zoname
ดู Blog ทั้งหมด

บทวิจารณ์หนังสือ พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ

เขียนโดย zoname
หนังสือเล่มนี้ใช้วิธีการเขียนเหมือนกับหนังสือทางธรรมะทั่วไป จึงทำให้มีสำนวนที่ยากต่อการอ่านเมื่อเทียบกับหนังสือให้ความรู้ปรกติ
แต่สิ่งนี้ยังไม่สำคัญเท่า ตัวหนังสือเล่มนี้ให้ความรู้ที่ผิดเพี้ยนและจับแพะชนแกะสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไปตามต้องการ โดยใช้ความรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในการเชื่อมโยง

โดยการวิจารณ์นี้ขอยกเพียงหน้าเดียวขึ้นมาวิจารณ์ คือหน้า 12 ของหนังสือ

เรื่องโลกวิทยา ตรงจุดนี้จะแสดงให้เห็นได้ชัดถึงความรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของผู้เขียนได้เป็นอย่างดี
คำว่าตะกั่วมีอายุมากกว่าโลก500ล้านปี ตรงนี้แสดงได้ว่าคนรู้ไม่มีความรู้ในเรื่องที่พูด
อายุที่ว่านี้แท้จริงคือครึ่งชีวิตของธาตุกัมมันตรังสี โดยเพราะกัมมันตรังสีนี้จะมีความเสถียรต่ำ ทำให้มันกลายเป็นธาตุอื่นได้
โดยยูเรเนียมเวลาสลายไปจะกลายเป็นตะกั่ว ซึ่งระยะเวลาที่ครึ่งหนึ่งของตัวมันสลายเป็นตะกั่วคือ4500ล้านปี และหากสลายอีกครึ่งก็ใช้เวลาเดียวกัน เช่นจาก 100สู่50ใช้4500ล้านปี และ50สู่25ก็ใช้อีก4500ล้านปี ดังนั้น จาก100สู่25จึงใช้เวลา9000ล้านปี
และนี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงใช้อายุของธาตุบอกได้ว่าโลกมีอายุเท่าไหร่ จากจำนวนที่สลายไปของธาตุนั่นเอง
ดังนั้นจะพบได้ว่าผู้เขียนเข้าใจผิดทึกทักไปเองว่าอายุตะกั่วมากกว่าโลก500ล้านปี ทั้งที่เรื่องจริงไม่ใช่เช่นนี้ และความรู้นี้ไม่ใช่ความรู้ที่ยากต่อการเข้าถึงอันใดเลย เพราะมันถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรของเด็กมัธยมปลายอยู่แล้ว

ต่อมา เรื่องของดวงจันทร์ที่แตกชิ้นจากมหาสมุทรแปซิฟิกออกไป เป็นเพียงแค่ทฤษฎี หรือทางเลือกของความเชื่อซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ใดเชื่อว่าต้องเป็นเช่นนี้เสมอไปตราบใดที่หลักฐานยังไม่พอ
แต่การที่ผู้เขียนยกมาจุดนี้เหมือนกับเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่เผื่อใจว่าข้อเท็จจริงอาจจะไม่เป็นไปตามนั้น

นอกจากนี้ ทฤษฎีนี้ยังไม่ได้บอกไว้ว่าเกิดการแตกตัวเมื่อไหร่ ทว่าทำไมผู้เขียนถึงเลือกที่จะเชื่อแค่บางอย่างและไม่เชื่อในอีกอย่างหนึ่ง
ทั้งที่ทฤษฎีเรื่องอายุของโลกล้วนชี้ตรงกันว่าโลกเกิดเมื่อ4.5-5.5พันล้านปีก่อน ผู้เขียนกลับไม่เชื่อ
แต่เรื่องทฤษฎีดวงจันทร์ไม่ได้ชี้ชัดตรงกันว่าดวงจันทร์แตกตัวออกจากโลก ผู้เขียนกลับเชื่อ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผู้เขียนมีตรรกะที่ผิดเพี้ยน เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเองต้องการเพียงเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีความคิดที่การวิเคราะห์เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลควบคู่มาอีกด้วย
เช่นการเพิ่มอายุของโลกให้เป็น17.5พันล้านปี โดยบอกว่าแค่เติม0เข้าไปอีกตัว ก็ไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อย (เพราะหากศึกษาเรื่องการกำเนิดจักรวาลให้ดี อายุจักรวาลมีเพียงแค่13.5พันล้านปีเท่านั้น)
ทั้งเหตุผลที่ใช้ว่า เพราะดวงจันทร์แตกจากโลกเลยต้องเพิ่มระยะเวลาเข้าไป ก็ไม่สมเหตุสมผล
เพราะดวงจันทร์ก็อาจจะไม่ได้แตกออกไปจากโลกจริงก็เป็นได้ และใช่ว่าตอนแตกออกไปต้องรอให้โลกเย็นเสียก่อน เนื่องจากขณะที่โลกเป็นไฟ ไฟนั้นก็คือทรายที่ลุกเป็นไฟนั่นเอง (นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผู้เขียนไม่มีความรู้) ดังนั้นเมื่อแตกออกไปและรอเวลาให้เย็นลง มันก็สามารถกลายเป็นทรายได้ โดยไม่ต้องรอให้เย็นลงเสียก่อน

เพียงแค่หน้าเดียว ก็จะพบได้ว่า ผู้เขียนไม่มีความรู้ในทางวิทยาศาสตร์เรื่องที่พูด
ทั้งยังไม่มีตรรกะที่ดีเพียงพอในการเลือกสิ่งที่ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ เพราะการเลือกเชื่อในสิ่งที่จะเชื่อนั้นก็หาได้มีเหตุผลที่รองรับอย่างเพียงพอ
และยังใช้สิ่งที่น่าเชื่อน้อยกว่าเป็นเหตุผลในการที่ทำลายสิ่งที่น่าเชื่อมากกว่าให้ถูกทำลายลงไป
ราวกับว่าตั้งเป้าในสิ่งที่จะเชื่ออยู่แล้ว และนำสิ่งอื่นมาสนับสนุนความคิดตนเองโดยปฏิเสธสิ่งอื่นที่ไม่สนับสนุนไปเสีย
หนำซ้ำยังขาดการคิดวิเคราะห์ในมุมกว้าง และยึดติดกับความคิดและความเชื่อเดิม ๆ ของตนเองในการเขียนเพียงเท่านั้น ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการอ้างอิง  เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้มันเพื่อวิเคราะห์หาสิ่งที่ถูกต้องในภายหลังอยู่แล้ว แต่ใช้มันเพื่อสนับสนุนสิ่งที่ตนเองเชื่อแทน

แน่นอนว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป สิ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอล้วนแต่ไม่แตกต่างจากที่ยกตัวอย่างไปมากนัก
โดยผู้เขียนจะเพียงได้แต่ยัดเยียดและเชื่อโยงหลักฐานและทฤษฎีที่มีอยู่จริง เพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อของตนเองเพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี โดยเพิกเฉยต่อข้อขัดแย้งที่ชี้ชัดว่าไม่ได้เป็นไปตามที่พูดอย่างสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ ว่าสิ่งที่นำเสนอในบทความนี้จึงไม่สมควรเชื่อถือใด ๆ ทั้งสิ้น


ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
คนวิจารณ์ิคิดได้แค่นี้หรือ
ทำไมไม่ดูหลักฐานที่มีมากมาย และศึกษาดูก่อนค่อยวิจารณ์ก็ยังไหว
ความคิดเห็นที่ 2
ขอตอบข้อโต้แย้งที่เคยมีมาดังนี้

- กระเบื้องจาร นิยายตลก โดยพระสงฆ์องคเจ้า
- วิจัย วิเคราะห์แล้ว ศึกษามานานแล้ว โดยกรม - มหาวิทยาลัย - ผู้เชี่ยวชาญทางอักษร
- เป็นตัวขีดเขียนบนซีเมนต์ - ไม่มีรูปแบบอักษรชัดเจน
- ใช้\\\" ญาณ\\\" แปล
- \\\"มั่ว\\\"ตามความยึดมั่นถือมั่น แปลได้กระทั่งมีชื่อ\\\" ภูมิพล\\\"
แล้วอ้างว่าเป็น \\\"พุทธทำนาย\\\"
- หินทรายทอง มีแหล่งแร่ที่ไหนในประเทศไทย เอาตัวอย่างมาดูสิ
- เขาเปิดเผยเรื่องจอมปลอมนี้มากว่า 20 ปีที่แล้ว
- ข้อมูลบุคคล อ้างแต่พระ - คนญี่ป่นงมงาย ไม่มีผู้ที่ศึกษาโดยตรงหรือครูบาอาจารย์ทางโลกที่เชื่อถือได้รองรับสักคน
- วันนี้ยังมี \\\"ลูกศิษย์ \\\"เดินมาทางไหน ก็ยังเชื่อในสิ่งที่คอยหลอกลวงอยู่
-ภาษาต้องมีพัฒนาการ - มีรูปอักขระที่ชัดเจน - ไม่ใช่ขีดเขียนมั่วไปมา แล้วแปลเอง เออเอง
-คนปลอมลืมเรื่องนี้( การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม)ไปสนิท - แต่คนหลงมัวเมานี่สิ น่าเห็นใจ

-----ตอบ----------
- ดิฉันก็เพิ่งได้อ่าน เอกสาร 800 กว่าหน้า เมื่อไม่นานนี้ และไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางอักษรศาสตร์
หรือประวัติศาสตร์ หรืออื่นๆ แต่อย่างใดนะคะ งั้นขอยกข้อแย้งมาตามที่มีข้อมูลนะคะ
- กระเบื้องจาร นิยายตลก โดยพระสงฆ์องคเจ้า
พระสงฆ์ที่ว่านี้ ท่านมีฉายาว่า ธมฺมทตฺโต (พระราชกวี อ่ำ ธมฺมทตฺโต ป.ธ.6) แห่งวัดโสมนัสวิหาร
มีเกียรติพอเหมาะสมกับความเป็นสงฆ์ตราบจนวันที่ท่านมรณะภาพ เพราะได้รับพระทานเพลิงศพ
ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร หากท่านเป็นผู้โกหกหลองลวง หรือทำอะไรไม่เข้าท่า
เหตุใดจึงยังคงมีเกียรติเช่นนั้น?
- วิจัย วิเคราะห์แล้ว ศึกษามานานแล้ว โดยกรม - มหาวิทยาลัย - ผู้เชี่ยวชาญทางอักษร
? อันนี้ไม่ทราบค่ะ เขามีรายงานเป็นทางการหรือเปล่า ดิฉันขออ่านบ้างได้ไหม ลงชื่อโดยใคร กรมอะไร เมื่อไหร่?
เป็นไปได้ไหมว่า ชุดที่มีการปลอมขึ้น เป็นชุดที่ถูกนำไปวิเคราะห์ที่ว่า เพราะชุดที่หลวงตาอ่ำบอกว่ามีอยู่นั้น
ไม่มีใครขอไปอย่างเป็นทางการ
- เป็นตัวขีดเขียนบนซีเมนต์ - ไม่มีรูปแบบอักษรชัดเจน
ของ ปลอมที่เป็นซีเมนต์ (มีปูมหลังต้องเล่ายาว) ย่อมมีรูปแบบมั่วได้ แต่ของจริงท่านว่าเป็นหินทรายประกาย ถ้าจะพิสูจน์ก็ไปที่วัดโสมนัสวิหาร ที่เป็นของจริงเขามีรูปแบบอักษรชัดเจน ทั้งยังอ่านได้รู้เรื่อง ด้วยตากับความรู้ความสนใจด้านลายสือของท่าน มิใช่ด้วย ญาณ ดิฉันเองได้เห็นรูปประกอบ ก็เห็นอ่านเป็นตัวหนังสือไทยชัดเจน เช่น ษ ญ ง ส ธ ชัดเจนเหมือนตัวสมัยนี้เลย ทั้งๆ ที่ตามข้อมูลว่าคิดสร้างลายสือมากว่า 6800 ปี--เขายังมีประวัติเล่าด้วย ว่าไปยังไง มายังไง น่าทึ่งดีค่ะ
- ใช้ ญาณ แปล
อันนี้แย้งไปในข้อข้างบนแล้ว
- มั่วตามความยึดมั่นถือมั่น แปลได้กระทั่งมีชื่อ ภูมิพล แล้วอ้างว่าเป็น พุทธทำนาย
ถ้าเป็นลายสือจริง ดิฉันอ่านแล้ว ก็เห็นเป็นตัวหนังสือแบบที่ว่าจริงๆ แล้วทำให้รู้สึกรักในหลวง ภูมิพล มากขึ้น
ตัว สือปรากฏเช่นนั้น จะไม่กล่าวถึงเพราะอะไร? จะกล่าวถึงแล้วมีอะไรเสียหาย? คำว่า *มั่ว* กับ *อ้าง* ในที่นี้ถือเป็นการด่วนสรุป ในความคิดเห็นดิฉัน เรื่อง ปลอม หรือไม่ปลอม ถือว่าฟังได้
- หินทรายทอง มีแหล่งแร่ที่ไหนในประเทศไทย เอาตัวอย่างมาดูสิ
เรื่อง แหล่งแร่ไม่ทราบค่ะ แต่วัตุถโบราณ คือกเบื้องจาร ที่ว่าเป็นหินทรายประกายนี้ มีอยู่แน่ๆ ค่ะ ที่วัดโสมนัสวิหาร และวัดพริบพลี (จ.เพชรบุรี)
- เขาเปิดเผยเรื่องจอมปลอมนี้มากว่า 20 ปีที่แล้ว
หัวข้อนี้แหละ ที่สำคัญที่สุด เพราะตามเหตุการณ์ที่ ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา (หลวงตาอ่ำ) เล่านี้ เป็นไปแบบตรงกันข้าม
เรื่อง *แพะ* หรือความเข้าใจผิด คงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไรนักในบ้านเรา จะขอคัดข้อความบางส่วนมาดังนี้
ความคิดเห็นที่ 3
จะเล่าเทียมบันทึก-เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓-๔-๕ มีการขุดค้นที่คูบัว (จ.ราชบุรี) ขอทุนไป ๒ แสน
จะให้เจ้าของที่นาซึ่งได้รับการสอนเรียนรู้เป็นกรรมกรขุด ค่าจ้างคนละ ๒๕ บาท ประมาณ ๒๕ คนหรือกว่า
จ่ายจริงเพียง ๑๐ ก็ มั๊บ ได้ ๓๗๕ ซื้อเหล้ากินกันเมาตลอดวัน พอผู้ขุดค้นได้-ได้นำมอบให้ ก็นำออกไปขายที่นั่น
มีที่เหลืออยู่-พอมีนักถ่ายภาพ-ภาพยนตร์ ก็เอาของนั้นไปหมก หยิบเครื่องขุด-ทำเป็นขุดพบให้ถ่ายภาพ-ภาพยนตร์
เอามาลงหนังสือ และฉายทางโทรทัศน์ได้บรรยายข่าวโกหกให้ฟังตลอดวัน ที่เหลือแตกๆ หักๆ ก็เชิญ
บรรดาศาสตราจารย์ทั้งหลายให้ประชุมสัมมนากัน ก็ออกมาเป็นสมัยทวารวดีขึ้น
ในที่นั้น ขนที่เหลือๆ ใส่รถ พอ ๑๘ น. หรือกว่า กาลนั้นถนนยังไม่เรียบสนิทจึงมาช้าๆ ๒๑-๒๒ น.
ถึงวงเวียนใหญ่ ก็แบ่งขาย เฉพาะ กเบื้องเกือบหมด ที่เหลือก็เข้ากรมตอนสายๆ วันรุ่งใหม่ กรม...
ไม่ได้เปิดทำงานในกลางคืน
ท่านผู้สละซื้อไว้-สั่งให้นำมา เมื่อ พ.ศ.๐๗-๐๘-๐๙-๑๐-๑๑ เพราะเลยมาหลายปี
พวกนั้นคงนึกว่า เรียบร้อยแล้ว เมื่อได้มาก็พยายามอ่านได้มากแผ่น บังเอิญหัวหน้าฯ แหลมฟ้าผ่าสิ้นชีวิต
จึงพิมพ์เป็น กเบื้องจารฉบับร่าง ออกเผยแพร่ หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ขออนุญาตลงไว้เป็นวิทยาทาน
จึงเกิดดังขึ้น กาลนั้น พ.ศ.๒๕๐๙ มีเรื่องโรงลคร และหาย-ขายกินกำลังคุขึ้น ผู้ตรวจฯ และผู้บังคับฯ
เจ้าหน้าที่ก็จับจ้อง หนังสือพิมพ์ก็โหมขึ้น (พวกนั้น) ก็กลัวว่าจะถูกสอบสวน จะปฏิเสธว่าไม่มี (กเบื้องจาร)
ก็ไม่ได้-เพราะมีเกิดเปิดเผยขึ้นแล้ว จะรับว่ามีก็ไม่ได้ เพราะขาย-หายสูญไปหมดแล้ว
จึงวิ่งหัวเชิดเอาเหล้าไปเลี้ยงพวกขี้เมาคดโกงถูกหนังสือพิมพ์ไล่ออก ไปเก็บอิฐเก่าคูบัวทำปลอม
หลอกขายนักทัศนาจรให้รับว่าทำความจริงทำเศียรต่างๆ ไปพบนักทำกเบื้องซีเมนต์ปูพื้นที่บางขุนเทียน
ถาม-เขาก็รับว่าทำ (กเบื้องซีเมนต์ปูพื้น)
กาลนั้น (พ.ศ.๒๕๐๙) เปิดพิพิธภัณฑ์อู่ทอง ตรัสถาม ได้ส่งนาย... มาติดต่อ เพราะไม่รู้ว่ามีการวางแผนไว้แล้ว
ได้มอบให้ครึ่งแผ่นหักแล้วเพื่อดูข้างในเห็นได้ เจ้านี่ได้ไปสุมหัวร่วมกันเขียนแถลงการณ์เถื่อนเป็นทางออก
ซึ่งเป็นทางเดียวว่า (ของเรา) เป็นของปลอม โกหก หลอกลวง หลักฐานที่ขายไปนั้น มีหนังสือประกาศแล้ว
และเคยมีอธิบดีประกาศไว้ว่าให้นำไปคืน ที่ปรากฎ ก็คือได้ให้ทุนเพื่อรับไว้ จึงมีอยู่ที่คูบัว
และที่นี่ (วัดโสมนัสวิหาร-กรุงเทพฯ) กับที่สิตนี ออสเตรเลีย ที่คูบัว-พวกนี้ยังไปขู่จะเอามาเพื่อจะได้มีอยู่
แทนที่ขายไปแล้ว ที่นี่-ก็มาเอาลายจารึก-ไม่ได้ให้ไป ถ้าได้ไป ไปทำลายหรือขายไป ก็คงหมดหลักฐานแล้ว...
ความคิดเห็นที่ 4
ในวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๙ วิทยุกระจายเสียงตอนเช้า มีข่าวว่าสำนักนายกได้ประกาศแถลงเรื่อง
กเบื้องจารที่คูบัวและเพชรบุรี เป็นฝีมือคนบ้านคูบัวและบางขุนเทียนทำด้วยซีเมนต์นั้น
ขอแจ้งให้ทั่วๆ ไปทราบว่า สำนักนายกฯ หรือสถาบันอื่นใดไม่เคยได้นำ กเบื้องจาร หรือวัตถุอื่นใด
ที่ข้าพเจ้า (พระธรรมวงศ์เวที) และที่เพชรบุรี (ท่านพระครูพิศิษฐ์ศิลปาคม) ไปเป็นทางการเลยสักชิ้นเดียว
ที่มีในแถลงข่าวว่าถูกต้ม คงจะเป็นพวกนั้นเองถูกต้ม
ของพวกเราที่มีอยู่นี้ ทำด้วยหินทรายประกาย (Silicaric Sandstone) ไม่ใช่ซีเมนต์ ชั้นเราช่างวัดพริบพลี
และนักเรียนภายในวัดคุ้นกับซีเมนต์และหินทรายดี ทั้งกเบื้องของเรามีลงรักลงทองผง ท่าน เอ็ม มาชิดะ
ผู้ชำนาญแร่แห่งบริษัทอู่ทองไทย บอกว่าเป็นชุดหินทรายชุดกาญจนบุรี ซึ่งพิเศษ คือมีทองเม็ดปนอยู่
ซึ่งพวกเราชั้นช่างรู้จักรักและทองอันใหม่เก่าพอสมควร...
ทั้งในวันที่ ๙ นั้น ข้าพเจ้าพร้อมกับพระหลายรูป ได้มีโอกาสไปในงานทำบุญสำนักงานเทพศรีหริศ
ได้พบท่านประธานกรรมการชำระประวัติศาสตร์ จึงได้ถามท่าน ท่านเล่าว่าไม่เคยเห็น ไม่มีอะไร
ฉะนั้นชื่อสำนักนายกฯ ที่มีอยู่ในข่าวนั้นต้องไม่ใช่หมายถึงกรรมการฯ ชุดนั้น...
ของดีของเราอาจถูกขายไปหมด เช่น ในราวกลางเดือนกันยายนนี้ (พ.ศ.๒๕๐๙) นาย... ได้พบกเบื้องจาร
ที่ตำบลท่าเรือ ณ ควนอิฐ วัดนางกรา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ประมาณ 300 กว่าแผ่น
เห็นทิ้งๆ อยู่ คนนำไปทำถนนบ้าง ทุบเล่นบ้าง เห็นมีรอยขีดๆ นาย... พบที่ศรีสัชชนาลัยและพิมาย
เก็บเศษๆ นำมา ๔๗ แผ่น เห็นทิ้งเกะกะจึงลองนำไปขายฝรั่ง ได้แผ่นละ ๔๐๐ ต่อมาได้นำไปอีก
ถูกเจ้าหน้าที่ ๒ สถาบันยึดเอา เมื่อแอบดูปรากฎว่านำไปขายที่เดียวกันนั้น และที่ข้าพเจ้ามีอยู่ถูกว่าเป็นซีเมนต์
มีคนไทยและฝรั่งชาวอังกฤษและสหรัฐ ขอปันจะเอาไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษและสหรัฐ
ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจสละเลือดเนื้อเชื้อไขของคนไทยได้...
และในราวๆ เดือนมีนาคม-มิถุนายน มีหนังสือพิมพ์ขอเรื่องไปลงหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
นายตวง จิตต์พะวงศ์ ได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบว่ามีคณะหนุ่มและนายทหารหลายคนอ้างว่าขอยืมไปดูเป็นตัวอย่าง
และเป็นหลักฐาน เผื่อจะพบอีกจะได้ช่วยกันเก็บรักษาไว้ ไม่ได้บอกว่าเอาไปพิสูจน์ นายตวงได้ให้ขอยืมไป
จากวัดเพชรพลี ๑ แผ่น เป็นส่วนตัว แต่แผ่นนี้ข้าพเจ้าได้อ่านและใช้หมึกอินเดียนเขียนเลขลำดับแผ่น
พร้อมกับเขียนประวัติไว้ที่ด้านซ้ายมือ ซึ่งเป็นระเบียบการอ่านของข้าพเจ้าทุกแผ่น และคณะคนชุดนั้นหายเงียบไป
ทวงคืนหลายครั้งก็ไม่นำมาส่ง อ้างว่าส่งไปให้เขาพิสูจน์ ได้นำไปจากที่ข้าพเจ้าเป็นส่วนตัวก็มี
อ้างว่าส่งไปให้เมืองนอกพิสูจน์ ความจริงให้ขอยืมไปดูเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ให้ไปพิสูจน์ เราถือกันว่าดูของเป็น...
ไม่ใช่เป็นของจริง หรือปลอมเพียงประกาศ แต่ตัวของมันเองยืนยันตัวเองอยู่แล้วว่าจริงหรือปลอม
ทั้งได้ถามสถาบันนั้นๆ ดู ไม่ปรากฎ เรื่อง เห็นจะถูกขายไปหมดแล้ว...
สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้ายังเสียดายมากทุกชิ้น เพราะเป็นหลักฐานแต่ละชิ้นที่สำคัญมาก อย่างที่เขียนลงในหนังสือกเบื้องจารแล้ว
เช่น แผ่นสร้างวัดศรีมหาธาตุแดนลว้า มีชื่อ มนขอมพิสสณุ พระโสณ พระฌานีย พระภูริย พระอุตตร
และพระมูนีย ชัดเจน คงหายไปแล้ว...

- ข้อมูลบุคคล อ้างแต่พระ - คนญี่ปุ่นงมงาย ไม่มีผู้ที่ศึกษาโดยตรงหรือครูบาอาจารย์ทางโลกที่เชื่อถือได้รองรับสักคน
ส่วนที่คุณเรียกว่า *บรรดาลูกศิษย์* คือส่วนที่ไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด? ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรค่ะ : )
งั้นขอแปะข้อมูลที่อ้างอิงบุคคล กับตำราภาษาปะกิต (ที่เรามักเชื่อมั่นกว่าตำราไทย) ดังนี้

...ลายจารึกหินที่๑ ถ้ำฤษี เขางู อันมีผู้เขียนขึ้น-ทำแบบพิมพ์-พิมพ์ไว้แต่ พ.ศ. ๒๔๗๒
ต่างก็รับรองกันว่าอ่านไม่ออก แปลไม่ได้อยู่ถึง ๔๘ ปี (๒๕๒๐--วันที่หลวงตาอ่ำเขียนคำนำนี้)
คนชาวนาได้รู้ชัดว่า เป็นของพวกตัวเอง ก็อ่านได้ ยังแปลออกอีกด้วย พ.ศ.๒๕๑๕ ได้ผู้ช่วย
จึงวานเขาไป เอาดินสอพองร่างตามเส้นบ้าง จุดหนักเบาบ้าง เป็นลายเส้นขึ้นแล้ว จึงให้เอาสีอย่างเลวลง
เมื่อไม่ต้องการก็ลบออกได้ง่าย สีแห้งแล้วจึงถ่ายลายนั้นเอามาทำแบบพิมพ์เป็นลายสือไทยออกมา
ก็เห็นอ่านออกกันทั้งหมด...
ที่อ่าน *งู คิรฺ พุทธพัสสา ๔๔* ได้นั้น ยืนยันอยู่แล้ว ณ วันเสาร์ ๑๐ กันยา ๒๐ อาจารย์ ครูนักเรียน ร.ร. ส.น.
ได้ให้ร่วมไปเพื่อบรรยายลายจารึก และลายสลักพระ ครั้นได้ดูจารึก ก็ปรากฎว่า มีผู้เอารักดำใหม่ลง
ลบลายจารึกเกือบหมด เฉพาะที่ฝรั่งเขียนลอกเอาไปนั้นได้เอาแป้งผงลงไว้ เมื่อลบแป้งออก
ก็เกือบมองไม่เห็นลายเส้น คงจะเป็นพวกนั้นจงเจตนาเพื่อลบลายหลักฐาน-ได้กระทำแล้ว...
๑ ณ วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๒๗ กับ ร.อ.สมนึก พัฒนวิบูลย์ ร.น. และสุนารี ผู้ภรรยา ได้ไปถ้ำฤษี เขางู
เมื่อเข้าไปดูก็ปรากฎว่าทำพื้นใหม่ ช่องซองเปลในถ้ำสมาธิคุปต ซึ่งมีพื้นหินเลื่อมมัน อันยืนยันว่า
มีผู้ขึ้นไปนอนนั่งเสมอ คงเป็นขึ้นสมัยพระปุณณเถรก็ได้ ได้ถูกทุบทำลายหายไปแล้ว แม้ส่วนที่เป็นถ้ำ-มีรูปหัว,
ตา, งูใหญ่ ก็ถูกทุบให้บิ่นหักหายไป ยิ่งตัวจารึกนั้น-ก็ปรากฎให้มองเกือบไม่เห็น ถ้าไม่สังเกตดีๆ แล้วจะไม่เห็นเลย
หากประชุมจารึกสยามภาคที่ ๒ ไม่ทำไว้แล้ว คงไม่มีใครเชื่อว่ามีจารึก เพราะลบเลือนไปหมดแล้ว
ได้ฟังเล่าว่า-มีนักโบราณคดีชั้นศาสตราจารย์ คณบดีและถึง-อธิการบดี (พ.ศ.๒๕๒๗) ได้ให้ลูกกะเล่
ซึ่งมีขีดใหญ่บนบ่า ๒ ขีด ๒ คน นำรักไปลงทับไว้ ในเทศกาลงานประจำปี ก็ลงรักทับเพื่อปิดทองอีก
------------------------------------------------------------------------------
(ได้เห็นรูปแล้วหดหูใจมาก ถ้ำที่ว่านี้ มีลายสือโบราณและพรพุทธรูปโบราณอยู่ แต่กลับปล่อยให้มีการระเบิด
ภูเขาทำลายสิ่งเหล่านี้ไปแล้วจนหมด--เรื่องแบบนี้สมควรเกิดขึ้นหรือ เกิดไปแล้วค่ะ -- ขอบอก)


พระพุทธรูปไทยองค์แรก มีจารึกว่าชื่อ บุญวระฤษีงูคิรฺ สมาธิคุปฺต อันแปลว่า ชื่อ
บุญพระฤษีคุ้มครองสมาธิ ณ เขางู เนื้อหินปูนจะเห็นรอยเซาะยืนยันอยู่ ตัวที่ขาวชัดนั้น ได้ใช้แป้งขาว
ลงตามลายเส้นเดิม ให้คุณวิเชียร อาจารย์ราตรี น.ส.สมศรี เจียรณัย ลงสีจึงขึ้นชัด และ พุทธพัสสา ๔๔
เห็นชัดเจน ใช้แป้งลงร่างให้เอาสีเขียน วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๕ ลายจารึกเห็นเป็นแถวอยู่ระหว่างพระบาททั้งคู่นั้น...
ลายจารึกถ้ำฤษี เขางู ที่ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส กระทำไว้ในประชุมจารึกฯ ภาคที่ ๒ ตัวลายแสดงว่าเขียนใหม่
และยกเป็นอักษรคฤนถ-อินเดียใต้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ยังเชื่อกันอยู่
(ท่านเซเดสอ่านแล้วว่า) บุญ วระ ฤ ษี - ศรี ส มา ธิ คุ ปฺต
จะเห็นว่าไม่ได้อ่าน งู และ ษ. ญ. ง. ส. ธ. มีเค้าเหมือนตัวปัจจุบัน
ฉะนี้ จึงไม่ให้เป็นลายสือไทย ยกไปให้อินเดียใต้...
(เห็นได้ชัดว่า เราพร้อมใจที่เชื่อคุณยอช เซเดช ว่าถูก อย่างอื่นที่เป็นความเห็นแย้ง = ผิด!)
------------------------------------------------------------------------------
...ก็เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๒ มกรา ๒๓ มีบัณฑิตมาหา ๓ ท่าน ครั้นทราบแล้วปรากฎว่า ๓ ท่าน
เป็น ๓ ชาติ ท่านหนึ่งเป็นอินเดียน มีความรู้ชำนาญทั้งไทยอังกฤษอินเดียน อีกท่านหนึ่งเป็นเขมเรียน
หรือเขมระ ชำนาญทั้งไทยอังกฤษฝรั่งเศษ ท่านที่ ๓ เป็นฝรั่งเศสชำนาญไทยน้อย พอพูดได้บ้าง
อังกฤษชำนาญมาก ส่วนภาษาฝรั่งเศสนั้นเป็นภาษาชาติเขาอยู่แล้ว เล่าว่า มาเป็นผู้เล่าเรื่องไทย ณ กรม... ฯลฯ
ต้องการค้นหา-เรื่องไทยเพื่อไปทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก-ดร. ท่านทั้งหมดนี้ได้รับและอ่าน
*พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณฯ* (เอกสาร 800 กว่าหน้าที่กล่าวถึงในที่นี้) กับได้รู้เรื่องจารึกลายสือไทยบ้างแล้ว
เมื่อคุยกันพอสมควรแล้ว ก็เริ่มถามถึงเรื่องไทย ร่าง (รูป) ไทย ต้นไทย ระบบไทย แบบไทย ฯลฯ
ได้เริ่มเล่าตั้งแต่ขุนสรวง-นางสาง... ขุนอิน-นางกวัก... ขุนสือไทย-ไทยงาม... ขุนเลกไทย-งามตน...
ขุนต้นแรก-แม่โพสบ... เจ้าพ่อพระร่วง-จ้าวแม่เบิกไพร... พระร่วงเมืองไทย-จ้าวแม่ย่าซื้อนาง...
จ้าวพ่อพระอินร่วงไทย-จ้าวแม่ทับทิม ฯลฯ...
เมื่อเล่าจบตอน ท่านบัณฑิตอินเดียนก็แปลเป็นภาษาอังกฤษ ที่ปลื้มใจมากก็คือ ท่านระบุชื่อคำไทย
เช่นขุนสรวง นางสาง ฯลฯ ลายสือไทย ขุนสือไทย ขุนญิงไทยงาม ฯลฯ... ได้หยิบรูปขุนสรวง
นางสางเป็นรูปเปลือยและทำมือตีนเป็นแผ่น และรูปท่านต้นอื่นๆ ก็ได้ชี้ให้ดู ทั้งได้อธิบายให้ฟัง
ถึงสิ่งที่ได้กระทำไว้แล้วได้สร้างเป็นรูปเคารพบูชา ซึ่งไทยเรียกว่า บำบวง บวงสรวง
ซึ่งต่างได้ยอมรับกันว่า ได้รู้จักไทยแท้จริงขึ้น และเรื่องอย่างนี้ไม่เคยฟังมาก่อน ทั้งรูปเคารพต่างๆ นี้ก็ไม่เคยเห็น...
จะมาขอถ่ายรูปเพื่อไปทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก จะทำเรื่องไทย ลายสือไทย และคนชาติไทย ฯลฯ
จึงมีความเห็นว่า เวลาฝรั่งเขามาศึกษาค้นคว้าไทย-ไทยก็เอาที่ฝรั่งเขียนไว้เล่าให้ฝรั่งฟัง ความจริงเขารู้แล้ว
กลับไปเรียนที่เขาดีกว่า จึงเที่ยวไปหาตามวัดบ้าง ตามสนามพระบ้าง ตามตลาดขายพระบ้าง
พอพบเห็นก็เก็บเอาไปเป็นหลักฐาน...
ในการพิมพ์ครั้งนี้ ได้อาศัยทุนที่หลายท่านมีพระภิรมย์ สิริจนฺโท เป็นต้นได้ช่วยจัด ทุนค่าพิมพ์
และได้คุณทั้งหลายช่วยหาหนังสือต่างประเทศมาให้ คุณวิเชียรกับสุระช่วยถ่ายรูปให้ ทั้งสุระได้ช่วยตระเวณถ่ายรูปต่างๆ มา
และช่วยจัดตัวพิมพ์รูปเข้าหน้าให้ตลอด...

ธมฺมทตฺโต (พระราชกวี อ่ำ ธมฺมทตฺโต) วัดโสมนัสวิหาร กทม. วันที่ ๒๙ มค. ๒๕๒๓
------------------------------------------------------------------------------
- วันนี้ยังมี ลูกศิษย์ เดินมาทางไหน ก็ยังเชื่อในสิ่งที่คอยหลอกลวงอยู่
- ภาษาต้องมีพัฒนาการ - มีรูปอักขระที่ชัดเจน - ไม่ใช่ขีดเขียนมั่วไปมา แล้วแปลเอง เออเอง
สองข้อนี้ ซ้ำซ้อน และได้แย้งไปในข้อข้างบนแล้ว

- คนปลอมลืมเรื่องนี้ (การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม) ไปสนิท - แต่คนหลงมัวเมานี่สิ น่าเห็นใจ
ข้อนี้ ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ลืมน่ะง่าย, ปลอมก็ง่าย, ดูที่คุณโพสต์ กับดิฉันโพสต์นี่ก็ชัดแล้ว ดิฉันต้องพิมพ์ตั้งเยอะแน่ะ
ถ้าคุณได้อ่านเอกสารนี้แล้ว เห็นข้อมูล ความวิริยะ อุตสาหะ ที่ผู้เกี่ยวข้องเขาได้รวบรวมมา
ให้ได้รู้ได้อ่านนี้ มันน่าทึ่งมากนะ หากว่าในที่สุดแล้ว มันจะเป็นได้เพียงเรื่องแต่ง หรือนิทาน
ดิฉันก็เห็นว่าเป็นนิทานที่มีคุณค่าและข้อมูลความรู้ในหลายๆ ด้าน อย่างน่าทึ่งมาก
ซ่อนนาม
ซ่อนนาม 7 มี.ค. 58 / 11:36
กลับมาตอบ ไม่เข้าใจที่สื่อ

แต่นิทานควรจะบอกว่าเป็นนิทาน
การบอกว่าเป็นเรื่องจริงคือการกระทำที่ต่ำทราม

ส่วนเรื่องที่ยกมา
หากใช้ตรรกะเช่นนั้น มะเขือเทศก็อ้างว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้
เพราะข้อที่เหมือนมันก็มี แต่ข้อที่ไม่เหมือนก็มีอยู่เพียบ
แต่ดันมองข้ามข้อที่ไม่เหมือนแล้วไปยึดเพียงข้อที่เหมือน เป็นอะไรที่โง่เขลามาก
มนวีร์ สุนทรโกมล
ตอนไหนไม่เหมือนไม่ทราบครับคุณ
081-633-3274
081-633-3274 24 ก.ย. 58 / 09:49
อยากบอกว่า--ท่านทั้งหลายบัณฑิตทั้งหลายที่สงสัยเรื่องเมืองพลืบพลี ท่านที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านเจ้าคุณ ฯ ค้นพบว่าโบราณสถานและโบราณวัตถุกับเรื่องราวที่ท่านยกมาเล่า(ขุนสาง หรือใคร ๆ ในเนื้อเรื่อง) แล้วไปออกความเห็นว่าท่านเลอะเลือน แต่มาวันนี้(จากหลัง พ.ศ. ๒๕๒๕) ข้า ฯ ได้พบสิ่งที่ท่านเจ้าคุณ ฯ เล่าไว้มากมายตรงกับสิ่งที่ ข้า ฯ ได้ค้นพบและสามารถสะสางความได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่เหมือนกันคือเลขศักราช สมัยพระโสนะ นั้นตรงกันว่าพระมหากษัตริย์พระองค์นี้มีองค์จริง ไม่ใช่นักพรตนักบวชแต่เป็นกษัตริย์องค์ที่สองในสมัยสุวรรณภูมิ สุวรรณภูมินั้นดั้งเดิมคือพุกามแล้วแผ่ขยายอาณาจักรเข้ามายังลุ่มแม่นำ้น้อยขึ้นไปบรรจบอาณาจักรเหนือในสมัยก่อนศักราช ๒๕๖ (เลขตรงกับที่ท่านเจ้าคุณบันทึกไว้ แต่ไม่ใช่ พ.ศ แต่มันคือ พ.ศ จะอธิบายทีหลังถ้ามีคนสงสัย) อาณาจักรเหนือมาหยุดอยู่ที่สุโขทัยนับเนื่องจากเชียงใหม่(กล่าวเฉพาะเขตประเทศไทย) นามนครนี้คือมหารัษฐะนั้นตรงกับตำนาน พงศาวดารเหนือ เรื่องราวยาวเหยียดที่แสดงการเกิดขึ้นของอาณาจักรชาวไทยในข้อที่สันนิษฐานว่ามีระบอบจักรวรรดิวัตตระธรรมนำพระศาสนามานำการเมืองสร้างอาณาจักรนั้นมีจริงมีหลักฐานชนิดงมงายตำราฝรั่งชนิดดื้อเป็นหัวตะกั่วยังต้องจำนนต่อหลักฐาน การที่ท่านเจ้าคุณนำสิ่งที่ค้นพบมาลำดับเป็นเรื่องราวได้ต้องเข้าใจท่านว่าท่านเป็นคนยุคสมัยใด ความเข้าใจท่านมีได้ขนาดไหน หากท่านยังอยู่ผมจะไปกราบท่านแนะนำชี้แจงหลักฐานที่เห็นด้วยสายตาให้ท่านทราบว่ามีาิ่งที่แท้จริงที่ท่านมองไม่เห็นตรงตามที่ท่านเห็นอยู่ และมีสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ท่านอ่านเรื่องจากตำนานในแผ่นกะเบื้องจาร(เราไม่รู้ได้เพราะอ่านไม่ออก) บัณฑิตทั้งหลายควรรับฟังความ ทั้งจากท่านเจ้าตุณ ฯ และจากเรื่องที่ฝรั่งลงความเห็นไว้ มันมีเหตุผลตามความจริงทั้งสองฝ่ายแล้วตัดประเด็นความที่เฟ้อออกไปให้เป็นประวัติศาสตร์จะถูกต้อง....เพราะอะไร....เพราะท่านที่เป็นบัณฑิตหรืออวดรู้ว่าเก่งเข้าใจในตรรก มันต่างยุคสมัยกันในการถ่ายทอดทางนิรุกติ มันเพี้ยนไป ปู้ย่าตาทวดผมเป็นคนโบราณไม่เคยเรียนหนังสือสำนักไหน จากบวชเรียนแล้วมาดำรงชีวิตไปตามสภาพย่อมไม่สามารถถ่ายทอดความเข้าใจของท่านให้ ข้า ฯ ได้อย่างสละสลวย ฟังแล้วน่ารำคาญในสำนวนที่พยายาม แต่เราก็ฟัง .....บัณฑิตเอย...ท่านแน่จริงไหมที่จะเจอกันสักครั้ง ข้า ฯ จะนำสิ่งที่ท่านงมงายกับตำราปริญญาที่เหลวไหลไร้สาระเชื่อไม่ได้เลยเพราะหลงฝรั่ง...ท่านเอย นำพาข้าฯ ไปพบไปเห็นกับโบราณสถานสักแห่ง ข้าฯ จะชี้ให้ดูหลักฐานว่าที่ท่านเชื่อว่าเป็นสมัยอยุธยานั้นไม่มีเลย ท่านบัณฑิตเป็นคนที่มีเหตุผลด้วยผ่านการศึกษาตามหลักสูตรเหลวไหล โปรดโทรมาคุยกับข้าสักคนเถอะ
เกิดมาเพื่อ...?
ตำราเรียนทุกวันนี้ จะเชื่อได้อย่างไรว่าไม่มอมเมา
การศึกษาหาความรู้อยู่ที่ตัวผู้ไฝ่รู้จะค้นคว้าเอาเองไม่ใช่ยัดเยียด
ผู้อื่นให้ต้องรับรู้และปฏิบัติตาม

นับประสาอะไรกับคนธรรมดาจะเขียนผิดเขียนถูก คนที่จบด็อกเตอร์มีความรู้สูงสุด
ยังมั่วกันเยอะแยะมากมาย

เหมือนการนับถือศาสนาคนที่รู้ถึงประโยชน์เขาก็ว่าดี
คนที่ไร้สติก็ว่าเสียเวลาเสียเงินเสียทอง
StariO2D
StariO2D 1 ม.ค. 60 / 15:14
ผมยังเชื่อมั่นในกระเบื้องจาร ว่าประวัติศาสตร์ ผืนแผ่นดินไทยเรา ที่เริ่มมา จาก "ขุน" และการเชื่อมโยงกับ พระไตรปิฏกพร้อมอรรถกถา ถึง การเข้ามาของศาสนาพุทธ