ช่วงปิดเทอมใหญ่นี้ผมไม่ได้ปิดไปกับเพื่อนๆส่วนใหญ่ด้วย แต่ต้องไปเรียนซัมเมอร์ที่ต่างจังหวัดครับ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ครับ ผมหยุดเรียนพิเศษ 1 วัน เพื่อกลับมาเที่ยวที่้บ้านในจังหวัดพิจิตร (มาเช้ากลับเย็น) พอชื่นใจแล้วก้กลับไปเรียนที่พิษรุโลกต่อครับ เอาล่ะ ผมจะเริ่มเล่าประสบการณ์อันน่าประทับใจในครั้งนี้แล้วนะครับ
ทันทีที่รถไฟเทียบชานชาลา กลิ่นของน้ำมัน ควันจากปล่องรถไฟก็โชยมาเตะจมุกของผมเต็มๆ บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มวุ่นวายขวักไขว่ขึ้นมาทันตา ใครขึ้นก่อนก็ได้นั่งก่อน ใครมาช้าก็ได้ยืน นั่นคือกฎของรถไฟฟรี(เพื่อประชาชน)ครับ ไม่นานนักผมกับเพื่อนก็ได้ที่นั่งแถมได้ข้างหน้าต่างซะด้วย ขอขอบคุณที่คนอื่นเดินช้านะครับ ^^
ไม่นานนักผมก็ได้พบกับเหตุการณ์หนึ่งในโบกี้ของรถไฟเที่ยวขึ้น(ปลายทางจำไม่ได้)ซึ่งผมแปลกใจมาก ผมขอตัดสถานการณ์ โดยหยิบยกมนุษย์ 2 คน(ที่จริงหลายร้อยคน) เข้ามาอยู่ในบันทึกนี้ด้วยนะครับ
คนมาทีหลัง : ขอโทษค่ะ ตรงนี้มีใครนั่งรึเปล่า ?
คนนั่งก่อนหน้า : อ๋อ...ไม่มีค่ะ นั่งได้เลย
เอาล่ะครับจุดกำเนิดได้เริ่มต้นกันแล้ว หลังจากคนที่มาทีหลังเก็บกระเป๋าสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทิ้งเวลาไม่เกิน 5 นาที จะมีฝ่านหนึ่งที่รู้สึกว่าอดใจไม่ไหว อึดอัด จะเป็นฝ่ายยอมที่ตนเองจะเริ่มเปิดประเด็นสนทนา
คนมาทีหลัง : ไปไหนค่ะเนี่ย ?
คนนั่งก่อนหน้า : ไป........ เนี่ยค่ะ
ผมมองเห็นว่า มันคือจุดเริ่มต้นจุดเล็กๆ ของมนุษย์ที่เป็นการเริ่มต้นของปฏิสัมพันธ์ที่ดี(ของชาวชนบท) แล้วในช่วงเวลาต่อมา ประเภทและหัวข้อของบทสนทนาก็จะถูกยกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติแบบไม่มีรอยต่อ และไม่มีการอั้น เหตุบ้านการเมือง ความเห็นส่วนตัวที่ตรงกันของทั้ง 2 ฝ่าย ชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง(ครอบครัว ความรัก ความเชื่อ ศาสนา) หลายเรื่องหลายบท เบลอบลาๆ ที่แต่ละฝ่ายพยายามพูดมาตลอด เพื่อที่จะทำลายกำแพงแห่งความเงียบตลอดเส้นทางที่รถไฟวิ่ง และจนกว่าอีกฝ่ายจะถึงจุดหมายปลายทาง
เพื่อนๆ เห็นอะไรเหมือนผมรึเปล่าครับ ? ทั้งๆที่คนทั้ง 2 ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างไม่รู้ชื่อนามสกุลกัน ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จุดหมายปลายทางของอีกฝ่าย
แต่กลับคุยกันได้อย่างถูกปากถูกคอราวกับว่าไม่ได้เจอกันมานับร้อยปี เรียกได้ว่าตลอดเส้นทางนี้เสียงเจ๊าะแจะ จอแจ ...! ได้กลับเงาแห่งความเงียบ ไปเสียหมดแล้ว
.
.
.
.
จากการบันทึกข้อความข้างต้น ทำให้ผมหวนไปถึงประสบการณ์อย่างหนึ่งที่เคบพบมา เพื่อนๆ ลองนึกภาพตามผมนะครับ
ภายในรถไฟ(ฟ้า)ในเมืองหลวง ผมขอตัดสถานการณ์ โดยหยิบยกมนุษย์ หลายพันคน เข้ามาอยู่ในบันทึกนี้ด้วยนะครับ ต่างไม่รู้ชื่อนามสกุลกัน ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จุดหมายปลายทางของอีกฝ่าย ต่างคนขึ้น ต่างคนนั่ง ต่างคนยืน ต่างคนเงียบ ต่างคนฟังเพลง บ้างก็หลับ บ้างก็คุยโทรศัพท์เพื่อฆ่าเงาแห่งความเงียบ ผมถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้มิตรภาพไม่เกิดบนรถไฟขบวนนี้ (ถ้าเพื่อนๆรู้ก็สามารถโพสต์บอกได้นะครับ ^^) ตลอดเส้นทางจึงไม่ต่างอะไรไปกับป่าช้า ที่มีแต่ต้นไม้ยืนตายซาก
ผมนำ 2 เหตุการณ์มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทุ่งนาเขียวขจีกับพื้นซีเมนต์ราบเรียบสีดำ , ภูเขาหญ้าหัวมนๆกับภูเขาคอนกรีตหัวเหลี่ยมๆ , นกน้อยกับนกเหล็ก ,ต้นไม้กับป้ายโฆษณา อาทิตย์ลับเหลี่ยมเขากับอาทิตย์ลับเหลี่ยมตึก , อากาศสดชื่นเต็มปอดกับควันไอเสียที่เต็มจมูก
เพื่อนๆชอบอะไรมากกว่ากันครับ(ส่วนผมก็แน่ๆอยู่แล้ว)
ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงที่ผมได้นั่งบนรถไฟขบวนนี้มันมีความสุขมากๆ
ได้มองดูมิตรภาพระหว่างเพื่อนมนุษย์ที่หลายๆคนโหยหา ได้ทัศนาบรรยากาศตลอดเส้นทาง ทุ่งนาป่าเขาเขียวขจี พระอาทิตย์ที่ตกดิน
บรรทัดสุดท้ายของการบันทึกครั้งนี้ผมคงจะได้บอกว่า "รถไฟฟรีนี้คุ้มค่าสุดๆครับ"
ภายในรถไฟ(ฟ้า)ในเมืองหลวง ผมขอตัดสถานการณ์ โดยหยิบยกมนุษย์ หลายพันคน เข้ามาอยู่ในบันทึกนี้ด้วยนะครับ ต่างไม่รู้ชื่อนามสกุลกัน ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จุดหมายปลายทางของอีกฝ่าย ต่างคนขึ้น ต่างคนนั่ง ต่างคนยืน ต่างคนเงียบ ต่างคนฟังเพลง บ้างก็หลับ บ้างก็คุยโทรศัพท์เพื่อฆ่าเงาแห่งความเงียบ ผมถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้มิตรภาพไม่เกิดบนรถไฟขบวนนี้ (ถ้าเพื่อนๆรู้ก็สามารถโพสต์บอกได้นะครับ ^^) ตลอดเส้นทางจึงไม่ต่างอะไรไปกับป่าช้า ที่มีแต่ต้นไม้ยืนตายซาก
ผมนำ 2 เหตุการณ์มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทุ่งนาเขียวขจีกับพื้นซีเมนต์ราบเรียบสีดำ , ภูเขาหญ้าหัวมนๆกับภูเขาคอนกรีตหัวเหลี่ยมๆ , นกน้อยกับนกเหล็ก ,ต้นไม้กับป้ายโฆษณา อาทิตย์ลับเหลี่ยมเขากับอาทิตย์ลับเหลี่ยมตึก , อากาศสดชื่นเต็มปอดกับควันไอเสียที่เต็มจมูก
เพื่อนๆชอบอะไรมากกว่ากันครับ(ส่วนผมก็แน่ๆอยู่แล้ว)
ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงที่ผมได้นั่งบนรถไฟขบวนนี้มันมีความสุขมากๆ
ได้มองดูมิตรภาพระหว่างเพื่อนมนุษย์ที่หลายๆคนโหยหา ได้ทัศนาบรรยากาศตลอดเส้นทาง ทุ่งนาป่าเขาเขียวขจี พระอาทิตย์ที่ตกดิน
บรรทัดสุดท้ายของการบันทึกครั้งนี้ผมคงจะได้บอกว่า "รถไฟฟรีนี้คุ้มค่าสุดๆครับ"
ความคิดเห็น
จริงอย่างเธอว่านะ เอาง่ายๆเลย
บ้านเราจะมีรถที่เข้าตัวเมืองทั้งรถตู้และสองแถว
รถตู้จะมาจากกรุงเทพ ส่วนสองแถววิ่งในจังหวัด
เธอรู้ป่ะ เรานั่งมาแล้วสองอย่างคนละฟีลเลย
บนรถตู้ถามว่าน้ำใจมีมั้ย มีนะเราว่า มันไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
แต่ส่วนใหญ่ก็ต่างคนต่างนั่ง เงียบๆตามประสาคนเมือง
แต่ถ้านั่งสองแถว มีคนช่วยหิ้วของให้คนแก่ ยิ้มให้กัน คุยกัน ทั้งๆที่ไม่รู้จัก
มันแตกต่างกันมากจนเรารุ้สึกถึงความแตกต่างเลยล่ะ
สังคมมนุษย์เมืองหลวงมีกำแพงกั้นขวาง
เสมือนคนเมืองอยู่ในโลกอย่างโดดเดี่ยว
ขืนอยู่เมืองหลวงนานกว่านี้ ชีวิตฉันต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ
ก่อนที่อารยธรรมเมืองจะกร่อนกิน ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนไป
ก่อนที่... ก่อนที่... ฯลฯ
หรือฉันควรรีบออกไปจากที่นี่