PrivateEng
ดู Blog ทั้งหมด

ทำไมเราต้องเรียน Tense

เขียนโดย PrivateEng
ทำไมต้องเรียน Tense??

Tense เป็นสิ่งที่หลายๆคนมักจะส่ายหน้ากันเป็นแถวเวลาที่ต้องเจอในข้อสอบหรือห้องเรียน เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ในภาษาอังกฤษมี tense อยู่ทั้งหมด 12 tense แต่ละ tense ก็จะมีข้อบังคับในการใช้ กฎในการเปลี่ยนรูปกริยา และรูปแบบการเรียงประโยคที่แตกต่างกันออกไป

ลองคิดสมมุติเป็นตัวเลขง่ายๆนะครับ 
ภาษาอังกฤษ มีทั้งหมด 12 tense 
สมมุติว่าแต่ละ tense มีข้อบังคับในการใช้ tense ละ 2 ข้อ
มีกฎในการเปลี่ยนรูปกริยาอีก 2 ข้อ 
และมีรูปแบบการเรียงดับประโยคอีกอย่างละ 2 รูปแบบ

12x2x2x2 = 96

นี่เท่ากับว่า คนที่เรียนภาษาอังกฤษจะต้องจำให้ได้อย่างน้อยๆ 96 เรื่องเพื่อที่จะเก่ง tense เลยเหรอเนี่ย
โอ้ว มันช่างเยอะมาก!

ยังไม่หมดนะครับ ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ พอเราไปพูดกับฝรั่งแล้วพูดผิด tense เราคิดว่าเขาจะไม่เข้าใจเรา แต่ไม่เลย ฝรั่งเขาเข้าใจว่าเราหมายถึงอะไร! อ้าวแล้วอย่างนี้ จะเสียเวลามานั่งจำทำไมล่ะตั้ง 96 อย่าง!

นี่คือเหตุผลที่หลายๆคนคิด 
ซึ่งพี่ขอบอกเลยครับว่าเป็นเหตุผลที่ผิดมาก 

จริงอยู่ครับที่ต่อให้เราพูดผิด tense ฝรั่งเขาก็ยังเข้าใจเรา แต่น้องๆเคยสังเกตไหมครับว่า ที่เราสื่อสารกันอย่างรู้เรื่องนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นการพูดบทสนทนาแบบไหน? บทสนทนาแบบง่ายๆ หรือบทสนทนาแบบซับซ้อน?

เราลองมาดูตัวอย่างนี้กันครับ

สมมติว่าเรากับเพื่อนชาวต่างชาติกำลังคุยกันว่าเมื่อวานกินอะไรมา 
เพื่อนฝรั่งคนนั้นถามเราว่า

What did you eat yesterday?
(คุณกินอะไรเมื่อวาน)

เราตอบเขากลับว่า

I eat fried rice yesterday.
(ฉันกินข้าวผัดเมื่อวาน)

ประโยคนี้หากตามสูตรหรือกฎของ Tense แล้ว คำว่า eat ต้องกลายเป็น ateเนื่องจากว่ากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต คำถามก็คือ ถ้าเรานำประโยคนี้ไปพูดกับฝรั่ง เขาจะเข้าใจเรามั้ย?

100% ครับว่าเข้าใจ 

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า 
1. เรามีคำว่า yesterday เป็นตัวบอกเวลาให้คนฟังรู้ว่าเกิดขึ้นในอดีต 
2.ประโยคนี้เป็นประโยคง่ายๆที่ไม่ต้องอาศัยการตีความอะไรมาก

ทีนี้ลองมาดูในอีกสถานการณ์หนึ่ง สมมุติเรากำลังโทรไปตามสินค้าที่เราทำการชำระเงินไปแล้วกับทางบริษัท 
แล้วเราบอกกับทางบริษัทว่า

“I buy two white shirts and a pair of jeans I do not get it yet”
(ฉันขอซื้อเสื้อเชิรต์สีขาวกับกางเกงยีนส์ ฉันยังไม่ได้ของเลย)

เห็นไหมครับว่าพอเป็นประโยคยาวขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้นหากเราใช้ผิด tense ความหายจะเริ่มผิดเพี้ยนแล้ว

ประโยคนี้จริงๆแล้วควรเขียนว่า

“I bought two white shirts and a pair of jeans, but I have not received them yet.”
(ฉันได้ทำการซื้อเสื้อเชิรต์สองตัวกับกางเกงยีนส์ แต่ฉันยังไม่ได้ของเลย)

หากเราพูดแบบประโยคแรก ถ้าเราโชคดี ทางบริษัทอาจจะเข้ใจเรา แล้วตามเรื่องให้ แต่หากโชคร้าย บริษัทเข้าใจว่าเราต้องการสั่งซื้อใหม่ เท่ากับว่าเราต้องเสียงเงินสองรอบไปฟรีๆ 

เรื่องสั่งซื้อหรือทวงสินค้ายังเป็นเรื่องเล็กๆนะครับ ลองนึกสภาพถ้าเราไปเจรจาธุรกิจแล้วเกิดพูดผิด tense แล้วเข้าใจความหมายผิดกัน ผลที่ตามมาอาจจะยุ่งเหยิงจนแก้ไขกันไม่ได้เลยก็เป็นได้

จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า จริงๆแล้ว Tense เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญถึงขนาดว่า อาจารย์ชาวต่างชาติได้กล่าวไว้เลยว่า ใครก็ตามที่ยังไม่เชี่ยวชาญเรื่อง tense คนๆนั้นไม่ถือว่าเก่งภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นลองตั้งใจกับ tense ดูอีกซักตั้งนะครับ รับรองว่าไม่ยากเกินความตั้งใจของน้องๆแน่ :)

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น