คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #60 : ◣Fanfic◥ [AllxLuffy] Candied dream : Reverse Dreaming(1) (Part19)
Rate: PG-13
Writer: PINKUHERO
Part: 19/21
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แม้อำนาจในมือจะมีล้นฟ้า… แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีความจริงอันแสนโดดเดี่ยวได้
บรรยากาศในฟองอากาศประหลาดนั่นเย็นสบายเหมือนเวลาเปิดแอร์ฉ่ำๆ นั่นทำให้เด็กหนุ่มผล็อยหลับโดยไม่รู้ตัวหลังนั่งไม่เข้าใจอยู่นานสองนาน เปลือกตาบางเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เขายันหลังตัวเองขึ้นนั่งทั้งใบหน้าสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน แต่กลายเป็นว่าสถานที่ตรงหน้าเปลี่ยนไปแล้ว แม้จะเป็นที่ใหม่แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ
ห้องนอนโอ่อ่ามีกลิ่นเครื่องหอมคล้ะคลุ้ง ขาเรียวก้าวตรงไปยังประตูสลักลายงดงาม แง้มออกไปหน่อยก็เจอห้องโถงแบบตะวันออกที่ประดับด้วยเชิงเทียนตามผนัง เขารีบเบี่ยงตัวหลบเมื่อชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนทหารเดินผ่าน ลูฟี่จำการแต่งกายแบบนั้นได้ดี
ที่นี่คือวังของผู้ชายหัวสับปะรดคนนั้น… ความทรงจำเก่าๆ ตีย้อนกลับมาให้รู้ตัวว่าโดนส่งกลับมาที่เดิมอีกแล้ว
แต่ได้อย่างไร… แล้วทำไมถึงเป็นที่นี่
“เหวอ—!”
เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำเอาเด็กน้อยขาพันกันจนล้มก้นกระแทก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคนคุ้นหน้าเดินสวนมาพร้อมทหารกลุ่มหนึ่ง เอกลักษณ์ที่โดดเด่นคงเป็นผมสีทองกลางหัวเหมือนน้ำพุ แต่คนกลุ่มนั้นกลับทำเพียงเดินผ่านเขาที่นั่งขวางทางไปเฉยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะให้ความสนใจเลยแม้แต่นิด
ลูฟี่ก้มมองร่างกายตัวเอง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อทั้งแขนขาและฝ่ามือกำลังโปร่งแสงจนมองเห็นรายละเอียดพื้นด้านล่าง เพราะแบบนี้หรือเปล่าถึงได้ไม่มีใครมองเห็นเขาเลย พอคิดว่าตายไปแล้วหรือเปล่า ก้อนเนื้อใต้อกนี่ก็เต้นรัวเป็นกลองชุดเพราะความตกใจอยู่เลย
หรือเขาจะกำลังฝัน…
ปลายเท้าส่งร่างเล็กนั้นไปยืนประจันหน้ากับเจ้าของปราสาท วิ่งอ้อมหน้าอ้อมหลังอย่างไร ชายคนที่เคยมีท่าทีสนใจเขาก็ไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มยิ้มขำ ไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์แบบนี้คืออะไร แต่มันน่าสนุกชะมัด ลองเดินตามคนหัวสับปะรดนี่ไปดูเรื่อยๆ ดีกว่า
เหมือนว่าที่นี่จะกำลังมีงานฉลองอะไรบางอย่าง แขกเหรื่อมากมายกำลังเดินไหล่ชนกันในห้องโถงของวัง ชายตัวสูงคนนั้นเดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์เพียงหนึ่งเดียวด้วยใบหน้านิ่งเฉย แม้ใครหลายคนจะเข้ามาสนทนาและตัวเขาก็ส่งรอยยิ้มตอบกลับไป แต่ไม่นานนักรอยยิ้มนั้นก็จางหายกลายเป็นความเรียบสนิทเช่นเดิม
เหตุใดงานฉลองจึงน่าเบื่อและไร้ความจริงใจได้มากถึงเพียงนี้…
มือหนาล้วงเข้าไปหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันคือภาชนะทองคำที่ประดับไปด้วยอัญมณี สิ่งนั้นสว่างไสวตลอดเวลาราวกับมีชีวิต ลูฟี่จำได้ดีว่าตัวเขาเคยพุ่งออกมาจากปากตะเกียงอันนั้น
‘พรข้อสุดท้ายนั่น เจ้าให้ข้าไม่ได้จริงๆ หรือ’
ไหล่ลาดทั้งสองข้างของเด็กน้อยสะดุ้งขึ้น คนตรงหน้าไม่ได้เอ่ยปากพูดสิ่งใดออกมา ดวงตาทั้งคู่ยังเต็มไปด้วยความว่างเปล่า แต่กลับได้ยินเสียงทุ้มของเจ้าตัวอย่างชัดเจน ราวกับสิ่งที่คิดอยู่ในหัวนั้นต้องการสื่อถึงเขาเพียงผู้เดียว
เพราะว่าเคยทำให้พรของชายคนนี้เป็นจริงถึงสองข้อ… ถึงแม้ทั้งหมดจะเป็นเรื่องบังเอิญก็เถอะ
ราชาผู้นี้มีทุกอย่างของตัวเอง ทั้งความร่ำรวยและอำนาจในมือ ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างรายล้อมรอบตัวเขา แต่เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะยังไม่มีความสุข
ความทรงจำเดิมย้อนกลับมาในหัว พรข้อสุดท้ายที่ชายคนนี้ขอเอาไว้คลับคล้ายคลับคลาว่าอยากให้เด็กหนุ่มเป็นของตัวเองนักหนา ลูฟี่รีบปัดมือไล่ความรู้สึกร้อนบนใบหน้า ทำไมผู้ชายที่นี่ถึงได้ปรารถนาแต่สิ่งนี้กันนะ
จะว่าไปในความมั่งคั่งของราชาคนนี้ ลูฟี่มองเห็นความโดดเดี่ยวร่วมด้วย
จริงสิ… ต่อให้มีทุกอย่างแต่ว่าทำไมไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขาเลย
ต่อให้เพียบพร้อมขนาดไหนก็ไม่มีใครรักในสิ่งที่เขาเป็นอยู่ เจ้าตัวคงจะเหงาน่าดู
น่าสงสารชะมัด… ถ้าเด็กหนุ่มเลือกตอบรับพรข้อสุดท้ายไปตั้งแต่แรกจะเป็นอย่างไรนะ
“มาทางนี้ก่อนครับ คุณลูฟี่”
แรงกระชากไม่เบานักจนร่างบางที่เคยด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างบัลลังก์เซถลาออกมาอยู่หลังกำแพง ทันเวลาพอดีก่อนที่สายตาของราชาหนุ่มจะสังเกตเห็นความผิดปกติ
ลูฟี่ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ จังหวะเดียวกันกับผู้มาใหม่ที่รีบนำฝ่ามือของตนมาปิดริมฝีปากนิ่มไว้ได้ทัน ใบหน้าอ่อนเยาว์รุ่นราวคราวเดียวกันกับส่วนสูงที่ไม่ได้ต่างกันมาก สิ่งที่ทำให้จำได้คงเป็นสีผมของเจ้าตัวที่โดดเด่นกว่าใคร
ทหารผมสีชมพูที่เคยยืนอยู่หน้าประตูร้านอาหารนี่นา… ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วมองเห็นเขาด้วยหรอ
“ดูเหมือนว่าผมจะปล่อยให้คุณตัดสินใจตอนนี้ไม่ได้ จะเข้าไปห้ามก็ไม่ได้เหมือนกัน” ถือวิสาสะครองข้อมือเล็กก่อนออกแรงดึงให้เดินไปตามทางของปราสาท
“นี่ นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง” ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ลูฟี่สังเกตเห็นว่าแขนขาของตัวเองกลับมามีสีสันเหมือนมนุษย์ปกติแล้ว
“ผมหรอ ผมมาร่วมงานของคุณมัลโก้เหมือนกันครับ” ใบหน้านั้นระบายยิ้มสุภาพ เขาพาเด็กหนุ่มมาหยุดยืนอยู่หน้าทางเดินนอกปราสาทที่มีพื้นที่รอบด้านเป็นสวนดอกไม้และลานน้ำพุอันหนึ่ง
“ยังมีอีกหลายเส้นทางให้คุณเลือก อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจตอนนี้เลยครับ”
ลูฟี่ไม่เข้าใจความหมายและการกระทำของเจ้าของร่างโปร่ง เจ้าตัวยอมปล่อยเกาะกุมจากข้อมือของเขาอย่างแผ่วเบา โดยที่ริมฝีปากและดวงตานั้นยังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม ปากก็ว่าได้เวลาที่จะต้องกลับไปแล้ว ให้เจ้าหญิงอย่างเขาตัดสินใจเลือกทางเดินด้วยตัวเอง แล้วแผ่นหลังนั้นก็เดินจากไปทั้งแบบนั้น
“เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อนสิ!”
แล้วทำไมถึงมาปล่อยเขาเอาไว้ตรงนี้คนเดียว…
เขาไม่รู้จักอะไรในวังนี่ซักอย่างเลยนะ
พวกเขาดูแลสวนผลไม้และบ้านเรือนอย่างดี… เพื่อรอการกลับมาของใครคนหนึ่งที่หายไป
ลูฟี่กำลังหลงทาง…
เขาทำเพียงเดินไปตามทางเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย นอกจากห้องนอนตรงนั้นเขาก็ไม่รู้จักสถานที่อื่นอีกเลย พ้นจากสวนดอกไม้มาได้ก็เหมือนจะเป็นประตูใหญ่ๆ บานหนึ่ง กำลังทหารค่อนข้างหย่อนยานเพราะเน้นเอาไปรวมกันที่วังด้านในมากกว่า
ปลายเท้าเดินลงมาตามบันไดหน้าพระราชวัง ตรงหน้าก็เป็นลานน้ำพุอีกอันที่รูปร่างต่างกันออกไป ดวงตากลมโตมองซ้ายทีขวาทีอย่างไร้จุดหมาย เหมือนจะออกจากวังได้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีที่ไปอยู่ดี
เสียงกุบกับจากฝีเท้าของม้าดังแว่วมาแต่ไกล ก่อนภาพของรถม้าหน้าตากลางเก่ากลางใหม่ที่วิ่งใกล้เข้ามาจะปรากฏให้เห็น ลูฟี่มองการเคลื่อนไหวของพาหนะนั้นด้วยความงุนงง กว่าจะรู้ตัวล้อที่ทำจากไม้ก็เข้ามาจอดเทียบด้านหน้าตัวเอง พร้อมกับแขนแกร่งของใครบางคนที่กระชากทั้งร่างของเขาให้ขึ้นไปข้างบนอย่างไม่ทันตั้งตัว
เด็กหนุ่มหลับตาปี๋ด้วยความเข้าใจว่าหน้าต้องคะมำลงกับเบาะอย่างแน่นอน แต่ทั้งร่างกลับฝังอยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง มือเล็กรีบดันไหล่กว้างนั้นออก ก่อนดวงตากลมโตจะเบิกกว้างกับใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนตรงหน้าที่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว
“ว่าไงน้องชาย ไม่ได้เจอกันนาน นายสบายดีหรือเปล่า”
ความร้อนตีขึ้นมาจนใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อ เขาจะลืมได้อย่างไรกันล่ะ คนตรงหน้าคือเอสกับซาโบ้ สองพี่น้องหมาป่าเจ้าของหมวกรูปร่างประหลาดๆ นั่นไง
“พวกนายจะกินฉันอีกหรือเปล่า!” ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดร่างตัวเองเป็นการปัดป้อง นั่นยิ่งทำให้คนมองทั้งสองระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เอสหัวเราะเสียจนหน้าแดงไปหมด ส่วนซาโบ้ก็หันมาส่งยิ้มละไมให้กัน
“ก็เพราะนายน่ารัก ฉันถึงได้อยากกินไง”
น่ากลัวเว้ย… เพราะแบบนี้ไงตอนนั้นถึงได้หนีออกมา
มันไม่ใช่กินในความหมายตรงตัวน่ะสิ ต่อให้เป็นลูฟี่ก็เข้าใจความหมายได้
เด็กน้อยรีบถอยกรูดออกไปนั่งตัวลีบที่มุมหนึ่งของรถ ลูกตากลมๆ กรอกมองไปซ้ายทีขวาทีเหมือนคนกำลังโดนจับโกหก ด้านชายหนุ่มสองคนก็ไม่ได้กดดันอะไรเขาไปมากกว่านั้น พลางเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศเสียดื้อๆ
รถม้าคันเดิมหยุดลงตรงกระท่อมกลางป่าลึก พื้นที่โดยรอบยังคงรายล้อมไปด้วยสวนผลไม้และพืชพรรณสวยงาม คราวนี้เรื่องราวทุกอย่างประเดประดังเข้ามาอย่างรวดเร็วจนไม่ได้มีเวลาให้ใช้ความคิด เขาโดนดึงไปทางนู้นทีทางนี้ที รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่หน้ากระท่อมกลางป่าของสองหมาป่าแล้ว
“ลงมาสิลูฟี่ พวกเราตั้งใจเตรียมของอร่อยไว้ให้นายเยอะแยะเลย” รอยยิ้มของเอสดูมีความสุขมากตอนที่มองมาที่เขา
ตอนนั้นเขาหนีไปเพราะกลัวจะโดนจับกินเสียก่อน… แต่เอาจริงๆ ถ้าอย่างไรก็ไม่ได้กลับไปที่โลกเดิมแล้ว ที่นี่ก็ไม่ได้แย่เท่าไรนัก
สวนองุ่นที่นี่ยังสวยเหมือนเดิม พวกเขาสองพี่น้องดูแลมันอย่างดีราวกับรอการกลับมาของใครบางคน
ลูฟี่มองกระท่อมหลังเล็กที่ดูสะอาดสะอ้าน เตียงนอนหลังเดิมที่เคยใช้มันพักผ่อนถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย คนผมดำดึงแขนเขามาหยุดหน้าโต๊ะอาหาร พร้อมกดไหล่ให้นั่งลงกับเก้าอี้ พอดีกับจังหวะที่ซาโบ้หอบเอาจานขนมมากมายมาวางตรงหน้า
ปฏิเสธไม่ได้ว่าท้องน้อยๆ มันหิวเกินกว่าจะอดใจไหว มือเล็กหยิบพายองุ่นชิ้นหนึ่งเข้าปาก กลิ่นหอมหวานตีเข้ามาในจมูกทำให้อดอมยิ้มไม่ได้
“อยู่ที่นี่อีกหน่อยสิ ฉันอยากจะทำของอร่อยให้นายกินทุกวัน” นิ้วเรียวของเจ้าของผมสีทองเอื้อมมาเช็ดเนื้อองุ่นที่เลอะริมฝีปากนิ่มให้อย่างแผ่วเบา เด็กน้อยหน้าร้อนขึ้นมายามเห็นสายตากรุ้มกริ่มของอีกฝ่าย
“พูดจากใจจริง พวกฉันชอบที่มีนายอยู่นะ”
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เอสนั่งเท้าคางจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางสายตา สองพี่น้องคู่นี่กะเล่นสงครามสายตาใส่กันให้ตายกันไปข้างเลยหรือไง
อันตรายแฮะ… ถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปจะเป็นอย่างไรนะ
แม้คำพูดจะหยอกล้อ แต่ลูฟี่รู้สึกได้ว่ามันฟังดูเหงากว่าทึคิด ถ้าด้วยบรรยากาศของที่แห่งนี้มันก็อบอุ่นดีอยู่หรอก เขาถูกดูแลทะนุถนอมอย่างกับเป็นน้องน้อยๆ คนหนึ่ง แต่จะให้ตัดสินใจตอนนี้เลยมันก็ยังเร็วเกินไปอย่างที่คนผมสีชมพูเคยว่าไว้
พวกเขาคุยเรื่องสัพเพเหระกันตามประสาคนไม่ได้พบกันนาน ลูฟี่เองก็ไม่ลำบากใจที่จะเล่าเรื่องราววุ่นวายต่างๆ ที่เขาเคยพบเจอ จนกระทั่งท้องฟ้าภายนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม สายลมของยามเย็นตีเข้ามาปะทะผิวทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมานิดหน่อย
“วันนี้พระจันทร์เต็มดวงนะ นายจะกลัวพวกฉันหรือเปล่า” ซาโบ้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปยังดวงจันทร์ที่เห็นเป็นเงาลางๆ เพราะสู้แสงอาทิตย์ไม่ได้ เด็กหนุ่มจำเรื่องราววันนั้นที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกได้ดี แน่นอนว่ามันทำให้ตกใจไม่น้อย
“ไม่อะ พวกนายไม่น่ากลัวซักหน่อย” แต่เขาเป็นพวกต่อมความกลัวตายด้านมากกว่าคนปกติ
นั่นเพียงพอที่จะทำให้เอสและซาโบ้ยิ้มกว้างพร้อมเอ่ยคำว่า ‘อย่างนั้นหรอ’ ออกมาด้วยความดีใจ ลูฟี่ยังคงเป็นเด็กหนุ่มที่ใสซื่อเหมือนเดิมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน สองหมาป่ารู้สึกราวกับว่าช่วงเวลานี้ช่างมีค่าเหลือเกินสำหรับเขา
แต่เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เมื่อคนที่เคยนั่งสนทนาบนโต๊ะอาหารทั้งคู่กลับปล่อยแก้วน้ำองุ่นในมือลงอย่างง่ายดาย เครื่องดื่มสีม่วงหกเลอะโต๊ะและพื้นปูนของบ้านเป็นวงกว้าง พร้อมกับสติของสองหมาป่าที่ดับวูบไปเหมือนคนเมา จนทำเอาเด็กหนุ่มตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“มากับข้าสิ เจ้ากำลังอยากหนีไปจากเจ้าพวกนั้นไม่ใช่หรือ”
หากมีโอกาสอีกสักครั้งให้ได้พบกันอีก เขาอยากแก้ไขในสิ่งที่เคยทำผิดพลาด…
จะทำทุกทางให้ใจของคนๆ นั้นอยู่ที่เขาคนเดียว
ไม่ว่าจะเรียกหรือเขย่าตัวอย่างไร สองหมาป่าหนุ่มก็ไร้การตอบสนองเหมือนหลับไปเฉยๆ จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแทรกความวุ่นวายนั้น การปรากฏตัวของผู้มาใหม่ทำเอาเด็กหนุ่มต้องเบิกตากว้าง
ร่างสูงโปร่งในชุดเนื้อดี ตัดเย็บออกมาในลักษณะการแต่งกายของชนชั้นสูง เดินมาจากไหนก็ไม่รู้แต่ตอนนี้มายืนอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว
“นายทำอะไรพวกเขา” เจ้าชายนั่น คนที่ล่ามโซ่เขาไว้กับเตียง คนถูกมองเห็นใบหน้าไม่พอใจของเด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้ทำ เจ้าโดฟลามิงโก้ต่างหาก”
ลูฟี่มีความทรงจำที่ไม่ดีกับชายคนนี้ เขาดูเหมือนคนทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าอย่างไรคำพูดก็ดูไม่น่าเชื่อถือ ในน้ำองุ่นนั่นต้องมีอะไรใส่ไว้แน่ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมเด็กหนุ่มดื่มเข้าไปแล้วถึงไม่หลับไปด้วยก็เถอะ
ต่อให้คนตรงหน้าจะมีแค่หนึ่ง แต่ร่างบางก็ตั้งการ์ดเตรียมสู้ไว้เรียบร้อย
“อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาฉันต่อยนายจริงๆ แน่”
แล้วลอว์ก็อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางน่าตลกนั่น
“คราวนี้ข้ามาเพื่อช่วยเจ้าต่างหาก เจ้านั่นยังไม่เลิกตามราวีเจ้าง่ายๆ หรอกนะ” ก็พอรู้ตัวอยู่หรอกว่าสร้างเรื่องกับเด็กคนนี้เอาไว้เยอะ จะโดนเกลียดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะให้ทิ้งไว้ตามลำพังกับหมาป่าคลั่งรักสองคนนั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน
“ไม่ต้องเชื่อข้าตอนนี้ก็ได้ แต่มาอยู่กับข้าจะปลอดภัยกว่าเจ้าหมาป่านั่น”
ใช่แล้ว… ลูฟี่ไม่เชื่อ ดวงตากลมโตเหล่มองรอบข้างเพื่อจะหาทางหนีทีไล่ สบโอกาสที่คนตัวสูงไม่ทันตั้งตัววิ่งออกไปอีกทาง โชคดีที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมหลังนี้และรู้ว่ามีประตูอยู่อีกบาน ปลายเท้าพาร่างผอมบางวิ่งเข้าไปในป่าอย่างไม่ทันคิด เร็วพอที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะตามมาทันได้ยาก
เสียงกรอบแกรบจากด้านหน้าทำให้คนที่กำลังร้อนรนชะงักปลายเท้าลง คนละทางกับที่หนีเจ้าชายมา มีอะไรบางอย่างใกล้เข้ามาและมีเป้าหมายเป็นเขา รูปร่างจะว่าคล้ายคนก็ไม่เชิง ทั้งตัวทำจากไม้เหมือนหุ่นกระบอก แต่มันดันวิ่งได้ด้วยนี่สิ
“ตัวอะไรเนี่ย”
เขาไม่ได้มองผิดไปแน่ เจ้าตัวประหลาดนั่นกำลังตั้งใจพุ่งเข้ามาโอบรัดโดยใช้แขนที่เป็นข้อต่อไม้นั่น สบจังหวะพอดีกับที่ไหล่เล็กโดนคว้าให้ไปหลบอยู่หลังใครคนหนึ่ง เสียงตวัดดาบผ่านอากาศไปเพียงเสี้ยววินาที หุ่นกระบอกตรงหน้าก็กลายเป็นเพียงเศษไม้ลงไปกองกับพื้น
“อย่างเจ้าพวกนี้ เจ้าปกป้องตัวเองได้หรือไง” เป็นเจ้าชายคนเดิมที่ช่วยเด็กหนุ่มเอาไว้ เจ้าหุ่นนั่นเหมือนจะมีด้ายระโยงระยางควบคุมการเคลื่อนไหวอีกที ดวงตากลมโตทอดมองคนตัวสูงกว่าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ จำได้ว่าเจ้าตัวเคยพูดถึงอีกตัวละครหนึ่งที่ชื่อเหมือนนกขายาวสีชมพู
“โดฟุรา─ เจ้ามิงโก้นั่นเป็นตัวอะไรกันแน่ เดี๋ยวอยู่บนบกเดี๋ยวอยู่ในน้ำ” คราวที่แล้วก็เป็นปลาหมึกอยู่ใต้ทะเลหรือเปล่านะ แล้วทำไมถึงต้องมาคอยไล่ตามเขาด้วย เจ้าชายนี่ก็เหมือนกัน ตามมาทันตั้งแต่เมื่อไร
“เจ้าจะไม่ถามชื่อข้าหน่อยหรือ” อดไม่ได้ที่จะยิ้มขำกับท่าทางลิ้นพันกันแต่ดูน่ารักของคนตรงหน้า บทสนทนาที่แทรกขึ้นมาทำให้ใบหน้าหวานไม่อาจคลายความงุนงง แต่ก็ยังอุตส่าห์ต่อบทสนทนาต่อไปได้
“ฉันชื่อลูฟี่ นายชื่ออะไร”
“ทราฟาลก้า ลอว์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
แม้เด็กน้อยจะยังไม่ได้ไว้ใจเขาเต็มร้อย แต่ร่างบอบบางนั้นก็ยอมเดินตามชายหนุ่มไปอย่างช่วยไม่ได้ ป่าลึกในยามค่ำคืนนี้มีเพียงคนๆ นี้ที่รู้เส้นทาง ผืนฟ้ากว้างประดับไปด้วยดวงดาวระยับ และอากาศที่เย็นลงทำให้เด็กน้อยเผลอยกแขนขึ้นมากอดตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“เจ้านั่นเป็นพ่อมดโรคจิต จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เลิกตามหาเจ้า” ใครๆ ต่างรู้กิตติศัพท์ของชายคนนี้ดี ยกเว้นคนที่มาอยู่ทีหลังอย่างลูฟี่
ภูมิทัศน์ตรงหน้าเริ่มแปลกตาไป จากพื้นที่มืดมิดเริ่มเปลี่ยนเป็นแม่น้ำที่กระแสนิ่งสนิท ปลายเท้าของคนตัวสูงหยุดยืนหน้าผืนน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์ เขาย่อตัวลงนั่งยองกับพื้นทันทีแบบไม่ให้คนเดินตามมาได้ตั้งตัว
“นายทำอะไร”
“ขี่หลังข้าสิ” คนที่นี่ชอบทำอะไรแปลกๆ ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“ทำไมฉันต้องทำ”
“เจ้าว่ายน้ำเป็นหรือ”
“…ไม่อะ” ความทรงจำของเขาไม่ใช่คนท่ีว่ายน้ำเป็นเลย ยกเว้นก็แต่ตอนที่ลงไปใช้ชีวิตใต้ทะเลอยู่สามวันนั่น จะว่าฝันไปก็ไม่ใช่อีก เพราะดันหายใจเองในน้ำได้อย่างกับมีจมูกบนผิวหนัง แต่ตอนนี้รอยเขียวๆ บนขาของเขาได้หายไปแล้ว
“เช่นนั้นก็ขึ้นมา”
รายนี้ก็กะจะเกลี้ยกล่อมให้เขายอมขึ้นหลังตัวเองให้ได้ ดวงตาคู่คมของอีกฝ่ายที่จ้องนิ่งเข้ามา ราวกับว่าจะไม่ยอมละสายตาออกไปจนกว่าเด็กหนุ่มจะทำตามในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
เป็นลูฟี่ที่พ่ายแพ้การอ้อนวอนของอีกฝ่ายเสียก่อน ตากลมๆ เบนออกไปด้านข้างเพราะหาที่วางสายตาไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมทิ้งน้ำหนักลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายทั้งความรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้า
ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแต่แผ่นหลังกว้างชะมัด เขากลายเป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวไปเลย
เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงอยากให้ขี่หลังขนาดนั้น ขนาดเจ้าชายตัวสูงกว่าตั้งเยอะ ระดับน้ำในแม่น้ำที่กำลังเดินฝ่าไปก็สูงจนเกือบถึงเอว ขืนเขาลงไปเดินเองคงไม่พ้นจมน้ำตายเสียก่อน
“ขอโทษนะที่คราวนั้นข้าทำร้ายเจ้า”
ท่าทางที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือทำเอาลูฟี่ทำตัวไม่ถูก จะเชื่อได้ไหมนะว่าผู้ชายคนนี้สำนึกผิดจริงๆ เขาเองก็ไปไม่เป็น ไม่รู้ว่าควรต้องแสดงความรู้สึกแบบไหนตอบกลับไป แต่ความทรงจำที่โดนโซ่ล็อคขาตอนนั้นมันไม่ดีเอาเสียเลย
“ตอนนั้นฉันโกรธนายมาก”
คนฟังเพียงยิ้มออกมาบางๆ กับเสียงเล็กๆ นั้น ไม่ว่าตอนนั้นจะกำลังคิดอะไรอยู่ เด็กคนนี้ก็พูดออกมาหมด
“ ไม่ว่าใครก็อยากอยู่เคียงคู่กับเจ้าทั้งนั้น” เขาเองก็เป็นหนึ่งในชายเห็นแก่ตัวที่อยากเก็บเจ้าหญิงไว้กับตัวเองเพียงผู้เดียว อากาศของพื้นที่ในเขตนี้ค่อนข้างเย็นตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่ไร้ความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ ลอว์รู้สึกได้ถึงแรงขยับยุกยิกบนแผ่นหลัง หากไม่สบายตัว เจ้าตัวก็คงจะเริ่มรู้สึกถึงลมหนาวที่พัดผ่านมาแล้วเป็นแน่
“ นี่ นายปล่อยฉันลงได้แล้ว”
“ไม่หรอก ข้าอยากแบกเจ้าไปเรื่อยๆ” ก็เพราะว่าหนาวถึงได้ไม่อยากปล่อยให้ลงไปเดินโต้ลม
“…ถ้าไม่ปวดหลังก็ตามใจแล้วกัน”
ทำเอาคำพูดของคนน้องสะอึกไปนิดหนึ่งเช่นกัน ลืมไปเลยว่าเจ้าชายคนนี้ชอบใช้คำพูดจั๊กจี้หัวใจอยู่ตลอด
“ถ้าไม่ติดอะไร ให้คนๆนั้นเป็นข้าได้ไหม” อย่างเช่นคำพูดแบบนี้อย่างไรล่ะ เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มไม่ได้หันกลับมามอง เขาเพียงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินข้ามมายังฝั่งที่เป็นพื้นดินได้ ปลายเท้าทั้งคู่กลับหยุดเดินลง บรรจงวางร่างที่เล็กกว่าให้ยืนลงกับพื้นอย่างระมัดระวัง
“อยู่ข้างหลังข้าไว้นะ”
มีอะไรบางอย่างผิดปกติ เด็กหนุ่มได้ยินเสียงเหมือนโลหะกระทบกันประชิดระยะเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนร่างสูงใหญ่ที่กำลังสวมชุดเกราะโบราณเหมือนที่เคยเห็นในหนังจะปรากฏให้เห็นประมาณสองสามคน
อะไรอีกแล้วเนี่ย…
“ข้าบอกแล้วว่ามันไม่ยอมเลิกวุ่นวายกับเจ้าหรอกนะ”
ดาบเล่มเดิมถูกตวัดขึ้นมาป้องกันตัวอีกครั้ง จากการขยับเพียงครั้งเดียว เกราะส่วนหัวของร่างตรงหน้าก็กระเด็นออกไปกลิ้งหลุนๆ อยู่กับพื้น สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องร้องเหวอเป็นร่างที่อยู่ภายใน ไม่มีแม้แต่หัวหรือเลือดเนื้อ เป็นเพียงเกราะโลหะเปล่าๆ ที่เคลื่อนไหวได้ก็เท่านั้น
จะสนใจแต่ว่านี่มันเรื่องแปลกประหลาดอะไรอย่างเดียวก็ไม่ได้ เมื่อหุ่นกระป๋องพวกนี้ดันพกอาวุธติดตัวมาด้วย ต่อให้หัวหลุดไปแล้วมันก็ยังจะแกว่งดาบสู้กับร่างสูงต่อ ลูฟี่เอี้ยวตัวหลบเกราะตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาทำท่าจะกอดเขาอย่างคล่องตัว ตวัดขาเล็กๆ เพื่อทุ่มแรงเตะไปยังร่างที่สูงใหญ่กว่าจนหล่นกระจายกลายเป็นเศษเหล็กกองอยู่กับพื้น
ไม่ได้ต่อสู้มาตั้งนาน… ตั้งแต่ตอนไปเตะต่อยกับโจรสลัดมาหรือเปล่านะ
“ว่ายังไงเจ้าหญิง …เธอยังติดสัญญาอยู่กับฉันไปตลอดชีวิตอยู่นะ”
เด็กหนุ่มรีบหันซ้ายหันขวา เมื่อเสียงหนึ่งที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวาย ใครคนหนึ่งกำลังปรากฏตัวออกมาจากความมืด เขาเป็นคนตัวสูงใหญ่ ทันทีที่แสงจันทร์ต้องกับใบหน้าคมนั้น ดวงตากลมโตของคนมองก็เป็นอันต้องเบิกกว้างทันที
“มิงโก้!” ผู้ชายคนที่ชื่อเรียกยากๆ คนนั้น
เสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจดังขึ้นเมื่อเจ้าชายเผลอเสียสมาธิกับผู้มาใหม่จนพลาดท่าโดนปลายดาบแฉลบต้นแขนไปเล็กน้อย ดวงตาสีนิลมองเจ้าของแว่นทรงแหลมอย่างไม่สบอารมณ์นัก สัญญาระหว่างเจ้าหญิงและหมอนี่จบไปตั้งแต่เขากลายเป็นฟองสบู่ไปแล้ว ยังจะมาตีหน้าซื่อทวงสัญญาอยู่ได้
“ฉันไม่ชอบนาย ไม่ต้องมายุ่งเลย” ลูฟี่โดนชายคนนี้ปั่นหัวมาเยอะ ไม่ว่าจะพูดอะไรออกมาก็เป็นคำโกหกทั้งนั้น คราวนี้เขาจดจำใบหน้าและรูปร่างของโดฟลามิงโก้ได้ชัดเจน คราวที่แล้วใส่ชุดปลาหมึกสีดำ คราวนี้กลับมาใส่ขนเฟลอร์สีชมพูแสบตาอีกแล้ว ที่จริงแล้วหมอนี่คอยตามรังควาญเขามาตั้งแต่ช่วงแรกๆ เพิ่งมาปะติดปะต่อได้ว่าเจ้าตัวคือคนเดียวกันทั้งหมด
“เธอจะเอาแต่หนีฉันไปถึงเมื่อไรกันนะ” เขากลั้วหัวเราะอย่างพอใจ ตวัดสายตาไปมองยังชายอีกคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีตั้งแต่เมื่อครู่พร้อมฉีกยิ้ม
“อ้อ ดาบที่หุ่นนั่นไม่ใช่ดาบธรรมดาหรอกนะ”
มันคงเคลือบไว้ด้วยพิษอะไรบางอย่างเป็นแน่ คนตัวสูงรู้สึกวิงเวียน เรี่ยวแรงที่เคยมีอยู่ค่อยๆ ถูกริดรอนไปทีละนิด เขากวาดดวงตาคู่คมมองไปหน้าหวานที่กำลังขมวดคิ้วยุ่งด้วยความกังวลใจ
“หนีไปซะลูฟี่”
ไม่ใช่แค่กับคนๆ นี้… ทำไมไม่ว่าใครๆ ถึงต้องการเขามากมายขนาดนั้นด้วย
“บอกเหตุผลมาว่าทำไมฉันต้องไปอยู่กับนายด้วย”
ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีลูฟี่แค่คนเดียว จะให้ไปอยู่กับทุกคนเลยมันไม่ได้ซะหน่อย
“ฉันให้เธอได้ทุกอย่าง ทั้งอำนาจ ของมีค่า” ชายผมทองยกยิ้ม เขาพอใจทั้งใบหน้าและท่าทางไม่ไว้ใจของเด็กตรงหน้า ไม่ว่าจะมองเท่าไรก็ไม่เคยเบื่อ
“และความรัก”
สำหรับโดฟลามิงโก้แล้ว ร่างเล็กดูน่าเอ็นดูมากในสายตาของเขา ชายหนุ่มเป็นผู้มีอำนาจมากมายในมือ เขามีทุกสิ่งที่ต้องการ และเรื่องที่อยากมอบให้เด็กคนนี้คราวนี้มันไม่ใช่คำโกหก
ลูฟี่มองเห็นทุกเหตุการณ์ตรงหน้า ลอว์ที่มองหน้าเขาด้วยสายตาเหมือนจะห้ามปราม คำพูดหวานเลี่ยนทำให้หัวใจของคนฟังกระตุกวูบไปครู่หนึ่ง ก่อนความรู้สึกขนลุกเกรียวทั้งตัวจะพุ่งเข้ามา เด็กหนุ่มไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป
“ไม่เอาอะ นายมันขี้โกง” ที่แน่ๆ คือเจ้ามิงโก้นี่ขี้โกหกที่สุด ทุกครั้งที่เจอกันมีคราวไหนที่ไม่โดนหลอกต้มจนเปื่อยบ้าง
เด็กหนุ่มเข้าใจทุกความหมายที่ชายหนุ่มจากนิทานปรัมปราพยายามสื่อ มือเล็กกำอกเสื้อข้างซ้ายของตนแน่น เขายังไม่กล้าตัดสินใจอะไรในเวลานี้ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้สิ่งที่มันกำลังเต้นอยู่ในอกนี่เป็นของใครกันแน่
แต่เรื่องที่ผู้ชายคนนี้สร้างความเดือดร้อนให้ใครหลายคนคือความจริง
“ห้ามฆ่าเจ้าชายคนนั้นเด็ดขาด แล้วฉันก็จะไม่ไปกับนายด้วย” ตอนนี้ลูฟี่กลัวเจ้าชายจะขาดใจตายตรงนี้เสียก่อน เขาขมวดคิ้วยุ่ง มองหน้าคนสวมแว่นตาทรงประหลาดกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
“ข้อต่อรองเธอเยอะจังนะ” แต่ละคำตอบช่างขัดใจเขาไปเสียทุกอย่างจริงๆ
“ฉันยังให้คำตอบนายตอนนี้ไม่ได้ เพราะงั้นอย่าเพิ่งมายุ่งกับฉัน”
แต่แล้วประโยคนั้นก็ทำให้โดฟลามิงโก้ต้องระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจกลั้น ท่าทางของลูฟี่ดูน่าตลกเกินไปแล้ว
ถึงเจ้าตัวจะซื่อบื้อไปหน่อย แต่ก็รู้สึกอะไรกับเขาขึ้นมาบ้างแล้วสินะ
“ได้สิถ้าเธอต้องการแบบนั้น แต่ฉันมีความอดทนไม่มากนักหรอกนะ”
ความคิดเห็น