ผมเป็นคริสเตียนครับ ตื่นเช้าทุกวันผมก็มักจะไปโบสถ์
แล้วก็ได้มีโอกาสร่วมรับประทานอาหารเที่ยงกับพี่น้องในโบสถ์เสมอ ๆ
แต่บ้างครั้งก็พลาดโอกาส เพราะอยากกลับบ้านมานอนต่อเหมือนกัน
ศิษยาภิบาล (บาทหลวง) โบสถ์ของผมแกเป็นคนตลกนะ เฮฮามาก
อันที่จริงผมเคยมีปากเสียงทะเลาะกันขั้นรุนแรงกับเขาเหมือนกัน
มีอยู่วันหนึ่งระหว่างที่กินข้าวอยู่ ผมเป็นพวกไม่ค่อยชอบกินปลา เพราะว่ามันกินยาก
แบบว่ามันมีก้างด้วยน่ะนะ ไม่ค่อยกินเพราะมันต้องมานั่งแกะเนื้อออกจากก้าง
ตอนนั้นผมกินเข้าไปปุ๊บก้างก็ติดคอทันทีเลย แบบว่าแกะไม่ค่อยจะเป็น
ตอนนั้นพอติดคอปุ๊บ ศิษยาภิบาล ก็เข้ามาดูแล้วพยายามองหาอะไรบางอย่างไปรอบ ๆ โบสถ์
ผมเลยถามพี่แกด้วยความสงสัย “พี่มองอะไรครับ ?”
คือ ก้างปลามันติดคอจนเจ็บพูดทบไม่ไหวอยู่แล้วพี่แกก็ดันทำตัวเลิกลักจนอดถามไม่ได้
ตอนนั้นพี่แกหันมาบอกกับผมด้วยสีหน้าผิดหวัง “ขอโทษนะ โบสถ์พี่ไม่ได้เลี้ยงแมวเลย”
“ทำไมเหรอพี่ ?” ผมถามกลับ พี่แกถอนหายใจแล้วบอกว่า
“คนโบราณบอกว่า ถ้าก้างติดคอต้องเอาตีนแมวมาลูบคอ”
“แล้วจะทำยังไงล่ะพี่ ?” ผมถามอย่างหงุดหงิด น่าจะเอาน้ำมาให้ผมกินแค่นี้ก็จบแล้วจะไปหาแมวเพื่อ ??
“อ๋อ พี่นึกออกแล้ว!” จู่ ๆ พี่แกก็ปิ๊งไอเดียบรรเจิดขึ้นมา แล้วถอดรองเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร
ท่ามกลางความงุนงงของพี่น้องแล้วก็ผมเช่นกัน แกยิ้มกว้างแล้วบอกกับผมว่า
“ที่นี่ไม่มีตีนแมว เอาตีนพี่ไปใช่แทนก่อนไหม ?”
“แหง่ะ!”
เมื่อก่อนผมเคยนับถือศาสนาพุทธครับ แต่ตอนนี้มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว
ไม่ว่าศาสนาไหน ๆ ก็สอนให้คนเป็นคนดีครับ
มันขึ้นอยู่กับความเชื่อของคนเราเท่านั้นเอง
ตอนแรก ๆ ที่ผมเข้ามารับเชื่อของศาสนาคริสต์ใหม่ ๆ
ผมก็กังวลมาก เพราอะไรน่ะเหรอ ??
ก็เพราะว่าศาสนาอิสลามเค้าห้ามกินหมู ศาสนาพุทธของเราไม่มีการห้ามอะไร
แล้วศาสนาคริสต์ล่ะ ??
ผมเข้าไปในโบสถ์รู้สึกมีความสุขครับ แต่ที่กังวลก็แค่เรื่องที่ว่า มันห้ามกินอะไรหรือเปล่า
ตอนนั้นเองที่ผมอยู่กับพี่ศิษยาภิบาลสองคนแล้วเขานำผมรับเชื่อในพระเยซูคริสต์
ผมเลยตัดสินใจถามเขาก่อนรับเชื่อว่า
“พี่ครับ ศาสนาคริสต์ห้ามกินอะไรหรือเปล่าครับ ?”
“ทำไมเหรอ ?” พี่เขาถามกลับด้วยความแปลกใจ ผมลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วตอบไป
“คือ ผมแค่สงสัยน่ะครับ เพราะศาสนาอิสลามมันยังห้ามกินหมูแล้วศาสนาคริสต์ล่ะครับเค้าห้ามกินอะไร ?”
ศิษยาภิบาลนิ่วหน้าเหมือนกับกำลังใช้ความคิดนะ ผมเองก็ลุ้น ๆ อยู่
เพราะถ้าหากมันเกิดห้ามกินของที่ผมชอบกินมากที่สุดขึ้นมาล่ะ!! พักหนึ่งพี่แกก็หันมาบอกผมว่า
“ใช่ ๆ มีของที่ห้ามกินอยู่”
“อะไรเหรอครับ ?”
“ศาสนาคริสต์ห้ามกินข้าวบูด”
!!!!
แล้วใครมันจะไปกินข้าวบูดกันแว้!!!
ผมหมั่นไส้เพื่อนคนหนึ่งมาก
ตอนสมัยเรียนหนังสือ มันชอบพาผมไปหน้าโรงเรียนแล้วแซวสาว ๆ เสมอ
ทุก ๆ เย็นหลังเลิกเรียนมันก็จะพาเพื่อน ๆ ไปนั่งเป็นกลุ่มแซวสาว ๆ กันสนุกสนาน
ผมก็ไปนั่งดูพวกมันเพราะว่าเลิกเรียนกลับมาก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
ที่บอกว่าหมั่นไส้เพราะว่า อยากให้มันเลิกนิสัยแบบนี้ได้แล้ว
อันที่จริงผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกแซวมาก่อน
เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งผมเดินผ่านหน้าโรงเรียนหญิงล้วนตอนโรงเรียนหญิงล้วนกำลังเลิกเรียน
และปล่อยนักเรียนออกมาพอดี
คุณเอ๊ย! เหมือนฝูงมดแตกรังเลย ผู้หญิงเกลื่อนถนนไปหมด
อันที่จริงผมประหม่าเวลาเห็นผู้หญิงเดินสวนมาหลาย ๆ คน
แต่เพราะว่าชมรมเทควันโด้ที่ผมเรียนมันดันตั้งอยู่ในโรงเรียนหญิงพอดี
ก็เลยจำใจเดินไป ระหว่างนั้นโดนแซวสารพัดจนผมอายม้วนต้วนเลยทีเดียว
มันน่าอายมากเวลาเดินผ่านผู้หญิงเยอะ ๆ แล้วถูกแซว หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปเหยียบ
โรงยิมเทควันโด้ในโรงเรียนหญิงอีกเลย ฮ่าฮ่า
เพราะแบบนี้ผมจึงหมั่นไส้ไอ้เพื่อนตัวดีคนนี้สุด ๆ มีอยู่วันหนึ่งเด็กโรงเรียนหญิงล้วนเดินผ่านมาสามสี่คน
วันนั้นเพื่อนผมไม่รู้ซะแล้วว่าเล่นอยู่กับใคร มันเริ่มแซวทันที
“น้องจ๊ะน้อง”
“น้องแม่แกอ่ะ”
“จะไปไหนเหรอจ๊ะ ?”
“ไม่ได้ไปหาแม่แกแล้วกัน”
“แหม
น้องล่ะก็ น้องชื่ออะไรเหรอจ๊ะน่ารักจังเลย”
“ชื่อเหมือนแม่แกอ่ะ”
“ปากดีแบบนี้น่าจะสีมาเป็นแฟนนะเนี่ย”
“ไว้ไปจีบแม่แกเถอะ ไอ้ (สัตว์ชนิดหนึ่งมีเขา)”
โฮ๊กกกก!! ผู้หญิงคนนี้แรงได้อีก คือสวย แอนด์ น่ารัก แต่ปากไม่ได้ให้เลย
ความงดงามของสาวเจ้าหายไปทันทีที่เปิดปากพูด แรงจนแบบว่า
สุดยอดนักแซวอย่างเพื่อนผมหันควับมามองหน้าผมอย่างมึน ๆ พูดไม่ออก ไปไม่เป็น
จนถึงทุกวันนี้ไม่รู้ว่ามันยังแซวผู้หญิงอีกหรือเปล่า
แต่เท่าที่จำได้จนเรียนจบ มันไม่ได้เรียกเพื่อนมาแซวสาวที่หน้าโรงเรียนอีกเลย
ต้องขอบคุณผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า แรงได้อีก
ผมเป็นคนขี้ลืมครับ แล้วก็ความจำไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ด้วย
ขี้ลืมยังไงน่ะเหรอ ?
คือมีวันหนึ่งซึ่งมันเกิดขึ้นบ่อยมาก
ผมกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับเพื่อนเตรียมที่จะนัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก
ระหว่างคุยก็แต่งตัวไปด้วย (ความสามารถพิเศษห้ามลอกเลียนแบบ
ว่าไปนั่น)
พอแต่งตัวเสร็จก็เช็คดูว่าเอากระเป๋าสตางค์มาด้วยหรือเปล่า แล้วดูว่าขาดอะไรไป
อ่ะ! ผมหันซ้ายแลขวามองหาทั่วบ้าน มันอยู่ไหนแว้!!
ผมเดินให้ควักถามแม่ถามน้องถามทุกคนในบ้านว่าเห็นโทรศัพท์มือถือของผมหรือเปล่า
ตอนนั้นเพื่อนที่รอสายอยู่ถามผมว่า
“เห้ย!จะออกมาหรือยังวะ ทำไมช้าจัง ?”
ผมก็บอกไปว่า “เออ โทษทีว่ะ หาโทรศัพท์มือถืออยู่ ไม่รู้มันหายไปไหน”
“ก็แกใช้คุยกับฉันอยู่นี่ไม่ใช่มือถือหรอกเรอะ ?”
“=[]= จริง!!”
วันที่เดินถ่ายรูปตรงเซเว่นและฝูงนกนรกที่เคยเขียนลงไดอารี่ครั้งก่อน
ผมเดินผ่านรถทัวร์ที่ผมมักจะนั่งขึ้นกรุงเทพบ่อยๆ ด้วย
มันทำให้ผมนึกถึงวันที่ผมนั่งไประยองจริง ๆ เลยแหะ
วันนั้นผมไป บขส. ไปซื้อตัวสายตราด หมอชิต
คือผมจ่ายราคาถูกที่สุดเพราะลงที่ระยองแล้วจะต่อรถจากระยองไปอุดรธานี
ตอนนั้นเพราะเดินทางช่วงเย็นด้วย บวกกับอากาศในรถดีมาก ๆ ๆ ๆ ๆ น่านอน
ผมเลยนอนหลับมันซะเลย
พักหนึ่งพอตื่นขึ้นมา คนที่นั่งข้าง ๆ ที่จะลงระยองเหมือนกัน
หายไปไหนแล้วแว้!! ในรถคนก็เริ่มน้อยลง ๆ เลยรีบมองออกไปนอกหน้าต่าง
กรำ! เลยระยองแล้ว! ตอนนี้รถวิ่งอยู่ในพัทยา ! ตูจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย ?
ผมหวั่นใจมาก คือไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน อีกอย่างกลัวไอ้พนักงานบนรถทัวร์มาถาม
ว่าผมจะไปลงที่ไหน แล้วถ้ามันรู้ผมต้องจ่ายตังค์เพิ่มอีก
อันที่จริงเงินในกระเป๋ามันไม่พอด้วย เพราะกะว่าถ้าถึงระยองแล้วจะกดเงินมาเพิ่ม
เพราะลืมกดตอนซื้อตั๋วมาระยอง ทำไงล่ะตู ??
“ลงที่ไหนคร้าบบบบ!!"
เอาแล้วไง!!
ผมมองไปด้านหน้า มันถามผู้โดยสารทีละคน ๆ ว่าจะไปลงที่ไหน
ประหนึ่งนึกหวั่นใจว่ามันจะตรวจตั๋วหรือเปล่า
ผมมองดูมันด้วยความสงสัย โชคดีมันไม่ได้ตรวจตั๋ว แต่ผมตัวลีบลงไปเยอะเลย
เพราะก่อนหน้านี้มันถามผมมาครั้งหนึ่งแล้วว่าไปลงที่ไหน
แล้วผมก็บอกว่า ระยอง พักหนึ่งมีนักท่องเที่ยวกลุ่มนึงถูกแวะรับให้ขึ้นมา
แล้วมันมานั่งที่เบาะข้าง ๆ ผมรวมกลุ่มก้อนกันเป็นกลุ่มใหญ่
เอางี้แล้วกัน!!
ผมตัดสินใจแกล้งหลับไปเลย ไม่นานก็ถึงเบาะแถวของผมกับนักท่องเที่ยว
ผมแกล้งหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ลงที่ไหนคร้าบบ ?”
“เอกมัย ครับ” นักท่องเที่ยวตอบ
“ทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ ?” พนักงานรถทัวร์ถาม นักท่องเที่ยวตอบพร้อมกันว่า “ใช่”
ซึ่งนั่นหมายถึงรวมผมเข้าไปด้วย เมื่อพนักงานรถทัวร์เขียนลงในสมุดแล้วเดินจากไป
ผมก็ลืมตาตื่นขึ้นมาดูเพื่อความแน่ใจว่ามันไปแล้ว
รอดดดดดดด!!
พอมาถึงเอกมัยผมเลยได้นั่งรถต่อไปหมอชิตแล้วซื้อตั๋วรถไปอุดรธานีได้ทัน
แต่ก็ดึกมากแล้ว ที่ว่าทันยังไงน่ะเหรอ ?
คือผมขึ้นรถไฟฟ้าไงครับ ขึ้นไปลงหมอชิต ทันทีที่ก้าวลงที่หมอชิต
รปภ. ตะโกนดังไล่หลังมา
“เที่ยวสุดท้ายครับเที่ยวสุดท้าย!”
ปาฏิหาริย์!!!! คือไม่รู้ว่ารถไฟฟ้ามันมีปิดทำการกับเค้าด้วยน่ะนะ นึกว่ามันเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียอีก
เรื่องนี้เลยสอนให้รู้ว่า ชามเขียวคว่ำเช้า ชามขาวคว่ำค่ำ เช้าฟาดผัดฟัก เย็นฟาดฟักผัด ขี้ช้างจับตั๊กแตน
ไม่ใช่ละ -_- สอนให้รู้ว่าต้องรู้จักรอบคอบกว่านี้หน่อย
ช่วงนี้อากาศเริ่มจะหนาวแล้ว ดูแลตัวเองกันด้วยนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามและชื่นชอบไดอารี่ที่เป็นเหมือนชีวิตประจำวันของผม
จนทำให้ติด Top Blog ด้วยนะครับ รู้สึกดีใจมาก
แล้วก็เอาไว้ครั้งหน้า จะเอาเรื่องสนุก ๆ มาเขียนอีก
ที่สำคัญทุกเรื่องล้วนเกิดจากเรื่องจริง มิได้แต่งขึ้นมานะจ๊ะ อิอิ
Da Vom Min [แด วอม มิน]
รักชอบไดอารี่ของข้าน้อย อย่าลืมคอมเมนท์ + แอดแฟนพันธ์แท้หน่อยน้า
รู้สึกดีใจนะขอรับที่มีคนสนใจและชอบไดอารี่ของผม
ที่บันทึกทุก ๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตของตัวเอง
ขอบคุณมากครับ
ความคิดเห็น
กวนยังไงงิ
55+
รุสึกว่าไม่เกี่ยว
ขอบอกว่าฮ่าเจ้าคะ
เอิกๆๆๆๆๆ
ผมก็ว่างั้นเหมือนกัน
ฮ่าฮ่า คงเข็ดไปอีกนานนั่นแหละ แรงได้อีกผู้หญิงคนนั้น
ไปโบสถ์ทุกเช้าเลยหรอ =[]= สุดยอดดดด
อืม ก้างปลาติดคอ ทำไมไม่ขอให้พระเจ้าเอาออกให้ล่ะค่ะ
ความเชื่อเจ้าหายไปไหนนน ^ ^
ยกตัวอย่างเช่น
คน ๆ นึงป่วยมาก ๆ แล้วอธิษฐานขอกับพระเจ้า อธิษฐานยังไงก็ไม่หายสักที
ก็เลยไม่ไปหาหมอ อธิษฐานจนกว่าพระเจ้าจะช่วย สุดท้ายแล้วก็ไม่หาย
คือเรามีความเชื่อนะครับ เชื่อว่าคริสเตียนทุกคนมีความเชื่อ
แต่ถึงกระนั้นก็จำเป็นที่จะต้องไปหาหมอเพื่อรักษาด้วย
เราก็คริสเตียนจ้า
+o+