ผมแมน......ละรับ - ผมแมน......ละรับ นิยาย ผมแมน......ละรับ : Dek-D.com - Writer

ผมแมน......ละรับ

ลองอ่านดูสิ เข้ามาอ่านเยอะๆน่ะ

ผู้เข้าชมรวม

51

ผู้เข้าชมเดือนนี้

2

ผู้เข้าชมรวม


51

ความคิดเห็น


0

คนติดตาม


0
เรื่องสั้น
อัปเดตล่าสุด :  10 พ.ย. 58 / 22:54 น.


ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

ผมแมน......ละรับ

                                                                        



                หน้าร้อนในเมืองลาฟาแยต  รัฐหลุยเซียนาเมื่อเดือนมิถุนายนปีนั้น
ช่างอบอ้าว  ผมกำลังเป็นหนุ่มแตกพานวัย 16  น้ำหนักไม่ถึง 50 กิโลกรัม
พ่อผู้แข็งแรงอกผายไหล่ผึ่งเกิดอยากให้ผมทำงานช่วงปิดภาคฤดูร้อน
จึงฝากผมกับเพื่อนซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง  ผมได้งานเป็นผู้ช่วยช่างไม้
ด้วยค่าแรงชั่วโมงละ 75 เซ็นติ
                ผมไม่อยากทำงาน  แต่อยากขับรถเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ หรือยืนจับกลุ่ม
หน้าห้างสรรพสินค้า  พูดคุยและมองดูสาว ๆ มากกว่า
ผมเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว  น้อยใจง่าย และขี้กลัว  จึงไม่กล้าบอกความจริง
เพราะเกรงว่าพ่อจะโกรธ
                พ่อเป็นวิศวกรโยธา  ตำแหน่งผู้จัดการเขตของบริษัทกัล์ฟสเตทส์ยูทิลิที
ท่านทำงานกับบริษัทนี้มาตั้งแต่จบมหาวิทยาลัย  โดยไต่เต้าจากช่างสำรวจ
ใส่ชุดสีกากี  สวมรองเท้าบูต  และพกปืนขนาด .22 ไว้ยิงงูพิษ
เวลาอยู่บ้าน  พ่อเป็นคนเงียบ ๆ  แต่ผมกลัวที่สุดตอนท่านทำเสียงดุกร้าวขึ้น
มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย  และถึงจะโหวกเหวกไม่นานแค่สองสามประโยค
ผมก็กลัวหัวหด  พ่อไม่เอ็ดใครบ่อยนัก  จะว่าไปครอบครัวเราไม่ค่อยมีเสียงดุว่า
ความกลัวเสียงดุกลับกลายเป็นความรักส่วนหนึ่งที่ผมมีต่อพ่อ วันแรกที่ไปทำงาน  พ่อขับรถไปส่ง  ผมนั่งหวั่นใจและคิดว่าทำไม่ได้แน่ ๆ
ข้างตัวมีถุงกระดาษใส่อาหารกลางวันที่แม่จัดให้  พร้อมกับเหยือกฝาปิดสนิท
ใส่น้ำตาลบีบมะนาว  เวลาผมต้องการดื่มน้ำมะนาว  ก็แค่ผสมกับน้ำเย็นในกระติก
                เราขับรถไปยังถนนที่มีบ้านและร้านค้าเล็ก ๆ แล้วจอดรถตรงหัวมุมที่คนงานกำลังก่อสร้างร้านเหล้า  ผมคาดว่างานที่จะทำคงเบา ๆ ประเภทช่วยหยิบยกของให้ช่างไม้  ซ้ำยังแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า  ช่างที่ทำงานด้วยคงเป็นคน
ใจเย็นและใจดี  ก็ผมไม่เคยทำงานหนักมาก่อนเลย  นอกจากเป็นแคดดีเข็นรถ
ตัดหญ้า  และเก็บกวาดใบไม้ พ่อฝากผมกับหัวหน้าคนงาน  และบอกว่า  "ช่วยทำให้เขาเป็นผู้ชายเต็มตัวหน่อย" แล้วก็จากไป  ผมได้แต่ยืนอ้ำอึ้งรอให้หัวหน้าคนงานส่งตัวไปช่วยช่างไม้ใจดี สักคน  แต่เขากลับให้ผมหยิบอีเต้อขุดดินกับพลั่ว  แล้วลงไปทำงานในคูลึก เกือบเมตรซึ่งจะเป็นฐานรากของอาคาร  ในนั้นมีแต่คนงานผิวดำกำลังใช้อีเต้อ กับพลั่วขุดโกยดินอย่างแข็งขัน  สองคนแหวกช่องให้  แล้วผมก็กระโดดลงไป ตรงกลาง ตลอดสองสามชั่วโมงแรกกลางแดดร้อนเปรี้ยง  ผมได้แต่ยกเครื่องมือสับลงบนดิน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนดินหลุดร่อน  แล้วใช้พลั่วแซะเหวี่ยงออกจากคู ผมไม่มีแรงพอที่จะทำงานอย่างนี้  หลังไหล่และแขนขาอ่อนล้าไปหมด  ที่แน่ ๆ
ก็คือ  ใจผมไม่สู้  และอยากให้งานจบ ๆ เสียที
ผมเริ่มรู้สึกคลื่นไส้เมื่อเข้าชั่วโมงที่สามและสี่  พอเที่ยง  เสียงนกหวีดดังขึ้น
ทุกคนหยุดทำงานและเดินเข้าไปพักในที่ร่ม  คนหนึ่งในกลุ่มพูดว่าได้เวลากินมื้อ
เที่ยงแล้วผมมองดูถุงอาหารกลางวันแล้วเกิดอาการปั่นป่วนมวนท้อง  อะไรต่ออะไรในกระเพาะ ทำท่าจะพุ่งออกมา  ผมหลบไปอาเจียนตรงเพิงเก็บเครื่องมือที่ลับตาคน  แล้วกลับ ไปนอนพักในที่ร่ม  ใครคนหนึ่งบอกว่า  "ต้องกินอะไรเสียบ้างนะ"
"เพิ่งอ้วกมา"  ผมตอบพลางปิดตานิ่งจนหลับไป  มาตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงนกหวีด
ตอนบ่ายโมง  ชายอีกคนถามว่า  "ดีขึ้นแล้วใช่ไหม"
ผมพยักหน้ารับ  ถ้าเอ่ยปากพูด  น้ำตาคงไหลพรู
เรากลับไปที่คู  ผมคว้าพลั่วโกยดินที่ขุดมาพูนเป็นกอง  แล้วเงื้ออีเต้อขึ้นเหวี่ยงลงเจาะดิน
ทั้งที่ยังรู้สึกวิงเวียนอ่อนเพลีย  และร้อน  ผมทำต่อไปอีกราว ๆ 40 นาที ก็ได้ยินเสียงพ่อ  จึงเงยหน้าขึ้นดู
ในใจคิดว่าพ่อคงมารับกลับบ้านและไม่ถือโทษในความล้มเหลวของผม
แต่พ่อกลับพูดว่า  "ไปหาซื้อหมวกกันเถอะ"  ทุกคนที่ทำงานล้วนสวมหมวก
ส่วนมากเป็นหมวกฟาง  บางคนก็สวมหมวกแก๊ป  ผมไม่พูดอะไรเลย
ขณะนั่งในรถ  พ่อพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจนิด ๆ ว่า  "หัวหน้าคนงานโทรฯ บอก
พ่อว่าแกอาเจียนและกินไม่ลง  แต่ไม่ยอมบอกเขา"
"ครับ"  ผมตอบพลางหลบตามองถนน  ปล่อยให้พ่อเชื่อว่าผมเป็นคนใจสู้
เราขับรถเข้าเมือง  พ่อพาผมไปร้านขายของที่ติดเครื่องปรับอากาศ  และมีมุม
ขายอาหารกลางวัน  ท่านซื้อน้ำอัดลมให้ดื่มเพื่อจะได้สบายท้อง  แล้วให้ผมสั่ง
แซนด์วิชมากิน  จากนั้นเราจึงข้ามถนนไปยังห้างสรรพสินค้า  พ่อเลือกซื้อหมวก
กะโล่ซึ่งคงดีถ้าใส่ไปล่าสิงโตแถบแอฟริกา  ส่วนจะให้ใส่ในเมืองลาฟาแยต
ก็ต้องทำใจอย่างมาก  แต่ผมไม่ปริปากพูดอะไรเลย
เมื่อกลับไปถึงบริเวณคูในเขตก่อสร้าง  คนงานคนหนึ่งเอ่ยว่า  "หมวกนั่นดีนะ"
แล้วผมก็กระโดดลงไปทำงานต่อ ชายคนที่ยืนข้างหลังผมพูดว่า  "ทีนี้นายคงสบายแล้วละ"
ผมรู้สึกดีกว่าเดิมจริง ๆ จะด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบเหมือนกัน  หลังไหล่และแขนขา
ของผมยังคงทำงานไปตามเรี่ยวแรงที่มี แต่อาการคลื่นไส้อาเจียนหายเป็นปลิดทิ้ง
ครั้นห้าโมงเย็น  เสียงเป่านกหวีดก็ดังขึ้น  ผมเดินไปที่ป้ายรถประจำทาง
แล้วทรุดตัวนั่งบนม้ายาว  หน้าตาแขนขาและเสื้อผ้าเปื้อนดินมอมแมม
พ่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดกับผมวันนั้นให้แม่และพี่สาวฟัง  พ่อเดินเข้าบ้าน  ทั้งแม่และ
พี่สาวก็ออกมารับด้วยท่าทางภูมิใจ  พร้อมกับแสดงความเป็นห่วง  ผมบอกว่า
สบายดี  จะให้บอกความจริงได้อย่างไรว่าผมกลับไปทำงานต่อในวันรุ่งขึ้น

ไม่ไหวและไม่อยากปริปากบอกด้วยว่า  ขนาดเป็นเด็ก  ยังไม่เคยคิดว่าจะเล่นกีฬาเก่งเท่าเพื่อน ๆ  แล้วตอนนี้ให้มาทำงานแบบผู้ใหญ่  ผมจะทำได้อย่างไร

เช้าวันรุ่งขึ้น  ผมถือหมวกและถุงอาหารกลางวันขึ้นรถประจำทาง
ไปทำงาน  สมทบกับคนงานอื่น ๆ เพื่อขุดดินในคู  เช้าวันที่สองนี้
ผมไม่มีอาการเจ็บป่วย  พอเที่ยงก็นั่งรับประทานอาหารกลางวัน
ในที่ร่ม  เราทำงานกันจนถึงห้าโมงเย็น  แล้วผมก็ขึ้นรถประจำทาง
กลับบ้าน  พอก้าวเข้าห้องนั่งเล่น  ทุกคนถามว่าวันนี้เป็นอย่างไร
ผมตอบว่าดี ความจริงก็คือว่างานนั้นหนักเกินไป  แต่พอผ่านเช้าวันแรกได้  ผมก็รับไหว  งานตลอดฤดูร้อนนั้นหนักเอาการ  พอเราทำฐานรากเสร็จ
ผมก็ย้ายไปทำงานกับคนงานอีกกลุ่ม  คราวนี้เป็นงานสร้างโรงอาหาร
ที่ค่ายพักแรมลูกเสือ  ผมช่วยขุดดินทำส้วม  ดินแข็งโป๊กจนหัวหน้า
คนงานต้องคอยฉีดสายยางรดน้ำให้เวลาเราขุด  ผมแบกถุงปูนหนักราว
35 กิโลกรัม  พอสิ้นฤดูร้อน  น้ำหนักตัวผมเพิ่มเกือบสิบกิโลกรัม

                พ่ออาจอยากรับผมกลับบ้านตั้งแต่วันแรกแล้ว  แต่ทราบดีว่าไม่ควรทำ
เพราะผมคงจะใช้เวลาตลอดฤดูร้อนอยู่บ้าน  คิดแต่อยากจะเป็นคนโน้น
คนนี้ที่ผมนิยมชมชอบ  หรืออยากเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวในหมู่ผู้ชาย
ซึ่งพ่อก็ส่งผมไปสมใจพร้อมให้หมวกไว้บังกระหม่อม

ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น

    ×