ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แก้วทิวาราตรี

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่1:ส่งสู่ชีวิตใหม่ (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 50
      1
      26 มี.ค. 60

          ‘ตอนนี้ผมยังไม่ตายงั้นเหรอ ทั้งที่โดนไปขนาดนั้นเนี่ยนะ แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือที่นี่มันที่ไหนต่างหากมืดไปหมดมองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง ถ้าเป็นสวรรค์ก็คงจะไม่มืดขนาดนี้หรอก หรือว่าจะเป็น…นรกงั้นเหรอ! เดี๋ยวนะ!แต่ถึงผมจะไม่เคยเข้าวัดทำบุญหรือร่วมงานทอดกฐิน เข้าพรรษาหรืออะไรทั้งหลายพวกนั้น แต่ศีล5ผมก็ไม่เคยผิดสักครั้งเลยในชีวิต! แล้วผมจะตกนรกได้ยังไงกับเล่า!’
         เขาเริ่มคิดออกไปต่างๆนาๆ ที่เมื่อตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ที่มันมืดมากจนมองไม่เห็นอะไรเลย  และในขณะที่ความคิดของอรัญเริ่มที่จะเตลิดออกทะเลไปไกลอยู่นั้น ก็พลันมีแสงสว่างขนาดเล็กๆปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขามันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พอมีขนาดเป็น3เท่าของขนาดตัวของเขา มันก็เริ่มดึงอรัญให้เขาไปในนั้นทันที
         “เฮ่ย! อะไรกันเนี้ย!” อรัญร้องลั่นเมื่อจู่ๆก็มีแสงประหลาดดึงเขาเข้าไปโดยไมทันตั้งตัว แล้วสติของเขาก็ดับวูบลงอีกครั้ง
         ‘นี่เจ้าจะเซ่อซ่าไปถึงไหนฮะ! วิญญาณดวงนี้ยังไม่ถึงคาดเลย แล้วเจ้าจะเก็บมาให้เขาตายเปล่าๆทำไมฮะ!’
         ‘ข…ขออภัยขอรับท่านพยายมราช ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ!’
         เสียงปริศนาดังขึ้นมาหลังจากที่อรัญถูกแสงนั้นพามาโผล่ที่ไหนสักที่หนึ่ง 
         “นี่ แล้วนั่นเจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันนะ อรัญข้าเรียกเจ้านั้นแหละ” เสียงปริศนาเรียกอรัยที่ตอนนี้ยังนอนไม่รูเรื่องรู้ราวอยู่ที่พื้น 
         “อืม...ที่นี่มันที่ไหนกัน เรายังไม่ตายงั้นเหรอเนี้ย” อรัญเอ่ยกับตนเองทันทีที่ลืมตาขึ้นมา เขาลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะเริ่มมองสำรวจพื้นที่ดดยรอบจึงพบว่าที่นี่เป็นเหมือนตำหนักหรือวังแบบที่เขาเคยดูในหนังจีน แต่เมื่อหันมามองด้านหลังเขาก็เห็นชายคนหนึ่งที่มีรัศมีสูงศักดิ์แผ่ออกมา แล้วก็มีโครงกระดูกยืนได้ พูดได้...
    เดี่ยวนะ?!
         “ว๊ากกก! ก..กระดูก! โครงกระดูกมนุษย์!”  อรัญร้องตะโกนลั่นทันทีที่ได้เห็นกระดูกเดินได้เป็นสิบๆตัว ไม่ใช่ว่าเขากลัวผีหรือพวกซากศพมนุษย์หรอกนะ แต่จู่ๆก็มาเจอกันจะๆเยอะแยะแบบนี้ใจแข็ง จิตแข็งแค่ไหนก็ต้องตกใจกันทั้งนั้นแหละ 
    “หุบปากเดี๋ยวนี้นะเจ้าวิญญาณชั้นต่ำ! กล้าดียังไงถึงมาทำเสียงเอะอะในวังของท่านจ้าวนรกห๊ะ!”โครงกระดูกที่อยู่ใกล้กับอรัญที่สุดตวาดใส่เขาเสียงดัง แล้วก็บ่นไปเรื่อยๆ  
         “พอได้แล้วเจ้ากระดูกสะเพร่า เจ้าไม่สมควรจะไปว่าเขาในเมื่อเจ้าก็มีความผิดที่ไปดึงวิญญาณเขาออกมาทั้งที่ยังไม่ถึงคาดด้วยซ้ำ” แต่คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นท่านจ้าวนรกอะไรนั่นก็เอ่ยห้ามกระดูกตนนั้นก่อนที่มันจะได้พูดอะไรนอกเรื่องสำคัญไปมากกว่านี้
         
          ‘ยังไม่ถึงคาด’ หมายความว่าจริงๆแล้วผมยังไม่ตายงั้นเหรอ!
         “ใช้เจ้าเข้าใจถูกแล้วละ ทั้งเรื่องที่เจ้ายังไม่สมควรตาย และเรื่องที่ข้าเป็นจ้าวนรกด้วย” คนที่นั้งอยู่บนบัลลังก์ตอบผม
     เอ๊ะ...เดี่ยวนะ อย่าบอกนะว่าเขาอ่านความคิดผมได้หน่ะ!
         “ใช่ข้าอ่านความคิดเจ้าได้ เจ้ามีอะไรจะถามอีกไหม?” 
         “เอ่อ...คือถ้าผมยังไม่ชะตาขาดท่านส่งผมกลับไปได้หรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยปากถามออกไปด้วยใจลุ้นระทึกกับคำตอบที่จะได้รับต่อจากนี้ว่าจะได้กลับบ้านมั้ย
         “ถ้าให้ส่งวิญญาณกลับเข้าร่างนะข้าทำได้ แต่ในกรณีอย่างเจ้านะข้าทำไม่ได้” อ้าว ทำไมทำไม่ได้อะ
         “นั่นก็เพราะศพของเจ้าถูกเผาเรียบร้อยแล้วนะสิ จะให้ข้าส่งเจ้าไปอยู่ในขี้เถ้าหรือไรกัน ถึงเจ้ามานอนสลบอยู่ที่นี่ได้แค่ไม่กี่ชั่วยามแต่ในโลกมนุษย์มันผ่านไปเป็นเดือนๆแล้วน้ะ” ท่านจ้าวนรกตอบคำถามของผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร
          แต่ว่า
    อย่างงี้ผมก็ตายฟรีอะดิ! ไม่เอานะ ผมยังมีสิ่งที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งมามาย ใหนจะหมาไซบีเรียนที่เลี้ยงเอาไว้อีก! ท่านจ้าวนรกผมมีเรื่องที่ค้างคาใจอีกมากมาย วิญญาณผมคงไม่สงบแน่
         “เจ้านี่มันหนวกหูจริงๆ ถ้ามีปัญหาเยอะนักก็ไปคุยกับจ้าวสวรรค์เอาเองก็แล้วกัน หมอนั่นคงจะมีวิธีแก้ปัญหาของเจ้าได้ดีกว่าข้าแน่นอน อีกอย่างหมอนั่นยังมีธุระที่อยากจะคุยกับวิญญาณที่มีบุญและบาปเท่ากันอย่างเจ้าด้วยหน่ะ”
         ณ สวรรค์
    ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของท่านจ้าวสวรรค์ที่ตอนนี้ยังไม่มีใครนั่งอยู่ในห้องที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นห้องโถงหละมั้ง  แต่ว่าทั้งๆที่ผมเพิ่งเคยมาสวรรค์เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเคยขึ้นมาบ่อยๆงั้นแหละ 
         “สิ่งที่เจ้าสงสัยจะได้รับการไขออกเมื่อถึงเวลา คิดไปตอนนี้เจ้าก็จะไม่ได้รับคำตอบหรอก”
         เอ๊ะ...นั่นมันเสียงใครนะ ตอนนี้ผมก็ยืนอยู่คนเดียวนี่
         “ข้าก็อยู่ข้างหลังเจ้านี่ไง” เมื่อผมลองหันไปตามที่เสียงปริศนานั่นบอกผมก็พบกับชายคนหนึ่งที่แต่งตัวด้วยชุดจีนสีทองอรามมีรัศมีสูงส่งแผ่ออกมา เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ยกสูงขึ้นจากพื้นมากกว่าตอนแรกที่ผมเห็น ข้างกันก็มีเก้าอี้(ที่ไม่รู้มาจากไหน)ตั้งเรียงเป็นแถวหน้ากระดานบนเก้าอี้นั้นก็มีคนทั้งชายและหญิงนั่งเรียงรายอยู่ นับๆดูแล้วน่าจะประมาณสิบกว่าถึงยี่สิบได้มั้ง
         “เอาหล!ะ...ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันถ้วนหน้าแล้ว เราก็จะขอเปิดประชุมในเรื่องของเจ้าเลยแล้วกันนะ เรื่องแรกเริ่มจากการตัดสินความเหมาะสมของเจ้าก่อนเลยแล้วกัน” ชายที่นั้งอยู่ทางขวาของบัลลังก์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง
         เอ๊ะ....  ตัดสิน?... ตัดสินเรื่องของผมเหรอ?.... แล้วตัดสินอะไรกัน?...
         “เอ่อ...คือว่าก่อนหน้านั้นผมขอถามอะไรนิดหน่อยได้มั้ยครับ” ผมเอ่ยออกไปด้วยความสงสัย น้ำเสียงของผมตอนนี้ดูกังวลเล็กน้อย เพราะตอนนี้ผมยังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองอยู่ในสถานะใหน 
         “อื้ม เจ้าอยากถามอะไรก็เชิญได้ตามสบายเลย” ผู้หญิงที่นั่งอยู่ริมขวาสุดที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนหญิงวัยกลางคนเอ่ยบอกอนุญาติให้ผมถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย
         “คือ...ที่บอกว่าตัดสินนี่...ตัดสินเรื่องอะไรเหรอครับ” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นน้อยๆเพราะความตื่นเต้นนิดๆ ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะตัดสินเรื่องบาปบุญของผมเนี่ยแหละ เพราะท่านจ้าวนรกบอกว่าบาปบุญผมเท่ากัน แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้เพราะมันเป็นแต่ข้อสันนิฐานเปล่าๆ ไม่มีอะไรที่เป็นหลักฐานหรือเหตุการณ์ที่สามารถบอกได้แน่ชัดว่ามันจะเป็นไปตามที่ผมคิด

    “เราไม่ได้จะตัดสินบาปบุญเจ้าหรอก แต่สิ่งที่เราจะตัดสินกันวันนี้คือความเหมาะสมของเจ้าว่าคู่ควรกับหน้าที่ที่ข้าจะมอบหมายหือไม่ต่างหาก” ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตอบคำถามของผมด้วยใบหน้าที่ความจริงจังอยู่เล็กน้อย

    แต่คำว่าหน้าที่ที่จะมอบหมายนั่นก็ทำให้ผมเกิดสงสัยขึ้นมาอีก

    “แล้วที่ว่าหน้าที่นี่หมายถึงอะไรเหรอครับ” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย แต่ไม่รู้ว่าทำไมลางสังหรณ์ลึกๆของผมร้องบอกว่าหน้าที่นี้จะต้องนำมาซึ่งความวุ่นวายแน่ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรปกติผมก็ไม่ที่จะค่อยตัดสินอะไรด้วยลางสังหรณ์อยู่แล้วด้วย แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าครั้งนี้มันจะต้องเป็นไปตามที่ผมรู้สึก

    “ร่างสถิต...”ชายผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เอ่ยตอบผมอีกครั้ง แต่ที่ว่าร่างสถิตนี่มันคืออะไรกันนะ

    “หน้าที่ที่ข้าจะมอบหมายให้เจ้าทำก็คือร่างสถิตของแก้ววิเศษที่มีนามว่า ‘แก้วทิวาราตรี’ ซึ่งจะต้องใช้วิญญาณที่มีบุญบาปเท่ากันไปเกิดเป็นร่างสถิตเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีใครที่จะสามารถทำหน้าที่นี้ได้ พวกเราจึงต้องทำการตัดสินและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะวิญญาณที่บุญบาปเท่ากันก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ คนล่าสุดก็เมื่อหกร้อยกว่าปีก่อนแล้ว” หลังจากที่อธิบายเสียยาวยืดก็ไขข้อข้องใจของผมได้อย่างนึงว่าหน้าที่ของผมคืออะไร แต่ความสงสัยใหม่ก็เข้ามา (อีกแล้ว!//ไรท์) 

    “แล้วแก้ว..”

    “แก้วทิวาราตรีคือดวงแก้ววิเศษที่เกิดจากน้ำตาหยดแรกของเทพมังกรทอง จ้าวแห่งเหล่ามังกรทั้งปวง มันมีความสามารถในการรักษาได้ทุกอย่างทั้งบาดแผลและโรคภัยต่างๆ ที่แม้แต่หมอเทวดายังรักษาไม่ได้ แต่ดวงแก้วนี้สามารถรักษาได้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอีกหลายอย่าง แต่คุณสมบัติที่พิเศษที่สุดคือมันมีพลังมากถึงขั้นสามารถใช้ผนึกราชาปีศาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าปีศาจทั้งมวลให้หลับใหลไปตลอดการได้

    ส่วนเหตุผลที่ต้องมีร่างสถิตนั่นก็เพราะว่า จะต้องมีคนที่คอยรักษาสมดุลพลังของดวงแก้วนี้ไว้ เพราะถ้าปล่อยให้ดวงแก้วเสียสมดุลนานๆจนแตกสลายไปจะทำให้ แดนมนุษย์ แดนเทพ และแดนปีศาจ นอกจากสวรรค์และนรก จะต้องแตกสลายไป ที่สำคัญต้องมีบุญและบาปเท่ากันเท่านั้นจึงจะทำหน้าที่นี้ได้ ซึ่งในเวลานี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะทำหน้าที่นี้ได้

     สิ่งที่เจ้าต้องทำก็ไม่มีอะไรมาก แค่คอยปกป้องตัวเองให้ดีอย่าปล่อยให้ดวงแก้วต้องตกไปอยู่ในมือคนชั่วเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือเอาไว้เจ้าลงไปเกิดก่อนแล้วข้าจะส่งคนลงไปคอยดูแลและสอนพร้อมอธิบายอะไรเพิ่มเติมเอง...เจ้ามีอะไรจะถามอีกมั้ย”  ผู้ชายที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของบัลลังก์เอ่ยอธิบายในสิ่งที่ผมกำลังจะถามซะยาวเหยียด ราวกับรู้ว่าผมจะถามอะไรอีกบ้าง พร้อมจบคำพูดด้วยคำถามที่เหมือนจะบังคับให้ผมหยุดสงสัยโน่นนี่ได้แล้วยังงั้นแหละ

    แต่พอไม่มีอะไรจะถามแล้วผมเลยส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธว่าหมดคำถามแล้ว

    “เอาหละในเมื่อเจ้าไม่ข้อสงสัยอะไรแล้ว ตอนที่เจ้าฟังการอธิบายเมื่อตะกี้นี้ข้าก็จัดการปรึกษากับทุกคนที่อยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแค่ถามความสมัคใจของเจ้าและพยานร่วมเหตุการณ์ในการตัดสินใจของเจ้า” ชายที่อยู่บนบัลลังก์เอ่ยขึ้น

     “อรัญ เจ้ายินดีที่จะทำหน้าที่นี้หรือไม่ หากเจ้าตกลงข้าจะได้ส่งเจ้าไปเกิดในมิติคู่ขนานโดยที่ความทรงจำของเจ้าจะอยู่ครบทุกประการ พร้อมพลังและดวงแก้ว แต่หากเจ้าไม่ตกลงข้าจะส่งเจ้ากลับไปเกิดในมิติเดิมของเจ้า ให้เจ้าได้ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์สามัญธรรมดาทั่วไปดังเช่นที่เคยผ่านมา เจ้าจะเลือกทางไหน?”

    อืม...จะให้เลือกทางไหนงั้นเหรอ ใจหนึ่งผมก็อยากจะกลับไปเป็นคนธรรมดาเหมือนเดิมนะ แต่ถ้าผมไม่ทำหน้าที่นี้ แล้วมันก็ไม่มีใครมาทำแทนแล้วด้วย อีกอย่างจากที่ฟังเค้าอธิบายเมื่อกี้นี้แล้ว ถ้าไม่มีร่างสถิตมันก็จะส่งผลเป็นวงกว้างด้วยสิ เอาเป็นว่าทำก็แล้วกัน ถึงผมอยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมมากแค่ไหนก็เถอะ แต่ถ้าดวงแก้วมันแตกขึ้นมามันก็ไม่คุ้มกันเท่าไหร่นะ

    “ผมตกลงครับ ผมจะทำหน้าที่นี้  และผมจะไม่มีวันเสียใจกับสิ่งที่ได้เลือกไปแล้ว” หลังจากที่ผมคิดอย่างละเอียดดูแล้ว ผมจึงเอ่ยตอบชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไปอย่างมั่นคง

    “ดียิ่ง...เจ้าจงรักษาและจำคำพูดของตัวเองเอาไว้ให้ดี... เอาละ ในเมื่อเจ้าก็ยอมรับหน้าที่นี้แล้ว และพยานทั้งหมดซึ่งก็คือเหล่าชาวสวรรค์ทั้งหลายก็ได้รับรู้และได้ยินเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วด้วย”

    หลังจากที่ชายคนเดิมเอ่ยว่าชาวสวรรค์ทุกคนรับรู้เรื่องนี้แล้ว ผมก็อดตกใจไม่ได้ว่าทำไมข่าวสารทที่นี่ถึงไปไวขนาดนี้ อย่างกับว่ากำลังถ่ายทอดสดอย่างงั้นแหละ

    “เอาหละในเมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็อย่าได้เสียเวลาไปมากกว่านี้เลย ข้าก็ขอปิดการประชุมเพียงเท่านี้ ทุกคนแยกย้ายได้...ยกเว้นเจ้าคนเดียวนะอรัญ” ชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์พูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่ทัศนิภาพรอบๆค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด จนรอบข้างกลายเป็นผืนป่าสีเขียวขจีล้อมรอบทุ่งหญ้าสีทองซึ่งอรัญและชายคนนั้นยืนอยู่ ตรงกางทุ่งหญ้าก็มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ 

    “ถึงแล้ว ที่นี่ละที่ข้าจะใช้ส่งเจ้าลงไปเกิดยังโลกมนุษย์ แต่ก่อนไปข้าจะให้พรเจ้าสักข้อสองข้อแล้วกัน หนึ่งเจ้าจะสามารถสื่อสารกับสัตว์ได้ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรหรือสัตว์ธรรมดา และสองเจ้าจะสามารถควบคุมและสื่อสารกับต้นไม้ได้ทุกชนิด ยกเว้นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์กับต้นไม้ที่มีเทพหรือวิญญาณสิงสถิตอยู่เท่านั้น ส่วนเรื่องครอบครัวใหม่ของเจ้าก็คงต้องแล้วแต่กงล้อแห่งโชคชะตาจะกำหนดแล้วหละ”

    หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบร่างของอรัญก็ถูกแสงที่ส่องออกมาจากสระน้ำดึงลงไป เมื่อแสงกับอรัญหายไปได้ไม่นานนัก ก็มีชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างสระน้ำ ในมือของชายชรามีด้ายสีแดงเส้นยาวอยู่หลายเส้น

    “อ่าว นี่ข้ามาช้าไปเหรอเนี่ย กะว่าจะมาบอกเรื่องเนื้อคู้ของเจ้าหนูนั่นสักหน่อย เฮ้อ...”

    “ไม่เป็นไรหรอกท่าน‘เฒ่าจันทรา’ หากเป็นเนื้อคู้กันแล้ว...สักวันบุพเพสันนิวาสจะชักน้ำหญิงผู้นั้นให้มาพบกับเขาแน่นอน” ชายคนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

    “ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับท่าน‘เง็กเซียนฮ่องเต้’ คู้ของเด็กหนุ่มผู้นี้หาใช่สตรีไม่ แต่กลับเป็นบุรุษถึงสามคน แถมหนึ่งในนั้นยังเป็น‘จินลู่’ซะด้วย


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×