ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 09
โอบตะวัน
Chapter 9
ความสับสนของผมยังอยู่ ไม่เลือนหายไปง่าย ๆ ไม่สามารถตกตะกอนจนแยกแยะดีเลว เหตุและผลใด ๆ ได้โดยสิ้นเชิง ท้ายที่สุดก็เลิกใส่ใจ หากแต่บ่อยครั้งก็แวบเข้ามาในหัวในช่วงเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว
อาการของหนึ่งตะวันดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเพื่อนชายคนสนิทแวะมาหา แต่เขายังคงไม่พูดกับผม อย่างมากก็ถามคำตอบคำ แม่กับป้าแวว รวมไปถึงไอ้โจ้เลิกถามแล้วว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ทุกคนเห็นเป็นปกติธรรมดา เหมือนนกที่บินออกจากรังไปหาอาหารยามเช้า เหมือนอุณหภูมิสี่สิบองศาในฤดูร้อนของประเทศไทย
ผมถอนหายใจ แบกแฟ้มรวบรวมค่าใช้จ่ายแต่ละส่วนของไร่ตะวันฉายขึ้นชั้นสอง เคาะประตูเบา ๆ บิดลูกบิดเข้าไป เจ้าของห้องกำลังสาละวนกับการดูคลิปยูทูป สวมหูฟังขนาดใหญ่หน้าคอมพิวเตอร์ส่วนตัว
“ผมเอาเอกสารมาให้” ว่าพลางเดินไปหาหนึ่งตะวันพยักหน้าโดยไม่หันมามองผม “ขาเป็นยังไงบ้างครับ”
“เวลาเดินลงเต็มแรงยังเจ็บอยู่นิด ๆ แต่ไม่มาก ที่จริงก็ลงไปดูที่ไร่ได้แล้ว”
“อย่าเพิ่งเลยครับ ให้หายดีก่อน”
“อืม”
เป็นการตัดบทสนทนาอย่างที่เป็นมาหลายวัน ผมถอนหายใจ เดินมาซ้อนด้านหลัง วางมือทั้งสองข้างบนพนักพิงเก้าอี้ล้อหมุน
“เพลงที่เปิดบนรถวันนั้นนี่ครับ”
“อืม”
หนึ่งตะวันยังคงตอบผมเหมือนเดิม แต่ปิดเสียง เมื่อคู่สนทนาถอดหูฟังวางบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ผมก็หมุนเก้าอี้หนังให้หันมาเผชิญหน้า ส่วนตัวเองคุกเข่าลงคุยด้วย เนิ่นนานพอแล้ว เขาทำให้ผมอึดอัด ไม่มีเสียงของหนึ่งตะวันตวาดแหวคล้ายชีวิตขาดหาย การเงียบไปเลย หรือเมินใส่นับตั้งแต่อาหารมื้อนั้นก่อมวลความไม่ชอบใจขนาดมหึมาในใจเราทั้งคู่ ผมรู้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องสะสาง กวาดล้างให้สะอาด ไม่จำเป็นต้องรักกันกลมเกลียวแต่ไม่ใช่คาราคาซังความสัมพันธ์ปั้นปึ่งแบบนี้ต่อไปไม่สิ้นสุด
แน่นอนมันไม่สิ้นสุดแน่ ถ้าผมไม่ใช่ฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน
“คุณหนึ่งโกรธอะไรผม”
คู่สนทนาค้อนขวัก ตอบแทบจะในทันทีโดยปราศจากการใช้เวลาตรอง
“เปล่า”
“โกหก” ผมยกมือขึ้นมาคลายปมที่คิ้วของอีกฝ่ายแบบที่ไอ้โจ้ชอบทำกับตัวเอง ไอ้นั่นมันเด็กกว่าผม ใช้โอกาสความเป็นเด็กปีนเกลียวทำอะไรไร้มารยาท แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการสัมผัสเป็นวิธีบำบัดความเครียดอย่างหนึ่ง หนึ่งตะวันเบี่ยงตัวหลบ เม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง “ผมขอโทษก็ได้”
ในเมื่ออีกฝ่ายยังแข็งขืน หากผมไม่โอนอ่อนก็มีแต่หัก ด้วยวัยวุฒิ ด้วยตำแหน่งหน้าที่ การลดทิฐิของตัวเองลงก่อนก็ไม่เสียหาย ผมไม่ใช่คนคำนึงถึงเรื่องนี้เท่าไรนัก ลึก ๆ แล้วก็ยอมรับว่าตัวเองมีส่วนผิดที่จงใจยียวนอีกฝ่าย
“ขอโทษทำไม” คู่สนทนายังคงถามเสียงเข้ม ไม่โอนอ่อนตามง่าย ๆ
“ผมไม่อยากให้คุณหนึ่งโกรธ”
“แต่นายก็ทำ”
ผมถอนหายใจ ลึก ๆ แล้วก็รู้ว่าคุณหนึ่งโกรธเรื่องคุณแพท แต่หากให้พูดกันจริง ๆ ผมเองก็มีสิทธิ์โกรธเหมือนกัน ทั้งเรื่องที่ใช้คำพูดจาไม่น่ารัก ไหนจะเรื่องคุณพอร์ชที่อี๋อ๋อกันออกนอกหน้านั่นอีก
“คุณแพทแค่หยอกผมเล่น”
“ฉันไม่ชอบ”
“แค่บนโต๊ะอาหาร”
หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เช้าวันถัดมาเมื่อเจอหน้าน้องสาวภูดิศก็แค่ยิ้มล้อ ไม่เหมือนเจ้าของบ้านกับพี่ชายคนดีที่ยังกระหนุงกระหนิงกันตลอดทั้งวัน ภูดิศเล่นเปียโนตัวนั้น ปลายนิ้วพลิ้วไหว แต่ห้วงทำนองบนโน้ตทั้ง 88 ตัวนั่นยังไม่สะดุดหูราวกับชวนให้คนฟังหลุดไปอีกมิติเช่นเจ้าของเครื่องดนตรีตัวจริง กระนั้น หนึ่งตะวันก็ยังนั่งฟังตาละห้อย ไม่รู้ถูกใจเสียงเครื่องดีดหรือคนดีดกันแน่
ผมกลืนคำที่อยากพูดเรื่องเหล่านั้นลงคอ ไม่รู้ว่าหากหยิบมาเป็นประเด็นผลที่ตามมาคืออะไร ถ้านายน้อยย้อนถามว่าทำไมผมถึงไม่ชอบใจภูดิศเท่าไรนักก็ยังไม่อาจหาคำตอบที่ถูกใจและสมเหตุสมผลให้ได้ กลับมาที่ประเด็นอันทำให้ผมกับหนึ่งตะวันไม่สามารถพูดคุยกันได้อย่างปกติเห็นจะเป็นเรื่องเดียวที่ควรพูดในเวลานี้มากที่สุด
“ผมไม่คิดว่าคุณจะโกรธขนาดนี้”
“สมควรโกรธไหมล่ะ รู้หรอกนะว่าชอบผู้หญิง แต่แพทเป็นน้องสาวของเพื่อนฉัน ฉันที่ชอ– ที่เป็นเจ้านายของนาย”
“คุณชนินทร์เป็นเจ้านายผม” เอ่ยล้อ ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงจัด ผมรู้ว่าคำที่ขาดหายไปคืออะไร ซึ่งปฏิกิริยาแบบนี้ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ชุ่มฉ่ำในอก อธิบายได้ยาก
“คุณหึงผมกับคุณแพทเหรอ”
“เปล่า”
“โธ่ คุณหนึ่ง” เถียงออกมาได้ ทั้ง ๆ ที่แสดงออกมาชัดเจนขนาดนี้แท้ ๆ สีเลือดที่แล่นริ้วจากหน้าลามลงมาถึงลำคอ ผมยิ้ม อยากยีหัวอีกฝ่ายแต่ยังชะงักมือไว้ทันก่อนแก้ตัว “ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณแพท คุณแพทก็ไม่ได้ชอบผมจริง ๆ แค่แซวเล่นตามความคะนองปากเท่านั้นเอง”
“แพทชอบคนแบบนาย”
“แล้วคุณหนึ่งชอบคนแบบผมหรือเปล่า”
จบประโยค หนึ่งตะวันก็ทำหน้าตึง พยายามหมุนเก้าอี้กลับแต่ผมยังยึดไว้ในท่าเดิม เมื่อหลบลี้หนีไม่พ้น ชายหนุ่มก็นั่งหลับตาเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ผมหัวเราะ เขาตลก น่าขันและน่าเอ็นดูเหมือนเด็ก ๆ
“ถ้าชอบผมก็เลิกงอนกันเสียทีเถอะครับ ลืมตาหน่อยคุณหนึ่ง ถ้าอารมณ์ดีแล้วผมจะสอนงานให้”
“ไม่ต้องมายุ่ง จะไปไหนก็ไป”
“ไม่ให้ยุ่งได้ยังไงล่ะครับ” ผมว่าพลางแตะมือลงบนเข่าอีกฝ่าย หนึ่งตะวันยังหลับตานิ่ง ดวงตาใต้เปลือกตาขาวหลุกหลิกไปมา “ถ้าคุณหนึ่งเป็นงานแล้วจะเฉดหัวผมอย่างที่พูดเมื่อไรก็ได้ ขืนยังทำแบบนี้อยู่คุณเองนั่นแหละที่จะเสียผลประโยชน์นะ”
“ฉันเกลียดนาย”
หนึ่งตะวันย้ำ แต่ผมกลับฉีกยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายยอมลืมตาขึ้นมองหน้ากัน
“ผมทราบครับ” เมื่อจบประโยคนั้น หนึ่งตะวันก็หลับตาลงใหม่
ฝนไม่ตกหลายวันแล้ว นับจากคืนที่ภูดิศมาค้างด้วย แต่นายน้อยยังไม่ชินกับที่นี่เพราะบ่อยครั้งที่ยามย่ำรุ่งผมจะเห็นเงาตะคุ่มของร่างหนึ่งนอนสลบสไลคาเปียโนตัวเดิม
ทุกคืนเสียงเมโลดี้ดีดเมื่อปลายนิ้วเรียวจิ้มลงบนคีย์บอร์ดจะดังเป็นเพลงบ้างไม่เป็นบ้าง บ่อยครั้งจะเล่นเป็นบทเพลงเดิม Somewhere only we know ของ Keane มีเพียงพักหลัง ๆ ที่หนึ่งตะวันเริ่มบรรเลงบทเพลงใหม่ ผมยืนเท้าแขนอยู่ที่ริมระเบียง มองเข้าไปยังชั้นหนึ่งของบ้านหลังใกล้ ๆ กันที่เปิดไฟสว่างโร่ ในมือถือน้ำขิงอุ่น ๆ จิบขณะเพ่งสายตาลอดผ่านผ้าม่านเข้าไปด้วย
Please don’t see, Just a boy caught up in dreams and fantasies
Please see me, Reaching out for someone i can see…
“นายน้อยบรรเลงแต่เพลงเศร้า”
เสียงหวานของมารดาเรียกให้ผมที่ฮัมเพลงตามไปด้วยหยุดชะงัก หันไปโอบเอวหญิงวัยกลางคนให้มาอยู่ในอ้อมแขน ใช้คางเกยบ่าเล็ก ๆ ไว้ โยกตัวไปมาตามจังหวะเพลง โศกเศร้า เหงาหงอย เพรียกหา สะท้อนทุกความโดดเดี่ยวไว้ในอก กระนั้นก็ยากที่จะค้านว่าในความเจ็บปวดของถ้วงทำนองนั้นแฝงความรื่นรมย์ของรสดนตรีไว้
“ตั้งแต่ได้เปียโนแม่เลยมีเพลงฟังก่อนนอน”
“ไม่น่าสบายใจนักหรอกกฤช” หญิงคนเดิมกล่าว ถอนหายใจทิ้ง “นายน้อยน่าสงสาร”
“นายกฤชน่าสงสารกว่า มีแม่ แม่ก็รักลูกคนอื่น” ผมโยงเข้าเรื่องอื่น ชวนทำทีเป็นขำขัน แต่มิอสจดึงดูดความสนใจนั้นไปได้
“คนอื่นที่ไหน นายน้อยเป็นลูกของคุณชนินทร์นะ เขามีพระคุณกับเรามาก กฤชก็รู้” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนแม่จะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของผมกับหนึ่งตะวัน “ช่วงนี้นายน้อยเกเรกับเรามากหรือเปล่า”
“นิดหน่อยครับ แต่น้อยลงมาก”
“กฤชต้องเข้าใจพี่เขานะ”
เสียงดนตรียังบรรเลงคลอไปกับสายลมไม่หยุด ผมนึกภาพของนิ้วเรียวทั้งสิบและปลายเท้าที่กลับมาใช้งานได้อีกครั้งของหนึ่งตะวันยามทิ้งน้ำหนักลงไป แน่นอน มันอ้างว้างตามที่แม่บอก และมีเพียงคำพูดเท่านั้นที่ขาดช่วงไปเป็นพัก ๆ ของมารดาก่อนพูดต่อเมื่อเรียบเรียงประโยคได้ “นายน้อยไม่ได้วางใจแม่กับคุณชนินทร์เหมือนที่กฤชวางใจ เขาไม่ได้อยู่กับพ่อ เขากลัวตลอดว่าแม่จะแย่งคุณชนินทร์ไปจากเขา นายน้อยเสียคุณรุ้งไปตั้งแต่เล็ก ยากที่จะทำใจ”
“เรื่องมันนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“กฤชความฝังใจไม่เกี่ยวกับระยะเวลาหรอก มันอยู่ที่ใจต่างหาก”
ผมเห็นด้วย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด “ที่เขาไม่ชอบผมช่วงแรก ๆ อาจจะไม่เกี่ยวกับแม่ก็ได้”
“เด็กโง่ คิดว่าผู้ใหญ่ไม่มีหูมีตาหรือไง”
“แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เกลียดแม่แล้ว...”
“เปล่าเลย นายน้อยยังไม่ชอบแม่เหมือนเดิมนั่นแหละ” หญิงวัยกลางคนกล่าว ทอดสายตาไปยังทิศเดียวกัน ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจ มีเพียงความเมตตาเท่านั้นที่ฉายออกมาจากดวงจาคู่สวย “เขาแค่รักกฤชเท่านั้นเอง”
“แม่...”
“ดีกับนายน้อยให้มาก ๆ เข้าใจไหมกฤช ถ้าไม่ชอบพอกันอย่างที่เขาคิด ก็พูดจากันดี ๆ หรือถ้ามั่นใจแล้วก็คุยกับคุณชนินทร์ให้รู้ความ แม่อยากให้กฤชมีความสุข”
“ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนึ่งทั้งนั้นแหละครับ” ผมกระชับอ้อมแขนที่กอดหญิงคนเดิมไว้แน่น แม่ยิ้ม ไม่บอกว่าเชื่อหรือไม่ แต่ลูบหลังมือผมไปมาเบา ๆ
“ไปส่งคุณหนึ่งเข้านอนเถอะกฤช ดึกแล้ว”
“เขาเข้านอนเองได้น่า”
“แต่ไม่รู้จะยอมหลับกี่โมงกี่ยาม แม่เข้านอนก่อนดีกว่า กฤชก็คิดเอาเองว่าอยากจะทำยังไง”
ผมคลายแขนที่โอบกอดสตรีอันเป็นที่รักออก แม่เดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งไว้เพียงผมและบทเพลงlost star ในคืนที่ดวงดาวทอประกายทั่วทั้งท้องฟ้าสีกำมะหยี่ ผมไม่แปลกใจที่แม่ดูออก ความรู้สึกของหนึ่งตะวันชัดเจนจนไม่ว่าใครก็มองเห็น เขาชอบผม ชอบในฐานะชู้รักไม่ใช่น้องชายหรือคนงานคนสนิทอย่างที่ควรจะเป็น
เสียงเพลงบรรเลงยังดังเชื่องช้า ไม่นุ่มนวล ส่วนหนึ่งเพราะนั่นเป็นเพลงที่อีกฝ่ายเพิ่งแกะโน้ตได้ใหม่ แต่ยังคงสะกดหูให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเพลงบรรเลงได้อย่างแยบยล ภายใต้เสียงที่ขาดห้วง ผมรู้สึกเหมือนหนึ่งตะวันเป็นเด็กน้อยหัดเดินเตาะแตะ พยายามเปล่งเสียงความอ่อนแอออกมาให้ดังที่สุด โอบกอดฉันเถิด ฉันเป็นเพียงดวงตะวันที่อยู่เพียงลำพังมาเนิ่นนานแล้วเท่านั้น
ผมเท้าแขนกับระเบียง ทอดสายตามองออกไป
ปล่อยสมองให้ว่างเปล่าและหลับตาลงเมื่อนึกถึงท่าทางคล้ายเด็กโยเยอยากได้ของเล่นของอีกฝ่าย
รุ่งสาง ก่อนพระอาทิตย์จะโผล่พ้นหุบเขาผมก็มาที่คอกม้าตามนัด ไอ้โจ้กำลังเก็บฟางเข้ากระบะ มาถึงก่อนผมสักระยะได้
“เมื่อคืนคุณหนึ่งเล่นเพลงใหม่”
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นประโยคคำถามหรือบอกเล่า พยักหน้าส่ง ๆ “ที่บ้านเอ็งได้ยินด้วยเหรอ”
“เปล่าหรอก โจ้ออกมาคุยโทรศัพท์กับสาว แถวคอกม้าเนี่ย”
“มาไกลนะ”
“พวกนั้นชอบแซว” มันว่า “บอกโจ้คิดจะสอยดอกฟ้า ลูกสาวกำนันสร้อย คุณกฤชเคยเห็นไหม”
ผมพยักหน้า หน้าตาสะสวยแม้ไม่ประทินโฉม “ดูเรียบร้อยดี”
“ใช่ไหมล่ะ น่ารักมากด้วย เจอกันตอนไปซื้อปุ๋ยกับพี่คม” รอยยิ้มของคนมีความรักประดับบนหน้า ไอ้โจ้โคลงหัวไปมา หน้าขึ้นสีเล็กน้อย “โจ้ว่าโจ้มีหวังว่ะคุณกฤช”
“อืม” ผมตอบในลำคอ เปิดตู้เหล็กที่ตั้งไว้ด้านในสุดของคอกม้า อุปกรณ์ขี่ม้าครบชุดที่ไม่ได้หยิบมาใช้เนิ่นนานนอนสงบนิ่งรอวันใครสักคนพามันออกมาพบแสงตะวันใหม่ “เดี๋ยวเอาชุดขี่ม้าไปทำความสะอาดนะ สาย ๆ ข้าจะใช้”
“จะสอนนายน้อยขี่ม้าเหรอครับ”
“ดีกว่าปล่อยให้แอบมาฝึกเอง”
“ก็จริง” ไอ้โจ้ว่า “ผมห่วงคุณหนึ่ง รั้นเหมือนเด็ก ๆ”
“น่าปวดหัวใช่ไหมล่ะ” ไอ้โจ้พยักหน้า เป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยาก “คุณพอร์ชเก่งมากที่เป็นแฟนกับนายน้อยได้ ท่าทางเอาแต่ใจเป็นเลิศ”
ผมเงียบเสียงไปเมื่อสมุนคนเก่งพูดถึงคนที่ผ่านมาให้ฟัง ผมเชื่ออย่างที่คุณแพทบอก ภูดิศกับหนึ่งตะวันมีความสัมพันธ์บางอย่างที่อธิบายได้ซับซ้อน ในห้องที่อยู่กันเพียงลำพัง คืนฝนตกที่ไฟถูกปิดลงก่อนฟ้าจะผ่าจนหม้อแปลงระเบิดเหมือนคืนที่ผมไปอยู่ด้วยเกิดอะไรขึ้นบ้าง แน่นอน ถ้ามันลึกซึ้งกว่าเพื่อนชายทั่วไปผมก็ไม่แปลกใจนักหรอก ที่สงสัยคือการที่คุณพอร์ชมาพูดแบบนั้นกับผมในช่วงหัวค่ำ
มันผิดวิสัยของคนคบหากันในเชิงชู้สาวมากไปหน่อย
“คุณกฤชเคยได้ยินเรื่องคู่เกย์ที่มักจะเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ หรือเปล่า ตอนแรกโจ้กลัวมากเลยว่านายน้อยจะเป็นแบบนั้นไหม ไม่เรียกว่ากลัวสิ ห่วงมากกว่า ยิ่งดูมีความอาทรกับคุณกฤชแปลก ๆ แล้วยิ่งกังวล แต่พอเห็นรักใคร่กันดีกับคุณพอร์ชค่อยวางใจหน่อย”
ไอ้โจ้ฉีกปากยิ้ม แต่กลายเป็นผมเองที่หุบปากฉับ “เขาก็มีความรักเหมือน ๆ เรานี่แหละเนอะ คุณกฤชเนอะ”
เสียงขูดครากของไม้กวาดทางมะพร้าวเมื่อลากกับพื้นซีเมนต์ดังแทนคำตอบ แสงเพชรกับแสงฟ้าคำรามเบา ๆ และบทสนทนาของผมกับไอ้โจ้ก็สิ้นสุดลง
ช่วงสายเมื่อตะวันเอียงทำมุมกับต้นไม้ผมก็กลับจากไร่โดยแวะคอกม้าอันดับแรก หยิบอุปกรณ์ขี่ม้าที่ไอ้โจ้ทำความสะอาด ผึ่งแดดไว้ให้ขึ้นหลังม้าสีขาว ควบออกมายังบ้านไม้เรือนใหญ่หลังเดิม
หนึ่งตะวันยังคงหมกอยู่ในห้องส่วนตัว ดูรายการผลผลิตและอ่านหนังสือเกี่ยวกับไร่องุ่นกองมหึมาที่ผมยกไปให้ แม่บอกว่าเขาขอแค่กาแฟแก่ ๆ กับข้าวต้มร้อน ๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ลงมาอีก
พักหลัง ๆ ในช่วงเช้าถ้าคุณหนึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าไร่ผมก็จะปล่อยเขาไว้คนเดียว นอนให้เต็มตื่น หาความรู้เชิงทฤษฎีหลังจากรู้จักต้นไม้ใบหญ้าจริง ๆ พอสมควร นายน้อยไม่ว่ากระไร เขาใช้เวลานี้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก
“คุณหนึ่งครับ”
หลังจากเคาะประตูตามมารยาทผมก็ผลักเข้าไปด้วยความคุ้นชิน กาแฟบนโต๊ะดูเย็นชืด พร่องไปเพียงครึ่ง “ออกไปขี่ม้ากันไหม?”
“ตอนนี้?”
“เดี๋ยวลัดเลาะไปทางข้าง ๆ ไร่ ตรงนั้นถนนเรียบ ไม่มีคนสัญจร ท้ายไร่เป็นลำธารเล็ก ๆ ถ้าเหนื่อยคุณหนึ่งจะพักเท่าไรก็ได้ บรรยากาศร่มรื่น”
“มีลำธารด้วยเหรอ ไปสิ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายวาววับ ผมเผลอยิ้มเมื่ออีกฝ่ายกดเซฟหน้าจอแล้วปิดคอมพิวเตอร์
“แต่ต้องใส่อุปกรณ์ให้ครบนะครับ ถ้าหล่นลงมาจะได้ไม่เจ็บตัวมาก”
“ไม่หล่นแล้วมั้ง มีนายไปด้วย”
“ไม่แน่หรอกครับ” ผมบอก ถึงสนิทกับแสงเพชรเท่าไรก็ไม่อาจอ่านใจได้ เกิดเจ้าม้าแสนรักพยศหรือตื่นกลัวอะไรขึ้นมาผมเองก็ไม่อาจทำให้มันสงบได้ในทันที ทางที่ดีคือทำทุกอย่างให้ปลอดภัยที่สุดต่างหาก
“เอาน้ำตาลก้อนให้มันก่อนครับ ม้าจะได้เชื่อง”
“มันชอบเหรอ”
“ดูจะโปรดปรานเป็นพิเศษ”
คุณหนึ่งหยิบก้อนน้ำตาลก้อนที่ผมถือติดมือมาจากครัวป้อนม้าสีขาวปลอด มือเล็กแตะเบา ๆ บนสันจมูก ไล้ขึ้นไปด้วยความหลงใหล
“ฉันอยากขี่ม้ามานานแล้ว”
หนึ่งตะวันรำพึง รอยยิ้มหวานผุดขึ้นที่มุมปาก คุณหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว รองเท้าหุ้มส้น สิ่งที่ผมเสริมให้คือหมวก หลังจากทุกอย่างครบชุดเรียบร้อยแล้วผมก็ยื่นมือหาอีกฝ่าย
“มาตรงนี้ครับ นี่เรียกว่าโกลน คุณหนึ่งเหยียบโกลน จับอานกับสายบังเหียนไว้ด้วย แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้าได้เลย” หลังจากสอนวิธีเบื้องต้นแล้วอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย นายน้อยปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังของอาชาได้ในครั้งเดียวและนุ่มนิ่มจนแสงเพชรไม่มีทีท่าตกใจ
“นั่งหลังตรงครับ ให้หู ไหล่ และส้นเท้าอยู่ในแนวเดียวกัน ตามองไปข้างหน้า น่องแนบอยู่ที่ลำตัวม้า น่องกับบังเหียนจะเป็นตัวควบคุมทิศทางของม้า คุณหนึ่งต้องระวังตรงนี้ดี ๆ นั่งชิดหัวอานกว่านี้นิดครับ”
“ได้หรือยัง” เขาถาม ในเวลานี้หนึ่งตะวันดูสง่างามเหลือเกิน
“ครับ ใช้น่องกดน้ำหนักลง สลับข้าง ส่งเสียงกระตุ้นให้แสงเพชรเดินด้วย ถ้าจะเลี้ยวให้ดึงบังเหียนที่จะเลี้ยวเข้าหาตัว แนบขาข้างที่จะเลี้ยวไว้ข้างลำตัวม้า ส่วนอีกข้างก็เคาะเบา ๆ ที่ท้องม้า เอี้ยวตัวถ่ายน้ำหนักข้างที่จะเลี้ยว ส่วนถ้าจะหยุดให้ดึงสายบังเหียนให้สั้นลง ร้องว่าหยุด เอนตัวไปด้านหลัง อย่าดึงสูงหรือแรงไปจะตกม้าได้”
หนึ่งตะวันพยักหน้าหงึกหงัก ผมเดินเลียบข้างไปเมื่อนายน้อยเริ่มบังคับให้แสงเพชรเดินช้า ๆ
“เวลาที่คุณหนึ่งจะขี่ม้า อย่าเริ่มขี่ที่คอกม้าแต่เวลาขี่เสร็จต้องไปลงที่คอกม้านะครับ แล้วก็สังเกตปฏิกิริยาดี ๆ ด้วย ถ้าหูสองข้างแกว่งไปมาสลับกันแปลว่ากำลังอารมณ์ดี ถ้าลู่ไปด้านหลังคือกำลังโกรธ”
“แปลว่าเมื่อกี้มันอารมณ์ดีใช่ไหม”
“ครับ” ผมตอบพลางเดินเคียงไปด้วย หนึ่งตะวันไม่เร่งเร้า เขาค่อย ๆ บังคับให้ม้าเดิน ยังไม่ใช่วิ่ง “คุณหนึ่งต้องทำความคุ้นเคยกับเขามาก ๆ เช้า ๆ ผมจะพาเขาออกไปวิ่งด้านนอก ม้าจำเป็นต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ คนขี่ม้าเองก็ต้องมีกำลังร่างกายที่แข็งแรง”
“ฉันจะพามันออกมาวิ่งทุกวัน”
“ได้เท่าที่คุณหนึ่งอยากตื่นเลยครับ”
“หมายความว่าไง”
ผมหัวเราะ เงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่บนหลังอาน เกลียดจริง ๆ สิน่า เวลาที่ถูกดูแคลนไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม
“ไม่ได้หมายความว่ายังไงครับ ถ้าคุณหนึ่งตื่นมาขี่ม้าด้วยกันทุกเช้าก็ดี มีม้าสองตัวพอดี ผมจะได้ไม่ต้องสลับกันออกมาวิ่ง ไอ้โจ้ก็ไม่ชอบขี่ม้าเสียด้วย”
หนึ่งตะวันแก้มแดงนิด ๆ แต่สมาธิยังดี เขามองตรงไปข้างหน้า เตะน่องตัวเองกับท้องม้าเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย
“แต่ห้ามมาขี่คนเดียวเด็ดขาดนะครับ คุณหนึ่งยังไม่คล่องพอ”
“รู้แล้วน่า” เสียงทุ้มรับคำตัดรำคาญ หลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ เดินกันไปเรื่อย ๆ รับสายลมแสงแดดของธรรมชาติกระทั่งไปโผล่ยังพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นปลายทาง
“ไม่อยากจะเชื่อว่ามีที่แบบนี้อยู่หลังบ้านตัวเอง” นายน้อยตาโตเมื่อภาพตรงหน้าปรากฏ ไม่ใช่พื้นที่สวยงามจนสะกดสายตา หากแต่ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย หนึ่งตะวันลงจากหลังม้าโดยการช่วยเหลือจากผม แสงเพชรถูกผูกไว้ใกล้ธารน้ำ สะบัดหางไปมาอารมณ์ดี
“เล่นน้ำได้ไหม”
“ไม่ได้เอาชุดมานะครับ”
“แต่น้ำมันน่าเล่นจริง ๆ นะ ใสแจ๋วเลย” หนึ่งตะวันถอดรองเท้ากับถุงเท้า หาที่นั่งใต้ร่มไม้เหมาะ ๆ แล้วยื่นขาลงไปแตะ รอยยิ้มสวยผุดขึ้นบนโครงหน้าในแบบของผู้ชายกลับทำให้มันดูน่ามองยิ่งกว่าครั้งไหน
“เย็นเจี๊ยบ”
“ใส่บ็อกเซอร์มาหรือเปล่าครับ ถ้าใส่มาก็ถอดเสื้อผ้าอย่างอื่นไว้แล้วลงไปเล่นน้ำได้ ขากลับจะได้ไม่เปียก”
“หา! ให้แก้ผ้าน่ะเหรอ ตลก”
“ถอดทั้งหมดเสียเมื่อไร อีกอย่าง ตอนทายานั่น–”
“สถานการณ์มันบังคับหรอก!” หนึ่งตะวันเถียงเสียงสั่น เบือนหน้าหนี “ใครอยากจะแก้ผ้าต่อหน้าคนที่...”
ผมเติมคำว่า’ชอบ’ของอีกฝ่ายในใจ เห็นแก้มเจือสีเลือดฝาดแล้วก็เผลอยิ้ม บ่อยครั้งที่ตัวเองเป็นแบบนี้ มีความสุขกับท่าทางเคอะเขินของคนตรงหน้า หนึ่งตะวันนิ่งเงียบ เชิดหน้ากลับไปอีกฟาก
“ถอดกางเกงขายาวก่อนแล้วเอาขาจุ่มก็ได้ครับ ใส่เสื้อกับบ็อกเซอร์ไม่ถือว่าโป๊หรอก”
ผมช่วยเสนอทางแก้อีกอย่าง ชายหนุ่มมีทีท่าคิดอยู่นาน ลังเลกว่าจะตัดสินใจ น้ำใสไหลเย็นและธรรมชาติอันเงียบสงบขับกล่อมให้หนึ่งตะวันยินยอมที่จะเปลื้องอาภรณ์อันเป็นอุปสรรคต่อการเที่ยวเล่นในที่สุด เขาวางพาดกางเกงตัวนั้นบนเนินดินที่สูงขึ้นจากน้ำ แล้วตัวเองก็เดินย่ำไปบนพื้นแฉะกระทั่งน้ำท่วมมิดหัวเข่า
“เย็นมากกกก” หนุ่มวัย 29 ปีร้องออกมา เขาเดินไปบนก้อนหินในลำธารอย่างระมัดระวังก่อนไปหยุดนั่งที่โขดหิน ผมนั่งเล่นกิ่งไม้ใกล้ ๆ น้ำ มองอีกฝ่ายตื่นตาตื่นใจกับฝูงปลาเล็ก ๆ ที่ว่ายวนมาตอดผิวหนังเพลินตา
ใจหนึ่งนึกอยากลงไปว่ายเล่นด้วย กระโดดลงไปกลางน้ำ ฟัดนายน้อยให้ล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน ทำเหมือนที่เพื่อนผู้ชายมักจะเล่น แม้ว่าผมจะห่างหายจากพฤติกรรมเหล่านั้นมานานแสนนาน
ครั้งหนึ่งผมก็เคยเป็นที่รักและเข้ากันดีในกลุ่มเพื่อน กระทั่งเจอพี่นุ่น เธอก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต นอกจากเรียนหนังสือ ดูแลไร่และแม่แล้ว สิ่งที่สำคัญกับผมก็มีเพียงพี่นุ่นเท่านั้น
กระทั่งผมสูญเสียเธอไป
ความสนุกสนานของวัยเด็กก็ถูกลบเลือนโดยไม่อาจย้อนหวนคืนมาได้ใหม่ คล้ายถูกจุดขึ้นเมื่อเห็นท่าทางสดใสของคนตรงหน้า
“ไม่ลงมาเล่นด้วยกันเหรอ”
“ไม่ครับ” ผมตะโกนตอบ นายน้อยมุ่ยหน้าลงเล็กน้อยแต่ก็ก้มตัวลงไปวักน้ำขึ้นมาแตะแขนต่อ
“น้ำเย็นโคตร ๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลย เหมือนใส่น้ำแข็ง”
“คุณหนึ่งไม่เคยเล่นน้ำตกเหรอครับ”
หนึ่งตะวันส่ายหน้า เขายิ้มจนตาปิดแต่ประโยคที่พูดออกมากลับฟังแล้วหดหู่ “ฉันเที่ยวแค่ในกรุงเทพกับหอพักเท่านั้นแหละ อ้อ มีช่วงที่ได้เปิดหูเปิดตาตอนไปอังกฤษกับพอร์ชอีกสองปี แต่ไม่เหมือนที่ไทยหรอก อยู่นั่นก็หมกตัวอยู่กับเหล้ายา นายก็รู้ ไลฟ์สไตล์ของลูกคนมีเงินตามเมืองนอก”
“ไม่ดีเลย”
“ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะติดหรอก ลองเทคไปเรื่อย ไม่ได้พอร์ชคงกู่ไม่กลับเหมือนกัน” หนึ่งตะวันยังพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเคย แต่ผมไม่เห็นดีเห็นงามไปด้วย ไม่เลยแม้แต่น้อย
“จากนี้เป็นคนที่ดีขึ้นได้ไหมครับคุณหนึ่ง”
เขาหันหน้ามามองผม เราสบตากัน ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมโกรธอีกฝ่ายเมื่อรับรู้ถึงเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวจากที่คิดเอาไว้แบบนี้
หนึ่งตะวันไม่ได้ขาวบริสุทธิ์อย่างที่วาดภาพไว้โดยสิ้นเชิง
มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดหวัง แม้จะใกล้เคียงกันมากก็ตาม
“ผมเป็นห่วง”
TBC
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น