ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ★ One Piece 'short fanfiction All Luffy [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #53 : ◣Fanfic◥ [AllxLuffy] Candied dream : Caramel path(2) (Part12)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.16K
      25
      14 มิ.ย. 65

    Title: Candied dream : Caramel path (2)
    Pairing: All x Luffy
    Rate: PG-13
    Writer: PINKUHERO
    Part: 12/20

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------














     

                ชายหนุ่มผู้ไม่เคยรู้จักความรักไม่อาจทราบว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่… ทั้งที่เขากำลังครอบครองร่างกายน่าทะนุถนอมนั้นไว้เพียงผู้เดียว ทั้งที่เด็กหนุ่มผู้ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงเป็นครั้งแรกได้อยู่ตรงหน้าแล้ว

     

    ทำไมจึงยังไม่มีความสุขกันนะ?

     

                ความรักทำให้คนสุขใจ ทำให้โลกทั้งใบดูสวยงามขึ้นมา คนตัวสูงจำความรู้สึกตอนพาคนหน้าหวานไปยังลำธารช็อคโกแลตได้ดี …ภาพนั้น ร่างกายนั้น และบรรยากาศรอบตัว มันช่างละมุนละไมเสียจนไม่อยากให้ช่วงเวลานั้นหมดไป

     

                แต่สิ่งที่เห็นตอนนี้มีเพียงแผ่นหลังเล็กๆที่กำลังส่งมา แขนบอบบางทั้งสองข้างโอบกอดเข่าของตน สิ่งที่คอยกีดกันคนๆนั้นระหว่างโลกภายนอกคงเป็นลูกกรงโลหะเย็นชืด มองไม่เห็นว่าใบหน้าน่ารักกำลังแสดงอารมณ์อย่างไร ไม่พูดไม่จากันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

     

    เด็กนี่กำลังโกรธเขาอยู่

     

    เพราะเหตุใดกันล่ะ… อีกทั้งยังทำให้รู้สึกร้อนใจเสียจริง

     

    “ เจ้าต้องการสิ่งใดกันเจ้าหนู ข้าหามาให้ได้ทุกอย่าง ” เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     

                เขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ร่างเล็กมีความสุข ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้คนๆนี้หายไป มันส่งให้ร่างสูงกระวนกระวายใจจนไม่อาจนิ่งเฉยได้ ปลายเท้าคู่เดิมยังคงวนเวียนอยู่หน้าห้องขังใต้ดินนี้อยู่หลายครั้ง โดยหวังให้อีกฝ่ายเริ่มบทสนทนากันบ้าง

     

    “ คนโกหก ”

     

                แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงคำพูดสั้นๆเท่านั้น หลายครั้งที่ลูฟี่โวยวายไปว่าอยากกลับบ้าน แต่ผู้ชายหน้าโหดก็ดูจะไม่เข้าใจซักที เขาเองก็ไม่อยากจะมาติดอยู่ที่นี่ตลอดไปเสียหน่อย

     

                ผลลัพธ์สุดท้ายยังคงตกอยู่กับเจ้าของบ้านขนมหวาน หลากหลายคำถามยังดังก้องอยู่ในใจ แม้อายุอานามจะไม่ได้น้อยอย่างเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เคยรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าความรักมาก่อน

     

    ทั้งที่ตอบสนองความต้องการให้ได้ทุกอย่างทั้งที่ความต้องการของเขาคือการอยู่เคียงคู่กันตลอดไป เหตุใดอีกฝ่ายจึงเย็นชานัก…

     

     

     

     

     

                ตกดึกวันเดียวกัน แสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าพรากเอาความอบอุ่นไปจากดินแดนแห่งจินตนาการ อากาศหนาวเย็นยามค่ำคืนเข้าปกคลุมจนทำให้อากาศร้อนที่ออกมาจากร่างกายกลายเป็นไอสีขาว หรืออาจเป็นเพราะห้องใต้ดินนี้ไม่มีเตาผิงเหมือนกับพื้นเบื้องบน ถึงแม้จะไม่มีลมพัดเข้ามา แต่ก็หนาวเกินกว่าเสื้อแขนกุดกับผ้าคลุมบางๆจะพอให้ความอบอุ่นได้

     

    “ หนาวชะมัด… ” บ่นพึมพำขณะกอดร่างของตัวเองแน่น อากาศของที่นี่จะหนาวเกินไปแล้ว ทั้งพื้นหินนี่ก็ดูจะเย็นเชียบซะจนขนลุก ไออากาศร้อนพ่นออกมาจากริมฝีปากบางสู่ฝ่ามือหวังให้ความอบอุ่น เกิดกังวลขึ้นมาว่าวันนี้ตนจะแข็งตายคาที่นี่ไปหรือเปล่า

     

                ขาเรียวทั้งสองข้างพาร่างมาหยุดอยู่หน้าประตู ดวงตากลมโตพยายามสอดส่องหาวิธีเปิด …ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแม่กุญแจอยู่เลย มือเล็กใช้เรี่ยวแรงที่เหลือไม่มากเขย่ากรงเต็มที่ การพยายามไร้ผลเพราะนอกจากกุญแจก็ดูจะไม่มีวิธีเปิดอื่นๆอีกแล้ว

     

    อ๊ะนี่มัน?

     

                ก้มลงหยิบเอากองผ้าที่ถูกพับไว้อย่างมีระเบียบบนพื้นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด สองมือคลี่ออกมากลับพบว่ามันคือผ้าห่มผืนใหญ่ที่ความหนามากพอจะช่วยป้องกันอากาศเย็นของคืนนี้ไปได้ ลูฟี่จึงไม่ลังเลเลยที่จะใช้มันปกคลุมร่างของตน

     

    “ มี่ไอนี่วางไว้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ…? ” เอียงคอไปด้านข้างอย่างนึกสงสัย ก่อนใบหน้าหวานจะเผยรอยยิ้มพอใจ ผ้าห่มนี่ให้ความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี อดไม่ได้ที่จะห่อร่างของตัวเองไว้ราวกับดักแด้ตัวน้อยๆ

     

    แทบจะไม่อยากขยับไปไหนอีกเลยแฮะ

     

    อากาศเย็นข้างนอกที่บวกรวมกับลมพัดโกรก พอจะจินตนาการได้อยู่จะหนาวขนาดไหน… เรื่องหนีออกไป ไว้เป็นตอนที่อากาศอุ่นขึ้นกว่านี้ก็แล้วกัน

     

                แพขนตาหนาที่ค่อยๆหลับพริ้ม ร่างกายบอบบางที่กำลังนอนขดกลมใต้ผ้าห่ม ภาพทุกอย่างอยู่ในสายตาของใครอีกคนซึ่งแม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้รู้สึกตัวเลยก็ตาม เสียงทุ้มเอ่ยถามออกไปท่ามกลางความมืดมิด ก่อนร่างนั้นจะเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

     

    “  ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ความปรารถนาของเจ้ามีเพียงการได้ออกไปจากที่นี่งั้นหรือ… 

     

     

     

     

     

    เสียงเปิดประตูจากข้างบนเป็นตัวปลุกลูฟี่ให้ตื่นจากการหลับไหล

     

                ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าใด ไม่มีหน้าต่างหรือนาฬิกาคอยบ่งบอกเวลา รู้เพียงแค่ว่าอากาศรอบตัวอุ่นขึ้นจนไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าห่มผืนนั้นอีกแล้ว

     

                เสียงปลายเท้าที่ก้าวเดินอย่างเป็นจังหวะแว่วขึ้นมาให้ได้ยินก่อนตะเกียงบริเวณมุมเสาจะถูกจุดขึ้น สิ่งที่รู้สึกได้ก่อนคงเป็นกลิ่นหอมฟุ้งที่น่าอร่อยของอาหาร ตามหลังมาด้วยภาพลางๆที่ค่อยๆชัดขึ้นของผู้ชายร่างใหญ่เจ้าของผมสีแดง

     

                มันไม่ได้ผิดไปจากที่ลูฟี่คิดนัก มือใหญ่ยื่นเอาจานอาหารมาวางไว้ตรงหน้า กระเพาะก็พลันร้องประท้วงว่าอย่าชักช้า รีบจัดการเสียเลยดีกว่า ตั้งแต่หลงมาที่นี่ก็มีแต่ขนมหวานละลานตาไปหมด ไม่คิดว่าจะมีอาหารพื้นฐานอย่างเนื้อที่เป็นของโปรดเสียด้วย แต่ด้วยความถือทิฐิ ต่อให้อยากกินแค่ไหน เขาก็ต้องห้ามตัวเองไว้

     

    “ ฉันไม่กินหรอกจนกว่านายจะปล่อยออกไป” พูดเสียงดังใส่คนตรงหน้าทั้งที่ดวงตากำลังจับจ้องอยู่ที่เนื้อในจาน คนหน้าโหดอดนึกขำไม่ได้กับใบหน้าที่เหมือนอยากจะกินเสียเต็มประดาแต่ก็ไม่ได้หลุดหัวเราะออกไป

     

    “ กินไปเถอะน่า ข้าไม่ได้มาเรียกร้องอะไรทั้งนั้น ”

     

                พอเห็นคนตัวสูงที่ไม่มีที่ท่าจะต่อรองอะไรอย่างปากว่า ริมฝีปากบางก็มู่เข้าหากันพร้อมๆกับคิ้วของเจ้าตัว ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งอาหารเหล่านั้นเข้าปากทั้งใบหน้าบูดบึ้ง ฟอร์มที่อุตส่าห์เก๊กไว้เลยพังไม่เป็นท่า

     

    “ โกรธข้าหรือไง? ” คนตัวสูงถามขึ้น ดวงตาคู่คมยังไม่ได้ละออกจากคนตัวเล็กที่ตอนนี้แม้จะมีอาหารอยู่ในมือแต่ก็ยังไม่คลายทีท่าไม่เป็นมิตร เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วยุ่งก่อนมองมาทางเขาราวกับเคืองไม่น้อย

     

    “ ใช่ โกรธมาก

     

    “ เหตุผลล่ะ? ”

     

    “ พาฉันออกไปนะบอกแล้วไงว่ามีที่ที่ต้องกลับไป ”

     

                 เด็กนี่เป็นประเภทคิดอะไรอยู่ก็พูดออกมาหมด เป็นคำตอบที่เหมือนกับคำสั่งซะมากกว่า โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มเผลอหลุดยิ้มบางๆออกมาเพียงชั่วครู่  บางทีคงเป็นเขาที่ด่วนสรุปเรื่องราวต่างๆมากเกินไป จนลืมไปเสียสนิทว่าตนยังไม่ทันได้เรียนรู้เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ให้ดีเลย

     

     “ เล่าให้ฟังหน่อยสิ ”

     

    เขาอยากจะรู้จักคนตัวเล็กให้มากกว่านี้…

     

    “ เรื่องของเจ้าน่ะ …เจ้าหนู ”

     

                เป็นประโยคที่ทำให้ดวงตากลมโตตวัดมองกลับมาด้วยความงุนงง ปริมาณอาหารที่เคยทำให้แก้มเนียนทั้งสองข้างตุ่ยออกราวกับหนูแฮมสเตอร์ค่อยๆลดลงจนกระทั่งจานใบเดิมถูกวางลง ผู้ชายคนนี้ชอบทำอะไรแปลกๆแบบที่เด็กหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจ แต่ครั้นพอโดนเซ้าซี้มากๆก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องราวของตัวเองออกไป ชีวิตของเขาก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร ออกจะธรรมดาด้วยซ้ำกับคนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

     

                แต่สำหรับคนในโลกที่ทุกอย่างดำเนินไปตามเนื้อเรื่องในนิทานปรัมปรากลับเป็นสิ่งที่น่าสนใจ รายชื่อของสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่คุ้นหู รวมไปถึงชื่อของคนที่ไม่รู้จักถูกยกขึ้นมา ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวและเพื่อนพ้องที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัส บนโลกนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขายังไม่เคยได้เรียนรู้

     

                ใบหน้าหวานที่คลี่ยิ้มออกมายามกล่าวถึงคนเป็นปู่และเพื่อนสมัยเด็ก ช่วงเวลาที่สนุกสนานและมีความสุข ทำให้เขาพอจะเข้าใจเด็กคนนี้ได้ทันทีเลยว่าทำไมเจ้าตัวจึงต้องการจะกลับไปในที่ที่จากมานัก

     

    ความสุขเหล่านั้น เหตุการณ์ดีๆเหล่านั้น …ไม่มีชายหนุ่มเช่นเขาอยู่ด้วยเลย

     

    แต่ทำไมกันนะ… ทั้งที่เจ็บใจ แต่กลับมีความสุขไปด้วย รอยยิ้มน้อยๆเผลอหลุดออกมายามใบหน้าหวานนั้นกำลังมีความสุข

     

    หรือว่าความรักที่ปรารถนามาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการครอบครองเสมอไป

     

    ถึงแม้จะกักกันร่างนั้นไว้กับตน แต่หัวใจของเด็กคนนี้นี่กลับอยู่ที่อื่น แบบนี้มันจะมีความหมายอะไร?

     

    “ แปลกดีจริง… ทั้งที่เรื่องราวเหล่าไม่มีข้าอยู่เลย …แต่กลับสุขใจไปได้อย่างไร ”

     

     

     

     

     

    เวลาได้ผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆของวัน ถึงแม้จะไม่ได้อบอุ่นที่สุดอย่างช่วงเที่ยงของวัน แต่ก็ไม่ได้หนาวเหน็บอย่างช่วงกลางดึกเช่นกัน มือใหญ่ของคนเป็นเจ้าของบ้านสาละวนอยู่กับการนำกุญแจมาปลดล็อคสิ่งที่ขวางกั้นอิสรภาพของเด็กหนุ่ม ใช้เวลาไม่นาน ประตูบานนั้นก็แง้มออกราวกับรอให้คนที่อยู่ข้างในได้ก้าวออกมา

     

    ลูฟี่มองตามการกระทำนั้นพร้อมสีหน้างุนงง ผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นยังดูมีสติครบทุกอย่าง ใบหน้าโหดกำลังมองมาราวกับพิจารณาดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ปลายเท้าเล็กจึงพาร่างของตัวเองก้าวออกมายืนข้างนอกด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ

     

    “ อะไรอะ… นี่นายจะปล่อยฉันไปแล้วงั้นหรอ? ” เอียงคอมองพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ดูเหมือนผู้ชายหน้าโหดจะยังไม่ละสายตาออกไปจากใบหน้าของเขา

     

    “ เจ้าดูดีใจนะ ”

     

    “ แหงสิ ฉันจากโลกของตัวเองมานานเกินไปแล้ว

     

                คำพูดสั้นๆนั้นยิ่งทำให้ลูฟี่ขมวดคิ้วเข้าหากันมามากกว่าเดิม ความดีใจปนกับประหลาดใจมันกำลังแสดงออกมาผ่านดวงตาคู่สวยที่น่ามอง นั่นคือสิ่งที่ร่างสูงสัมผัสได้

     

     ข้าจะพาออกไป… เจ้ามีจุดหมายจะไปที่ใดกัน? ”

     

                ข้อมือบอบบางถูกคนตัวสูงกว่าคว้าไปครอบครองก่อนออกแรงดึงเบาๆ มีเพียงความไม่เข้าใจที่แล่นเข้ามาในความคิด คราวนี้ผู้ชายตัวใหญ่ไม่ได้บีบมันแรงเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน เขากุมไว้เบาๆเหมือนกำลังเดินจูงมือกันเฉยๆมากกว่า นั่นทำให้ลูฟี่ที่กำลังสับสนต้องเงียบไปพักหนึ่งกว่าจะได้สติกลับมาตอบคำถามอีกฝ่าย

     

    “ โตเกียว… 

     

    ทำไมคราวนี้ถึงได้บอกว่าจะพาออกไปง่ายๆแบบนี้กันล่ะ?

     

    “ ข้าจะพาไปยังที่ที่มีการเดินทางสะดวกหน่อยก็แล้วกัน… ”  คนตัวใหญ่ไม่ได้ตอบข้อสงสัยที่อยู่ในใจ แต่กลับยื่นผ้าคลุมผืนหนึ่งให้โดยหวังว่ามันจะให้ความอบอุ่นแก่คนตัวเล็กแทนผ้าสีแดงบางๆนั่นได้ คำขอบคุณถูกกล่าวออกมาจากริมฝีปากสีชมพูระเรื่อทั้งความไม่เข้าใจ

     

    บ้านขนมหวานที่เคยชื่นชมว่าน่าลิ้มลองกำลังห่างออกไปจากสายตามากขึ้นทุกที ปลายเท้าทั้งคู่ของคนตรงหน้ากำลังพาเด็กหนุ่มไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นตา ถึงแม้ที่นี่จะยังคงสภาพพื้นที่ป่า แต่จำนวนต้นไม้กลับค่อยๆลดลง ตึกรามที่โครงสร้างออกไปทางสมัยกลางเริ่มปรากฏขึ้นมาแทน ทำให้คนที่เพิ่งเคยมาเยือนเป็นครั้งแรกรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

               

                ทั้งเครื่องแต่งกาย ทั้งรูปแบบการใช้ชีวิต ราวกับกำลังหลุดมาอยู่ในโลกเมื่อครั้งอดีต แม้ที่นี่จะไม่มีผู้หญิงใส่กระโปรงฟูฟ่อง แต่ทั้งหมวกทรงสูง เสื้อโค้ทตัวยาวและเสื้อกั๊กสูทก็ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมไม่น้อย จนกระทั่งสถานที่เบื้องหน้าเปลี่ยนเป็นที่ที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นสถานีรถไฟ เจ้าของผมสีแดงเพลิงจึงหยุดการเดินทางลง

     

    “ คงมาส่งเจ้าได้แค่นี้ …ข้าไม่รู้จักเมืองนั่นหรอกนะ ” คนตัวสูงหันกลับมาสนทนากับลูฟี่ ใบหน้าโหดที่ราวกับกำลังมีเรื่องคิดไม่ตกในใจทำให้คนตัวเล็กเพิ่มพูนความไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก

     

    “ นายนี่พิลึกคนจริงๆด้วย เดี๋ยวก็ใจดี เดี๋ยวก็ใจร้าย ”

     

                อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอให้กับใบหน้ายู่ยี่ของเด็กน้อยตรงหน้า มือของเขาวางลงกับกลุ่มผมนิ่มอย่างแผ่วเบา ใช่ว่าอยากจะให้คนตรงหน้าจากไปเสียหน่อยใช่ว่าจะไม่เสียใจหากเด็กคนนี้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว

     

    “ ข้ามีเรื่องหนึ่งจะบอกก่อนจะจากกันไป… ” แววตาคู่คมเคลือบไปด้วยความเศร้าอย่างไม่เก็บกัก ตัดสินใจแล้วว่าการกักขังเด็กคนนี้ต่อไปก็ไร้ค่า หากการมอบอิสรภาพจะทำให้ร่างบางมีความสุขแล้ว ตัวเขาเองก็จะมีความสุขด้วย

     

     ข้ารักเจ้า 

     

                ประโยคสั้นๆแต่ทำให้หัวใจคนฟังไม่อาจอยู่นิ่งได้ ลูฟี่ได้แต่เบิกตากว้างอย่างทำอะไรไม่ถูก …กำลังถูกบอกรัก ไม่เคยมีใครมาพูดประโยคแบบนี้กับเขามาก่อน ก้อนเนื้อใต้อกมันก็พาลตุ๊มต่อมๆพิกล

     

    “ แต่หากหัวใจของเจ้าไม่ได้ตรงกัน บังคับกันไปก็ไร้ประโยชน์ ”

     

    “ ข้าได้เรียนรู้แล้ว …มันไม่มีความสุข ” กลายเป็นคนตัวเล็กที่ยอมเงียบฟังอีกฝ่ายพูด น้ำเสียงทุ้มที่พูดออกมาพร้อมสีหน้าราวกับกำลังเจ็บปวดทำให้ลูฟี่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

     

                ชายหนุ่มรู้ได้ในทันที แม้ผู้คนในโลกนี้จะรอคอยเจ้าหญิงแห่งโชคชะตามานานแสนนาน …แต่เด็กคนนี้ก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของใครทั้งนั้น

     

                ความรู้สึกในอกของเด็กหนุ่มมันกำลังปั่นป่วนไปหมด เกิดคำถามมากมายที่นึกสงสัย …นี่คือสิ่งที่คนๆนี้รู้สึกต่อเขาตลอดมา นี่คือการเรียนรู้ที่จะรักงั้นหรือ?

     

    เป็นครั้งแรกที่ลูฟี่เพิ่งได้รับรู้เช่นกัน

     

    “ ข้าจะรอวันที่ใจของเจ้าจะแบ่งปันมาให้ข้าบ้าง …หากเจ้าคิดเหมือนกันก็กลับมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ ”

     

    “ ข้าพร้อมจะเปิดประตูรับอยู่เสมอ ”  เป็นครั้งแรกที่รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าคมนั้นโดยไม่เอียงอาย ความอ่อนโยนสื่อมาถึงโดยไม่ต้องทำความเข้าใจใดๆ

     

    “ อื้ม ขอบคุณนะ นายเป็นคนแรกที่เข้าใจเลยล่ะ ”

     

                ตั้งแต่หลุดมาในโลกนี้ ลูฟี่ต้องคอยหนีคนแปลกๆมาโดยตลอด มีแต่ผู้ชายคนนี้ที่ยอมพามาส่งด้วยตัวเองนี่แหละ… ริมฝีปากบางยกยิ้มร่าให้เจ้าของบ้านขนมหวานที่ในเวลานี้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรักแล้ว พวงแก้มนิ่มขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามอง ไม่มีโอกาสให้อีกฝ่ายได้บอกชื่อตัวเอง คนตัวเล็กก็วิ่งแจ้นออกไปแล้ว

     

     ลูฟี่… นั่นคือชื่อของฉัน ”

     

    หากโชคชะตาไม่โหดร้ายจนเกินไป… คงมีโอกาสซักครั้งให้เขาได้พบกับเด็กคนนี้อีก

     







     

                สองเท้าลดความเร็วลงจนกลายเป็นการเดินเตาะแตะอยู่ในสถานีรถไฟ มีคนในชุดย้อนยุคกำลังเดินชุกชุมอยู่เต็มไปหมด ตอนเข้ามาที่นี่ครั้งแรก เขาเผลอเข้าใจไปว่าที่นี่ไม่มีรถไฟไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เห็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงเหมือนโลกที่จากมาบ้างหรือเปล่า...

     

                เสียงระฆังดังขึ้นมาเป็นจังหวะขณะนายสถานีใช้ไม้ยาวๆตีลงไป มันไม่ได้มีเสียงประชาสัมพันธ์ประกาศออกมาตามลำโพง แต่บริเวณเสาต่างๆกลับมีหมายเลขชานชาลากำกับเอาไว้ เสียงฉึกฉักกับควันขโมงที่พ่นออกมาจากปล่องไอน้ำที่ติดกับหัวขบวนยามพาหนะเหล็กแล่นมาจอดเทียบท่า เป็นอันต้องทำให้ดวงตากลมโตลุกวาวราวกับเด็กน้อยเจอของเล่นใหม่

     

     สุดยอดดด รถจักรไอน้ำเดี๋ยวนี้หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เจ๋งโคตร!!

     

                ใบหน้าน่ารักเผยยิ้มร่าขณะกำลังใช้ความคิดว่าตนจะหาตั๋วสำหรับเดินทางได้จากที่ไหน ดวงตาคู่สวยกรอกมองรอบตัวก่อนจะพบกลุ่มคนกำลังยืนต่อแถว จึงไม่ลังเลที่จะรีบสาวเท้าไปยังจุดหมาย เดินหลบผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่สวนเข้ามาขวางทางเดินอย่างคล่องแคล่ว แต่ครั้นทำอย่างนั้นก็ยังไม่อาจพ้นร่างใครอีกคนที่เดินเข้ามาเสริมทัพ จนเส้นทางด้านหน้าของเขาโดนปิดไว้มิด

     

    ตุบ!

     

                หน้าผากมนของลูฟี่ชนกับแผงอกของใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เขาถอยหลังกลับมาก่อนยกมือขึ้นลูบมันด้วยรู้สึกเจ็บเล็กน้อย

     

    “ ขอโทษนะ แต่พวกนายช่วยหลบไปหน่อยได้หรือเปล่า? ” เอ่ยปากสนทนากับคนตัวสูงตรงหน้าที่ในเวลานี้ไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกไปเลยซักนิด อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความหงุดหงิด

     

                ผู้ชายตัวสูงชะลูดสองคน คนหนึ่งสวมโค้ทยาวถึงเข่า อีกคนสวมเสื้อกั๊กกับหมวกปีกกว้าง สิ่งที่ชวนประหลาดใจคงเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าคมของคนทั้งคู่ รู้สึกตัวอีกทีข้อมือของเขาก็โดนคนสวมหมวกคว้าเอาไว้เสียแล้ว

     

     

     เจอตัวซักที ยัยซินตัวแสบ 

     

     

     

     

    การปล่อยให้ความรักครอบงำ เพียงชั่วขณะหนึ่งราวกับสูญเสียตัวตนไป

    ชายผู้โดดเดี่ยวในบ้านขนมหวานได้เรียนรู้แล้ว

    เพียงได้เห็นคนที่ตนรักมีความสุขก็เพียงพอ

     

    ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นหรือไม่... เขาก็จะรอคอยหัวใจของตนอยู่ตรงนี้ตลอดไป...

     

     

     

     






     

    อัพแล้ววเด้อออ ในที่สุดก็หาที่ลงกับคู่นี้จนได้
     
    แอบน้ำเน่าเบาๆมั๊ยคะเนี่ย //ปัดแมลงวัน
    ที่จริงใช้เวลาคิดพล็อตของคู่นี้อยู่นานมาก จะจบยังไงไม่ให้ซ้ำกับสมการอื่น
    สุดท้ายเลยลงแบบนี้ซะเลย แถมมีใครไม่รู้เข้ามาแย่งตัวฟี่คุงไปต่ออีก ชีวิตฟี่นี่ซวยจริงๆ

    พาร์ทต่อไปของเรื่องนี้พอเดาได้ลางๆแหละเนอะว่าจะเอาเค้าโครงมาจากนิทานเรื่องอะไร(เล่นบอกซะขนาดนั้น)
    มาลุ้นกันดีกว่าค่ะว่าใครจะเป็นเมะคนต่อไป อิ้อิ้

    สำหรับตอนต่อไปของบทความนี้ ตามข้อตกลงที่ไรเตอร์เคยบอกไว้นะคะ
    จะสลับกันอัพกับอีกเรื่อง เรื่องละ2ตอนค่ะ
     >> เพราะฉะนั้นตอนต่อไปของบทความนี้คือเรื่อง[DoflamingoxLuffy] Akaito (Part3) นะคะ
    แล้วพบกันค่ะ^^
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×