองใหญ่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น Malmö Lund และ Helsingborg

               

                มีปัญหาเล็กน้อยตอนจะขึ้นรถไฟจากสถานีในสต็อคโฮล์มเพราะต้องรอเพื่อนบางคนเข้าห้องน้ำทำให้เกือบไปไม่ทันเวลารถไฟออก ปัญหาหนักกว่านั้นของเราคือกระเป๋าลาก 21 กิโลกรัมและเป้อีก 10 กิโลกกรัมค่ะ T__T ต้องยกกระเป๋าขึ้นบันไดเกือบ 30 ขั้นแถมอ้อยอิ่งยินพักก็ไม่ได้เพราะรถไฟใกล้จะออกแล้ว เราเหนื่อยจนแทบล้มลงบันไดไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่สุดท้ายก็ฮึบสู้จนขึ้นมาถึงชานชาลาได้ เป็นช่วงที่ยากที่สุดในชีวิตแล้วค่ะตอนนั้น แอบโกรธเพื่อนที่ไปเข้าห้องน้ำนานด้วย 55555 แต่ตอนคนขับบัสยกกระเป๋าลากเราลงมาจากรถเขายกได้ด้วยนิ้วก้อยนิ้วเดียวค่ะ -O- ...

     

    เราได้ที่นั่งบนรถไฟข้างเพื่อนผู้ชายจากอิตาลีชื่อ ดาวิดเด ไม่ได้คุยอะไรกันมากเพราะที่เพื่อนที่นั่งอีกฝั่งข้างดาวิดเดมาจากอิตาลีเหมือนกัน และเพราะเราหูอื้อตลอดการเดินทาง เลยนั่งๆนอนๆไป 5 ชั่วโมงกว่า ..

     

    แล้วในที่สุดก็ถึง Lund เสียที!

     

    ตอนนั้นใจเต้นรัว ตื่นเต้นถึงขีดสุดแล้ว พอหิ้วกระเป๋าลากลงมาจากรถไฟได้(อย่างทุลักทุเล)ก็ได้เวลาเดินหาโฮส ทุกคนเริ่มเดินไปหาโฮสกันมีเรายืนหมุนคว้างอยู่คนเดียว สาเหตุคือจำหน้าโฮสไม่ได้ค่ะ Y_Y มันตื่นเต้นมากลบทุกอย่างออกไปจากหัวหมดเกลี้ยง จำได้แค่ครอบครัวเค้ามีกันสี่คน แต่ยืนคว้างได้ไม่นานก็มีผู้หญิงหน้าตาคุ้นๆเหมือนเคยเห็นในรูปถ่ายข้อมูลโฮสแฟมิลี่เดินมาไหว้แล้ว “สวัสดีค่า” ใส่ ตอนนั้นเรายิ้มแล้วกอดทุกคน(เพราะเค้าอ้าแขนรอ) ทำตัวเหมือนไม่ตื่นเต้นทั้งที่ในใจรัวเป็นกลองแต๊กแล้ว 555 จากนั้นโฮสก็ถามว่าเป็นยังไงบ้างเหนื่อยไหม ฯลฯ ระหว่างเดินไปขึ้นรถ แด๊ดเป็นคนสะพายเป้เราและถือกระเป๋าเดินทางให้ ย้ำค่ะว่าถือไม่ใช่ลาก เรายังคงแปลกใจมาจนทุกวันนี้ว่าคนสวีดิชเขาไปแข็งแรงมาจากไหนกัน หรือเราอาจจะแข็งแรงไม่พอเอง T__T

    ระหว่างนั่งรถกลับบ้านเราก็พยายามชวนคุยไม่ให้เงียบจนเกินไป โฮสบราทั้งสองคน(คนโตชื่อเลโอนาร์ด คนเล็กชื่อซาโลมอน)ก็คุยภาษาสวีดิชกันซึ่งเราฟังไม่ออกซักคำเดียวทั้งที่เรียนภาษาออนไลน์มาจากไทยแล้ว(..เล็กน้อย) เลโอนาร์ดพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างนิดหน่อยเลยกลายเป็นล่ามให้เราเวลาคุยกับซาโลมอน 55 คนสวีดิชส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดีทั้งนั้นค่ะ คนที่พูดไม่ได้เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น บางบ้านสอนลูกตั้งแต่ยังเล็กมาก โฮสซิสของเพื่อนเราก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีและเพิ่งอายุหกขวบเอง เราเคยถามมัมว่าทำไมคนสวีดิชพูดภาษาอังกฤษกันเก่งแทบทุกคน มัมบอกมาว่าเป็นเพราะการศึกษาของเค้า เด็กจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษทั้งฟัง เขียน และพูดตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน และอีกอย่างที่เราสังเกตได้คือคนสวีดิชพูดภาษาอังกฤษในคาบทุกคน บางประเทศในยุโรปไม่ได้พูดภาษาอังกฤษในคาบแต่ใช้ภาษาตัวเองแทนเหมือนที่ไทยนี่แหละค่ะ

    กลับมาเรื่องโฮส ตอนถึงบ้านอากาศกำลังดีเลยค่ะเพราะมีแดดออก(แต่ก็ยังหนาวสำหรับเราอยู่ดี) บ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ภายในตัวบ้านก็ดูอบอุ่น บรรยากาศนอกบ้านก็ดีมากด้วย
     

    หน้าบ้านเราและวิวสนามเด็กเล่นหน้าบ้านค่ะ บางวันก็มีกระต่ายโผล่มา บางวันก็เจอเม่น เราไปเดินเล่นแทบทุกวันเลยค่ะวิวสวยมาก


    นี่ห้องนอนของเราเองค่ะอยู่ชั้นล่างของตัวบ้าน เป็นห้องนอนเก่าของเลโอนาร์ด

    ห้องนั่งเล่นหลังบ้าน บ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะมีห้องกระจกแบบนี้ไว้นั่งเล่นเพราะคนสวีดิชชอบแดดมาก ทันทีที่แดดออกจะไม่มีใครอยู่บ้านทึบๆหรอกค่ะ ถ้าไม่นั่งในห้องกระจกก็ออกไปนอนอาบแดดหลังบ้านกันเป็นเรื่องปกติ

    หุ่นจากไทยที่โฮสแขวนไว้ตรงทางขึ้นบันไดค่ะ โฮสเราเคยไปไทยมาแล้วหลายครั้ง ดูจะชอบประเทศไทยมากด้วย

                ถ้าจะมาแลกเปลี่ยนที่สวีเดนก็รับรองได้เลยค่ะว่าไม่เจอคำถามพวก “ประเทศไทยตั้งอยู่ที่ไหน” “เป็นประเทศเดียวกับจีนไหม” หรือคำถามยอดฮิตของเด็กแลกเปลี่ยน “ขี่ช้างไปโรงเรียนรึเปล่า” เพราะคนสวีดิชไปเที่ยวประเทศไทย เยอะ-มาก บางครอบครัวไปทุกปีอย่างโฮสของเพื่อนเรา แถมบางคนนี่รู้ชื่อที่ท่องเที่ยวละเอียดยิบรู้ยันชื่อคลับในทองหล่อ -O- เราเองเป็นคนไทยที่ไม่เคยไปเที่ยวภาคใต้และถึงจะอยู่กรุงเทพฯแต่เราก็ไปแค่สยาม เพราะฉะนั้นยอมแพ้คนสวีดิชค่ะ รู้ดีกว่าเราอีก 55555 ส่วนใหญ่เค้าจะสับสนจีน ญี่ปุ่น กับเกาหลีกันมากกว่า แต่ก็มีหลายเรื่องที่คนสวีดิชไม่รู้เกี่ยวกับประเทศไทย ชื่อเต็มกรุงเทพฯนี่มุขทำมาหากินเราเลย อึ้งกันทุกคน

                กลับมาที่โฮสอีกครั้ง .__. เนื่องจากโฮสเราเคยรับเด็กนักเรียนไทยมาแล้ว เค้าเลยรู้เกี่ยวกับคนไทยค่อนข้างเยอะ เช่น การดำรงชีวิตประจำวัน มารยาท การพูด ฯลฯ ช่วงนั้นเราเลยรู้สึกเหมือนไม่ต้องปรับตัวอะไรเลยเพราะเค้าดูจะปรับเข้าหาเราเอง โฮสเรานิสัยน่ารักกันทั้งบ้านชวนเราคุยตลอด ยิ่งแด๊ดนี่ชวนคุยไม่หยุด คอยสอนคอยชี้ให้เราดูไปทุกอย่าง นับว่าเราโชคดีมากค่ะที่ได้โฮสดีถึงจะไม่ได้อยู่กับเค้าทั้งปีก็ตาม ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะต้องย้ายโฮสเมื่อไหร่แต่ใจก็อยู่ที่นี่แล้วเรียบร้อย มัมบอกว่าคงอีกประมาณเดือนหรือสองเดือนเราเลยวางใจได้นิดนึงว่าไม่ใช่พรุ่งนี้หรือมะรืน สิ่งแรกที่ทำหลังมาถึงบ้านก็คือ “ฟิก้า” ค่ะ ฟิก้า(Fika) คือชื่อที่คนสวีดิชเรียกช่วงเวลาว่างที่กินขนมกับน้ำชาหรือกาแฟกันระหว่างวัน คล้ายๆ Tea break ในความคิดเรา คนสวีดิชฟิก้ากันแทบทุกคนถ้ามีเวลาว่าง ส่วนใหญ่โรงเรียนประถมจะมีช่วงพักบ่ายให้นักเรียนได้ฟิก้ากันด้วย ขนมยอดฮิตเวลาฟิก้าก็ไม่พ้น “ช็อคโกบอล” ขนมที่ทุกบ้านทำเป็น และคนสวีดิชส่วนมากจะชอบดื่มชากันมากกว่ากาแฟ แต่เรามันคอกาแฟ ตั้งแต่อยู่สวีเดนมายังไม่เคยจิบชาเลยค่ะ 555

    ช็อคโกบอลหรือ Choklad bollar เป็นขนมดั้งเดิมของคนสวีดิช ทำจากแป้ง ผงโกโก้ ผงกาแฟ ฯลฯ มาปั้นเป็นก้อนแล้วคลุกมะพร้าวอ่อน จากนั้นก็ใส่ตู้เย็นให้เย็นแล้วทานค่ะ ไม่นำไปอบเหมือนขนมเบเกอรี่อื่นๆ

                การเจอโฮสแฟมิลี่วันแรกผ่านไปได้ด้วยดีและเราไม่มีอาการโฮมซิกใดๆ เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะเราได้โฮสดีด้วยละมั้งคะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×