'จูเช'แนวนโยบายการเมืองใหม่แบบสังคมนิยมของพธม. - 'จูเช'แนวนโยบายการเมืองใหม่แบบสังคมนิยมของพธม. นิยาย 'จูเช'แนวนโยบายการเมืองใหม่แบบสังคมนิยมของพธม. : Dek-D.com - Writer

    'จูเช'แนวนโยบายการเมืองใหม่แบบสังคมนิยมของพธม.

    ว่าด้วยนโยบายการเมืองใหม่ที่เป็นไปได้ของพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรสีเหลืองคลั่งเจ้าที่คล้ายคลึงกับของเกาหลีเหนือ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,147

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    1.14K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 มิ.ย. 53 / 23:47 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    free counters
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       โดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
      ที่มา บางกอกโพสต์
      แปลโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
      30 พฤษภาคม 2552

      'จูเช' แนวนโยบายการเมืองใหม่แบบสังคมนิยมของพธม.

      สำหรับผู้ที่ต่อต้านพธม.คงจะรู้สึกโล่งอกที่กลุ่มพธม.จะไม่กลับไปประท้วงข้างถนนอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนในอดีต ซึ่งนับว่าเป็นผลบวกสำหรับบรรยากาศการเมืองของประเทศอย่างไม่น่าสงสัย

      อย่างน้อยที่สุดสำหรับกลุ่มนักลงทุนในและนอกประเทศที่รังเกียจการกระทำนอกวิถีทางของระบอบรัฐสภาซึ่งไร้เสถียรภาพและคาดเดาไม่ได้ ที่นำไปสู่การบุกยึดสนามบินและทำเนียบรัฐบาล การจัดตั้งพรรคพธม.เป็นสิ่งที่น่ายินดีมาก

      ถึงกระนั้น ความสำเร็จของขบวนการเสื้อเหลืองในอดีตได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประสิทธิภาพในการนำและการจัดการของพวกเขาไม่ควรถูกประเมินค่าต่ำ พวกเขามีสื่อที่มีอิทธิพลอยู่ในมือถึง 2 แห่ง - ASTV และ http://www.manager.co.th ซึ่งเป็นเวปไซท์ข่าวสารที่มีความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสร์ของราชอาณาจักรไทย

      โดยผ่านสื่อเหล่านี้ หรือหนังสือพิมพ์และเวปไซท์ที่สนับสนุนพวกเขา พรรคพธม.ไม่ว่าจะตั้งชื่อใดก็ตาม สามารถที่จะรณรงค์หาเสียงได้อย่างมีพลังและมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลนี้ คาดว่าพวกเขาจะกอบโกยคะแนนเสียงจากมวลชนที่สนับสนุนเขาในบางจังหวัด

      ในระยะสั้น ฐานเสียงของพรรคพธม.จะลุกล้ำเข้าไปในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนในระยะยาวยังไม่สามารถคาดเดาได้

      ถ้าดูจากอดีตพรรคพลังธรรมของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ในสมัยที่เขาเริ่มจัดตั้งและบริหารมัน พวกเขาได้เจาะเข้าไปในกระแสต่อต้านพรรคประชาธิปัตย์ในเมืองหลวง แต่บรรยากาศการเมืองที่แตกแยกในปัจจุบันนี้มันต่างจากยุคนั้นซึ่งเป็นช่วงที่พรรคใหม่นี้สามารถชิงที่นั่งได้ถึง 90% ในเขตกรุงเทพฯ และตอนนี้คะแนนที่ไม่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็คือคะแนนที่ไม่สนับสนุนพธม.อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งคะแนนส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมดของคนเหล่านี้จะเทไปให้พรรคเพื่อไทย

      คุณจะเห็นว่ามีพวกที่ไม่สนับสนุนพธม.แต่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่คุณจะไม่เจอใครที่ไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะชอบพธม. จุดยืนการเมืองที่ขัดกันแบบนี้ไม่มีอยู่จริง

      โดยแท้จริงแล้วพรรคพธม.จะครอบครองฐานเสียงของกลุ่มที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ ที่ชื่นชอบสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ต่อต้านทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตอนนี้ยังเป็นฐานเสียงที่เล็กมากในเมือง แต่วิถีทางของพธม.สามารถจะโน้มน้าวคุณได้ แต่พฤติกรรมในอดีตของพวกเขาอาจไม่ได้ช่วยอะไร แต่อย่าคาดหวังว่าแนวคิดของพธม. - ขวาสุดกู่ทางการเมือง และซ้ายสุดกู่ทางเศรษฐกิจ - จะถูกนำมาใช้ในการหาเสียงโดยทันที

      ฐานเสียงที่ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ในเมืองหลวงณ.จุดหนึ่งอาจจะไม่ยอมรับท่วงทีของการผูกขาดทางการเมืองของคุณทักษิณ แต่คนกรุงเทพฯก็ยังไม่พร้อมที่จะยอมรับอย่างง่ายดายต่อกลุ่มนักเคลื่อนไหวสหภาพแรงงาน อดีตเจ้าพ่อสื่อลวงโลกที่ล้มละลาย นักวิชาการที่อกหัก ผู้จัดตั้งมวลชน และนักการเมืองที่ไม่ได้รับการยอมรับและล้มเหลว

      โดยสรุป พรรคพธม.จะเป็นสีสันที่เพิ่มขึ้นในเวทีหาเสียงอย่างแน่นอน แต่โชคไม่ดีพวกเขาจะไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดเสียงสนับสนุนอย่างทันทีทันใดแทนที่พรรคประชาธิปัตย์

      ผลกระทบต้นๆจากนโยบาย เชื่อผมเถอะ ต่างจากที่ประชาคมนักข่าวต่างชาติและกลุ่มนักวิชาการหลักๆที่อธิบายอย่างผิดๆถึงความหลากหลายของความแตกแยกในประเทศไทยใน 5 ปีที่ผ่านมา นั่นคือความนิยมของพธม.จะมาจากจังหวัดหลากหลายและชนชั้นหลากหลาย ความนิยมไม่ได้มาจาก "ชนชั้นสูงที่มีการศึกษา" หรือ "คนกรุงเทพฯ" หรือ "ภาคใต้ที่คุมโดยพรรคประชาธิปัตย์" หรือ "ผู้ที่สนับสนุนสถาบันฯอย่างแท้จริง" หรือ "แวดวงอนุรักษ์นิยม" แต่ความนิยมพวกเขามาจากพวกที่ติดตามสื่อที่บิดเบือนอย่าง http://www.manager.co.th และ ASTV ด้วยความบ้าคลั่งและดันทุรัง

      เพื่อจะตอบคำถามของทุกคน: พรรคพธม.จะได้รับความนิยมในพื้นทีที่มีการแพร่ขยายของอินเตอร์เน็ทสูงและพื้นที่ที่มีการติดตั้ง ASTV ในเงื่อนไขที่ว่าคนที่หูเบาเหล่านี้จะเปิดช่องฟังทั้งกลางวันและกลางคืน

      จากมุมมองของสื่อ ASTV และ http://www.manager.co.th เป็นศัตรูของพรรคการเมืองทุกพรรคซึ่งไม่ค่อยจะชำนาญทางด้านสื่อ ถ้าแขนขาของสนธิถูกตัดออกไป ความนิยมของพรรคพธม.จะลดลงไปอย่างมาก ในระยะยาว จุดมุ่งหมายของการตั้งพรรคที่คล้ายพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเปรียบอย่างลับๆว่าเป็นพรรครอยัลลิสท์สีเหลือง จะไม่บรรลุผลสำเร็จ

      อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้มองอย่างผิวเผิน คุณจะต้องเข้าใจถึงแนวทางที่พธม.จะเสนอเมื่อเริ่มมีการร่างนโยบายทางการเมือง นโยบายที่ยังไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเอนเอียงไปทางรูปแบบเลนินนิสต์ที่ปราศจากแนวทางต่อต้านสถาบันกษัตริย์ของอุดมคติของลัทธิคอมมิวนิสท์ เพื่อขยายความให้กระจ่างขึ้น มันเป็นองค์ประกอบที่สนับสนุนสถาบันฯแต่ในขณะเดียวกันก็เอนเอียงไปทางซ้ายด้านเศรษฐกิจ การสนับสนุนสถาบันฯก็เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองในระยะกลาง ซึ่งก็หมายถึงว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีของคนไทยต่อสถาบันราชวงศ์ และใน 5 ถึง 10 ปีข้างหน้าพวกเขาจะเลือกที่จะใช้วิธีนี้เป็นหลักการรณรงค์หาเสียงสนับสนุน

      มันเป็นแนวทางเศรษฐกิจที่เอนซ้ายเพื่อจัดสรรให้กับคนใช้แรงงานที่ด้อยสิทธิ์ ชนชั้นทำงานส่วนล่าง-กลางที่ยากจน และนักการเมืองที่ขาดน้ำเลี้ยง นักเคลื่อนไหว NGO ที่ไม่ได้รับการตอบสนองหรือถูกเมินเฉยจากรัฐบาล "ยุคเก่า" มาโดยตลอด

      แนวคิดเช่นการปฏิรูปที่ดินทำกินเหมือนเกาหลีเหนือมาเป็นประชาคมประเภทหนึ่งซึ่งถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่ประสบความสำเร็จในประเทศจีนและสหภาพโซเวียต จะโผล่ออกมาในที่สุด แผนเศรษฐกิจอื่นอาจรวมถึงการปรับปรุงระบบสวัสดิการสำหรับผู้เกษียณอายุและผู้ได้รับบำเหน็จบำนาญและบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างยากจน การขึ้นภาษีอย่างมหาศาลต่อผู้ถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นรวมถึงมรดก การจัดระบบภาษีก้าวหน้าอย่างไม่สมเหคุผล และอื่นๆ

      นโยบายของพวกเขาอาจรวมถึงการส่งเสริมหลักเศรษฐกิจพึ่งพาตนเองที่ถูกปลูกฝังในแนวคิดที่เป็นรากฐานของชาติ ซึ่งมันอาจจะทำให้เกิดการก่อตั้งระบอบการปกครองแบบเผด็จการที่มีนโยบายเอียงซ้ายโดยคณะกรรมการของพรรคพธม.ซึ่งคล้ายกับคณะกรรมการโปลิทบูโร (politburo) ของโซเวียต (ถูกเลือกตั้งมาจากสภาประชาชน หรือ People’s Congress)

      คุณสามารถจะคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่าข้อโต้แย้งของแคมเปญพวกเขาที่โยงมาจากความคิดเกี่ยวกับจิตสำนึกรวมและความเป็นหมู่คณะที่เหนือกว่าความเป็นบุคคล ซึ่งดึงดูดความสนใจจากพวกอนุรักษ์นิยมและพวกคลั่งชาติสุดกู่ การกล่าวอ้างถึง “ปรัชญาลัทธิจูเช” จะถูกนำมาเป็นแนวคิดหลักของพธม.ในช่วงปฏิบัติการทางการเมือง

      เดิมทีมันถูกอธิบายว่าเป็นการประยุกต์ใช้ที่สร้างสรรค์ของลัทธิมาร์กซ์และเลนนินของชาติ การนำแนวคิด “จูเช” (การพึ่งพาตนเอง) มาใช้กลายมาเป็นหลักปรัชญาที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจากการตีความใหม่เป็นบางครั้งบางคราวโดยคิม อิล ซุง/คิม จอง อิล เพราะแนวคิดนี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน สุดท้ายมันถูกนำมาใช้โดยประมุขของรัฐเสมือนเป็นการสนับสนุนทาง “จิตวิญญาณ” ต่อการปกครองที่เป็นเผด็จการและกดขี่

      การนำของพรรคพธม.ทางด้านนโยบายต่างประเทศคาดว่าจะเน้นความคิดหลักของปรัชญา “จูเช” อย่างลับๆ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการกระทำอย่างเป็นอิสระโดยไม่คำนึงถึงการแทรกแซงจากภายนอก ถ้าพรรคพธม.อยู่ในตำแหน่งผู้นำ ประเทศจะต้องเตรียมพร้อมที่จะดำเนินแนวทางปฏิบัติทางเศรษฐกิจที่ต่อต้านโลกาภิวัฒน์ นโยบายอย่างเช่นการบังคับให้มีใบอนุญาตหรืออื่นๆ ที่ยอมรับโดยกลุ่มชนที่ไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารและต่อต้านโลกาภิวัฒน์และสนับสนุนโดยองค์กรที่เอียงไปทางสังคมนิยม จะกลายเป็นปทัสฐานในเวลาต่อมา

      จากคำอธิบายข้างต้น คุณคงจะคาดเดาได้ด้วยตนเองว่าพธม.จะได้รับฐานการสนับสนุนอย่างไร ประเด็นที่กล่าวมาจริงแล้วมันฟังดูใหม่และดึงดูดใจ โดยเฉพาะการปกป้องคนยากจน การมีจิตสำนึกต่อสังคม และต่อต้านระบบการเมืองที่เห็นเงินสำคัญ และนโยบายที่เน้นเรื่องสวัสดิการ ถึงกระนั้น ปัญหาของระบอบพรรคเดียวที่คอยมีผู้สนับสนุนที่เป็นโปร-เจ้า และคลั่งชาติเสมอ จะทำให้ตัวของมันเสื่อมเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

      สำหรับการปกครองระบบรัฐสภาภายใต้ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปัจจุบัน ผมหวังว่าพรรคพธม.ที่รวมตัวกันโดยแกนนำ จะเข้ามามีบทบาทในเฉพาะรัฐบาลหน้าเท่านั้นและค่อยๆเลือนหายไปหลังจากนั้น

      นั่นหมายถึงว่าพรรคเสื้อเหลืองจะต้องได้ 10-20 ที่นั่งเป็นอย่างต่ำ บ้างจากภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคกลาง นอกจากนั้น พวกเขาอาจจะต้องใช้กลยุทธ์อย่างชาญฉลาดในการช่วงชิงตำแหน่งรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง

      อย่างไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่ผมจินตนาการว่าจะเกิดขึ้น

      พรรคพวกของนายสนธิ ลิ้มทองกุลแน่นอนจะได้ประมาณ 10 ถึง 20 ที่นั่งส.ส.ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะผ่านทางการเลือกตั้งโดยตรงของเขตหรือปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ตอนแรกพวกเขาจะสร้างภาพพจน์ให้ตนเองว่าเป็นฝ่ายที่ต่อต้านคอร์รับชั่นโดยแสดงตนว่ามีจรรยาบรรณที่สูงและจะไม่ปรารถนาที่จะร่วมกับพรรครัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์/ภูมิใจไทย แต่เมื่อเวลาผ่านไป พธม.จะดึงดูดผู้สนับสนุนที่เชื่อพวกเขาอย่างงมงายจำนวนมากโดยผ่านช่องทางสื่อด้วยวิธีเดิมคือเกาะกระแสต่อต้านนักการเมืองที่โกงกินในประเทศ จุดนี้ทาง manager.co.th และ ASTV จะมีบทบาทที่สำคัญ

      จากพรรคฝ่ายค้านเล็กๆ ลัทธิของเสื้อเหลืองจะแปรสภาพไปเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในการบริหารจัดการประเทศไทย จากคำถามของทุกคนที่ว่าผู้นำของพธม.จะมีส่วนในร่วมในการรับตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่หลังการเลือกตั้งคราวหน้า คำตอบที่ชัดเจนคือไม่ อย่างไรก็ตามอันตรายที่แท้จริงก็คือเมื่อเวลาผ่านไปพธม.อาจได้รับการสนับสนุนจากมวลชนจำนวนมาก (ลองนึกถึงพรรคพลังธรรมแล้วคูณเข้าไป 5 เท่าอย่างน้อย) ถึงจุดนั้นพวกเขาสามารถจะเปลี่ยนสภาประชาชนที่จัดตั้งขึ้นแล้วมาเป็นระบบการออกนโยบายอีกทางหนึ่งที่สามารถจะก่อให้เกิดการจำนนของระบอบการปกครอง

      เมื่อมีโอกาสที่ดีกว่านั้น นั่นหมายถึงเมื่อมีการก่อรัฐประหาร หรือที่ดีกว่านั้น การลุกฮือติดอาวุธโดยประชาชนเพื่อต่อต้าน “นักการเมืองปิศาจที่โกงกินและเกินกว่าการชำระล้าง” สภาประชาชนของพธม.จะตอบสนองบทบาทที่ถูกบัญญัติไว้แล้วในที่สุด ซึ่งแน่นอนก็คือการรับหน้าที่เป็นรัฐสภาชั่วคราวโดยทันทีเพื่อที่จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เคร่งครัดที่จะทำให้แม้กระทั่งผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของปี 2550 ถึงขั้นอับอายได้

      ผลที่สุดพธม.จะบรรลุเป้าหมายในการเขียนแถลงการณ์นโยบาย “การเมืองใหม่” ซึ่งจะคล้ายกับของคาร์ล มารกซ์ แต่ปรับเปลี่ยนเพื่อให้ยังมีสถาบันกษัตริย์และอื่นๆที่เกี่ยวข้องรวมอยู่ด้วย “การเมืองใหม่” จะมีทุกองค์ประกอบของนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นไปทางสังคมนิยม

      สิ่งที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อความมั่นคงของชาติและต่อระบอบการปกครองปัจจุบันของราชอาณาจักรไทยนั้นน่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้น ”ใหม่” ของ “การเมืองใหม่” พธม.ต้องการแค่ไม่กี่ที่นั่งเพื่อให้มีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรในขณะนี้ และในการมีส่วนร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกแต่งตั้งและเลือกตั้งบางคน เสียงเรียกร้องของพวกเขาจะกัดเซาะเข้าไปอย่างช้าๆ (เสมือนน้ำที่หยดบนหิน) ต่อระบอบประชาธิปไตยที่เน้นการเลือกตั้งในระบบรัฐสภาภายใต้การปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาที่ต้องการเลขาธิการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเพื่อเป็นผู้นำของ politburo ซึ่งมาจากสภาประชาชน มันเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจ ถึงกระนั้น จากการวิเคราะห์ของคนคนหนึ่งที่เข้าใจการต่อสู้ที่ยาวนานของเสื้อแดง มันมีบางอย่างที่แอบแฝงอยู่ภายใต้พื้นผิวซึ่งแม้แต่มองด้วยสายตาเปล่ายังไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงความจริงซึ่งขณะนี้กำลังถูกปิดบังโดยคราบสีของรอยัลลิสต์

      สิบปีจากนี้ไป เมื่อมองกลับมา เสื้อแดงอาจจะไม่ได้เป็นผู้ที่ปลดปล่อยชนชั้นกรรมาชีพก็ได้


      หมายเหตุท้ายบทความ:อะไรคือปรัชญาเศรษฐกิจจูเช(หรือจูเชียะ)?

      ชาร์ลส์ เจนกิ้นส์ ทหารอเมริกันที่หนีทหารจากเกาหลีใต้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเกาหลีเหนือนาน40ปี(2507-2547)เขียนในหนังสือคำสารภาพ(To tell the truth)ที่เขาเขียนขึ้นหลังจากหลบหนีออกจากเกาหลีเหนือมาได้ว่า

      ในตอนแรกที่เขาหนีทหารเข้าไปอยู่ในเกาหลีเหนือในราวปีพ.ศ.2508นั้น ภายหลังจากถูกล้างสมองให้รับรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความอัจฉริยะของคิมอิลซุง บิดาผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือแล้ว ทางการเกาหลีเหนือก็บังคับให้เรียนเกี่ยวกับ"ปรัชญาจูเชียะ"

      ปรัชญาจูเชียะตามทฤษฎีของคิมอิลซุง มีสาระสำคัญยกย่องการพึ่งตัวเอง เกาหลีเหนือต้องพึ่งตัวเองดีกว่าการพึ่งการค้ากับประเทศลัทธิคอมมิวนิสต์อื่น เช่น จีน โซเวียต ต้องเรียนวันละ10ถึง11ชั่วโมง ถ้าท่องจำไม่ได้ในส่วนที่ถูกสั่ง ต้องเรียนซ้ำ16ชั่วโมงในวันอาทิตย์ ดังนั้นแม้แต่40ปีต่อมาที่หนีออกจากเกาหลีเหนือมาได้ ข้าพเจ้าก็ยังจำคำโฆษณาชวนเชื่อปรัชญานี้ได้ดี บางครั้งข้าพเจ้ายังท่องมันได้แม้แต่ในความฝัน

      ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่มันเป็นทฤษฎีบ้าๆ ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไร้เหตุผล บางครั้งข้าพเจ้าเหลียวดูรอบตัวและพิศวงเหลือเกินว่า เหตุใดคนทั้งประเทศนี้จึงเชื่อทฤษฎีไม่สมประกอบนี้ แน่นอนเป็นทฤษฎีโกหกเห็นชัดๆ เพราะใครก็รู้ว่าเกาหลีเหนือล้มแน่ถ้าขาดการค้า หรือการพึ่งพาบริจาคจากประเทศอื่นเพื่อปากท้องของคนเกาหลีเหนือ

      ข้าพเจ้ามักจะบอกลูกสาว2คนที่เกิดและเติบโตในเกาหลีเหนือเสมอว่า"โลกที่เรากำลังอยู่ในเกาหลีเหนือ ไม่ใช่โลกมนุษย์ที่แท้จริง"แต่เด็กๆไม่ค่อยเชื่อข้าพเจ้านัก เพราะโลกในเกาหลีเหนือเป็นโลกเดียวเท่านั้น ที่เด็กๆรู้จัก

      แต่ข้าพเจ้าไม่เคยถูกล้างสมองด้วยประวัติศาสตร์ หรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จอมปลอม และการเคารพบูชาคิมอิลซุงซึ่งพวกเขายัดเยียดให้ หากคุณเป็นชาวเกาหลีเหนือที่เติบโตในสภาพนี้ มันอาจจะมีแนวโน้มที่จะเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสั่งสอน หรืออย่างน้อยอาจจะเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างไม่มากก็น้อย

      แต่ข้าพเจ้าเติบโตมาจากโลกภายนอก รู้จักโลกภายนอก ข้าพเจ้ารู้ว่า ทุกอย่างเป็นการโกหกหลอกลวง

      สำหรับลัทธิบูชาเคารพปัจเจกบุคคลในเกาหลีเหนือนั้น ข้าพเจ้าซาบซึ้งดีเมื่อถามคำถามซื่อๆตรงๆและน่าจะมีเหตุผลต่อเจ้าหน้าที่พรรคว่า"ถ้าคิมอิลซุงตาย จะเกิดอะไรขึ้น?"เท่านั้นหละข้าพเจ้าก็โดนทำโทษหนักด้วยคำถามนี้ การเกริ่นแย้มว่าคิมอิลซุงเป็นมนุษย์เดินดินที่ไม่พ้นความตาย...

      ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยในเกาหลีเหนือ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×