คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #53 : ◣Fanfic◥ [AllxLuffy] Candied dream : Caramel path(2) (Part12)
Rate: PG-13
Writer: PINKUHERO
Part: 12/20
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ชายหนุ่มผู้ไม่เคยรู้จักความรักไม่อาจทราบว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่… ทั้งที่เขากำลังครอบครองร่างกายน่าทะนุถนอมนั้นไว้เพียงผู้เดียว ทั้งที่เด็กหนุ่มผู้ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงเป็นครั้งแรกได้อยู่ตรงหน้าแล้ว
…ทำไมจึงยังไม่มีความสุขกันนะ?
ความรักทำให้คนสุขใจ ทำให้โลกทั้งใบดูสวยงามขึ้นมา
คนตัวสูงจำความรู้สึกตอนพาคนหน้าหวานไปยังลำธารช็อคโกแลตได้ดี …ภาพนั้น ร่างกายนั้น และบรรยากาศรอบตัว
มันช่างละมุนละไมเสียจนไม่อยากให้ช่วงเวลานั้นหมดไป
แต่สิ่งที่เห็นตอนนี้มีเพียงแผ่นหลังเล็กๆที่กำลังส่งมา
แขนบอบบางทั้งสองข้างโอบกอดเข่าของตน
สิ่งที่คอยกีดกันคนๆนั้นระหว่างโลกภายนอกคงเป็นลูกกรงโลหะเย็นชืด
มองไม่เห็นว่าใบหน้าน่ารักกำลังแสดงอารมณ์อย่างไร
ไม่พูดไม่จากันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
เด็กนี่กำลังโกรธเขาอยู่…
เพราะเหตุใดกันล่ะ… อีกทั้งยังทำให้รู้สึกร้อนใจเสียจริง
“
เจ้าต้องการสิ่งใดกันเจ้าหนู ข้าหามาให้ได้ทุกอย่าง ”
เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ร่างเล็กมีความสุข
ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้คนๆนี้หายไป มันส่งให้ร่างสูงกระวนกระวายใจจนไม่อาจนิ่งเฉยได้
ปลายเท้าคู่เดิมยังคงวนเวียนอยู่หน้าห้องขังใต้ดินนี้อยู่หลายครั้ง
โดยหวังให้อีกฝ่ายเริ่มบทสนทนากันบ้าง…
“ คนโกหก ”
แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงคำพูดสั้นๆเท่านั้น
หลายครั้งที่ลูฟี่โวยวายไปว่าอยากกลับบ้าน แต่ผู้ชายหน้าโหดก็ดูจะไม่เข้าใจซักที
เขาเองก็ไม่อยากจะมาติดอยู่ที่นี่ตลอดไปเสียหน่อย
ผลลัพธ์สุดท้ายยังคงตกอยู่กับเจ้าของบ้านขนมหวาน
หลากหลายคำถามยังดังก้องอยู่ในใจ
แม้อายุอานามจะไม่ได้น้อยอย่างเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่น
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เคยรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าความรักมาก่อน…
ทั้งที่ตอบสนองความต้องการให้ได้ทุกอย่าง… ทั้งที่ความต้องการของเขาคือการอยู่เคียงคู่กันตลอดไป
เหตุใดอีกฝ่ายจึงเย็นชานัก…
ตกดึกวันเดียวกัน
แสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าพรากเอาความอบอุ่นไปจากดินแดนแห่งจินตนาการ
อากาศหนาวเย็นยามค่ำคืนเข้าปกคลุมจนทำให้อากาศร้อนที่ออกมาจากร่างกายกลายเป็นไอสีขาว
หรืออาจเป็นเพราะห้องใต้ดินนี้ไม่มีเตาผิงเหมือนกับพื้นเบื้องบน
ถึงแม้จะไม่มีลมพัดเข้ามา
แต่ก็หนาวเกินกว่าเสื้อแขนกุดกับผ้าคลุมบางๆจะพอให้ความอบอุ่นได้
“ หนาวชะมัด… ”
บ่นพึมพำขณะกอดร่างของตัวเองแน่น อากาศของที่นี่จะหนาวเกินไปแล้ว
ทั้งพื้นหินนี่ก็ดูจะเย็นเชียบซะจนขนลุก
ไออากาศร้อนพ่นออกมาจากริมฝีปากบางสู่ฝ่ามือหวังให้ความอบอุ่น เกิดกังวลขึ้นมาว่าวันนี้ตนจะแข็งตายคาที่นี่ไปหรือเปล่า
ขาเรียวทั้งสองข้างพาร่างมาหยุดอยู่หน้าประตู
ดวงตากลมโตพยายามสอดส่องหาวิธีเปิด …ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแม่กุญแจอยู่เลย
มือเล็กใช้เรี่ยวแรงที่เหลือไม่มากเขย่ากรงเต็มที่
การพยายามไร้ผลเพราะนอกจากกุญแจก็ดูจะไม่มีวิธีเปิดอื่นๆอีกแล้ว
อ๊ะ…นี่มัน?
ก้มลงหยิบเอากองผ้าที่ถูกพับไว้อย่างมีระเบียบบนพื้นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
สองมือคลี่ออกมากลับพบว่ามันคือผ้าห่มผืนใหญ่ที่ความหนามากพอจะช่วยป้องกันอากาศเย็นของคืนนี้ไปได้
ลูฟี่จึงไม่ลังเลเลยที่จะใช้มันปกคลุมร่างของตน
“
มี่ไอนี่วางไว้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ…? ” เอียงคอไปด้านข้างอย่างนึกสงสัย
ก่อนใบหน้าหวานจะเผยรอยยิ้มพอใจ ผ้าห่มนี่ให้ความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี
อดไม่ได้ที่จะห่อร่างของตัวเองไว้ราวกับดักแด้ตัวน้อยๆ
แทบจะไม่อยากขยับไปไหนอีกเลยแฮะ…
อากาศเย็นข้างนอกที่บวกรวมกับลมพัดโกรก
พอจะจินตนาการได้อยู่จะหนาวขนาดไหน… เรื่องหนีออกไป
ไว้เป็นตอนที่อากาศอุ่นขึ้นกว่านี้ก็แล้วกัน
แพขนตาหนาที่ค่อยๆหลับพริ้ม ร่างกายบอบบางที่กำลังนอนขดกลมใต้ผ้าห่ม
ภาพทุกอย่างอยู่ในสายตาของใครอีกคนซึ่งแม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้รู้สึกตัวเลยก็ตาม
เสียงทุ้มเอ่ยถามออกไปท่ามกลางความมืดมิด ก่อนร่างนั้นจะเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
“ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง
ความปรารถนาของเจ้ามีเพียงการได้ออกไปจากที่นี่งั้นหรือ… ”
เสียงเปิดประตูจากข้างบนเป็นตัวปลุกลูฟี่ให้ตื่นจากการหลับไหล…
ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าใด
ไม่มีหน้าต่างหรือนาฬิกาคอยบ่งบอกเวลา
รู้เพียงแค่ว่าอากาศรอบตัวอุ่นขึ้นจนไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าห่มผืนนั้นอีกแล้ว
เสียงปลายเท้าที่ก้าวเดินอย่างเป็นจังหวะแว่วขึ้นมาให้ได้ยินก่อนตะเกียงบริเวณมุมเสาจะถูกจุดขึ้น
สิ่งที่รู้สึกได้ก่อนคงเป็นกลิ่นหอมฟุ้งที่น่าอร่อยของอาหาร
ตามหลังมาด้วยภาพลางๆที่ค่อยๆชัดขึ้นของผู้ชายร่างใหญ่เจ้าของผมสีแดง
มันไม่ได้ผิดไปจากที่ลูฟี่คิดนัก
มือใหญ่ยื่นเอาจานอาหารมาวางไว้ตรงหน้า กระเพาะก็พลันร้องประท้วงว่าอย่าชักช้า
รีบจัดการเสียเลยดีกว่า ตั้งแต่หลงมาที่นี่ก็มีแต่ขนมหวานละลานตาไปหมด
ไม่คิดว่าจะมีอาหารพื้นฐานอย่างเนื้อที่เป็นของโปรดเสียด้วย แต่ด้วยความถือทิฐิ
ต่อให้อยากกินแค่ไหน เขาก็ต้องห้ามตัวเองไว้
“
ฉันไม่กินหรอกจนกว่านายจะปล่อยออกไป! ” พูดเสียงดังใส่คนตรงหน้าทั้งที่ดวงตากำลังจับจ้องอยู่ที่เนื้อในจาน
คนหน้าโหดอดนึกขำไม่ได้กับใบหน้าที่เหมือนอยากจะกินเสียเต็มประดาแต่ก็ไม่ได้หลุดหัวเราะออกไป
“ กินไปเถอะน่า
ข้าไม่ได้มาเรียกร้องอะไรทั้งนั้น ”
พอเห็นคนตัวสูงที่ไม่มีที่ท่าจะต่อรองอะไรอย่างปากว่า ริมฝีปากบางก็มู่เข้าหากันพร้อมๆกับคิ้วของเจ้าตัว
ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งอาหารเหล่านั้นเข้าปากทั้งใบหน้าบูดบึ้ง
ฟอร์มที่อุตส่าห์เก๊กไว้เลยพังไม่เป็นท่า…
“ โกรธข้าหรือไง? ” คนตัวสูงถามขึ้น
ดวงตาคู่คมยังไม่ได้ละออกจากคนตัวเล็กที่ตอนนี้แม้จะมีอาหารอยู่ในมือแต่ก็ยังไม่คลายทีท่าไม่เป็นมิตร
เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วยุ่งก่อนมองมาทางเขาราวกับเคืองไม่น้อย
“ ใช่ โกรธมาก! ”
“ เหตุผลล่ะ? ”
“ พาฉันออกไปนะ! บอกแล้วไงว่ามีที่ที่ต้องกลับไป
”
เด็กนี่เป็นประเภทคิดอะไรอยู่ก็พูดออกมาหมด
เป็นคำตอบที่เหมือนกับคำสั่งซะมากกว่า โดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มเผลอหลุดยิ้มบางๆออกมาเพียงชั่วครู่ บางทีคงเป็นเขาที่ด่วนสรุปเรื่องราวต่างๆมากเกินไป
จนลืมไปเสียสนิทว่าตนยังไม่ทันได้เรียนรู้เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ให้ดีเลย
“ เล่าให้ฟังหน่อยสิ
”
เขาอยากจะรู้จักคนตัวเล็กให้มากกว่านี้…
“ เรื่องของเจ้าน่ะ …เจ้าหนู ”
เป็นประโยคที่ทำให้ดวงตากลมโตตวัดมองกลับมาด้วยความงุนงง
ปริมาณอาหารที่เคยทำให้แก้มเนียนทั้งสองข้างตุ่ยออกราวกับหนูแฮมสเตอร์ค่อยๆลดลงจนกระทั่งจานใบเดิมถูกวางลง
ผู้ชายคนนี้ชอบทำอะไรแปลกๆแบบที่เด็กหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจ
แต่ครั้นพอโดนเซ้าซี้มากๆก็อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องราวของตัวเองออกไป
ชีวิตของเขาก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร
ออกจะธรรมดาด้วยซ้ำกับคนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
แต่สำหรับคนในโลกที่ทุกอย่างดำเนินไปตามเนื้อเรื่องในนิทานปรัมปรากลับเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
รายชื่อของสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่คุ้นหู
รวมไปถึงชื่อของคนที่ไม่รู้จักถูกยกขึ้นมา
ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวและเพื่อนพ้องที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัส
บนโลกนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขายังไม่เคยได้เรียนรู้
ใบหน้าหวานที่คลี่ยิ้มออกมายามกล่าวถึงคนเป็นปู่และเพื่อนสมัยเด็ก
ช่วงเวลาที่สนุกสนานและมีความสุข
ทำให้เขาพอจะเข้าใจเด็กคนนี้ได้ทันทีเลยว่าทำไมเจ้าตัวจึงต้องการจะกลับไปในที่ที่จากมานัก
ความสุขเหล่านั้น
เหตุการณ์ดีๆเหล่านั้น …ไม่มีชายหนุ่มเช่นเขาอยู่ด้วยเลย
แต่ทำไมกันนะ… ทั้งที่เจ็บใจ
แต่กลับมีความสุขไปด้วย รอยยิ้มน้อยๆเผลอหลุดออกมายามใบหน้าหวานนั้นกำลังมีความสุข
หรือว่าความรักที่ปรารถนามาโดยตลอด
ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการครอบครองเสมอไป…
ถึงแม้จะกักกันร่างนั้นไว้กับตน
แต่หัวใจของเด็กคนนี้นี่กลับอยู่ที่อื่น แบบนี้มันจะมีความหมายอะไร?
“ แปลกดีจริง… ทั้งที่เรื่องราวเหล่าไม่มีข้าอยู่เลย …แต่กลับสุขใจไปได้อย่างไร ”
เวลาได้ผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆของวัน
ถึงแม้จะไม่ได้อบอุ่นที่สุดอย่างช่วงเที่ยงของวัน
แต่ก็ไม่ได้หนาวเหน็บอย่างช่วงกลางดึกเช่นกัน
มือใหญ่ของคนเป็นเจ้าของบ้านสาละวนอยู่กับการนำกุญแจมาปลดล็อคสิ่งที่ขวางกั้นอิสรภาพของเด็กหนุ่ม
ใช้เวลาไม่นาน ประตูบานนั้นก็แง้มออกราวกับรอให้คนที่อยู่ข้างในได้ก้าวออกมา
ลูฟี่มองตามการกระทำนั้นพร้อมสีหน้างุนงง
ผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นยังดูมีสติครบทุกอย่าง
ใบหน้าโหดกำลังมองมาราวกับพิจารณาดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
ปลายเท้าเล็กจึงพาร่างของตัวเองก้าวออกมายืนข้างนอกด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ
“ อะไรอะ… นี่นายจะปล่อยฉันไปแล้วงั้นหรอ?
” เอียงคอมองพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
ดูเหมือนผู้ชายหน้าโหดจะยังไม่ละสายตาออกไปจากใบหน้าของเขา
“ เจ้าดูดีใจนะ ”
“ แหงสิ
ฉันจากโลกของตัวเองมานานเกินไปแล้ว! ”
คำพูดสั้นๆนั้นยิ่งทำให้ลูฟี่ขมวดคิ้วเข้าหากันมามากกว่าเดิม
ความดีใจปนกับประหลาดใจมันกำลังแสดงออกมาผ่านดวงตาคู่สวยที่น่ามอง
นั่นคือสิ่งที่ร่างสูงสัมผัสได้
“ ข้าจะพาออกไป… เจ้ามีจุดหมายจะไปที่ใดกัน? ”
ข้อมือบอบบางถูกคนตัวสูงกว่าคว้าไปครอบครองก่อนออกแรงดึงเบาๆ
มีเพียงความไม่เข้าใจที่แล่นเข้ามาในความคิด คราวนี้ผู้ชายตัวใหญ่ไม่ได้บีบมันแรงเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน
เขากุมไว้เบาๆเหมือนกำลังเดินจูงมือกันเฉยๆมากกว่า
นั่นทำให้ลูฟี่ที่กำลังสับสนต้องเงียบไปพักหนึ่งกว่าจะได้สติกลับมาตอบคำถามอีกฝ่าย
“ โตเกียว… ”
ทำไมคราวนี้ถึงได้บอกว่าจะพาออกไปง่ายๆแบบนี้กันล่ะ?
“
ข้าจะพาไปยังที่ที่มีการเดินทางสะดวกหน่อยก็แล้วกัน… ” คนตัวใหญ่ไม่ได้ตอบข้อสงสัยที่อยู่ในใจ
แต่กลับยื่นผ้าคลุมผืนหนึ่งให้โดยหวังว่ามันจะให้ความอบอุ่นแก่คนตัวเล็กแทนผ้าสีแดงบางๆนั่นได้
คำขอบคุณถูกกล่าวออกมาจากริมฝีปากสีชมพูระเรื่อทั้งความไม่เข้าใจ
บ้านขนมหวานที่เคยชื่นชมว่าน่าลิ้มลองกำลังห่างออกไปจากสายตามากขึ้นทุกที
ปลายเท้าทั้งคู่ของคนตรงหน้ากำลังพาเด็กหนุ่มไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นตา
ถึงแม้ที่นี่จะยังคงสภาพพื้นที่ป่า แต่จำนวนต้นไม้กลับค่อยๆลดลง
ตึกรามที่โครงสร้างออกไปทางสมัยกลางเริ่มปรากฏขึ้นมาแทน ทำให้คนที่เพิ่งเคยมาเยือนเป็นครั้งแรกรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
ทั้งเครื่องแต่งกาย ทั้งรูปแบบการใช้ชีวิต
ราวกับกำลังหลุดมาอยู่ในโลกเมื่อครั้งอดีต
แม้ที่นี่จะไม่มีผู้หญิงใส่กระโปรงฟูฟ่อง แต่ทั้งหมวกทรงสูง
เสื้อโค้ทตัวยาวและเสื้อกั๊กสูทก็ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมไม่น้อย
จนกระทั่งสถานที่เบื้องหน้าเปลี่ยนเป็นที่ที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นสถานีรถไฟ
เจ้าของผมสีแดงเพลิงจึงหยุดการเดินทางลง
“ คงมาส่งเจ้าได้แค่นี้ …ข้าไม่รู้จักเมืองนั่นหรอกนะ
” คนตัวสูงหันกลับมาสนทนากับลูฟี่ ใบหน้าโหดที่ราวกับกำลังมีเรื่องคิดไม่ตกในใจทำให้คนตัวเล็กเพิ่มพูนความไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก
“ นายนี่พิลึกคนจริงๆด้วย
เดี๋ยวก็ใจดี เดี๋ยวก็ใจร้าย ”
อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอให้กับใบหน้ายู่ยี่ของเด็กน้อยตรงหน้า
มือของเขาวางลงกับกลุ่มผมนิ่มอย่างแผ่วเบา ใช่ว่าอยากจะให้คนตรงหน้าจากไปเสียหน่อย…
ใช่ว่าจะไม่เสียใจหากเด็กคนนี้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว
“
ข้ามีเรื่องหนึ่งจะบอกก่อนจะจากกันไป… ”
แววตาคู่คมเคลือบไปด้วยความเศร้าอย่างไม่เก็บกัก
ตัดสินใจแล้วว่าการกักขังเด็กคนนี้ต่อไปก็ไร้ค่า
หากการมอบอิสรภาพจะทำให้ร่างบางมีความสุขแล้ว ตัวเขาเองก็จะมีความสุขด้วย…
“ ข้ารักเจ้า ”
ประโยคสั้นๆแต่ทำให้หัวใจคนฟังไม่อาจอยู่นิ่งได้ ลูฟี่ได้แต่เบิกตากว้างอย่างทำอะไรไม่ถูก …กำลังถูกบอกรัก ไม่เคยมีใครมาพูดประโยคแบบนี้กับเขามาก่อน
ก้อนเนื้อใต้อกมันก็พาลตุ๊มต่อมๆพิกล
“
แต่หากหัวใจของเจ้าไม่ได้ตรงกัน บังคับกันไปก็ไร้ประโยชน์ ”
“ ข้าได้เรียนรู้แล้ว …มันไม่มีความสุข ”
กลายเป็นคนตัวเล็กที่ยอมเงียบฟังอีกฝ่ายพูด
น้ำเสียงทุ้มที่พูดออกมาพร้อมสีหน้าราวกับกำลังเจ็บปวดทำให้ลูฟี่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
ชายหนุ่มรู้ได้ในทันที
แม้ผู้คนในโลกนี้จะรอคอยเจ้าหญิงแห่งโชคชะตามานานแสนนาน …แต่เด็กคนนี้ก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของใครทั้งนั้น
ความรู้สึกในอกของเด็กหนุ่มมันกำลังปั่นป่วนไปหมด
เกิดคำถามมากมายที่นึกสงสัย …นี่คือสิ่งที่คนๆนี้รู้สึกต่อเขาตลอดมา
นี่คือการเรียนรู้ที่จะรักงั้นหรือ?
…เป็นครั้งแรกที่ลูฟี่เพิ่งได้รับรู้เช่นกัน
“
ข้าจะรอวันที่ใจของเจ้าจะแบ่งปันมาให้ข้าบ้าง …หากเจ้าคิดเหมือนกันก็กลับมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ
”
“
ข้าพร้อมจะเปิดประตูรับอยู่เสมอ ”
เป็นครั้งแรกที่รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าคมนั้นโดยไม่เอียงอาย
ความอ่อนโยนสื่อมาถึงโดยไม่ต้องทำความเข้าใจใดๆ
“ อื้ม ขอบคุณนะ
นายเป็นคนแรกที่เข้าใจเลยล่ะ ”
ตั้งแต่หลุดมาในโลกนี้ ลูฟี่ต้องคอยหนีคนแปลกๆมาโดยตลอด
มีแต่ผู้ชายคนนี้ที่ยอมพามาส่งด้วยตัวเองนี่แหละ… ริมฝีปากบางยกยิ้มร่าให้เจ้าของบ้านขนมหวานที่ในเวลานี้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรักแล้ว
พวงแก้มนิ่มขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามอง ไม่มีโอกาสให้อีกฝ่ายได้บอกชื่อตัวเอง
คนตัวเล็กก็วิ่งแจ้นออกไปแล้ว
“ ลูฟี่… นั่นคือชื่อของฉัน ”
หากโชคชะตาไม่โหดร้ายจนเกินไป… คงมีโอกาสซักครั้งให้เขาได้พบกับเด็กคนนี้อีก
สองเท้าลดความเร็วลงจนกลายเป็นการเดินเตาะแตะอยู่ในสถานีรถไฟ
มีคนในชุดย้อนยุคกำลังเดินชุกชุมอยู่เต็มไปหมด ตอนเข้ามาที่นี่ครั้งแรก
เขาเผลอเข้าใจไปว่าที่นี่ไม่มีรถไฟไปเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เห็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงเหมือนโลกที่จากมาบ้างหรือเปล่า...
เสียงระฆังดังขึ้นมาเป็นจังหวะขณะนายสถานีใช้ไม้ยาวๆตีลงไป
มันไม่ได้มีเสียงประชาสัมพันธ์ประกาศออกมาตามลำโพง
แต่บริเวณเสาต่างๆกลับมีหมายเลขชานชาลากำกับเอาไว้
เสียงฉึกฉักกับควันขโมงที่พ่นออกมาจากปล่องไอน้ำที่ติดกับหัวขบวนยามพาหนะเหล็กแล่นมาจอดเทียบท่า
เป็นอันต้องทำให้ดวงตากลมโตลุกวาวราวกับเด็กน้อยเจอของเล่นใหม่
สุดยอดดด
รถจักรไอน้ำ! เดี๋ยวนี้หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
เจ๋งโคตร!!
ใบหน้าน่ารักเผยยิ้มร่าขณะกำลังใช้ความคิดว่าตนจะหาตั๋วสำหรับเดินทางได้จากที่ไหน
ดวงตาคู่สวยกรอกมองรอบตัวก่อนจะพบกลุ่มคนกำลังยืนต่อแถว จึงไม่ลังเลที่จะรีบสาวเท้าไปยังจุดหมาย
เดินหลบผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่สวนเข้ามาขวางทางเดินอย่างคล่องแคล่ว
แต่ครั้นทำอย่างนั้นก็ยังไม่อาจพ้นร่างใครอีกคนที่เดินเข้ามาเสริมทัพ
จนเส้นทางด้านหน้าของเขาโดนปิดไว้มิด
ตุบ!
หน้าผากมนของลูฟี่ชนกับแผงอกของใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
เขาถอยหลังกลับมาก่อนยกมือขึ้นลูบมันด้วยรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
“ ขอโทษนะ
แต่พวกนายช่วยหลบไปหน่อยได้หรือเปล่า? ” เอ่ยปากสนทนากับคนตัวสูงตรงหน้าที่ในเวลานี้ไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกไปเลยซักนิด
อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความหงุดหงิด
ผู้ชายตัวสูงชะลูดสองคน คนหนึ่งสวมโค้ทยาวถึงเข่า
อีกคนสวมเสื้อกั๊กกับหมวกปีกกว้าง
สิ่งที่ชวนประหลาดใจคงเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าคมของคนทั้งคู่
รู้สึกตัวอีกทีข้อมือของเขาก็โดนคนสวมหมวกคว้าเอาไว้เสียแล้ว
“ เจอตัวซักที …ยัยซินตัวแสบ ”
การปล่อยให้ความรักครอบงำ เพียงชั่วขณะหนึ่งราวกับสูญเสียตัวตนไป
ชายผู้โดดเดี่ยวในบ้านขนมหวานได้เรียนรู้แล้ว
เพียงได้เห็นคนที่ตนรักมีความสุขก็เพียงพอ…
ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นหรือไม่...
เขาก็จะรอคอยหัวใจของตนอยู่ตรงนี้ตลอดไป...
ความคิดเห็น