รักข้ามขอบฟ้า - รักข้ามขอบฟ้า นิยาย รักข้ามขอบฟ้า : Dek-D.com - Writer

    รักข้ามขอบฟ้า

    ใบพัชร...นักศึกษาแลกเปลี่ยนสาวชาวไทยถึงคราวต้องสับสนกับหัวใจตัวเองเมื่อหนุ่มญี่ปุ่นที่เธอเคยเกลียดขี้หน้าที่สุดต้องกลับกลายมาเป็นคนที่หัวใจเธอลืมไม่ได้ และระยะทางจะบั่นทอนความรักของเขาและเธอหรือไม่?

    ผู้เข้าชมรวม

    1,141

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    1.14K

    ความคิดเห็น


    15

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 พ.ย. 52 / 19:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    ปล. เรื่องเก่า แต่เกลาใหม่นะคะ ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกัน อยากให้เม้นกันเยอะ ๆ เพราะอยากรู้ว่าตัวเองฝีมือห่วยแตกแค่ไหน ฮ่าๆๆ ฝากด้วยค้าาาา

    "รักข้ามขอบฟ้า" เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่ตัดสินใจเอามาโพสต์ เพราะรู้สึกว่าที่ผ่านมาตัวเองกำลังย่ำเท้าอยู่กับที่

    ฝันอยากเป็นนักเขียน ก็เขียน...เขียนไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย ไม่คิดจะโพสต์มาเพื่อประจาณฝีมือตัวเอง

    แต่ในที่สุด ก็เข้าใจว่า ความฝันถ้าเก็บซ่อนเอาไว้ แล้วเมื่อไหร่ความฝันจะกลายเป็นความจริงเสียที...

    ก็เลยลองเสี่ยง...เสี่ยงเอามาโพสต์เพื่อรอฟังคำวิจารณ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

    ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องแรกที่ตัวเองเขียน แต่ก็เป็นเรื่องแรกที่เอามาโพสต์

    ยังไงก็ติดตามกันด้วยนะคะ...วิจารณ์ ติชมกันได้เต็มที่เลยนะคะ

                             .............................................


    ใบพัชร เรืองโชติรวี...นักศึกษาแลกเปลี่ยนสาวชาวไทยจอมดื้อ เจ้าอารมณ์ ยึดตัวเองเป็นคนถูกเสมอ 

    ต้องมาเจอกับ...

    ทาชิม่า ยูตะ...หนุ่มนักศึกษาปริญญาโทชาวญี่ปุ่น ผู้ใช้ชีวิตอยู่แบบราบเรียบมาตลอด

    เมื่อทั้งสองมาเจอกัน เพียงครั้งแรกก็เกิดเป็นความบาดหมางกันเสียแล้ว

    ความหมั่นไส้ของหญิงสาวที่มีต่อเขาก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราวพายุโหมกระหน่ำ แต่แล้ว...

    จู่ ๆ วันนึง ความรู้สึกดีกลับแทรกซึมเข้ามาแทนที่...ความโกรธของหญิงสาวจะพ่ายแพ้ต่อความรักของเขาหรือไม่...ติดตามกันนะค้าาาาา

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

      ฤดูใบไม้ร่วงเพิ่งผ่านพ้นไป ลมเย็นต้นฤดูหนาวก็เริ่มพัดโชยเข้ามาแทนที่ ต้นไม้นานาพรรณที่เคยผลัดสีร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เหลือเพียงกิ่งก้านโบกไหวไปตามลมก็เริ่มนับวันรอลมหนาวพัดมาเยือนอย่างท้าทาย...

       

      อากาศช่วงปลายเดือนธันวาคมเช่นนี้หนาวเย็นยิ่งนัก แต่กลับทำให้บรรยากาศของงานวัดชิโจของจังหวัดคุมาโมโต้นั้นน่าเดินเล่นอย่างยิ่ง

       

      สองข้างทางถนนที่ทอดผ่านเข้าสู่บริเวณงานประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสี ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มต่างตั้งเรียงรายไปตลอดแนว นอกจากนี้ยังมีการละเล่นพื้นเมืองของญี่ปุ่นให้ได้ชมกันเป็นระยะ ๆ ดูตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

       

      หญิงสาวชาวต่างชาติผิวสีน้ำตาลจาง ๆ ในร่างโปร่งบางผมยาวเหยียดตรงในชุดเสื้อหนังหนาสีครีมดูเข้าทีกับผ้าพันคอถักมือสีน้ำตาลเข้มเดินดูงานเพียงลำพังอย่างสบายอกสบายใจ 

       

      ใบพัชร เรืองโชติรวี นักศึกษาแลกเปลี่ยนสาวชาวไทยมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลานานกว่า 3 เดือนแล้ว


                      มันเป็นความบังเอิญของชีวิตที่เธอไม่ได้ตั้งใจ หากแต่เป็นเพราะอาจารย์ที่ปรึกษาที่มหาวิทยาลัยของเธอต่างหากที่ประสงค์ให้เธอเข้าสอบชิงทุนนักศึกษาแลกเปลี่ยนระหว่างมหาวิทยาลัยของทั้งสองประเทศ
                      ถึงแม้ว่าเธอจะขี้เกียจสอบก็เถอะ แต่ก็ต้องจำใจเข้าสอบ ตามคำขอร้องของอาจารย์

       

      ด้วยความที่ขี้เกียจ เธอจึงขุดเอาทฤษฎีการเดาข้อสอบที่พอได้ยินมาจากหลายตำหนัก หลายสำนักวิชาออกมาใช้นั่นคือการฝนกระดาษคำตอบให้เป็นลวดลายสวยงามโดยที่ไม่ยอมอ่านข้อสอบเลยแม้แต่ข้อเดียว

       

      ใบพัชรเองก็เพิ่งทราบหลังจากผลสอบออกมาว่า ทฤษฎีการเดาข้อสอบนั้นมันได้ผลจริง ๆ

       

      ก็ไอ้ข้อสอบที่เธอฝนตอบไปแบบมั่ว ๆ กลับทำให้เธอได้รับคะแนนสอบติดอันดับหนึ่งในสิบของนักเรียนทุน เธอจึงต้องระเห็จมาอยู่ที่นี่เป็นเวลา 1 ปี สมความปรารถนาของอาจารย์



      แพตตี้

       

      เสียงนุ่มทุ้มของใครคนหนึ่งทักขึ้นเป็นภาษาบ้านเกิด ทำให้ใบพัชรหันไปตามเสียงอย่างรวดเร็ว

       

      สรรพนามที่ใช้เรียกเธอเช่นนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ปวีร์ ภควัตร หนุ่มชาวไทย รุ่นพี่คณะที่มหาวิทยาลัยที่เมืองไทยของใบพัชร ซึ่งได้รับทุนมาอยู่ที่นี่เมื่อปลายปีที่แล้วเช่นกัน 

       

      กำหนดกลับประเทศผ่านเลยมาแล้วหากแต่ว่าเขาได้รับทุนวิจัยด้านธรณีวิทยาต่อ เขาจึงต้องอยู่ที่ญี่ปุ่นถึงเดือนมีนาคมต้นปีหน้า

                     

                      เธอแกล้งทำใบหน้างอง้ำ จนชายหนุ่มผู้มาใหม่ต้องยิ้มกว้าง    

       

      บอกแล้วว่าอย่าเรียกแพตตี้ มันจักจี้รูหู พี่ป๊อบก็ไม่เชื่อพัชรซะที เธอว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก

       

      น่ารักดีออกชื่อเหมือนฝรั่งดี เขาว่าแล้วยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย

       

      พัชรเป็นคนไทย เลือดในตัวเป็นคนไทย และเลือดในหัวใจก็เป็นคนไทยด้วย พัชรไม่อยากได้ชื่อฝรั่ง เธอว่าต่อ

       

      จ้า คนไทยก็คนไทย แล้วนี่ทำไมมาคนเดียว สามสาวเพื่อนเราไปไหนหมดล่ะ ปกติเห็นตัวติดกันอย่างกะตังเม วันนี้ทำไมฉายเดี่ยว

       

      ปวีร์พูดถึงสามสาวเพื่อนสนิทของหญิงสาว...มาโดกะ, มามิ และซานาเอะ

       

      สามสาวนั่นเขาไปกับแฟน ไอ้คนโสดอย่างเราเลยต้องเดินคนเดียวน่ะสิ หญิงสาวว่าแล้วหน้ามุ่ย

       

      ไม่อยากโสดก็หาแฟนสิ หนุ่มญี่ปุ่นที่อยากสานสัมพันธ์กับเราน่ะ หันไปสนใจเขาบ้างก็ได้ปวีร์ว่าเลยพลอยทำให้หญิงสาวหูผึ่ง


               

                      “พูดเหมือนมีคนกำลังปิ๊งพัชรอยู่อย่างนั้นแหละพี่ป๊อบ หญิงสาวว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก

      ก็มีน่ะสิ ชายหนุ่มตอบก่อนยิ้มกว้าง

       

      หือ มีคนแอบชอบพัชรด้วยเหรอพี่ป๊อบเธอว่าตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คนถูกถามก็ได้แต่ยิ้มพรายอย่างมีเลศนัย

       

                      ใครน่ะพี่ป๊อบ หล่อมั้ย นิสัยดีหรือเปล่า แล้วพัชรรู้จักเขามั้ย ใบพัชรถามอย่างกะตือรือร้นพลางเขย่าแขนรุ่นพี่อย่างคะยั้นคะยอ

       

      โอ๊ย เบา ๆ แขนพี่จะหักแล้ว

       

      ก็บอกพัชรซะทีสิ พัชรอยากรู้ ใบพัชรยังไม่ละความพยายามที่จะเค้นคำตอบจากปากรุ่นพี่คนสนิทของเธอแม้แต่น้อย

       

      ของอย่างนี้...สังเกตเองดีกว่า...พี่ใบ้ให้นิดนึง... ชายหนุ่มว่าแล้วก็หรี่เสียงให้เบาลงแล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้หูหญิงสาวพลางเอามือป้องปากเป็นการกระซิบ

       

      หน้าตาเขาก็หล่อใช้ได้อยู่เหมือนกันนะ นิสัยก็ดีเยี่ยม เป็นสุภาพบุรุษมาก เรียนก็เก่งด้วย...แล้วก็...เป็นคนใกล้ตัวเรา แถว ๆ นี้แหละ คำใบ้ของชายหนุ่มไม่ได้ช่วยให้ความคลางแคลงสงสัยบนใบหน้าของหญิงสาวลดลงแต่อย่างใด

       

      คิ้วเรียวคู่นั้นขมวดเข้าหากันด้วยนึกคำตอบไม่ออก เมื่อหันไปมองใบหน้ารุ่นพี่คนสนิทก็เห็นเพียงรอยยิ้มกว้าง

       

      พี่ป๊อบโกหกพัชรใช่มั้ย หลอกให้พัชรแอบคิดไปไกลซะตั้งนาน ใบพัชรฟาดมือลงบนต้นแขนของปวีร์ที่มีเสื้อกันหนาวตัวหนาหุ้มอยู่ทีเล่นทีจริง

       

      พี่ไมได้โกหก พี่พูดจริง ๆ ปวีร์ว่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่คลาย

       

      เอ๊...หรือว่า คนใกล้ตัวที่พี่ป๊อบพูดถึงหมายถึงพี่ป๊อบเอง??” หญิงสาวว่าพลางตาเบิกโพลง

       

      แต่คำพูดนั้นกลับทำเอาเขาหัวเราะก๊ากออกมา

       

      พี่ป๊อบ คือ...พัชรไม่ได้คิดอะไรกับพี่เกินเลยกว่าคำว่าพี่น้องเลยนะ พี่อย่าคิด... หญิงสาวพยายามปฎิเสธ เพราะคิดว่า คนใกล้ตัว ที่ชายหนุ่มพูดถึงหมายถึงตัวเขาเสียเอง

       

      ไอ้น้องบ้า พี่จะไปคิดอะไรอย่างนั้นกับเราได้ยังไง ขืนพี่ชอบเรานะ พี่ออมได้เตะพี่ตาย เราก็รู้ว่าพี่ออมดุอย่างกะเสือ

       

      ปวีร์นึกขยาดเมื่อนึกถึงใบหน้าแฟนสาวที่เมืองไทยก็ทำเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัว

       

      แสดงว่าพี่ป๊อบโกหกพัชรน่ะสิเนี่ย...ไอ้พี่บ้า ไปเลยไป อยากไปไหนก็ไป อยู่ ๆ มาหลอกให้เราดีใจเล่น นึกว่ามีคนชอบเราจริง ๆ ซะอีก

       

      พี่ไม่ได้โกหกจริงจริ๊ง...พี่จะบอกอะไรให้นะพัชร คนเราต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง มองให้ดี ๆ ความรักน่ะซ่อนตัวอยู่รอบ ๆ ตัวเราเนี่ยแหละ อยู่ที่เราจะยอมรับหรือไม่ยอมรับมันเท่านั้นเอง...เอาน่า แล้ววันนึงเราจะรู้เองว่าสิ่งที่พี่พูดไม่ใช่เรื่องโกหก พี่ไปแล้วนะต้องรีบกลับไปทำงานต่อแล้ว เดี๋ยวงานไม่เสร็จ เอาไว้เจอกัน” ปวีร์ว่าก่อนขอตัวกลับไปทำงาน

       

      ปวีร์กลับไปพักหนึ่งแล้วแต่คำพูดของรุ่นพี่คนสนิทยังคงดังก้องอยู่ในหูไม่หาย แต่กระนั้นเธอก็ยังยืนยันกับตัวเองว่าปวีร์พูดต้องโกหกเธอเล่นแน่ ๆ แล้วเธอก็สะบัดหน้าไล่ความคิดนั้นออกไปจากสมอง

       

      ใบพัชรเดินเรื่อย ๆ ไปตามริมถนนสายเล็ก ๆ ที่มีร้านค้าเรียงรายไปตลอดทาง เมื่อมองเห็นร้านอุด้งของโปรดฝั่งตรงข้ามก็ก้าวฉับ ๆ ไปโดยที่ไม่ทันได้สังเกตรถมอเตอร์ไซค์ที่ขี่มาด้วยความเร็ว 

       

      ทันทีที่เท้าขวาก้าวออกไป คนขี่ก็บีบแตรรถเสียงดังแหลมยาว เมื่อเธอหันไปก็เห็นว่ารถกำลังพุ่งตรงมายังเธอจึงรีบชักขากลับ

       

      อารามตกใจจึงหลับตาปี๋โดยอัตโนมัติ รู้สึกว่าขาหนักอึ้งราวกับมีทุ่นขนาดมหึมาถ่วงไว้จนก้าวไม่ออก ใจหายแวบคิดว่าเธอจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ญี่ปุ่นเสียแล้ว หากเพียงเสี้ยวนาทีกลับมีมือแข็งแรงของใครคนหนึ่งช่วยกระชากตัวเธอให้พ้นรัศมีอันตรายจากรถมหาภัยคันนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด

       

       ใบหน้านวลเนียนตอนนี้ซีดเผือดเพราะความตกใจ ปะทะกับอกแกร่งของใครคนนั้นและแนบชิดเช่นนั้นนิ่งและนาน แม้จะสวมเสื้อแจ็คเก็ตตัวหนา แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของหญิงสาวเป่ารดอยู่ตรงอกกว้างของเขาได้เป็นอย่างดี 

       

      หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองคนที่ตัวสูงใหญ่กว่า แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าคนที่ช่วยชีวิตเธอเป็นชายหนุ่มที่เธอนึกหมั่นไส้มาตลอด...

       

                      นายรุ่นพี่ทาชิม่า  

      อยู่ ๆ เหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นก็ย้อนกลับเข้ามาในมโนนึกอย่างไม่ทันตั้งตัว

       

      มันเป็นภาพการพบกันครั้งแรกของเขาและเธอเมื่อสามเดือนก่อนที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย

       

      ใบพัชรจำได้ดีว่า วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักและเธอกำลังจะไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย

       

      ขณะที่เดินจ้ำอ้าวด้วยความเร่งรีบจึงทำให้เธอชนกับเขาเข้าโดยบังเอิญที่มุมตึก แรงปะทะทำให้หญิงสาวเซถลาล้มลงก้นกระแทกพื้น ของที่ถือมากระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง รวมถึงเอกสารสำคัญอย่างใบรายงานตัวจากมหาวิทยาลัยที่เมืองไทยปลิวตกพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนด้วย

                     

                      เดินยังไงของคุณเนี่ย ใบพัชรต่อว่าเขาด้วยภาษาอังกฤษทันที่ที่ตั้งสติได้

                     

                      ผมขอโทษนะครับ คือ... เขาตอบกลับมาเป็นภาษาเดียวกันอย่างกระท่อนกระแท่น

       

                      พูดง่ายดีนะ แค่คำขอโทษ แล้วคุณคิดเหรอว่าเอกสารเปียก ๆ ของฉันมันจะแห้งขึ้นมา

                     

                      มันเป็นอุบัติเหตุนะครับคุณ ตรงนี้มันเป็นมุมตึกพอดี ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณก็เดินมา

                     

                      แต่คุณก็น่าจะระวังหน่อยนึงสิ

       

      อ้าว...แล้วตัวเองไม่ต้องระวังหรือยังไงให้คนอื่นระวังอยู่ฝ่ายเดียว

       

      ชายหนุ่มได้แค่คิดในใจโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาเพราะคิดว่าคนตรงหน้าคงรีบมากเลยออกอาการโมโหเช่นนี้

                     

                      ผมขอโทษจริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเสียเวลานะครับ ผมบอกแล้วว่ามันเป็นอุบัติเหตุ

                     

                      คุณไม่ต้องแก้ตัวเลย...ใครต่อใครต่างก็บอกว่าประเทศญี่ปุ่นน่าอยู่และฉันก็คิดอย่างนั้นมาตลอด แต่พอฉันเจอคุณวันนี้ บอกได้เลยว่าฉันผิดหวังมากใบพัชรว่าอย่างไม่สบอารมณ์ สายตามาดร้ายจ้องมาที่ชายหนุ่มตลอดเวลา

                     

                      คุณอย่าเพิ่งเหมารวมว่าประเทศผมเป็นอย่างนั้นสิครับ ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ เขาว่าด้วยน้ำเสียงที่ดูสุภาพมากที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้คนตรงหน้าปะทุอารมณ์ขึ้นมาอีก

                     

                      คุณจะให้ฉันใจเย็นยังไงไหว ฉันเสียเวลาแล้วต้องมาเสียอารมณ์กับคนอย่างคุณอีกเหรอ หญิงสาวว่าจนทาชิม่าอ่อนใจที่จะเอ่ยคำขอโทษเธออีก

                     

                      เอาล่ะ คุณบอกผมได้มั้ยว่าผมควรทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธ

                     

                      ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น อยู่ห่าง ๆ ฉันเอาไว้ หวังว่าชาตินี้เราคงไม่พบกันอีกฉันไม่ขอรับคำขอโทษจากคุณ ใบพัชรว่าเพียงเท่านั้นก็เดินจากไปด้วยอาการโกรธเคือง

                     

                      ใบพัชรโกรธเขามากที่เขาเป็นตัวการทำให้เธอไปรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาสายแล้วยังทำเอกสารสำคัญของเธอเปียก หญิงสาวโดนอาจารย์ตำหนิด้วยสายตาเรื่องของความตรงต่อเวลายังไม่พอ เธอยังต้องโดนสายตาของใคร ๆ มองเธอด้วยความสมเพชกับสภาพเสื้อผ้าที่เปียกปอนราวกับลูกหมาตกน้ำ

       

       

      ใบพัชรรู้สึกไม่พอใจเขาตั้งแต่แรกพบ แต่สวรรค์ก็ยังกลั่นแกล้งให้เธอได้พักห้องพักติดกันกับห้องของเขา แล้วยังต้องมารับรู้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ปริญญาโทสาขาวิชาที่เธอต้องให้ความเคารพและที่สำคัญเขายังเป็นเพื่อนรุ่นพี่คนสนิทของปวีร์เสียอีก เธอจึงจำเป็นที่จะต้องเจอเขาแทบจะทุกวันทั้งที่หอพักและที่คณะ...

       

      ทุกครั้งที่พบหน้ากัน หญิงสาวเป็นต้องออกอาการไม่พอใจเขาขึ้นมา บางครั้งก็ได้ทีพูดจาเหน็บแนมเขาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เขาจิตเสียเล่น ทาชิม่าเองก็ไม่เคยคิดที่จะโต้ตอบเพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเธอ 
                     

      แต่แทนที่วิธีการของเขาจะช่วยยุติปัญหา กลับยิ่งทำให้หญิงสาวได้ใจพูดจาเหน็บแนมเขาหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก

       

      ปวีร์ที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องคนสนิทของชายหนุ่มก็ช่วยเกลี้ยกล่อมหญิงสาวอย่างเต็มที่ สรรหาสารพัดเหตุผลมาช่วยรุ่นพี่ของตนแต่ก็ไม่เป็นผล ปวีร์จึงได้แต่ปลอบใจว่า

       

      ไม่นานพัชรก็หายโกรธไปเองแหละครับ

       

      การพบกันระหว่างเธอและเขาเริ่มต้นได้ไม่ดีนักแต่เขาก็ยังแอบหวังว่าเธอจะหายโกรธเขาเข้าสักวัน

      แต่กระทั่งบัดนี้ เวลาผ่านมากว่า 3 เดือนแล้วเธอก็ยังคงปั้นปึ่งใส่เขาอยู่...

       

      ผู้หญิงอารมณ์ร้ายแล้วยังใจร้ายอีก...

       

      เขาบอกกับตัวเองอย่างนั้น

      ...............................................



                      ชายหนุ่มโอบเอวหญิงสาวที่ตอนนี้ดูเหมือนตัวจะสั่นเทิ้มน้อย ๆ นั้นเอาไว้ เมื่อแลสบสายตาที่เจือรอยสงสัยของหญิงสาวที่จ้องมา เขาก็ค่อย ๆ คลายหญิงสาวออกจากอก ด้วยกลัวว่าจะถูกเธอตวาดเข้าให้ 

       

      เจ็บตรงไหนหรือเปล่าเขาถามขณะที่จับจ้องอยู่บนใบหน้าซีดเผือดนั้นด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย

       

      คนถูกถามสะบัดหน้าแรง ๆ แทนคำตอบจนผมเส้นเล็กละเอียดดำขลับนั้นสยายเต็มหลัง แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังพยายามจะไล่ความรู้สึกบางอย่างที่แวบเข้ามาก่อกวนความรู้สึกของตัวเอง ก่อนก้มมองแขนมองขาตัวเองว่ายังคงอยู่ครบทุกชิ้นส่วน มิได้กระเด็นกระดอนติดใต้ล้อรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นไป

       

      อากัปกริยานั้นทำให้ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ...

       

      วันนี้ลมโหสงบดีแฮะ

       

      ขอบคุณ หญิงสาวพึมพำขอบคุณ นั่นกลับยิ่งทำให้ผู้ที่ยืนฟังยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ และเขาก็ค่อย ๆ คลายยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าที่เคยซีดเผือดของคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่นั้น เริ่มมีเลือดฝาดวิ่งอยู่รอบ ๆ แก้มนวลเนียน เพียงครู่เดียวก็แดงปลั่งทั่วใบหน้า...

       

      คงเขิน...

       

      ชายหนุ่มพยายามหุบยิ้มทีละนิด ด้วยกลัวว่า ถ้าสาวเจ้าเห็นรอยยิ้มนั้นของเขาขึ้นมา เธออาจจะเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า (จริง ๆ) ขึ้นมามีหวัง...

       

      ได้มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นกลางถนนนี่แน่ ๆ

       

                      เดินระวังหน่อยนะ แถวนี้รถเยอะมาก น้ำเสียงนั้นฟังดูเป็นห่วงเสียจนคนฟังหัวใจไหววูบไปนิดหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังมีพายุลูกน้อย ๆ คอยพัดมาให้เขาหวาดกลัวเล่น

       

      รู้แล้วน่า ไม่ต้องบอกว่าแล้วสายตาก็เริ่มแข็งขึ้น นึกแล้วก็อยากจะเอื้อมมือไปขยี้ผมยาวสลวยนั้นให้ยุ่งเหยิง

       

      ทำเป็นอวดเก่ง เมื่อตะกี้ยังหน้าซีดตัวสั่นอยู่เล๊ย...

       

      จะไปไหนต่อหรือเปล่า เขาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าทั้งเขาและเธอยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเท้าไปไหนเสียที

       

      ปะ...ไป...เอ่อ...กินอุด้งตรงโน้น คนถูกถามดูเหมือนจะติดอ่างไปครู่หนึ่ง มือไม้ก็ชี้โบ้ชี้เบ้ไปเรื่อย

       

      งั้นก็เดินดี ๆ หน่อยนะ ระวังรถจะเฉี่ยวเอาอีกเขาบอกแล้วก็ค่อย ๆ ผละจากไปแต่เดินได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักกึก

       

      ถ้าไม่รีบไปไหน...ก็ไปด้วยกันมั้ยล่ะ เธอถามห้วน ๆ ทำเอาเขาแปลกใจเป็นรอบที่สาม ชายหนุ่มยังคงทำหน้าเหลอหลาอยู่ตรงนั้น ด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าเช่นไรดี แล้วน้ำเสียงแข็ง ๆ ก็เอ่ยขึ้นห้วน ๆ อย่างขัดใจ

       

      กินข้าวแล้วใช่มั้ย งั้นก็ไม่ต้องไปก็ได้ พูดจบปุ๊บก็หันหลังให้แล้วเดินหนีไปทันที

       

      เดี๋ยวสิ เขาพยายามเรียกเธอไว้...

       

      ก็ไม่คิดว่าจะชวนนี่นา ให้เวลาคิดหน่อยก็ไม่ได้ ผู้หญิงอะไรใจร้อนเป็นบ้า

      แต่เขาก็เดินตามเธอมานั่งในร้านอุด้งจนได้

       

      เมื่อได้ที่นั่งตรงโต๊ะใกล้เคาท์เตอร์ เธอจึงจัดการตะโกนสั่งอุด้งกับเจ้าของร้านเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วและคล่องปร๋อ ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วเป็นการถามเขาบ้าง

       

      เมื่ออุด้งที่สั่งถูกนำมาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนอารมณ์ของหญิงสาวจะสดชื่นขึ้นเป็นกอง เธอหยิบตะเกียบไม้ไผ่คู่หนึ่งขึ้นมาวางพาดระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้งของมือทั้งสองข้างในลักษณะพนมมือแล้วเอ่ย

       

      Itadakimasu จะทานแล้วนะคะ อีกฝ่ายหนึ่งก็ทำกริยาเช่นเดียวกันก่อนจะลงมือทาน

       

      ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีจัดการกับอุด้งแสนอร่อยตรงหน้าจนเกลี้ยงโดยไม่พูดไม่จา แล้วเธอก็ทำเอาเขาแปลกใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันนี้แล้วก็ไม่ทราบ โดยการสั่งอุด้งต่อเป็นชามที่สอง

       

      จะสั่งต่อก็สั่งได้นะ ฉันยินดีจ่ายให้ หญิงสาวบอกคนตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ

       

      ไม่แล้วล่ะ ขอบคุณมาก ผมอิ่มแล้ว

       

      ก็ดี ไม่เปลืองเธอว่าพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เพียงครู่เดียวอุด้งชามที่สองก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าหญิงสาวก็ไม่รอช้ารีบจัดการกับของโปรดตรงหน้าทันที

       

      ผู้หญิงอะไร กินเยอะอย่างกะผู้ชาย...

       

      เขามองเธอด้วยความเอ็นดู

       

      กำลังเอร็ดอร่อยอยู่ดี ๆ หญิงสาวก็เอะใจ เหมือนมีสายตามองมาจากคนร่วมโต๊ะ เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอก็ปะทะกับสายตาหวานไหวคู่นั้นที่จ้องมองมา ฝ่ายถูกมองสะดุ้งน้อย ๆ และอีกฝ่ายก็รู้สึกไม่ต่างจากกัน เขาจึงหลุบตาลงต่ำแล้วเสยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

       

      ทำไมมันร้อน ๆ หนาว ๆ อย่างนี้ฟะ อีตาบ้านี่ก็มานั่งจ้องเรากินอยู่ได้ ไม่อร่อยเลยวุ้ย

       

      ว่าแล้วก็กระแทกตะเกียบลงกับขอบชามเสียงดัง ทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนึกหวั่นว่าพายุกำลังก่อตัว เธอเอาหลังมือเช็ดปากลวก ๆ แล้วยกน้ำขึ้นดื่ม

       

      “Gochisousama อิ่มแล้ว เธอบอกห้วน ๆ ใบหน้าบึ้งตึง ชายหนุ่มทำท่าจะควักเงินแต่หญิงสาวก็โบกมือให้หยุด

       

      ไม่ต้อง เดี๋ยวจ่ายเอง ถือว่าเลี้ยงตอบแทนที่...ช่วยวันนี้ ว่าแล้วก็ลุกไปจ่ายเงินแล้วก้าวพรวด ๆ ออกจากร้านอุด้งมุ่งตรงไปทางร้านทาโกะยากิโดยไม่สนใจคนที่เดินตามหลังมา แต่พอนึกขึ้นได้ว่ายังมีคนอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย จึงหันขวับกลับมาก็พบกับร่างสูงโปร่งนั้น เขาชะงักเท้า แล้วยิ้มให้แห้ง ๆ

       

      อ้าว ยังไม่ไปอีกเหรอ นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก” 

       

      ซะงั้น...

       

      ชายหนุ่มยิ้มแห้ง ๆ ส่งไปอีกครั้ง ในใจก็กลัวว่าพายุกำลังก่อตัว แต่พอมองกล่องทาโกะยากิที่อยู่ในมือเจ้าหล่อนแล้วก็นึกอุ่นใจ...

       

      คงไม่สนใจอยากจะเถียงหรอกมั้ง

       

      ทาชิม่าเดินเข้าไปหาหญิงสาวแล้วหยุดยืนใกล้ ๆ แต่กระนั้นก็ยังคงรักษาระยะห่างของการยืนเอาไว้ เพื่อป้องกันอันตราย ในกรณีที่จะเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะได้ตั้งรับพายุอารมณ์ลูกโตของหญิงสาวเจ้าอารมณ์ได้ทันท่วงที 

       

      สายตาของเขาจับจ้องบนใบหน้านวลเนียนที่กำลังเคี้ยวทาโกะยากิตุ้ย ๆ โดยไม่นึกจะสนใจเขา แต่แล้วทาโกะยากิอ้วนกลมลูกหนึ่งก็ถูกส่งมาตรงหน้าพร้อมกับคำชวนห้วน ๆ

       

      กินมะ

       

      ไม่ดีกว่า อิ่มแล้ว ขอบคุณมาก นั่นแหละเธอจึงชักทาโกะยากิลูกนั้นกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนเดินเคี้ยวต่อ และยังคงปล่อยให้เขาเดินตามหลังอยู่อย่างนั้น

       

      เธอจะรู้มั้ยนะว่าเขาไม่ได้อิ่มท้อง ลำพังไอ้อุด้งชามกระติ๊ดนั้นหรือ ไม่ได้เสี้ยวกระเพาะเขาหรอก หากแต่เขาอิ่มอกอิ่มใจต่างหากที่วันนี้ได้เห็นพายุอารมณ์ลูกนี้สงบนิ่งผิดปกติกว่าทุกวัน

       

      ดูเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีตัวตนจะวิ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดอาการร้อนวาบแล่นพล่านไปทั่ว เป็นขณะเดียวกันกับที่ใบพัชรหันมา

       

      เมื่อแลสบกับสายตาหวานคู่นั้นของเขา เริ่มแรกมีรอยฉงนที่เห็นเขาจ้องมาแต่แล้วก็หลุบต่ำ ใบหน้าเริ่มมีสีแดงเรื่อแต้มอยู่ทั่ว แต่ทว่า ในบริเวณนั้นดูเหมือนจะมีแสงไฟน้อยเสียจนชายหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น

       

      ขณะนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดลง

       

      เขายังคงเดินตามหลังหญิงสาวไปเรื่อย ๆ แล้วก็ได้เห็นอาการตื่นเต้นดีใจวิ่งปรู๊ดเข้าออกร้านนั้นที ร้านนี้ทีของเธอ

       

      เหมือนเด็กน้อย...

       

      ใบพัชรเดินถือของกินชมงานไปเรื่อย ๆ จนเริ่มเมื่อยจึงคิดจะกลับห้องพัก

       

      เธอก้าวฉับ ๆ ตั้งท่าจะข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อทาชิม่าเห็นก็รีบคว้าข้อมือของหญิงสาวไว้อย่างรวดเร็ว คนถูกจับข้อมือหันมาอย่างเอาเรื่อง แต่เมื่อมองไม่เห็นแววทะลึ่งตึงตังใด ๆ ปรากฎบนใบหน้าเขา หากแต่ว่าเขากลับมองรถซ้ายขวาให้ แววตาวาวโรจน์เอาเรื่องคู่นั้นจึงสงบลงแล้วปล่อยให้เขาจูงมือข้ามถนนแต่โดยดี...

       

      นึกถึงเมื่อตอนเย็นแล้วนึกเสียวสันหลังแปลบ ๆ สยองอยู่เหมือนกันวุ้ย! 

       

      เขาปล่อยมือบางนั้นลงหลังจากที่ข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนนแล้ว

      ขณะนั้นเอง...

       

      ยูตะคุง

       

      เป็นเสียงเรียกผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อทั้งคู่หันไปตามเสียงเรียกก็พบกับหญิงสาวชาวญี่ปุ่นร่างเล็กกำลังโบกไม้โบกมือมาพลางส่งยิ้มหวานให้ เธอสังเกตเห็นความดีใจเจืออยู่ทั่วใบหน้าเขาก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกชื่อเธอกลับไปแล้วจึงวิ่งข้ามถนนไปหาเธอก่อนทักทายกันอย่างสนิทสนม

       

      ส่วนใบพัชร ก็ได้แต่ยืนมองคนทั้งสองคนทักทายกันตาปริบ ๆ ชายหนุ่มเหมือนลืมไปชั่วขณะว่ามีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่ด้วย เมื่อหันกลับมาก็ไม่เจอเธอเสียแล้ว...

       

      ผู้หญิงพายุอารมณ์ร้อนหายไปไหน

       

      ใบพัชรเดินเอื่อย ๆ ไปตามบาทวิถี ในใจมีความรู้สึกหลายประการประเดประดังเข้ามา

       

      ความรู้สึกแรกสนุกกับการเที่ยวชมงานวัดญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม แต่อีกความรู้สึกหนึ่ง เธอกลับรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจอย่างประหลาด ภาพที่เห็นนายนั่นยืนคุยกับแม่สาวหุ่นสบึมส์คนนั้นมันเหมือนตามมาหลอกหลอนเธออยู่...

       

      ชิ หมั่นไส้ ทำเป็นจี๋จ๋ากันไม่เกรงใจสายตาคนอื่นมั่งเลย แฟนล่ะสิท่า กลัวเขาไม่รู้หรือไงว่ามีแฟน ทำไมต้องมาออดอ้อนออเซาะกันกลางถนนอย่างนั้นด้วย...เห็นแล้วขัดลูกกะตาชะมัด...หมั่นไส้ หมั่นไส้ หมั่นไส้...

       

      ถึงแม้ว่าคุมาโมโต้จะเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บนเกาะคิวชูซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นที่เป็นเขตอบอุ่นแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นอากาศก็ยังคงหนาวเย็นสำหรับคนที่มาจากเมืองร้อนและไม่ค่อยได้สัมผัสอากาศหนาวอย่างเช่นใบพัชรอยู่ดี

       

      หิมะเริ่มตกลงมาแล้ว นาน ๆ ครั้งหญิงสาวจึงจะลงไปเดินย่ำหิมะเล่นที่ลานข้างหอพักบ้าง แต่ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ เธอจึงเลือกที่จะไปอาบน้ำร้อนที่ออนเซ็นเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายเสียมากกว่า

       

      เสียงโทรศัพท์กรีดร้องเป็นเสียงเพลงยอดฮิตของญี่ปุ่นดังขึ้น เพียงครู่เดียวคนที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็หยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นพี่คนสนิทจึงกดปุ่มรับสาย

       

      ฮัลโหลพี่ป๊อบ

       

      พัชร ยุ่งอยู่รึเปล่า พี่คุยได้มั้ย

       

      คุยได้พี่ป๊อบ ว่าไงคะ เธอว่าขณะที่มือยังคงเลื่อนเมาส์ตัวจิ๋วของคอมพิวเตอร์แลปท็อปตรงหน้าไปเรื่อย ๆ

       

      ปีใหม่นี้มีแผนไปเที่ยวไหนหรือเปล่า

       

      ปีใหม่เหรอ...อืมม์...คุยกับพวกสามสาวพาวเวอร์ป็อบเกิร์ลไว้ว่าจะไปเล่นสกีที่ฮอกไกโดกันน่ะ พี่ป๊อบไปด้วยกันมั้ย

       

      ดีเลย พี่กำลังจะโทรมาชวนเราไปเที่ยวฮอกไกโดพอดี

       

      จริงเหรอ พี่ป๊อบไปกับใครบ้างแล้วไปวันไหนล่ะ

       

      พี่ไปกับพวก...เอ่อ...เพื่อน ๆ ที่คณะน่ะ แพลนไว้ว่าจะออกจากคุมาโมโต้ประมาณตอนเย็นวันที่ 28 น่ะ แล้วเราล่ะไปวันไหน ไปพร้อมกับพวกพี่มั้ย

       

      ขอเก็บไปปรึกษาพวกสาว ๆ ก่อนได้มั้ย ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนั้นจะไปกันวันไหนยังไงบ้าง

       

      ได้ ๆ ถ้าอย่างนั้นพี่จะโทรหาอีกทีนึงก็แล้วกัน

       

      วันรุ่งขึ้น หลังจากที่หญิงสาวสามารถตกลงกับเพื่อนรักทั้งสามคนได้แล้วก็ได้กำหนดการเดินทางที่ชัดเจน ใบพัชรจึงโทรไปรายงานชายหนุ่มรุ่นพี่คนสนิทเพื่อตกลงวันเดินทาง ก่อนกลับมานั่งตั้งตาคอยให้วันไปเที่ยวฮอกไกโดมาถึง

       

       

                      หลังจากที่นั่งรถไฟชินคันเซ็นจากคุมาโมโต้ไปยังฮอกไกโดด้วยเวลาไม่กี่ชั่วโมงแล้วในที่สุดเธอก็ได้มาเดินย่ำหิมะเล่นบนเกาะนี้เสียที

                     

      คนที่เดินทางมาในวันนี้มีด้วยกันทั้งหมดเจ็ดคน ประกอบไปด้วยใบพัชร มาโดกะ มามิ และซานาเอะ สี่สาวคนสนิท และมีปวีร์ที่มากับเพื่อนอีกสองคน ทั้งหมดเลือกเข้าพักในโฮสเทล บรรยากาศดีแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับแหล่งกลางธุรกิจของเมืองซัปโปโร

       

      ในตอนแรกใบพัชรออกจะแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้ไม่มีเงาของชายหนุ่มรุ่นพี่คนสนิทของปวีร์เดินทางมาด้วย แต่พอได้ยินปวีร์พูดคุยกับเพื่อน ๆ คนอื่นแล้วก็ได้ทราบว่าเขากำลังจะบินตามมาทีหลัง

       

      น่าแปลกที่หัวใจมันเต้นตึกตักรัวเร็วและแรงขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

       

      เป็นบ้าอะไรไปเนี่ยเรา

       

      หญิงสาวพยายามระงับอารมณ์ตื่นเต้นนั้นด้วยการออกไปเดินย่ำหิมะเล่นข้างที่พักเพียงลำพัง ส่วนเพื่อน ๆ คนอื่นขอตัวไปแช่น้ำร้อนเพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกายแทน

       

      บรรยากาศรอบ ๆ กายของหญิงสาวปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนไปทั่วบริเวณ ถึงแม้ว่าจะใส่เสื้อโค้ตตัวหนาแต่ความหนาวเย็นก็แอบซึมซาบเข้าไปในกายไม่น้อยเลยทีเดียว

       

      เธอเดินคิดเรื่อยเปื่อยไปบนลานหิมะกว้างข้างที่พักอย่างช้า ๆ โดยที่ไม่ทันสังเกตก้อนหินก้อนหนึ่งที่โผล่พ้นหิมะขึ้นมาเธอจึงเดินสะดุดหน้าคะมำก่อนเซถลาลงกับพื้น

       

      แต่โชคยังดีที่พื้นเป็นหิมะหนานุ่มเธอจึงไม่มีแผลอะไร แต่ก็ยังรู้สึกเสียวแปลบที่ข้อเท้าขวาอยู่เล็กน้อย

       

      หญิงสาวพยายามใช้มือนวดตรงที่เจ็บแล้วบ่นกะปอดกะแปดไปด้วย

       

      เป็นอะไรเหรอหรือเปล่า เสียงนุ่มคุ้นหูดังขึ้นเบื้องหลัง เมื่อหันกลับไปอาการหัวใจที่เคยเต้นรัวแรงเมื่อสักครู่เริ่มกลับมาอีกครั้ง

       

      เขามาแล้ว...

       

      ชายหนุ่มรีบก้าวมานั่งข้างกายหญิงสาวแล้วเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

       

      เจ็บข้อเท้าเหรอ หญิงสาวที่ดูเหมือนจะนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งสะดุ้งเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเป็นคำตอบ

       

      ขอโทษนะ ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษก่อนค่อย ๆ แกะซิปรองเท้าบูทหนังสีน้ำตาลของหญิงสาวออกแล้วสำรวจข้อเท้า ก่อนจะใช้มือนวดคลึงเบา ๆ หญิงสาวร้องเบา ๆ เพราะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย

       

      ชายหนุ่มเงยหน้ามองสีหน้าของหญิงสาวในขณะที่มือยังคงคลึงไปเรื่อย ๆ ครู่หนึ่งก็หยุดแล้วเอ่ยถาม

       

      ดีขึ้นหรือยัง

       

      ใบพัชรค่อย ๆ ขยับข้อเท้าตนเองแล้วก็รู้สึกประหลาดใจที่อาการเจ็บแปลบนั้นบรรเทาไปมากแล้ว

       

      ดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบคุณมากเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ ๆ ก็ไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น อาจจะด้วยความตื่นเต้นที่ได้พบหน้าเขาเมื่อสักครู่ยังคงไม่จางหายล่ะมั้ง

       

      ลองลุกขึ้นไหม เดี๋ยวผมช่วยเขาบอก

       

      หญิงสาวหันมามองหน้าเขาแวบหนึ่งก่อนพยักหน้ายอมรับความช่วยเหลือจากเขา

       

      ทาชิม่าค่อย ๆ ประคองหญิงสาวให้ยืนขึ้นช้า ๆ ใบพัชรรู้สึกเสียวแปลบนิดหนึ่งในตอนแรก แต่เมื่อลองย่ำเท้าช้า ๆ ก็รู้สึกเจ็บไม่มากอย่างที่คิด

       

      ชายหนุ่มยังคงจ้องมองใบหน้าซีดเผือดนั้นด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยไม่คลาย ก่อนเอ่ยถาม

       

      จะไปไหนต่อหรือเปล่า

       

      ว่าจะไปเดินเล่น แต่ข้อเท้าเจ็บอย่างนี้คงไม่ไหวแล้วล่ะ กลับที่พักดีกว่าจะได้หายาทา เดี๋ยวอีกสองวันจะไม่ได้เล่นสกีเธอว่า

       

      ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมเดินไปเป็นเพื่อน

       

      ไม่รู้ทำไมที่คำพูดสั้น ๆ กลับทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด อยากจะเงยหน้าสบตาเขาเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้ ด้วยไม่มั่นใจว่าตนเองจะแสดงพิรุธอะไรออกไปบ้าง

       

      ขณะที่เดินไปด้วยกัน ชายหนุ่มเดินทิ้งห่างระยะจากหญิงสาวเยื้องไปด้านหลังทางซ้ายมือเล็กน้อย ทั้งสองได้แต่เงียบไม่ยอมพูดจากันแม้แต่คำเดียว ใบพัชรที่เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนกับบรรยากาศอันเงียบเชียบนั้นจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน

       

      เพิ่งมาถึงเหรอ เธอถาม ทั้ง ๆ ที่ก็ทราบดีว่าเป็นคำถามโง่ ๆ ที่ไม่ควรถามออกไป

      ก็เห็นอยู่ว่าเขาเพิ่งมา

       

      ใช่ครับ เพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่ เห็นเพื่อน ๆ คุณแล้วก็พวกของป๊อบจะออกไปทานข้าวกัน เห็นเขาตามหาคุณกัน โทรติดต่อก็ไม่ได้ เพราะคุณทิ้งโทรศัพท์ไว้ในห้อง เลยช่วยกันเดินหา

       

      หญิงสาวพยักหน้าเชิงรับรู้ 

       

      เมื่อคนทั้งสองกลับเข้ามาในโฮสเทลแล้วก็เห็นเพื่อน ๆ ทั้งหกคนยืนรอกันอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเพื่อนสาวคนสนิททั้งสามเห็นใบพัชรเดินกะเผลกเข้ามาก็ปราดเข้าไปถามด้วยความห่วงใย

       

      เกิดอะไรขึ้นน่ะพัชร มามิเป็นคนเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

       

      อุบัติเหตุ หกล้มนิดหน่อยน่ะ ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วงคนเจ็บว่าเหมือนขอลุแก่โทษ

       

      พวกเรากำลังจะออกไปทานข้าวกลางวันกัน เห็นพัชรหายไปนานเลยจะออกไปตาม พอดีรุ่นพี่ทาชิม่ามาพอดี เลยอาสาออกไปตามให้

       

      ใบพัชรหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ เหมือนสงสัย

       

      ไหนบอกว่าช่วยกันออกตามหาไง...

       

      หญิงสาวหันไปพูดกับเพื่อนต่อโดยที่ไม่ทันสังเกตสีหน้าของปวีร์ที่กำลังยืนกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถที่แผนการของเขาประสบผลสำเร็จไปขั้นหนึ่ง...

       

      ก็เขาเป็นคนคะยั้นคะยอให้ทาชิม่าออกไปตามหาหญิงสาวเองกับปาก

       

      พวกเธอออกไปทานกันเถอะ เราคงเดินไม่ไหวหรอก เจ็บข้อเท้าใบพัชรว่า

       

      ได้ยังไงกัน แล้วจะอยู่ยังไงคนเดียว ข้าวปลาก็ไม่กิน มาโดกะแย้งเสียงหลง

       

      ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราทานที่ห้องครัวของโฮสเทลได้ ไม่ต้องห่วงน่า เราดูแลตัวเองได้จริง ๆ

       

      ถึงแม้ว่าใบพัชรจะยืนยันอย่างไร เพื่อน ๆ ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี เถียงกันอยู่นานโดยที่หาข้อตกลงกันไม่ได้ คนที่ยืนฟังอยู่นานจึงเอ่ยออกมา

       

      เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนพัชรให้เอง คำพูดของทาชิม่า ทำเอาทุกคนเงียบกริบด้วยความอึ้งไปเล็กน้อยตัวหญิงสาวเองก็เช่นเดียวกันถึงกับหันขวับไปมองหน้าเขาอย่างรวดเร็ว ด้วยไม่คิดว่าเขาจะพูดคำนี้ออกมา พอตั้งสติได้กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างเขาก็ชิงพูดขึ้นก่อน

       

      พี่เพิ่งมาถึงเหนื่อย ๆ เลยขี้เกียจออกไปข้างนอก เอาเป็นว่าเราสองคนจะทานอาหารที่ห้องครัวโฮสเทลอย่างที่พัชรว่าก็แล้วกันนะ พวกเธอก็ออกไปกันเถอะ ยังไงก็ซื้อของกินเข้ามาฝากด้วยก็ดีเขาพูดแล้วยิ้มบาง ๆ

       

      ปวีร์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามแอบชูนิ้วโป้งแล้วขยิบตาข้างหนึ่งให้ด้วยความชื่นชม ดูเหมือนพวกสาว ๆ พาวเวอร์ป๊อบเกิร์ลยังอยากจะแย้งเพราะความเป็นห่วงเพื่อน แต่ปวีร์ที่ไวกว่าก็เลยเอ่ยตัดหน้าขึ้นมาในทันที

       

      ขอบคุณรุ่นพี่ทาชิม่ามากนะครับ ยังไงก็ฝากยัยพัชรด้วยนะครับ ไป พวกเราไปกันเถอะ หิวจะแย่ ปวีร์พูดจบก็รีบรุนหลังทุกคนที่เหลือออกมาโดยไม่เปิดโอกาสให้สามสาวพาวเวอร์ป๊อบเกิร์ลได้พูดอะไรอีก

       

      เมื่อคนทั้งหมดออกไปแล้ว ทาชิม่าก็เดินไปส่งหญิงสาวที่ห้องนอนก่อนวิ่งออกจากห้องไปด้วยท่าทางเร่งรีบ เพียงครู่เดียวก็กลับเข้ามาพร้อมกับถุงน้ำเย็นสำหรับประคบข้อเท้าและข้าวหน้าหมูทอดแกงกะหรี่หนึ่งกล่อง เขาวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะโคทัตสึตัวเล็กกลางห้องแล้วผละมาประคบข้อเท้าให้หญิงสาว

       

      ใบพัชรมองตามการกระทำนั้นของเขาด้วยความรู้สึกหลายประการ ใจหนึ่งก็อยากจะปฎิเสธความช่วยเหลือจากเขาแต่พอนึกว่าเธอจะไม่ได้ไปเล่นสกีในอีกสองวันข้างหน้า เธอก็ต้องยอมจำนนให้เขาช่วยประคบข้อเท้าให้โดยดุษฎี

       

      ทานข้าวซะนะ เดี๋ยวผมจะมานั่งอยู่เป็นเพื่อน เผื่อคุณเจ็บข้อเท้าขึ้นมาอีกเขาว่าอย่างอาทร แต่น้ำเสียงแกมบังคับเล็ก ๆ นั้นเหมือนพี่ชายสั่งน้องสาวจอมดื้อ

       

      ไม่เป็นไรหรอก อยู่เองได้ แค่เจ็บข้อเท้าแค่นั้น ยังไกลหัวใจเยอะใบพัชรว่าอย่างอวดดี อาการดื้อเริ่มออกลายอีก

       

      ไม่ได้ ผมต้องอยู่ดูแลคุณ เผื่อคุณเป็นอะไรขึ้นมา ผมก็ซวยแย่ เพราะผมรับปากป๊อบไปแล้ว เขาว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขากล้าเอ่ยปากค้านเธอ

       

      แต่... ใบพัชรก็ตั้งหน้าจะเถียงกลับเช่นกัน

       

      ไม่มีแต่...ผมยื่นคำขาด เดี๋ยวผมจะกลับมา ถ้าคุณยังดื้อผมจะจับคุณตีก้น ทาชิม่าว่าแล้วก็ผละออกจากห้องไปโดยไม่รอให้หญิงสาวได้มีโอกาสเถียงกลับมา ใบพัชรได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าดุเธอเช่นนี้

       

      อีตาบ้า...กล้าสั่งฉันหรือ

       

      วันรุ่งขึ้นหนุ่มสาวทั้งแปดคนก็เริ่มต้นออกเดินทางไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ในซัปโปโรกันอย่างสนุกสนาน โดยเริ่มต้นที่หมู่บ้านประวัติศาสตร์ฮอกไกโดซึ่งตั้งอยู่กลางแจ้งและเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองฮอกไกโดได้อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังหอนาฬิกาและหอทีวีก่อนปิดท้ายวันด้วยการชมคอนเสิร์ตดนตรีพื้นเมืองในสวนสาธารณะใจกลางเมือง แล้วกลับเข้าพักในโฮสเทลเพื่อพักผ่อนเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเล่นสกีในวันรุ่งขึ้น

       

      หนุ่มสาวทั้งแปดคนดูจะตื่นเต้นกับลานหิมะสีขาวโพลนนั้นเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่ 6 ใน 8 คนก็เป็นคนญี่ปุ่นกันโดยกำเนิดแต่ก็อดที่จะตื่นตาตื่นใจกับการมาเล่นสกีครั้งนี้ไม่ได้

       

      ยิ่งใบพัชรด้วยแล้ว ตอนที่ขึ้นกระเช้าขึ้นมาบนเนินหิมะข้างบนเนินเขา เธอก็แทบจะอยู่ไม่นิ่งหันซ้ายหันขวา ปากก็เอ่ยชมทิวทัศน์รอบ ๆ กายอยู่ไม่ขาดปาก ยิ่งตอนที่เท้าได้เหยียบบนลานหิมะก็ยิ่งตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจเลยทีเดียว

       

      สวยจัง นั่นเป็นคำแรกที่ใบพัชรเอ่ยทันทีที่ก้าวเท้าลงจากกระเช้าลอยฟ้า

       

      เมื่อทุกคนสวมรองเท้าสกีพร้อมกับอุปกรณ์ครบครันแล้วต่างคนต่างก็วิ่งออกไปเล่นสกีทันที เหลือเพียงแต่ใบพัชรที่ยังก้มใส่รองเท้าเงอะ ๆ งะ ๆ อยู่คนเดียว เพราะทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยเล่นสกีกับเขาเสียที

       

      เธอกำลังต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ แต่พอมองไปแล้วก็เห็นเพื่อนอยู่ไกลลิบ ๆ ออกไป จึงไม่ได้ตะโกนเรียก เป็นจังหวะเดียวกับที่พระเอกขี่ม้าขาวก็โผล่ออกมาช่วยพอดิบพอดี

       

      มา ผมช่วยเอง ทาชิม่าบอกแล้วก้มลงจัดการสวมรองเท้าให้ใบพัชร

       

      หญิงสาวก็ได้แต่มองตามการกระทำเขาตาปริบ ๆ และนึกขอบคุณเขาอยู่ในใจ เธอมีโอกาสได้สังเกตเขาดี ๆ ก็คราวนี้แหละ

       

      หน้าเนี๊ยน...เนียนอย่างกะตูดเด็ก ไม่เห็นมีสงมีสิวบ้างเลยนั่น ๆ ๆ จมูกโด๊ง...โด่ง...จะว่าไปก็หล่อแฮะตาหมอนี่ มิน่าล่ะ...สาว ๆ ที่คณะถึงกรี๊ดกร๊าดกันนักหนา...

       

      หญิงสาวยังคงไล่สายตาสำรวจใบหน้าของชายหนุ่มเรื่อยไป จนกระทั่ง...

       

      คุณหายเจ็บข้อเท้าแล้วเหรอ เขาเอ่ยถามขณะเงยหน้าขึ้นมามองโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว เลยหลบตาเขาไม่ทัน ปากก็ตอบคำถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

       

      ไม่ได้มองนะ ฉันไม่ได้มอง...คำตอบของใบพัชรทำเอาเขามึนงงไปชั่วขณะ

       

      ถามอีกอย่าง ตอบอีกอย่าง...เป็นอะไรไปเนี่ย

       

      ผมถามว่าคุณหายเจ็บข้อเท้าแล้วเหรอ ไม่ได้ถามว่าคุณมองอะไรอยู่ซักหน่อยชายหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะ แล้วลุกขึ้นยืน

       

      อ๋อ...หายแล้ว...อืม...หายแล้ว... ดูเหมือนหญิงสาวจะกลายเป็นคนติดอ่างไปเสียแล้ว ท่าทางประหม่าของเธอทำให้เขาเดาว่าเธอคงตื่นเต้นกับการเล่นสกี

       

      คุณเล่นเป็นไหม

       

      เอ่อ...เป็นสิ...ระดับนี้แล้ว ด้วยกลัวเสียฟอร์มเธอเลยตอบเท็จออกไป และเหมือนเขาจะรู้ทันเธอจึงเอ่ยต่อไป

       

      งั้น...ก็ เล่นตามสบาย ผมไปล่ะเขาว่าแล้วผละจากไป ใบพัชรคิดจะเรียกเขาไว้ แต่ก็กลัวเสียหน้าเพราะปดเขาไปแล้วว่าเล่นเป็น จึงได้แต่มองตามหลังเขาตาละห้อย

       

      แล้วเราจะตายมั้ยเนี่ย เล่นก็ไม่เป็นได้ทีก็บ่นกับตัวเองเป็นภาษาไทยชัดแจ๋ว

       

      เอาวะ...ตายเป็นตาย ว่าแล้วก็ค่อย ๆ ขยับเท้าออกไป แต่เพียงก้าวแรกเธอก็ต้องล้มก้นจ้ำพื้นเสียแล้ว

       

      โอ๊ย...เจ็บโว้ย...สกีบ้าอะไรทำไมมันเล่นยากอย่างนี้เนี่ย เธอโพล่งออกมาดัง ๆ หงุดหงิดกับฝีมือการเล่นสกีที่ไม่ได้เรื่องของตัวเอง

       

      ไหนบอกเล่นเป็น ทำไมถึงล้มลงกับพื้นเร็วนักล่ะเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะดังอยู่เบื้องหน้า เมื่อใบพัชรเห็นว่าเป็นใครก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

       

      เล่นไม่เป็นก็ไม่บอก ผมจะได้ช่วยสอนให้เขาว่าขณะใช้ไม้ดันกับพื้นแล้วก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เธอ

       

      ใครบอกว่าฉันเล่นไม่เป็น หญิงสาวเชิดหน้าเถียงไปอย่างข้าง ๆ คู ๆ

                     

      โกหกผู้ใหญ่ไม่ดีนะคุณ มา...ผมช่วยเขาว่าขณะเข้าไปใกล้

       

      เอ๊ะ... เธอคิดจะเถียง แต่ก็เปลี่ยนใจเป็นนิ่งเงียบแทนเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงเลยเถียงไม่ออก

       

      การเล่นสกีที่ถูกต้อง สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องรักษาน้ำหนักตัวที่กดลงบนขาทั้งสองข้างให้สมดุลกัน หากจะเลี้ยวไปทางซ้ายให้กดน้ำหนักลงที่ขาขวา หากจะเลี้ยวไปด้านขวาให้กดน้ำหนักลงที่ขาซ้าย ถ้าต้องการจะหยุดให้พยายามทำรองเท้าสกีให้เป็นตัววีคว่ำ แล้วย่อเข่าลงเล็กน้อยพร้อมกับกดน้ำหนักลงที่ขาทั้งสองข้าง แต่ถ้าคุณจะล้ม ให้ล้มลงด้านข้าง ห้ามล้มข้างหน้าหรือข้างหลังเด็ดขาด เพราะขาหรือแขนอาจจะหักได้ แล้วที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งให้ระวังอย่าให้ไม้สกีที่ใส่อยู่ไขว้กันตอนล้ม เข้าใจไหม เขาอธิบายให้หญิงสาวฟังเสียยืดยาว เธอก็ไม่เอ่ยอะไรตอบกลับมา ได้แต่ยืนนิ่งฟังสิ่งที่เขาบัญชา

       

      ไหนลองดูนะ ช้า ๆ ล่ะเขาบอก

       

      เมื่อใบพัชรเงยหน้ามองเขาเธอก็ได้รับสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจส่งมาให้ ก่อนค่อย ๆ ขยับขาออกไป แต่ออกไปได้แค่ไม่ถึงสามเมตรก็ล้มลงอีก เขารีบปราดเข้ามาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องโอ๊ยของหญิงสาวดังลั่น

       

      เป็นอะไรไหม เจ็บข้อเท้าที่เดิมหรือเปล่าทาชิม่าเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

       

      เปล่า เจ็บตูดเฉย ๆคำตอบของหญิงสาวทำให้เขาโล่งใจ

       

      ไหวหรือเปล่า เอาอย่างนี้...เดี๋ยวผมอยู่ด้านหน้าคุณแล้วคุณก็ยืดผมไว้ก็แล้วกันนะ น้ำเสียงนั้นดูเหมือนจะคอยให้กำลังใจหญิงสาวอยู่อย่างเต็มที่ นั่นจึงพลอยทำให้เธอมีกำลังฮึดขึ้นมาอีกครั้ง

       

      ใจเย็น ๆ นะ ไม่ต้องรีบเขาบอกแล้วก็ยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปให้เธอจับ ตอนแรกหญิงสาวมีท่าทีลังเลแต่ในที่สุดก็ยอมรับการช่วยเหลือของเขา

       

      ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินถอยไปข้างหลังทีละก้าวให้เป็นจังหวะเดียวกับหญิงสาวที่กำลังก้าวมาข้างหน้า เริ่มต้นอย่างช้า ๆ แล้วก็เร็วขึ้นทีละนิด ก่อนเธอจะไถลเท้าได้คล่องขึ้นมาก ความดีใจเจือบนใบหน้าหญิงสาวอย่างปิดไม่มิด ทำให้เขาพลอยยิ้มตามไปด้วย ในใจเขาก็แอบคิด

       

      ถ้าเธอยิ้มบ้างก็น่ารักไม่เบานะเนี่ย...

       

      ชายหนุ่มกับหญิงสาวฝึกฝนการเล่นสกีด้วยกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองดูเหมือนจะดีขึ้นมาก

       

      จังหวะนั้นหญิงสาวก้าวพลาดทำให้รองเท้าสกีของเธอเหยียบทับไปบนรองเท้าของเขา ทำให้ทาชิม่าเสียหลักล้มลง หญิงสาวที่เกาะแขนเขาอยู่ก็พลอยล้มลงไปทับตัวเขาตามไปด้วย

       

      เจ็บตรงไหนมั้ยพัชร ชายหนุ่มถามหญิงสาวทันทีที่ล้มลงไป

       

      ฉันไม่เป็นไร...แล้วคุณล่ะเป็นอะไรไหม...ฉันขอโทษนะ...ฉัน... หญิงสาวละล่ำละลักถามเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำหน้าตาเหยเกเหมือนเจ็บปวด

       

      คุณเจ็บตรงไหน บอกฉันสิ ใบพัชรเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ถามคำถามเดิมกับชายหนุ่มซ้ำไปซ้ำมา

       

      แขน...แขนผม... เขาทำหน้าราวเจ็บปวด ก่อนตอบเสียงรอดไรฟันราวกับต้องการระงับความเจ็บปวดไว้อย่างยากเย็น

       

      แขนเหรอ...แขนหักเหรอคุณ ตายแล้ว คุณเจ็บมากไหม อดทนหน่อยนะฉันจะไปตามคนมาช่วยนะ หญิงสาวตั้งท่าจะลุกขึ้นไปจริง ๆ หากแต่มือแกร่งของเขากลับยึดข้อมือเธอไว้แน่น

       

      ผมไม่เป็นอะไรหรอก ผมหลอกคุณเล่นสิ้นสุดคำของชายหนุ่ม ใบพัชรถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนตีหน้ายักษ์ใส่เขาพร้อมกับซัดทั้งฝ่ามือทั้งกำปั้นใส่อกชายหนุ่มไม่ยั้ง ปากก็ด่าทอเขาสารพัด

       

      อีตาบ้า หลอกฉันเหรอ คนบ้า ปล่อยให้ฉันเป็นห่วงอยู่ได้ รู้อย่างนี้น่าจะกระโดดเหยียบแขนให้หักไปจริง ๆ เลยซะก็ดี

       

      โอ๊ย พอได้แล้วคุณ ผมเจ็บจริง ๆ นะเนี่ย ผมจะตายเพราะกำปั้นคุณเนี่ยแหละ ชายหนุ่มใช้มือปัดป้องกำปั้นของหญิงสาวเป็นพัลวัน ก่อนสบโอกาสยึดข้อมือของเธอไว้ให้อยู่นิ่ง ๆ ได้

       

      ผมหายเจ็บตั้งแต่คุณถามผมว่า เป็นอะไรไหมแล้วล่ะ

       

      ทาชิม่าค่อย ๆ เอ่ยออกมา พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตคู่นั้นของเธอเหมือนต้องการสื่อความรู้สึกบางอย่างที่มีอยู่ในใจ

       

      ขอบคุณนะที่เป็นห่วงผม ผมไม่เป็นอะไรหรอกเขาว่าเสียงนุ่ม ใบพัชรได้แต่นิ่งเงียบราวกับต้องมนต์เสน่ห์ของเขา แต่ครู่เดียวมนต์ก็เสื่อม

       

      ปล่อย ฉันจะไปเล่นสกีต่อแล้ว ใบพัชรผลักตัวเขาออกห่างแล้วรีบลุกขึ้นยืนในทันทีก่อนที่เขาจะลุกขึ้นตาม

       

      รู้สึกว่าหัวใจจะกระชุมกระชวยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาอิ่มอกอิ่มใจที่ได้เห็นท่าทีขวยเขินของหญิงสาวจนแก้มแดง

       

      ทาชิม่ายังคงช่วยดูแลให้ใบพัชรเล่นสกีอย่างปลอดภัยไม่ห่าง ทั้ง ๆ ที่เธอออกปากไล่เขาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่เขาก็ไม่ยอมไปเสียที หญิงสาวคิดจะหนีไปเล่นไกล ๆ แต่เขาก็ยังตามมาทันอยู่ดี เธอจึงไม่มีทางเลือกเลยจำต้องเล่นสกีกับเขาอยู่อย่างนั้น แต่ท่าทีปั้นปึ่งกลับไม่ปรากฎบนใบหน้าของใบพัชรอีกเลย มีเพียงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดการเล่นสกีวันนี้ทั้งวัน

       

       

      หลายวันมาแล้วที่ใบพัชรไม่ได้เจอกับปวีร์รุ่นพี่คนไทยที่สนิท ครั้งสุดท้ายที่เจอกันคือช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา

       

      ปวีร์กำลังยุ่งอยู่กับการติดต่อโอนหน่วยกิตกลับไปยังมหาวิทยาลัยที่เมืองไทยก่อนเดินทางกลับ

       

      ยิ่งใกล้เวลาสอบปลายภาคเช่นนี้ด้วยแล้วเธอก็ต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเช่นกัน เวลาที่จะพบเขาจึงแทบจะไม่มี อีกอย่างหนึ่งที่พักของปวีร์ก็ไม่ได้อยู่ใกล้กับที่พักของเธอ ส่วนใหญ่จึงพูดคุยกันทางโทรศัพท์เสียมากกว่า

       

      หญิงสาวพยายามที่จะรวบรวมสมาธิให้จดจ่อกับหนังสือตรงหน้า แต่วิชาที่อ่านนั้นยากทำให้ไม่เข้าใจจึงเกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หนังสือเล่มหนาเลยถูกปาติดผนังห้องเสียงดังสนั่น ทำเอาคนห้องข้าง ๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง

      ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปเคาะประตู

       

      หลังประตูไม้บานนั้นเขาได้เห็นใบหน้าหงิกงอของหญิงสาวที่ทำเอาเขารู้สึกหวาด ๆ

       

      เอ่อ...ทำอะไรอยู่เหรอ ได้ยินเสียงโครมคราม เขาถามด้วยความหวาดหวั่นว่าพายุจะโหมกระพือ

       

      อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลยปาหนังสือทิ้ง ทำไม เสียงดังรบกวนมากเลยหรือยังไง เธอว่าอย่างหงุดหงิด หน้าตาบอกบุญไม่รับ

       

      ปละ...เปล่า...นึกว่าเป็นอะไรไป...อ่านวิชาอะไรอยู่เหรอ เขาถามขณะสังเกตใบหน้างอง้ำของเธอ

       

      วิชาแร่วิทยา วิชาอะไรก็ไม่รู้ยากเป็นบ้า ยิ่งอ่านก็ยิ่งไม่รู้เรื่องเธอว่าด้วยใบหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์หนักขึ้น เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย

       

      ผมช่วยติวให้เอามั้ย ผมพอจะมีความรู้หลงเหลือจากตอนเรียนปริญญาตรีอยู่บ้าง

       

      ใบพัชรมองเขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ อยากจะตอบรับแต่ก็รู้สึกเกรงใจซึ่งเป็นมารยาทของคนไทยที่ถูกพ่อแม่อบรมสั่งสมมา

       

      ไม่เป็นไร อ่านเองได้ รบกวนเวลาอ่านหนังสือของคุณเปล่า ๆ เธอว่าตั้งท่าจะปิดประตูห้อง

       

      ไม่เป็นไรครับ ผมอ่านจบไปหลายรอบแล้ว รอบนี้อ่านทบทวนให้มั่นใจเท่านั้น เขาว่าโดยที่เธอไม่ได้สังเกตเห็นความกระตือรือร้นในแววตาคู่นั้นแต่อย่างใด

       

      หญิงสาวมองเขาอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นและจริงใจคู่นั้นจึงนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งก่อนตอบตกลง

       

      ถ้าอย่างนั้นก็...ขอรบกวนด้วยก็แล้วกัน แล้วเธอจึงเปิดประตูห้องให้กว้างขึ้นเพื่อให้เขาเดินเข้ามา

       

      เริ่มแรกเขามีท่าทีลังเล แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าเจ้าของห้องไม่ได้มีแววกังวลใด ๆ กับการให้เขาเข้าไปอยู่ในห้องกับเธอสองต่อสอง เขาจึงเดินเข้าไป

       

      ขออนุญาตนะครับ

       

      ทาชิม่าใช้เวลาอธิบายจุดที่สำคัญของวิชาแร่วิทยานี้ให้เธอเข้าใจนานกว่า 3 ชั่วโมง

       

      เมื่อเหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยเข้าไปเกือบ 1 ทุ่ม ท้องของหญิงสาวจึงเริ่มอุทธรณ์ เธอเอามือลูบท้องเป็นสัญญาณให้เขาทราบว่า ถึงเวลา ที่เขาต้องหยุดการติวหนังสือไว้เพียงเท่านี้ เขาจึงพยักหน้าแล้วจึงปิดหนังสือลง

       

      ใบพัชรบิดตัวเพื่อไล่อาการเมื่อยขบแล้วทิ้งตัวลงพิงพนักโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อนพลางหลับตาพริ้มก่อนเอ่ยถามเขา

       

      จะกินอะไรดีเย็นนี้ แต่เธอกลับไม่ได้รับคำตอบจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จึงลืมตาขึ้นเพื่อจะเอาคำตอบ แต่ก็พบว่าเขาจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อสายตาเธอก็ปะทะกับสายตาของเขาเธอก็นึกแปลกใจ แต่ก็ทำใจกล้ามองเขาตอบแล้วเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง

       

      จะกินข้าวที่ไหนดี นั่นแหละเขาจึงเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง

       

      เอ่อ...แล้วแต่พัชรก็แล้วกัน ผมทานอะไรก็ได้ เขาให้สิทธิ์การตัดสินใจเลือกร้านแก่เธอแล้วจึงเอ่ยขอตัวกลับไปล้างหน้าล้างตาที่ห้อง

       

      เดี๋ยวผมมาเคาะประตูเรียกนะ

       

      เมื่อร่างสูงโปร่งเดินลับประตูไปหญิงสาวก็วิ่งปรู๊ดไปที่หน้ากระจกอย่างรวดเร็ว มองสำรวจใบหน้าตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา เธอแก้มแดงได้เพราะสายตาเขาหรอกหรือ หญิงสาวถึงกับอยากจะแทรกแผ่นดินหนี...

       

      ตาย ๆ ๆ ๆ นี่เราปล่อยไก่หน้าแดงมาวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในห้องเราเองเหรอเนี่ย ใช่สิ..ลืมไปเลยว่าเราอยู่กับอีตาบ้านี่สองต่อสองในห้องตั้งหลายชั่วโมง แล้วยังไปชวนเขาไปกินข้าวอีก...โอ๊ย!! ทำไปได้ยังไงยัยพัชร

       

      แทบจะตีอกชกตัวแล้วกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปเสียถ้าหากไม่มีเสียงเคาะประตูเสียก่อน

       

      เธอพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วคว้าเสื้อกันหนาวหนังสีครีมตัวโปรดกับกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลใบเล็กที่วางอยู่ตรงหัวเตียงเดินออกไปด้วยท่าทางมาดมั่น แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับความรู้สึกหนึ่งที่แวบเข้ามา

       

      หญิงสาวเลือกตัดสินใจฝากท้องกับร้านเนื้อย่างเล็ก ๆ บรรยากาศดี แต่ราคาถูกตรงหัวมุมถนนใกล้หอพัก ทาชิม่าเองก็ไม่คัดค้านอะไรเพราะเขาทานได้ทุกอย่างไม่เกี่ยงอยู่แล้ว

       

      เมื่อเข้าไปนั่งในร้าน ก็เป็นใบพัชรอีกนั่นแหละที่เป็นคนสั่งอาหารมาเป็นกองพะเนิน

       

      มีทั้งเนื้อสารพัดชนิดแล่บางใส่ถาดใบโตหน้าตาน่าทาน, เห็ดชิตาเกะ, ไข่ไก่และผักสารพัดชนิดรวมถึงเต้าหู้ และที่ขาดไม่ได้ก็คือเนื้อบาซาชิ (เนื้อม้าสด) อาหารขึ้นชื่อของเมืองคุมาโมโต้ที่ใบพัชรโปรดปรานเป็นพิเศษ

       

      ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ตอนนี้ตาโตเมื่อเห็นอาหารที่ยกมาเสิร์ฟ เธอยิ้มกว้างให้เขาก่อนที่จะเอ่ยขออนุญาตลงมือทาน เขายิ้มให้เธอเช่นกัน

       

      ทาชิม่าบอกกับตัวเองว่าเธอมักจะอารมณ์ดีเมื่ออยู่กับอาหารเสมอ

       

      ปกติทานข้าวที่ไหนเหรอ เธอถามเหมือนชวนคุย

       

      ไม่เป็นที่น่ะ ถ้าวันไหนยุ่ง ๆ ก็กินที่ร้านอาหารทานง่าย ๆ แถวนี้ แต่ถ้ามีเวลาว่างมากหน่อยก็ซื้อไปทำเองในห้อง แต่ก็นาน ๆ ทีเพราะไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ คุณล่ะชอบทานอาหารอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า เขาถามกลับ

       

      ก็กินได้ทุกอย่างแหละ แต่ที่ชอบที่สุดก็คงเป็น...ซูชิ อร่อยดี ชอบตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทยแล้ว ซาชิมิก็อร่อย ชอบหมดเลยเธอตอบพลางคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก แล้วจึงคีบอีกชิ้นหนึ่งใส่ถ้วยของเขา

       

      ดูท่าทางคุณน่าจะเรียนหนักนะ เธอเอ่ยลอย ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก

       

      ก็ใกล้จะจบแล้วนี่ครับก็เรียนหนักเป็นธรรมดา ไหนจะวิทยานิพนธ์ไหนจะรายงานย่อย เยอะแยะเต็มไปหมด

       

      แล้วจบไปจะทำงานอะไรล่ะ เธอถามขณะเงยหน้าสบตาคนตรงข้ามพลางเคี้ยวตุ้ย ๆ

       

      ผมยังไม่แน่ใจเลย กำลังชั่งใจว่าจะเรียนต่อปริญญาเอกหรือจะพักทำงานก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อดี เขาว่าหน้าตาจริงจัง

       

      ขยันจัง เรียนตั้งปริญญาโทแล้วยังคิดจะต่อปริญญาเอกอีก คงเหนื่อยแย่ เธอว่าพลางวางตะเกียบแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

       

      ทั้งสองใช้เวลาในการจัดการกับอาหารตรงหน้ากว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อทานเสร็จ ปัญหาที่ตามมาก็คือการแย่งกันจ่ายค่าอาหาร เขาทำท่าจะควักเงินออกมาจ่ายแต่ก็ถูกเธอห้าม

       

      ไม่ต้องเลย คุณอุตส่าห์ติวหนังสือให้ฉันแล้วยังจะมาจ่ายค่าอาหารให้อีกเหรอ ไม่ได้ ๆ เธอทำท่าจะควักเงินออกมาจ่ายบ้าง

       

      ไม่เป็นไรครับ คุณเลี้ยงอุด้งผมมาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ต้องเลี้ยงผมอีกหรอก

                     

                      ไม่เอา คราวที่แล้วคุณช่วยชีวิตฉันไว้ ไหนจะช่วยสอนฉันเล่นสกีอีก ฉันก็เลี้ยงขอบคุณ และครั้งนี้คุณก็ช่วยติวหนังสือให้ฉันอีกฉันก็ต้องเลี้ยงตอบแทน เราจะได้ไม่เป็นหนี้บุญคุณต่อกันเธอเริ่มเถียง

                     

                      บุญคุณอะไรกัน ไม่ใช่สักนิด ผมต่างหากที่อาสาติวให้คุณเอง คุณไม่ได้ขอร้องผมเลยคุณไม่ต้องถือเป็นบุญคุณอะไรหรอก เดี๋ยวผมจ่ายเอง

                     

                      ขณะที่ทั้งสองยังหาข้อสรุปไม่ได้คนในร้านก็เริ่มหันมามองทั้งคู่อย่างสนใจ เนื่องจากเสียงที่พูดโต้ตอบกันนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเธอจึงเอ่ยตัดสินว่า

                     

                      จ่ายคนละครึ่ง...จบ นั่นแหละถึงได้ข้อยุติ

       

                     

      ทั้งสองเดินทอดน่องไปตามบาทวิถีอย่างไม่อนาทรร้อนใจกับอากาศหนาวเย็นที่ปกคลุมรอบ ๆ กายแต่อย่างใด ชายหนุ่มเดินเยื้องหญิงสาวมาทางด้านหลังนิดหนึ่งจึงมีโอกาสได้สังเกตด้านข้างของหญิงสาวได้อย่างถนัดตา

                     

      ร่างโปร่งบางนั้นเดินเอื่อย ๆ อย่างไม่อนาทร ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตคู่นั้นมองตรงไปข้างหน้า ใบหน้าเชิดน้อย ๆ  นั้นทำให้จมูกขึ้นสันนั้นเชิดดูรั้นอย่างคนถือตัวตามไปด้วย ผมยาวดำขลับปล่อยสยายเคลียแก้มนวลเนียนนั้นทำให้เขารู้สึกอยากจะใช้มือเกลี่ยผมให้พ้นไปเพื่อจะได้เผยให้เห็นแก้มนวลเนียนนั้นอย่างเต็มตา

       

      ยามใบหน้าหญิงสาวต้องแสงไฟจากหลอดนีออนริมถนนดูสงบนิ่งราวกับรูปปั้นกรีกโบราณก็ไม่ปาน

       

                      ดูปากอิ่มหยักนั่นสิ...น่าสัมผัส

       

                      เขาสะดุ้งเฮือกกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะสะบัดหน้าไล่ความรู้สึกนั้นให้หายไป

                     

      หลังจากกลับมาจากร้านอาหาร ทาชิม่าก็ไม่ได้ติวหนังสือให้หญิงสาวต่อ เพราะเห็นว่าดึกมากแล้วต่างคนจึงต่างแยกย้ายไปพักผ่อน

       

      หลังจากอาบน้ำให้สบายเนื้อสบายตัวแล้ว ชายหนุ่มจึงล้มตัวลงนอนบนที่นอนหนานุ่ม กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ทำให้นอนไม่หลับ จึงได้แต่นอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด

       

      อยู่ ๆ ดวงหน้าของคนข้างห้องก็ลอยมาอยู่ในห้วงคำนึง เขาอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้เมื่อนึกถึงท่าทางเหมือนเด็กเอาแต่ใจของเธอ

       

      ใบหน้าสวยนั้นมักจะงอง้ำเมื่อถูกขัดใจ...ยิ้มร่าเวลาได้ทานของอร่อย...ถมึงทึงในเวลาที่โกรธและไม่พอใจ...หรือแม้แต่...ใบหน้าแดงปลั่งเวลาเขิน...

       

      น่าแปลกที่เขาสามารถจดจำรายละเอียดของเธอได้เกือบจะทั้งหมด...และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำด่าทอสารพัดที่เธอฝากไว้กับเขาเมื่อหลายเดือนก่อน...

       

      นึกแล้วยังขยาดไม่หาย...อึ๊ย...

       

      มือแกร่ง ๆ ค่อย ๆ ยกขึ้นทาบอกกว้างของตัวเอง...

       

      ตรงนี้ใช่มั้ยที่เธอเคยซบอยู่เมื่อวันนั้น...ที่งานวัด ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดอยู่ตรงนี้ มันผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว แต่ทำไม...เรายังรู้สึกว่ามันยังอุ่น ๆ อยู่เลย...

       

      เขายิ้มกับตัวเอง ที่เพิ่งเข้าใจถึงอาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองโดยมีสาวน้อยชาวไทยข้างห้องเป็นสาเหตุ เขาเขกหัวตัวเองเบา ๆ ทีหนึ่งก่อนหลับตาลงอย่างยากเย็น

       

       

      หลังการสอบเพียงไม่กี่วัน ก็ถึงกำหนดเดินทางกลับประเทศไทยของปวีร์

       

      ทาชิม่าและใบพัชรไปส่งปวีร์ที่สนามบินเมืองฟุกุโอกะ และปวีร์ก็ไม่ลืมที่จะฝากฝังหญิงสาวรุ่นน้องให้เพื่อนรุ่นพี่คนสนิทของเขาช่วยดูแล คนถูกรับฝากก็รับปากอย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าสาวน้อยจะเอ่ยบอกว่า

       

      ไม่ต้องหรอก พัชรดูแลตัวเองได้ ก็ตาม

       

      ใบพัชรคงรู้สึกเหงาเพราะปวีร์กลับเมืองไทยไปแล้ว เพื่อนคนอื่นก็พากันกลับบ้านต่างจังหวัดกันหมด นี่ถ้าไม่มีคนข้างห้องอยู่เป็นเพื่อนคุยเล่น พาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่บ้าง ช่วงปิดเทอมของเธอคงกลายเป็นช่วงที่น่าเบื่อที่สุด

       

      เขาและเธอสนิทสนมกันมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ความบาดหมางที่เคยมีเมื่อครึ่งปีก่อนค่อย ๆ จางหายไปทีละนิด

       

      เธอรู้สึกสนิทใจกับเขาเสียจนกล้าที่จะไปไหนมาไหนกับเขาโดยที่ไม่ต้องปั้นหน้าเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน

       

      บังคับให้เขาเป็นไกด์พาเที่ยวเมืองคุมาโมโต้บ้าง พาไปชิมของอร่อย ๆ ทั่วเมืองบ้าง ช่วยติวหนังสือให้บ้าง

       

      ใบพัชรเดินเข้าออกห้องเขาเป็นว่าเล่น จนเธอคิดว่าเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว...

       

      เธอไม่ได้ระแวงเขาเลย แต่กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่เกิดอาการกลัวหัวใจตัวเองขึ้นมาจับใจ...

       

      ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยสาวน้อยว่าการอยู่ในห้องกับผู้ชายสองต่อสองมันอันตรายขนาดไหน...

       

       

      อากาศเดือนเมษายนเริ่มอบอุ่นขึ้นมาก หิมะกองโตเริ่มละลาย ต้นไม้นานาพรรณเริ่มแตกยอดสีเขียวขจีชูไสว กลิ่นไอแห่งธรรมชาติและชีวิตเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ดอกซากุระสีชมพูแซมขาวพากันแตกกิ่งก้านบานดอกสะพรั่งไปทั่ว เป็นที่ทราบกันดีว่าถึงฤดูแห่งการชมดอกซากุระแล้ว

       

       ในแถบคิวชูนี้จะเป็นที่ที่ได้ชมซากุระก่อนที่อื่น ๆ เพราะอยู่ในเขตอากาศอบอุ่น

       

      ทาชิม่าทำใจกล้าเข้าไปชวนใบพัชรไปชมดอกซากุระในวันหนึ่ง และหญิงสาวก็ตอบตกลงอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะดอกซากุระมีให้ชมแค่ปีละครั้ง และเธอก็อยู่ที่นี่ได้เพียง 1 ปี ไม่นานก็ต้องกลับเมืองไทยแล้วจึงไม่อยากพลาดโอกาสดี ๆ นี้ไป

       

      ผมอยากรบกวนให้พัชรช่วยผมเลือกซื้อของขวัญสักชิ้นนึงจะได้มั้ย เขาเอ่ยถาม

       

      อ๋อ ได้สิไม่มีปัญหาเธอว่าอย่างร่าเริง

       

      ถ้าอย่างนั้นก็พบกันพรุ่งนี้สิบโมงนะครับ เขาว่าก่อนเดินกลับห้องไป

       

      เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสองคนออกจากห้องกันตอนสาย ๆ ทาชิม่าเดินนำเธอเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่งที่ถนนชิโมโตริ แหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมืองคุมาโมโต้

       

      เขากวาดตามองบนตู้ใส่เครื่องเงินที่มีทั้งสร้อยข้อมือ สร้อยคอ จี้ ต่างหู และแหวน ที่วางเรียงรายอยู่อย่างละลานตามากมายเสียจนเขาสับสนและเลือกไม่ถูกจึงเรียกให้ใบพัชรที่กำลังยืนดูแหวนอยู่อีกมุมหนึ่งมาช่วยเลือก

       

      หญิงสาวเดินมาดูตามคำขอ

       

      จะเอาไปให้ใครล่ะ จะได้เลือกได้ถูกเธอถามเขาแต่เขากลับมีท่าทีอึกอัก ตอบไม่ถูก ได้แต่ยิ้มเขินหน้าแดงไปถึงใบหู ทำให้หญิงสาวสรุปเอาเองว่า

       

      เขาคงเอาให้แฟน...

       

      เหมือนหัวใจเธอถูกกระตุกจนวูบไหว มือบาง ๆ นั้นเริ่มมีเหงื่อซึม แต่ก็กลบเกลื่อนด้วยการแกล้งหัวเราะสัพยอกเขาว่า

       

      ไม่น่าถามเลยเนอะ คุณก็น่าจะมีแฟนได้แล้ว แก่จนปูนนี้

       

      ใบพัชรนึกถึงหญิงสาวร่างเล็กที่เธอเจอพร้อมกับเขาในงานวัดเมื่อหลายเดือนก่อน...

                     

      คงเป็นหล่อนนั่นแหละ...แฟนเขา

       

      หญิงสาวพยายามสะบัดศีรษะไล่อาการบางอย่างที่เข้ามาก่อกวน แล้วจึงกวาดตาไปบนตู้เครื่องประดับช้า ๆ สะดุดตากับสร้อยเงินแบบเรียบคู่หนึ่ง มีจี้เงินรูปหัวใจคู่คล้องกัน สามารถแยกออกเป็นสองดวงได้

       

      เหมาะกับคนสองคน...

       

      เธอชี้ชวนให้เขาดู เขาหันมาถามเธอ

       

      พัชรชอบใช่ไหม เธอก็ตอบรับโดยไม่ติดใจอะไรในคำถาม เพราะมัวแต่ชื่นชมความงามของสร้อยสองเส้นนั้น เขาสั่งให้คนขายแยกสร้อยออกเป็นสองกล่อง เมื่อจ่ายเงินแล้วจึงเดินออกมา ใบพัชรรู้สึกว่าตัวเองไม่แจ่มใสเหมือนกับอากาศเอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไปชมดอกซากุระกับเขาที่สวนสาธารณะ

       

      คนแน่นขนัดในบริเวณนั้น แต่ก็ยังพอมีที่ว่างให้เขาและเธอปูผ้ายางนั่งทานอาหารกลางวันด้วยกันตรงริมสระ ดูเธอจะสดชื่นขึ้นมาเมื่อเห็นอาหารที่เขาเป็นคนจัดเตรียมมา มีทั้งข้าวปั้นห่อสาหร่าย, ไก่ทอดคาราอาเกะ, สลัดมันฝรั่งบด, ผลไม้อีก 2 3 ชนิด และเครื่องดื่มทั้งน้ำผลไม้และเบียร์ดีกรีต่ำ

       

      เมื่อลงมือรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็หันมาเปิดกระป๋องเบียร์ดื่ม เหมือนเรียกความมั่นใจให้ตนเอง 

      ชายหนุ่มหันไปมองหญิงสาวชาวต่างชาติร่างโปร่งที่นั่งทอดสายตาไปในสระน้ำโดยไม่แตะต้องอะไรอีกนอกจากน้ำผลไม้กระป๋อง

       

      คิดอะไรอยู่หรือครับเขาถามเรียบ ๆ ทำให้ใบพัชรหันมามองเขาเต็มหน้า แล้วยิ้มจาง ๆ ก่อนตอบ

       

      คิดว่าอีกไม่กี่เดือนฉันก็ต้องกลับเมืองไทยแล้วน่ะสิ ฉันคงคิดถึงที่นี่น่าดู

       

      ทาชิม่าพยักหน้ารับ หญิงสาวนิ่งไปก่อนจะเอ่ยถาม

       

      แฟนคุณไปไหน ไม่มาดูดอกซากุระด้วยกันเหรอ

       

      ชายหนุ่มแทบสำลักเบียร์ก่อนหันมามองเธอเต็มตา คิ้วคู่นั้นขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด...

       

       เราไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

       

      ก็ผู้หญิงคนนั้นไง ที่เจอตอนงานวัดชิโจ...

       

      เมื่อนึกขึ้นได้ เขาจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบไปว่า

       

      อ๋อ...โยชิดะซังน่ะเหรอครับ เขาคงไปชมซากุระกับครอบครัวของเขาน่ะ

       

      คราวนี้เป็นใบพัชรที่เป็นฝ่ายพยักหน้ารับรู้บ้าง รู้สึกโกรธกรุ่นขึ้นมานิด ๆ อย่างไร้สาเหตุ

       

      เขาไม่ปฏิเสธว่าผู้หญิงคนที่เธอพบวันนั้นเป็นแฟนเขา แสดงว่าสิ่งที่เธอเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว สร้อยเส้นที่เขาให้เธอช่วยเลือกวันนี้ก็คงเป็นของผู้หญิงคนนั้น ชายหนุ่มยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกหนึ่งก่อนถาม

       

      พัชร...วันนั้น...เอ่อ...ที่งานวัดน่ะ คุณโกรธผมหรือเปล่า เธอหันไปมองหน้าเขา คิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย

       

      โกรธเรื่องอะไร เธอถาม พลางสบตาเขาตรง ๆ

                     

      ทำไมถึงเดินกลับหอไปไม่บอกผม รู้หรือเปล่าว่าผมเป็นห่วง...

       

      เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าวก่อนตอบคำถามของเขาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวผิดวิสัยที่เธอเป็น

       

      ก็คุณยืนคุยกับแฟนคุณอยู่ฉันก็เลยไม่กล้ารบกวน ฉันไม่อยากให้แฟนของคุณเข้าใจผิด...อันที่จริงวันนี้ฉันก็มีความผิดอยู่มากที่เป็นภาระให้คุณต้องพาฉันมาเที่ยว ทั้ง ๆ ที่ช่วงเวลาดี ๆ แบบนี้คุณควรจะอยู่กับครอบครับหรืออยู่กับแฟน...ฉันขอโทษนะ...ขอโทษจริง ๆ

       

      เธอกล่าวเหมือนขอลุแก่โทษแล้วก้มหน้านิ่ง ความน้อยอกน้อยใจเริ่มพรั่งพรูขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

                     

      เราเป็นภาระให้เขาต้องลำบาก...เราทำให้เขาไม่ได้อยู่กับแฟน...

       

      ชายหนุ่มตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจเสมองลงไปในสระน้ำก่อนที่ต่างฝ่ายต่างนิ่งงันไป ไม่มีใครพูดอะไรอีก กระทั่งกลับ

       

       

      บรรยากาศการพบหน้าของทั้งสองคนดูเหมือนจะเปลี่ยนไป  ใบพัชรรู้สึกแปลกใจที่ไม่ค่อยได้เจอเขาเหมือนอย่างเคย ทั้ง ๆ ที่พักห้องติดกัน จากที่เคยไปทานอาหารเย็นกับเขาแทบทุกมื้อก็ไม่ได้ไปอีกเลย โทรไปหาเขา เขาก็ปิดเครื่อง...

       

      นี่มันอะไรกัน...เขาต้องการหลบหน้าเราอย่างนั้นหรือ...หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากให้แฟนเขาเข้าใจผิด เขาเลยไม่อยากพบหน้าเราอีก...อย่างนั้นใช่ไหม เราเป็นตัวปัญหาของเขากับแฟนเขาใช่ไหม

       

      ใบพัชรรู้สึกน้อยใจและเหงาขึ้นมาจับใจ แล้วนี่เธอต้องอยู่คนเดียวจนกว่าเปิดเทอมไปอีกหลายวันโดยที่ไม่มีเขาอยู่เป็นเพื่อนอีกแล้วใช่ไหม

       

      ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเวลาของการเปิดเทอมอีกครั้ง

       

      อากาศดูเหมือนจะคลายความหนาวเย็นลงไปมาก หญิงสาวค่อย ๆ เปิดประตูห้องพักออกไปเรียนอย่างช้า ๆ และเงียบที่สุดเพื่อไม่ให้คนข้างห้องรู้ตัว เพราะเมื่อคืนเธอได้รับรู้การกลับมาของเขาจากเสียงไขประตูห้อง หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนานกว่าสองอาทิตย์

       

      น่าแปลกที่หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างฉับพลัน อยากไปเคาะประตูห้องเขาตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ไม่กล้าเพราะสมองซีกหนึ่งมันสั่งเธอ...หลบหน้าเขาเสีย...เธอไม่ควรพบเขาอีก...อย่าพบกันอีกเลย

       

      เธอยิ้มด้วยความดีใจเมื่อสามารถเดินผ่านห้องพักของเขาไปได้โดยที่เขาไม่เปิดประตูห้องพักออกมาเจอตัวเธอเสียก่อน แต่เมื่อเดินลงไปชั้นล่าง เธอกลับรู้สึกเหมือนถูกรถชนเข้าโครมใหญ่ แล้วหัวใจก็ถูกกระชากออกไปโดยแรง เมื่อเห็นภาพชายหญิงกำลังกอดกันกลมอยู่ที่ประตูทางออก เป็นทาชิม่ากับผู้หญิงของเขา

       

      ทำไมขอบตามันถึงร้อนผ่าวขนาดนี้ด้วยนะ...คงเป็นเพราะอากาศ...ใช่ล่ะ อากาศยังไม่หายหนาว เลยแสบตาเวลาเจอลมเย็น ๆ ไม่ใช่เพราะการที่ฉันเห็นเขากอดอยู่กับแฟนเขาแน่ ๆ ยังไงก็ไม่ใช่...

       

      ใบพัชรยืนชะงักมองภาพนั้นนิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันมาเห็นเธอเข้าพอดี

       

      เขายิ้มให้ ทำท่าจะเอ่ยปากทักทาย แต่ใบพัชรกลับหมุนตัววิ่งไปบนห้องพักเสียดื้อ ๆ ทำเอาคนที่ส่งยิ้มให้ยืนงง

       

      หญิงสาวยืนพิงประตูห้องอย่างอ่อนแรง น้ำใส ๆ ไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว...

       

      นี่เราเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นกับเราหรือ

       

      หญิงสาวพยายามปาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย แต่ก็รู้สึกว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน ยิ่งเช็ดก็ดูเหมือนน้ำตาก็ยิ่งไหลไม่หยุด...

       

      หัวใจเธอเป็นอะไรไปน่ะใบพัชร ทำไมมันถึงปวดปร่าขนาดนี้...เขาก็แค่ยืนกอดกับแฟนเขา...เธอร้องไห้ทำไมกัน

       

      เป็นเวลานานกว่าที่ใบพัชรจะสามารถระงับน้ำตาที่ไหลนองหน้าให้เหือดแห้ง ในใจแอบหวังให้เขาขึ้นมาเคาะประตูแล้วถามเธออย่างห่วงใย แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าหรือเสียงเปิดประตูของห้องข้าง ๆ

       

      เขาจะมาสนใจเธอทำไมกันใบพัชร เธอเป็นใคร...จะสำคัญเท่าผู้หญิงคนนั้นของเขาได้อย่างไรกัน เลิกหวังเสียเถอะ...อย่าแม้แต่จะคิด...อย่าเลย...

       

       

      หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีเขียวน้ำทะเลกับกางเกงสีครีมขาสั้นเหนือเข่า ดูเข้ากับฤดูร้อนที่ร้อนจัดในเดือนกรกฎาคมของเมืองคุมาโมโต้ นั่งกอดเข่ามองกระดาษโน้ตสีเหลืองในมือด้วยสายตาเหม่อลอยอยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาลไหม้ภายในห้องพัก มันเป็นกระดาษโน้ตที่คนข้างห้องเขียนติดประตูไว้ให้เธอเมื่อหลายวันก่อน

       

      ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ไปทานข้าวเป็นเพื่อนเลย

      ช่วงนี้ผมติดธุระด่วนหลายวัน เอาไว้ค่อยคุยกัน...ทาชิม่า

       

      ธุระของเขาจะมีอะไรเล่า ถ้าไม่ใช่การอยู่กับแฟนของเขา ใบพัชรนึกขันตัวเองที่ต่อไปนี้เธอจะได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนเวลาเธอเหงาอีกแล้ว

       

      ต่อไปนี้ จะไม่มีคนให้เธอยืมหนังสือการ์ตูนมาอ่าน

       

      จะไม่มีคนพาไปเที่ยวไหนต่อไหน

       

      จะไม่มีคนพาไปชิมอาหารอร่อย ๆ ทั่วคุมาโมโต้

       

      จะไม่มีคนมาคอยมารองรับอารมณ์โมโหของเธอเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา

       

      และจะไม่มีคนติวหนังสือให้เธออีกต่อไป...

       

      เธอจะไม่มีเขาอีก...มันหายไปแล้วความสุขที่เธอเคยมี...มันหายไปพร้อม ๆ กับคนที่เคยทำให้ชีวิตเธอมีสีสัน...

       

      เขาไม่ใช่ของของเรา เขาเป็นของคนอื่น

       

      หญิงสาวยิ้มเหมือนเยาะตัวเองที่ไม่ต่างไปจากหมาหัวเน่าถูกทิ้ง...น้ำตามันไหลออกมาอีกแล้ว...

       

      ให้มันไหลออกมาเถิดพัชร...ถ้ามันจะเป็นน้ำตาหยดสุดท้าย  มันเป็นความผิดของเขาซะที่ไหน ก็เธอเองนั่นแหละที่ปล่อยให้ความใกล้ชิดมาครอบงำจิตใจ แล้วก็ดันอ่อนไหวไปกับมันเอง ไอ้สายตาที่เขามองเธอแปลก ๆ อย่างมีความหมายทุกครั้ง...เธอคิดไปเองทั้งนั้น เขาไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเธอเลย ทุกอย่างที่เขาทำให้เธอ พาไปเที่ยว, พาไปทานข้าว, คอยอยู่เป็นเพื่อน, คอยติวหนังสือให้... มันเป็นเพียงหน้าที่ที่เขาเคยรับปากกับพี่ป๊อบไว้เท่านั้น

       

       แต่ก็ช่างมันเถิด...อีกไม่นาน เธอก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังและเหลือไว้เพียงความทรงจำเท่านั้น...มันคงไม่ยากเกินความสามารถเธอหรอก กับการลืมใครสักคน...บอกตัวเองสิ เธอทำได้

       

       

       

      การสอบปลายภาคผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เวลา 1 ปีที่ญี่ปุ่นของใบพัชรก็จวนจะสิ้นสุดลงอย่างถาวรแล้ว ทาชิม่าแทบจะไม่กลับมาที่ห้องพักและไม่ได้ไปที่คณะอีกเลย นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ใบพัชรเห็นเขายืนกอดกับแฟน...

       

      ใบพัชรเก็บของจุกจิกที่ไม่ใช้ลงกระเป๋าเดินทางอยู่ในห้องอย่างหงอยเหงา ดูเหมือนว่ามันจะเป็นวันที่เหงาที่สุดนับตั้งแต่เธออยู่คนเดียวมาได้เดือนกว่า ๆ

       

      ดีเหมือนกันที่นายยังไม่กลับมา ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าจะเจอหน้านายทั้งสภาพความรู้สึกแบบนี้ได้อย่างไร

       

      หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู พลันความรู้สึกหวาดหวั่นก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

       

      หรือว่าจะเป็นเขา...

       

      เธอยังนั่งนิ่งไม่ยอมเดินไปเปิดประตู แล้วเสียงเคาะก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อย ๆ เดินเปิดประตู แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า มีเพียงกระดาษโน้ตสีเหลืองใบเล็กกับข้อความสั้น ๆ ติดไว้ที่ประตู ...เขาไปแล้ว

       

      เย็นนี้ไปทานข้าวกันนะครับ ไม่ได้เจอกันนาน

      ผมมีเรื่องจะเล่าให้พัชรฟังเยอะแยะไปหมด หกโมงเย็นพบกันครับ...ทาชิม่า

       

      ใบพัชรรู้สึกปวดแปลบขึ้นในหัวใจอีกครั้ง...

       

      นายมีคนของนายแล้วทำไมถึงยังต้องมาให้ความหวังฉันอีก...แต่เอาเถิด ถ้านายต้องการอย่างนั้นมันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบหน้ากัน อีกไม่กี่อาทิตย์ฉันต้องไปจากที่นี่แล้ว ให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันจบลงในวันนี้...ฉันจะได้เป็นอิสระจากความรู้สึกบ้าบอนี้เสียที

       

      หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเอาหนังสือมานั่งอ่านบนโซฟาหนังสือน้ำตาลไหม้ตัวเดิม รอให้ถึงเวลาที่เขาจะมาเคาะประตูเรียก

       

      ใบพัชรสะดุ้งเมื่อมีเสียงเคาะประตูเบา ๆ เธอสูดหายใจก่อนก้าวไปเปิดประตู แล้วก็ต้องตกใจกับสภาพของคนที่ยืนอยู่จนลืมตัว กลั้นหายใจ

       

      เขาดูไม่ได้เอาเสียเลย ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนรังนก ร่องรอยความเครียดกระจายอยู่ทั่วใบหน้าคมนั้น เธอเอียงคอมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

       

      เธอไม่รู้หรอกว่ากริยาเช่นนั้นทำให้เขาอยากดึงเธอเข้ามากอดแนบไว้กับอก หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้าเธอมาเป็นเวลานาน

       

      กลับมาแล้วครับ เขายิ้มกว้างให้เธออย่างอบอุ่น ทำเอาใบพัชรถึงกับหัวใจโคลงเคลง

       

      ยินดีต้อนรับกลับบ้านเธอพูดตอบกลับไปตามธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่น

       

      ทาชิม่าพาออกใบพัชรไปทานอาหารเย็นที่ร้านซูชิ อาหารโปรดของเธอที่อยู่ใกล้ ๆ หอพัก หญิงสาวดูนิ่งเงียบจนเขารู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร กระทั่งใบพัชรสั่งเบียร์มาดื่มทำเอาเขาแปลกใจว่าเธอต้องมีอะไรในใจแน่ ๆ เพราะใบพัชรไม่เคยดื่มเครื่องดื่มมึนเมามาก่อน

       

      เขาไม่ดื่มเป็นเพื่อนเธอ ได้แต่นั่งมองเธอซดเบียร์โฮก ๆ โดยไม่พูดอะไร เรื่องที่คิดจะพูดกับเธออย่างที่ตั้งใจไว้ก็มีอันต้องพับเก็บไปเสีย

       

      เมื่อแอลกอฮอล์ลงท้องไปไม่กี่แก้ว คนที่ไม่เคยดื่มของมึนเมาถึงกับหน้าแดงก่ำ นั่งโงนเงนจวนเจียนจะล้ม ทาชิม่าจึงสั่งให้พนักงานเก็บเงินแล้วหิ้วปีกพาเธอกลับห้องพักอย่างทุลักทุเล

       

      เขายืนมองหญิงสาวขี้เมาที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียงอย่างหนักใจ เขาจะทำอย่างไรกับเธอดีเนี่ย จะปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เช็ดเนื้อเช็ดตัวก็ดูกระไรอยู่ กลิ่นแอลกอฮอล์เหม็นติดตัวเสียขนาดนี้ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ...

       

                     

      ใบพัชรลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการหนักอึ้งในศีรษะ เธอพยายามขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วรื้อฟื้นความจำถึงสาเหตุของอาการปวดศีรษะ เมื่อลำดับเหตุการณ์แล้ว จึงเข้าใจทุกอย่าง...

       

      อ้าว แล้วเรามาใส่ชุดนอนของเราได้ยังไงกัน ก็เมื่อคืนเราจำได้ว่าอยู่ร้านซูชิกับเขานี่...

       

      หญิงสาวก้มลงมองชุดนอนที่ตัวเองใส่แล้วก็ร้องกรี๊ดออกมาอย่างสุดเสียง ชายหนุ่มที่อยู่ห้องติดกันได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งมาหน้าตาตื่น ก่อนละล่ำละลักถามเธอ แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยถาม หมอนนุ่ม ๆ ก็ถูกปามาติดหน้าเขา ทำเอามึนงงไปชั่วขณะ

       

      อีตาบ้า คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง คุณมันฉวยโอกาส ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย อีตาบ้า...ฮือ ๆ ๆหญิงสาวโวยวายเสียงดังเขาหัวเราะลั่น เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเข้าใจผิดคิดว่าเขาทำมิดีมิร้ายเธอ แถมยังเป็นคนเปลี่ยนชุดให้ เขาต้องเห็นอะไรต่อมิอะไรของเธอหมดแล้วแน่ ๆ

       

      ใบพัชรเห็นเขาขำจึงตวาดออกมาเป็นรอบที่สอง

       

      หัวเราะอะไรเล่า ไม่ตลกเลยนะ นายมันบ้า บ้าที่สุด นายมันพวกฉวยโอกาส บ้า ๆๆๆๆ ปากก็ว่าเขาฉอด ๆ มือก็ปาของสารพัดที่คว้าได้ตอนนั้นใส่เขาไม่ยั้ง เขายกมือห้ามแล้วบอกให้เธอสงบสติอารมณ์ หญิงสาวยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อเธอคิดว่าเธอสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอไปเสียแล้ว

                     

      ผมไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนชุดให้คุณนะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรคุณ และก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นด้วย

       

      ถ้าคุณไม่เป็นคนเปลี่ยนแล้วใครจะมาเปลี่ยนชุดให้ฉันเล่า อีตาบ้า อย่ามาโกหกฉันเลย ฉันไม่ใช่เด็กอมมือนะ เธอว่าเขาทั้งน้ำตา

       

      ผมโทรไปขอให้โยชิดะซังมาเปลี่ยนชุดให้คุณต่างหากครับ

       

      ได้ผล...ใบพัชรหยุดร้องไห้ในทันทีแล้วเปลี่ยนเป็นก้มหน้านิ่งเมื่อได้ยินชื่อนั้น...

       

      โยชิดะซัง...แฟนของเขานี่...

       

      เธอค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนตะแคงแล้วดึงผ้าห่มกระชับตัวปิดถึงคอ ทำเอาชายหนุ่มถึงกับงุนงง ใบพัชรไม่พูดอะไรอีกนอกจากฝากเขาไปบอกขอบคุณโยชิดะซัง

       

      เขาเดินไปหยิบหมอนที่เธอปาใส่เขาเมื่อสักครู่ไปให้ แล้วบอกให้เธอพักผ่อน ก่อนเดินออกจากห้องไป หญิงสาวหยิบหมอนที่เขาวางไว้ให้มากอดแล้วซบลงร้องไห้ตัวโยน...

       

      หลังจากวันนั้น หญิงสาวไม่ต้องใช้ความพยายามในการหลบหน้าเขาอีกเพราะดูเหมือนว่าพักหลัง ๆ เขาจะหายหน้าหายตาไปจากคณะและไม่กลับมาที่ห้องอีกเลย จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เธอต้องบินกลับประเทศไทย เขาก็ไม่มาส่งที่สนามบิน...

       

                      จบสิ้นเสียที...ระยะเวลาที่ผ่านมาคือบทเรียนอันมีค่า

       

       

                      หลังจากกลับมาถึงเมืองไทย ใบพัชรไม่มีโอกาสได้พักผ่อนอยู่กับบ้านหลายวันนัก เพราะต้องกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยให้ทันเพื่อน ๆ

                     

      หญิงสาวนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ในชั่วโมงเรียนแรกของภาคบ่ายในวันหนึ่ง โดยไม่ทันได้ยินอาจารย์ผู้สอนพูดกระทั่งเพื่อนสนิทชี้ชวนให้ดูอาจารย์ชาวต่างชาติคนใหม่ที่อาจารย์ทัตเทพกำลังแนะนำ

       

      หล่อมากเลยแก ดูสิ ท่าทางยังหนุ่มเอ๊าะ ๆ อยู่เลย เพื่อนคนหนึ่งว่าอย่างตื่นเต้น ใบพัชรทำสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ก็ยอมหันมองตามคำคะยั้นคะยอของเพื่อน

       

      แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นจัดราดลงบนศีรษะจนรู้สึกชาไปทั้งตัว อาจารย์คนใหม่มองมาที่เธอ ก่อนส่งยิ้มโปรยไปทั่วจนได้รับเสียงฮือฮาจากนิสิตสาวทั้งห้อง ใบพัชรเหมือนถูกสาบให้เป็นตุ๊กตาหินไปชั่วขณะ

       

      เขา...นายรุ่นพี่ทาชิม่า

       

      ใบพัชร คุณเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น คงพูดญี่ปุ่นได้ กล่าวต้อนรับอาจารย์คนใหม่หน่อยสิ

       

      อาจารย์ทัตเทพบอก ใบพัชรมีท่าทีอึกอักไปนิดหนึ่ง ตั้งใจว่าจะไม่พูด แต่พอสบสายตาที่เจือรอยท้าทายของเขาแล้วก็จำใจ

       

      คุณมาที่นี่ได้ยังไงกัน มันไม่ใช่คำกล่าวต้อนรับอย่างที่อาจารย์บอกให้เธอพูดแม้แต่น้อย

       

      ผมนั่งเครื่องบินมา เขาตอบกลับมาน้ำเสียงราบเรียบ ทั้งที่ใจอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ

       

      อาจารย์และนิสิตทั้งห้องมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมาด้วยความสนใจ เพราะไม่รู้ว่าที่ทั้งสองคนกำลังสนทนานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

       

      อย่ามากวนโอ๊ยฉันนะ คุณมาที่นี่ทำไมกัน...เพื่ออะไร น้ำเสียงของหญิงสาวราบเรียบแต่เจือด้วยความเจ็บปวด

       

      ผมมาตามหาหัวใจตัวเอง เขาบอกเสียงหนักแน่น ใบพัชรได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่นิ่งอึ้งด้วยความปวดใจ ไม่รู้ว่าที่เขามาที่เมืองไทย เขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่

       

      เธอมึนงงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้

       

      เขาหายหน้าหายตาไปนานนับหลายเดือน แม้แต่จะสละเวลามาส่งที่สนามบินก็ไม่มี แต่อยู่ ๆ เขากลับมาโผล่ที่เมืองไทย แล้วกลายมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่ที่ภาควิชาของเธอเสียอีก

       

      นี่มันอะไรกัน ฉันงงไปหมดแล้ว

       

      ความสงสัยของใบพัชรถูกคลี่คลายเมื่อเธอกลับถึงบ้าน

       

      กลับมาแล้วหรือครับ แขกไม่ได้รับเชิญเอ่ยเป็นภาษาไทยเสียงชัดแจ๋ว ทำเอาใบพัชรถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วเกิดอาการหน้าร้อนผ่าว ไม่บอกก็รู้ว่ามันต้องแดงเหมือนลูกตำลึงสุกแน่ ๆ 

       

      หญิงสาวตั้งท่าจะวิ่งหนีขึ้นชั้นบน แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อถูกชายหนุ่มชาวต่างชาติเอ่ยท้าทายเป็นภาษาญี่ปุ่นไล่หลัง

       

      หนีหน้าผมเหรอ พัชรกลายเป็นคนขี้ขลาดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมอุตส่าห์มาจากญี่ปุ่นทั้งที ไม่คิดจะต้อนรับกันหน่อยหรือครับ หญิงสาวเม้มปากแน่น ก่อนจะตอบเสียงสั่น ๆ

       

      ฉันไม่ได้ขี้ขลาด แต่ฉันไม่อยากพบหน้าคุณอีก กลับไปซะเถอะใบพัชรไม่ทันสังเกตว่าคนในบ้านพากันหายหน้าไปไหนหมดก็ไม่รู้ ทิ้งให้เธออยู่กับเขาภายในบ้านตามลำพัง

       

      งอนที่ผมไม่ได้ไปส่งที่สนามบินเหรอครับ ชายหนุ่มถามจี้ใจดำ ทำเอาหญิงสาวถึงกับขาสั่นจนต้องคว้าราวบันไดไว้

       

      ใครงอนคุณ สำคัญตัวเองผิดไปหรือเปล่า ถึงคุณไม่ไปส่ง ฉันก็กลับมาเมืองไทยโดยปลอดภัย เห็นหรือเปล่า เธอว่าพลางเชิดหน้าขึ้นเหมือนสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่าง ๆ นานา

       

      ถ้าไม่ได้งอนก็ลงมาคุยกันดี ๆ ก่อนสิครับ

       

      พลาดท่าแล้วไหมล่ะใบพัชร...ดูเหมือนเขาจะถือไพ่เหนือกว่าเธอเยอะโขจึงทำให้ใบพัชรนิ่งเงียบด้วยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

       

      คุณมีอะไรสงสัยอยากถามผมหรือเปล่า ผมรู้ว่าคุณยังมีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผมอยู่เยอะแยะไปหมดอย่างเช่น...เรื่อง...โยชิดะซัง...

       

      หญิงสาวได้ยินชื่อนี้แล้วอาการปวดแปลบก็แล่นเข้ามาที่หัวใจขึ้นมาทันที

       

      คุณไม่อยากรู้จริง ๆ หรือว่าโยชิดะซังเป็นใคร แล้วที่ผมหายหน้าหายตาไปหลายเดือน ผมไปไหน ที่ผมไม่ได้ไปส่งคุณที่สนามบินนั่นอีก คุณไม่อยากรู้จริง ๆ น่ะเหรอ เขาถามเหมือนลองใจ 

       

      ไม่จำเป็น ฉันเข้าใจทุกอย่างดีแล้วไม่ต้องให้คุณอธิบายให้ฉันฟังหรอกเพราะฉันเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเสมอ

       

      แต่บางที สิ่งที่เราเชื่อมั่นอาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้นะครับ หญิงสาวใจเต้นตึกตักรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง

       

      ผมมาที่นี่เพื่ออธิบายให้คุณเข้าใจทุกอย่าง ขอเวลาผมนะพัชร...ให้โอกาสผม ถ้าคุณฟังแล้วและไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าผมอีก...ผมจะไป... คำพูดสุดท้ายของเขาทำให้หญิงสาวถึงกับใจหายแต่ก็ไม่กล่าวว่าอะไร

       

      คาโอรุโอเนะซัง...เอ่อ...โยชิดะซังน่ะครับ เธอไม่ใช่แฟนของผม แต่เธอเป็นพี่สาวของเพื่อนสนิทผมต่างหาก เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ เราไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ

       

      ไม่รู้ทำไม คำตอบนั้นของเขา ถึงสามารถทำให้หัวใจที่เคยหนักอึ้งของเธอเมื่อหลายเดือนก่อนรู้สึกโล่งขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

       

      แต่ถึงอย่างไร ภาพเหตุการณ์วันนั้น...วันที่เขาและเธอยืนกอดกันยังคงตามมาหลอกหลอนทำให้ความเชื่อมั่นที่เธอมีลดหายไปเกือบครึ่ง

       

      อย่าโกหกเลย คนไม่ได้เป็นแฟนกันเขาคงไม่กอดกันกลมดิกอยู่หน้าหอพักหรอกน่า ฉันไม่ใช่เด็กอมมือนะที่จะไม่รู้ว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรคือเรื่องเท็จ

       

      คำพูดของเธอทำเอารอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของเขาในทันที

        

      ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยหรือ ว่าที่พูดอยู่เนี่ยแสดงอาการ หึงออกมาชัด ๆ

       

      คือวันนั้นคาโอรุโอเนะซังเธอมาบอกข่าวดีแก่ผมเรื่องผลการคัดเลือกเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยของพัชรยังไงล่ะ เธอเป็นคนดูแลเรื่องนี้ให้ผมเพราะโอเนะซังเคยเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่นี่เหมือนกัน พอผมรู้ว่าผมผ่านการคัดเลือกก็ดีใจมากไปหน่อยเลยกอดเธอไปทีนึง...แต่ความจริงแล้ว ผมอยากกอดคุณมากกว่า

       

      ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มหรี่เสียงลงด้วยความเขินอาย

       

      บ้า ใครอยากให้คุณกอด เธอหันมาเผชิญหน้ากับเขาพลางโพล่งถามเสียงแข็งทั้ง ๆ ที่พวงแก้มเป็นสีชมพูสดด้วยความเขินอาย

       

      ผมขอโทษนะที่ผมหายหน้าไปหลายวัน เพราะผมกำลังจัดการเรื่องมาเมืองไทยอยู่ อีกอย่างหนึ่งก็ยุ่ง ๆ เรื่องขอจบการศึกษาด้วย เลยไม่มีเวลามาเจอคุณทั้ง ๆ ที่ผมก็คิดถึงคุณใจจะขาด คุณรู้หรือเปล่าว่าผมจองตั๋วเครื่องบินไฟลท์เดียวกับคุณไว้เรียบร้อยแล้วนะ แต่กำหนดเดินทางโดนเลื่อนให้เร็วขึ้น ผมเลยต้องออกเดินทางมาก่อนโดยไม่ได้มีโอกาสบอกคุณเลย

       

      มันก็เรื่องของคุณสิ คุณจะบินมาพร้อมฉันทำไม ไม่เกี่ยวกันซักนิด เธอว่าพลางพยายามเก็บอาการเขินและความรู้สึกที่เคยหนักอึ้งในหัวใจก็พลันเบาบาง

       

      คิดถึงผมหรือเปล่าพัชร คำถามนั้นทำเอาหญิงสาวอึ้งด้วยไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ่ยถาม

       

      ว่าไงครับ คิดถึงผมหรือเปล่า เขาถามย้ำอีกครั้ง

       

      คุณจะอยากรู้ไปทำไม เธอว่าพลาเชิดหน้าอีกครั้ง

                     

      ผมแค่อยากถามให้มั่นใจ ว่าคุณยังรู้สึกเหมือนเดิมเขาว่า ทำเอาหญิงสาวคิ้วขมวด

                     

      รู้สึกเหมือนเดิม? คุณเอาอะไรมาพูด

                     

      เขายิ้มมุมปากนิดหนึ่งก่อนตอบ

                     

      คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าวันนั้นคุณเมามาก แล้วคุณก็ละเมออะไรออกมาสารพัด...เพียงเท่านั้นหญิงสาวก็เบิกตาโพลง ตกใจกับสิ่งที่เขาบอก

       

                      นี่เราต้องพลาดท่าพูดอะไรออกมาแน่ ๆ เลย...โอ๊ย...ตายแล้ว

       

      ทาชิม่าค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดมาหยุดยืนใกล้ ๆ ใบพัชรก่อนเอ่ยอะไรต่อไป

       

      ผมไม่อยากให้คุณเข้าใจผิดในตัวผมนะพัชร ผมตั้งใจกับการเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้มากเพราะผมอยากพบคุณ ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงไหนผมก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้พบคุณอีก

       

      หญิงสาวมองเขาเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่างจากคำพูดนั้น แต่สิ่งที่เธอได้เห็นคือแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจัง จนทำให้เธอไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ

       

      พัชร คุณลืมของไว้ที่ผม ผมเลยเอามาคืน ทาชิม่าสบตาเธอก่อนล้วงเอาของบางอย่างในกระเป๋ากางเกงผ้าเนื้อดีนั้นออกมา

       

      มันเป็นกล่องกระดาษสีชมพูเล็ก ๆ กล่องหนึ่ง เขาค่อย ๆ เปิดออกแล้วยื่นมันไปตรงหน้าเธอ

       

                      สร้อยเส้นนั้น

       

                      ใบพัชรไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

       

      มันเป็นสร้อยพร้อมจี้รูปหัวใจเส้นที่เธอเคยช่วยเขาเลือกเมื่อครั้งที่ไปชมดอกซากุระด้วยกันเมื่อต้นปี และเธอก็เข้าใจมาตลอดว่าเขาซื้อให้แฟน

                     

      สร้อยที่คุณช่วยผมเลือก จำได้ไหม ผมตั้งใจจะให้คุณตั้งแต่คราวก่อนโน้น แต่คุณก็มาเมาเสียก่อนเลยไม่ได้ให้ ผมให้คุณวันนี้หวังว่าคงยังไม่สายไปใช่ไหมที่ผมจะบอกว่า...เอ่อ...ผมรักพัชร

       

      หญิงสาวแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเธอนี้จะเป็นความจริง ความรู้สึกดีใจพรั่งพรูเป็นน้ำตาที่เริ่มรื้นขึ้นมาตรงหัวตา

       

      เขาบรรจงสวมสร้อยคอให้เธอโดยที่เธอก็ไม่ขัดขืนหรือปฎิเสธแต่อย่างใด เมื่อสวมเสร็จเขาจึงล้วงกล่องกระดาษเล็ก ๆ สีฟ้าอีกกล่องนึงออกมายื่นให้เธอ

       

      สำหรับเส้นนี้ที่มันคู่กัน ผมอยากให้คุณเก็บไว้...สัญญากับผมได้ไหมพัชรว่าคุณจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี ถือว่ามันเป็นสิ่งที่แทนหัวใจผมก็แล้วกัน

       

      ใบพัชรมองกล่องกระดาษที่อยู่ในมือเหมือนค้นหาคำตอบให้หัวใจตัวเอง

       

      ทำไมคุณถึงอยากให้ฉันดูแลมันล่ะ เธอถามเหมือนรำพึงพลางสายตาก็จ้องกล่องกระดาษเล็ก ๆ ใบนั้นไม่วางตา

       

      ความรัก บางทีมันก็ไม่มีเหตุผลหรอกพัชร คุณเป็นคนที่ผมอยากให้ดูแลมันมากที่สุดนะ เขาตอบด้วยแววตามุ่งมั่นจริงจังขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นสบตา

       

      แล้วฉันจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะ...เอ่อ...รักฉันคนเดียว

       

      ให้โอกาสผมสิพัชร เวลาจะพิสูจน์ให้คุณได้รู้ว่าผมมั่นคงกับคุณแค่ไหน ทั้งสองสบตากันนิ่งและนานเหมือนต้องการซึมซาบเอาความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้แก่กัน แต่ก่อนที่เขาจะอดใจห้ามไม่ให้ดึงเธอเข้ามากอดไม่ไหวก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นเสียก่อน

       

      แค่ก ๆ ๆ ๆ โอ๊ย สำลักน้ำตาลแล้วครับรุ่นพี่

       

      เป็นเสียงของปวีร์นั่นเอง เขากำลังยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ข้างกายบุพการีทั้งสองรวมถึงพี่ชายของหญิงสาวอยู่ที่ชั้นล่าง

       

      เมื่อใบพัชรเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจด้วยกลัวว่าจะถูกท่านทั้งสองเอ็ดเรื่องความไม่เหมาะสมที่อยู่กับชายหนุ่มสองต่อสอง ว่าแล้วเธอก็รีบก้าวพรวด ๆ ลงบันไดโดยปล่อยให้เขาเดินตามลงมา 

                     

      หญิงสาวคล้องแขนมารดาเหมือนฉอเลาะกลบเกลื่อนอาการเขิน ตั้งท่าจะปฎิเสธอะไรแต่ก็ถูกมารดายกมือขึ้นห้าม

       

      ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แม่ไม่อยากฟัง ตอนนี้ทุกคนกำลังหิว ไปทานข้าวก่อนแล้วค่อยว่ากัน คำพูดบวกกับน้ำเสียงที่ราบเรียบของมารดาทำเอาเธอหน้าเสียเพราะคิดว่ามารดาคงโกรธ เธอจึงตั้งท่าจะหันไปแก้ตัวกับบิดาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แทน

       

      พ่อคะ...คือ... หญิงสาวกำลังจะเอ่ยบางอย่างแต่บิดาก็เอ่ยขัดขึ้นอีก    

                     

      แล้วก็ชวนพ่อหนุ่มคนนั้นมาทานข้าวด้วย เขามาจากญี่ปุ่นทั้งที ต้อนรับขับสู้เขาดี ๆ หน่อยสิลูก ปล่อยให้ว่าที่ลูกเขยของพ่ออดอยากได้ยังไงกัน

       

      สิ้นเสียงของบิดาทุกคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน หญิงสาวถึงกับอึ้งด้วยความไม่เชื่อหูตัวเองก่อนที่จะเก็บอาการเขินจนหน้าแดงไว้ไม่อยู่

       

      ชายหนุ่มชาวต่างชาติก็ได้แต่ยืนหน้าเหลอหลาเพราะไม่เข้าใจว่าคนอื่นเขาหัวเราะอะไรกัน ปวีร์จึงต้องทำหน้าที่ล่ามจำเป็นแปลให้ชายหนุ่มฟัง เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เพื่อนรุ่นน้องของเขาบอก ชายหนุ่มจึงยิ้มเขินก่อนหันมายกมือไหว้แล้วเอ่ยกับบุพการีหญิงสาวเป็นภาษาไทยเสียงชัดแจ๋วว่า

       

                      ขอบคุณครับคุณพ่อคุณแม่

       

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×