ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 09

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.54K
      397
      10 พ.ค. 58














    โอบตะวัน
    Chapter 9


    ความสับสนของผมยังอยู่ ไม่เลือนหายไปง่าย ๆ ไม่สามารถตกตะกอนจนแยกแยะดีเลว เหตุและผลใด ๆ ได้โดยสิ้นเชิง ท้ายที่สุดก็เลิกใส่ใจ หากแต่บ่อยครั้งก็แวบเข้ามาในหัวในช่วงเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว

    อาการของหนึ่งตะวันดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเพื่อนชายคนสนิทแวะมาหา แต่เขายังคงไม่พูดกับผม อย่างมากก็ถามคำตอบคำ แม่กับป้าแวว รวมไปถึงไอ้โจ้เลิกถามแล้วว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ทุกคนเห็นเป็นปกติธรรมดา เหมือนนกที่บินออกจากรังไปหาอาหารยามเช้า เหมือนอุณหภูมิสี่สิบองศาในฤดูร้อนของประเทศไทย

    ผมถอนหายใจ แบกแฟ้มรวบรวมค่าใช้จ่ายแต่ละส่วนของไร่ตะวันฉายขึ้นชั้นสอง เคาะประตูเบา ๆ บิดลูกบิดเข้าไป เจ้าของห้องกำลังสาละวนกับการดูคลิปยูทูป สวมหูฟังขนาดใหญ่หน้าคอมพิวเตอร์ส่วนตัว

    “ผมเอาเอกสารมาให้” ว่าพลางเดินไปหาหนึ่งตะวันพยักหน้าโดยไม่หันมามองผม “ขาเป็นยังไงบ้างครับ”

    “เวลาเดินลงเต็มแรงยังเจ็บอยู่นิด ๆ แต่ไม่มาก ที่จริงก็ลงไปดูที่ไร่ได้แล้ว”

    “อย่าเพิ่งเลยครับ ให้หายดีก่อน”

    “อืม” 

    เป็นการตัดบทสนทนาอย่างที่เป็นมาหลายวัน ผมถอนหายใจ เดินมาซ้อนด้านหลัง วางมือทั้งสองข้างบนพนักพิงเก้าอี้ล้อหมุน 

    “เพลงที่เปิดบนรถวันนั้นนี่ครับ”

    “อืม” 

    หนึ่งตะวันยังคงตอบผมเหมือนเดิม แต่ปิดเสียง เมื่อคู่สนทนาถอดหูฟังวางบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ผมก็หมุนเก้าอี้หนังให้หันมาเผชิญหน้า ส่วนตัวเองคุกเข่าลงคุยด้วย เนิ่นนานพอแล้ว เขาทำให้ผมอึดอัด ไม่มีเสียงของหนึ่งตะวันตวาดแหวคล้ายชีวิตขาดหาย การเงียบไปเลย หรือเมินใส่นับตั้งแต่อาหารมื้อนั้นก่อมวลความไม่ชอบใจขนาดมหึมาในใจเราทั้งคู่ ผมรู้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องสะสาง กวาดล้างให้สะอาด ไม่จำเป็นต้องรักกันกลมเกลียวแต่ไม่ใช่คาราคาซังความสัมพันธ์ปั้นปึ่งแบบนี้ต่อไปไม่สิ้นสุด

    แน่นอนมันไม่สิ้นสุดแน่ ถ้าผมไม่ใช่ฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน

    “คุณหนึ่งโกรธอะไรผม”

    คู่สนทนาค้อนขวัก ตอบแทบจะในทันทีโดยปราศจากการใช้เวลาตรอง 

    “เปล่า”

    “โกหก” ผมยกมือขึ้นมาคลายปมที่คิ้วของอีกฝ่ายแบบที่ไอ้โจ้ชอบทำกับตัวเอง ไอ้นั่นมันเด็กกว่าผม ใช้โอกาสความเป็นเด็กปีนเกลียวทำอะไรไร้มารยาท แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการสัมผัสเป็นวิธีบำบัดความเครียดอย่างหนึ่ง หนึ่งตะวันเบี่ยงตัวหลบ เม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง “ผมขอโทษก็ได้”

    ในเมื่ออีกฝ่ายยังแข็งขืน หากผมไม่โอนอ่อนก็มีแต่หัก ด้วยวัยวุฒิ ด้วยตำแหน่งหน้าที่ การลดทิฐิของตัวเองลงก่อนก็ไม่เสียหาย ผมไม่ใช่คนคำนึงถึงเรื่องนี้เท่าไรนัก ลึก ๆ แล้วก็ยอมรับว่าตัวเองมีส่วนผิดที่จงใจยียวนอีกฝ่าย

    “ขอโทษทำไม” คู่สนทนายังคงถามเสียงเข้ม ไม่โอนอ่อนตามง่าย ๆ

    “ผมไม่อยากให้คุณหนึ่งโกรธ” 

    “แต่นายก็ทำ”

    ผมถอนหายใจ ลึก ๆ แล้วก็รู้ว่าคุณหนึ่งโกรธเรื่องคุณแพท แต่หากให้พูดกันจริง ๆ ผมเองก็มีสิทธิ์โกรธเหมือนกัน ทั้งเรื่องที่ใช้คำพูดจาไม่น่ารัก ไหนจะเรื่องคุณพอร์ชที่อี๋อ๋อกันออกนอกหน้านั่นอีก

    “คุณแพทแค่หยอกผมเล่น”

    “ฉันไม่ชอบ”

    “แค่บนโต๊ะอาหาร” 

    หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เช้าวันถัดมาเมื่อเจอหน้าน้องสาวภูดิศก็แค่ยิ้มล้อ ไม่เหมือนเจ้าของบ้านกับพี่ชายคนดีที่ยังกระหนุงกระหนิงกันตลอดทั้งวัน ภูดิศเล่นเปียโนตัวนั้น ปลายนิ้วพลิ้วไหว แต่ห้วงทำนองบนโน้ตทั้ง 88 ตัวนั่นยังไม่สะดุดหูราวกับชวนให้คนฟังหลุดไปอีกมิติเช่นเจ้าของเครื่องดนตรีตัวจริง กระนั้น หนึ่งตะวันก็ยังนั่งฟังตาละห้อย ไม่รู้ถูกใจเสียงเครื่องดีดหรือคนดีดกันแน่

    ผมกลืนคำที่อยากพูดเรื่องเหล่านั้นลงคอ ไม่รู้ว่าหากหยิบมาเป็นประเด็นผลที่ตามมาคืออะไร ถ้านายน้อยย้อนถามว่าทำไมผมถึงไม่ชอบใจภูดิศเท่าไรนักก็ยังไม่อาจหาคำตอบที่ถูกใจและสมเหตุสมผลให้ได้ กลับมาที่ประเด็นอันทำให้ผมกับหนึ่งตะวันไม่สามารถพูดคุยกันได้อย่างปกติเห็นจะเป็นเรื่องเดียวที่ควรพูดในเวลานี้มากที่สุด 

    “ผมไม่คิดว่าคุณจะโกรธขนาดนี้”

    “สมควรโกรธไหมล่ะ รู้หรอกนะว่าชอบผู้หญิง แต่แพทเป็นน้องสาวของเพื่อนฉัน ฉันที่ชอ– ที่เป็นเจ้านายของนาย”

    “คุณชนินทร์เป็นเจ้านายผม” เอ่ยล้อ ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงจัด ผมรู้ว่าคำที่ขาดหายไปคืออะไร ซึ่งปฏิกิริยาแบบนี้ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ชุ่มฉ่ำในอก อธิบายได้ยาก

    “คุณหึงผมกับคุณแพทเหรอ”

    “เปล่า”

    “โธ่ คุณหนึ่ง” เถียงออกมาได้ ทั้ง ๆ ที่แสดงออกมาชัดเจนขนาดนี้แท้ ๆ สีเลือดที่แล่นริ้วจากหน้าลามลงมาถึงลำคอ ผมยิ้ม อยากยีหัวอีกฝ่ายแต่ยังชะงักมือไว้ทันก่อนแก้ตัว “ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณแพท คุณแพทก็ไม่ได้ชอบผมจริง ๆ แค่แซวเล่นตามความคะนองปากเท่านั้นเอง”

    “แพทชอบคนแบบนาย”

    “แล้วคุณหนึ่งชอบคนแบบผมหรือเปล่า” 

    จบประโยค หนึ่งตะวันก็ทำหน้าตึง พยายามหมุนเก้าอี้กลับแต่ผมยังยึดไว้ในท่าเดิม เมื่อหลบลี้หนีไม่พ้น ชายหนุ่มก็นั่งหลับตาเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ผมหัวเราะ เขาตลก น่าขันและน่าเอ็นดูเหมือนเด็ก ๆ

    “ถ้าชอบผมก็เลิกงอนกันเสียทีเถอะครับ ลืมตาหน่อยคุณหนึ่ง ถ้าอารมณ์ดีแล้วผมจะสอนงานให้”

    “ไม่ต้องมายุ่ง จะไปไหนก็ไป”

    “ไม่ให้ยุ่งได้ยังไงล่ะครับ” ผมว่าพลางแตะมือลงบนเข่าอีกฝ่าย หนึ่งตะวันยังหลับตานิ่ง ดวงตาใต้เปลือกตาขาวหลุกหลิกไปมา “ถ้าคุณหนึ่งเป็นงานแล้วจะเฉดหัวผมอย่างที่พูดเมื่อไรก็ได้ ขืนยังทำแบบนี้อยู่คุณเองนั่นแหละที่จะเสียผลประโยชน์นะ”

    “ฉันเกลียดนาย”

    หนึ่งตะวันย้ำ แต่ผมกลับฉีกยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายยอมลืมตาขึ้นมองหน้ากัน

    “ผมทราบครับ” เมื่อจบประโยคนั้น หนึ่งตะวันก็หลับตาลงใหม่




    ฝนไม่ตกหลายวันแล้ว นับจากคืนที่ภูดิศมาค้างด้วย แต่นายน้อยยังไม่ชินกับที่นี่เพราะบ่อยครั้งที่ยามย่ำรุ่งผมจะเห็นเงาตะคุ่มของร่างหนึ่งนอนสลบสไลคาเปียโนตัวเดิม

    ทุกคืนเสียงเมโลดี้ดีดเมื่อปลายนิ้วเรียวจิ้มลงบนคีย์บอร์ดจะดังเป็นเพลงบ้างไม่เป็นบ้าง บ่อยครั้งจะเล่นเป็นบทเพลงเดิม Somewhere only we know ของ Keane มีเพียงพักหลัง ๆ ที่หนึ่งตะวันเริ่มบรรเลงบทเพลงใหม่ ผมยืนเท้าแขนอยู่ที่ริมระเบียง มองเข้าไปยังชั้นหนึ่งของบ้านหลังใกล้ ๆ กันที่เปิดไฟสว่างโร่ ในมือถือน้ำขิงอุ่น ๆ จิบขณะเพ่งสายตาลอดผ่านผ้าม่านเข้าไปด้วย

    Please don’t see, Just a boy caught up in dreams and fantasies
    Please see me, Reaching out for someone i can see… 


    “นายน้อยบรรเลงแต่เพลงเศร้า”

    เสียงหวานของมารดาเรียกให้ผมที่ฮัมเพลงตามไปด้วยหยุดชะงัก หันไปโอบเอวหญิงวัยกลางคนให้มาอยู่ในอ้อมแขน ใช้คางเกยบ่าเล็ก ๆ ไว้ โยกตัวไปมาตามจังหวะเพลง โศกเศร้า เหงาหงอย เพรียกหา สะท้อนทุกความโดดเดี่ยวไว้ในอก กระนั้นก็ยากที่จะค้านว่าในความเจ็บปวดของถ้วงทำนองนั้นแฝงความรื่นรมย์ของรสดนตรีไว้

    “ตั้งแต่ได้เปียโนแม่เลยมีเพลงฟังก่อนนอน”

    “ไม่น่าสบายใจนักหรอกกฤช” หญิงคนเดิมกล่าว ถอนหายใจทิ้ง “นายน้อยน่าสงสาร”

    “นายกฤชน่าสงสารกว่า มีแม่ แม่ก็รักลูกคนอื่น” ผมโยงเข้าเรื่องอื่น ชวนทำทีเป็นขำขัน แต่มิอสจดึงดูดความสนใจนั้นไปได้

    “คนอื่นที่ไหน นายน้อยเป็นลูกของคุณชนินทร์นะ เขามีพระคุณกับเรามาก กฤชก็รู้” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนแม่จะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของผมกับหนึ่งตะวัน “ช่วงนี้นายน้อยเกเรกับเรามากหรือเปล่า”

    “นิดหน่อยครับ แต่น้อยลงมาก”

    “กฤชต้องเข้าใจพี่เขานะ”

     เสียงดนตรียังบรรเลงคลอไปกับสายลมไม่หยุด ผมนึกภาพของนิ้วเรียวทั้งสิบและปลายเท้าที่กลับมาใช้งานได้อีกครั้งของหนึ่งตะวันยามทิ้งน้ำหนักลงไป แน่นอน มันอ้างว้างตามที่แม่บอก และมีเพียงคำพูดเท่านั้นที่ขาดช่วงไปเป็นพัก ๆ ของมารดาก่อนพูดต่อเมื่อเรียบเรียงประโยคได้ “นายน้อยไม่ได้วางใจแม่กับคุณชนินทร์เหมือนที่กฤชวางใจ เขาไม่ได้อยู่กับพ่อ เขากลัวตลอดว่าแม่จะแย่งคุณชนินทร์ไปจากเขา นายน้อยเสียคุณรุ้งไปตั้งแต่เล็ก ยากที่จะทำใจ”

    “เรื่องมันนานแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

    “กฤชความฝังใจไม่เกี่ยวกับระยะเวลาหรอก มันอยู่ที่ใจต่างหาก”

    ผมเห็นด้วย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด “ที่เขาไม่ชอบผมช่วงแรก ๆ อาจจะไม่เกี่ยวกับแม่ก็ได้”

    “เด็กโง่ คิดว่าผู้ใหญ่ไม่มีหูมีตาหรือไง”

    “แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เกลียดแม่แล้ว...”

    “เปล่าเลย นายน้อยยังไม่ชอบแม่เหมือนเดิมนั่นแหละ” หญิงวัยกลางคนกล่าว ทอดสายตาไปยังทิศเดียวกัน ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจ มีเพียงความเมตตาเท่านั้นที่ฉายออกมาจากดวงจาคู่สวย “เขาแค่รักกฤชเท่านั้นเอง”

    “แม่...”

    “ดีกับนายน้อยให้มาก ๆ เข้าใจไหมกฤช ถ้าไม่ชอบพอกันอย่างที่เขาคิด ก็พูดจากันดี ๆ หรือถ้ามั่นใจแล้วก็คุยกับคุณชนินทร์ให้รู้ความ แม่อยากให้กฤชมีความสุข”

    “ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนึ่งทั้งนั้นแหละครับ” ผมกระชับอ้อมแขนที่กอดหญิงคนเดิมไว้แน่น แม่ยิ้ม ไม่บอกว่าเชื่อหรือไม่ แต่ลูบหลังมือผมไปมาเบา ๆ

    “ไปส่งคุณหนึ่งเข้านอนเถอะกฤช ดึกแล้ว”

    “เขาเข้านอนเองได้น่า”

    “แต่ไม่รู้จะยอมหลับกี่โมงกี่ยาม แม่เข้านอนก่อนดีกว่า กฤชก็คิดเอาเองว่าอยากจะทำยังไง”

    ผมคลายแขนที่โอบกอดสตรีอันเป็นที่รักออก แม่เดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งไว้เพียงผมและบทเพลงlost star ในคืนที่ดวงดาวทอประกายทั่วทั้งท้องฟ้าสีกำมะหยี่ ผมไม่แปลกใจที่แม่ดูออก ความรู้สึกของหนึ่งตะวันชัดเจนจนไม่ว่าใครก็มองเห็น เขาชอบผม ชอบในฐานะชู้รักไม่ใช่น้องชายหรือคนงานคนสนิทอย่างที่ควรจะเป็น

    เสียงเพลงบรรเลงยังดังเชื่องช้า ไม่นุ่มนวล ส่วนหนึ่งเพราะนั่นเป็นเพลงที่อีกฝ่ายเพิ่งแกะโน้ตได้ใหม่ แต่ยังคงสะกดหูให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเพลงบรรเลงได้อย่างแยบยล ภายใต้เสียงที่ขาดห้วง ผมรู้สึกเหมือนหนึ่งตะวันเป็นเด็กน้อยหัดเดินเตาะแตะ พยายามเปล่งเสียงความอ่อนแอออกมาให้ดังที่สุด โอบกอดฉันเถิด ฉันเป็นเพียงดวงตะวันที่อยู่เพียงลำพังมาเนิ่นนานแล้วเท่านั้น

    ผมเท้าแขนกับระเบียง ทอดสายตามองออกไป
    ปล่อยสมองให้ว่างเปล่าและหลับตาลงเมื่อนึกถึงท่าทางคล้ายเด็กโยเยอยากได้ของเล่นของอีกฝ่าย




    รุ่งสาง ก่อนพระอาทิตย์จะโผล่พ้นหุบเขาผมก็มาที่คอกม้าตามนัด ไอ้โจ้กำลังเก็บฟางเข้ากระบะ มาถึงก่อนผมสักระยะได้

    “เมื่อคืนคุณหนึ่งเล่นเพลงใหม่”

    ผมไม่แน่ใจว่าเป็นประโยคคำถามหรือบอกเล่า พยักหน้าส่ง ๆ “ที่บ้านเอ็งได้ยินด้วยเหรอ”

    “เปล่าหรอก โจ้ออกมาคุยโทรศัพท์กับสาว แถวคอกม้าเนี่ย”

    “มาไกลนะ”

    “พวกนั้นชอบแซว” มันว่า “บอกโจ้คิดจะสอยดอกฟ้า ลูกสาวกำนันสร้อย คุณกฤชเคยเห็นไหม”

    ผมพยักหน้า หน้าตาสะสวยแม้ไม่ประทินโฉม “ดูเรียบร้อยดี”

    “ใช่ไหมล่ะ น่ารักมากด้วย เจอกันตอนไปซื้อปุ๋ยกับพี่คม” รอยยิ้มของคนมีความรักประดับบนหน้า ไอ้โจ้โคลงหัวไปมา หน้าขึ้นสีเล็กน้อย “โจ้ว่าโจ้มีหวังว่ะคุณกฤช”

    “อืม” ผมตอบในลำคอ เปิดตู้เหล็กที่ตั้งไว้ด้านในสุดของคอกม้า อุปกรณ์ขี่ม้าครบชุดที่ไม่ได้หยิบมาใช้เนิ่นนานนอนสงบนิ่งรอวันใครสักคนพามันออกมาพบแสงตะวันใหม่ “เดี๋ยวเอาชุดขี่ม้าไปทำความสะอาดนะ สาย ๆ ข้าจะใช้”

    “จะสอนนายน้อยขี่ม้าเหรอครับ”

    “ดีกว่าปล่อยให้แอบมาฝึกเอง”

    “ก็จริง” ไอ้โจ้ว่า “ผมห่วงคุณหนึ่ง รั้นเหมือนเด็ก ๆ”

    “น่าปวดหัวใช่ไหมล่ะ” ไอ้โจ้พยักหน้า เป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยาก “คุณพอร์ชเก่งมากที่เป็นแฟนกับนายน้อยได้ ท่าทางเอาแต่ใจเป็นเลิศ”

    ผมเงียบเสียงไปเมื่อสมุนคนเก่งพูดถึงคนที่ผ่านมาให้ฟัง ผมเชื่ออย่างที่คุณแพทบอก ภูดิศกับหนึ่งตะวันมีความสัมพันธ์บางอย่างที่อธิบายได้ซับซ้อน ในห้องที่อยู่กันเพียงลำพัง คืนฝนตกที่ไฟถูกปิดลงก่อนฟ้าจะผ่าจนหม้อแปลงระเบิดเหมือนคืนที่ผมไปอยู่ด้วยเกิดอะไรขึ้นบ้าง แน่นอน ถ้ามันลึกซึ้งกว่าเพื่อนชายทั่วไปผมก็ไม่แปลกใจนักหรอก ที่สงสัยคือการที่คุณพอร์ชมาพูดแบบนั้นกับผมในช่วงหัวค่ำ

    มันผิดวิสัยของคนคบหากันในเชิงชู้สาวมากไปหน่อย

    “คุณกฤชเคยได้ยินเรื่องคู่เกย์ที่มักจะเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ หรือเปล่า ตอนแรกโจ้กลัวมากเลยว่านายน้อยจะเป็นแบบนั้นไหม ไม่เรียกว่ากลัวสิ ห่วงมากกว่า ยิ่งดูมีความอาทรกับคุณกฤชแปลก ๆ แล้วยิ่งกังวล แต่พอเห็นรักใคร่กันดีกับคุณพอร์ชค่อยวางใจหน่อย”

    ไอ้โจ้ฉีกปากยิ้ม แต่กลายเป็นผมเองที่หุบปากฉับ “เขาก็มีความรักเหมือน ๆ เรานี่แหละเนอะ คุณกฤชเนอะ”

    เสียงขูดครากของไม้กวาดทางมะพร้าวเมื่อลากกับพื้นซีเมนต์ดังแทนคำตอบ แสงเพชรกับแสงฟ้าคำรามเบา ๆ และบทสนทนาของผมกับไอ้โจ้ก็สิ้นสุดลง




    ช่วงสายเมื่อตะวันเอียงทำมุมกับต้นไม้ผมก็กลับจากไร่โดยแวะคอกม้าอันดับแรก หยิบอุปกรณ์ขี่ม้าที่ไอ้โจ้ทำความสะอาด ผึ่งแดดไว้ให้ขึ้นหลังม้าสีขาว ควบออกมายังบ้านไม้เรือนใหญ่หลังเดิม

    หนึ่งตะวันยังคงหมกอยู่ในห้องส่วนตัว ดูรายการผลผลิตและอ่านหนังสือเกี่ยวกับไร่องุ่นกองมหึมาที่ผมยกไปให้ แม่บอกว่าเขาขอแค่กาแฟแก่ ๆ กับข้าวต้มร้อน ๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ลงมาอีก

    พักหลัง ๆ ในช่วงเช้าถ้าคุณหนึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าไร่ผมก็จะปล่อยเขาไว้คนเดียว นอนให้เต็มตื่น หาความรู้เชิงทฤษฎีหลังจากรู้จักต้นไม้ใบหญ้าจริง ๆ พอสมควร นายน้อยไม่ว่ากระไร เขาใช้เวลานี้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก

    “คุณหนึ่งครับ”

    หลังจากเคาะประตูตามมารยาทผมก็ผลักเข้าไปด้วยความคุ้นชิน กาแฟบนโต๊ะดูเย็นชืด พร่องไปเพียงครึ่ง “ออกไปขี่ม้ากันไหม?”

    “ตอนนี้?”

    “เดี๋ยวลัดเลาะไปทางข้าง ๆ ไร่ ตรงนั้นถนนเรียบ ไม่มีคนสัญจร ท้ายไร่เป็นลำธารเล็ก ๆ ถ้าเหนื่อยคุณหนึ่งจะพักเท่าไรก็ได้ บรรยากาศร่มรื่น”

    “มีลำธารด้วยเหรอ ไปสิ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายวาววับ ผมเผลอยิ้มเมื่ออีกฝ่ายกดเซฟหน้าจอแล้วปิดคอมพิวเตอร์

    “แต่ต้องใส่อุปกรณ์ให้ครบนะครับ ถ้าหล่นลงมาจะได้ไม่เจ็บตัวมาก”

    “ไม่หล่นแล้วมั้ง มีนายไปด้วย”

    “ไม่แน่หรอกครับ” ผมบอก ถึงสนิทกับแสงเพชรเท่าไรก็ไม่อาจอ่านใจได้ เกิดเจ้าม้าแสนรักพยศหรือตื่นกลัวอะไรขึ้นมาผมเองก็ไม่อาจทำให้มันสงบได้ในทันที ทางที่ดีคือทำทุกอย่างให้ปลอดภัยที่สุดต่างหาก

    “เอาน้ำตาลก้อนให้มันก่อนครับ ม้าจะได้เชื่อง”

    “มันชอบเหรอ”

    “ดูจะโปรดปรานเป็นพิเศษ”

    คุณหนึ่งหยิบก้อนน้ำตาลก้อนที่ผมถือติดมือมาจากครัวป้อนม้าสีขาวปลอด มือเล็กแตะเบา ๆ บนสันจมูก ไล้ขึ้นไปด้วยความหลงใหล

    “ฉันอยากขี่ม้ามานานแล้ว”

    หนึ่งตะวันรำพึง รอยยิ้มหวานผุดขึ้นที่มุมปาก คุณหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว รองเท้าหุ้มส้น สิ่งที่ผมเสริมให้คือหมวก หลังจากทุกอย่างครบชุดเรียบร้อยแล้วผมก็ยื่นมือหาอีกฝ่าย

    “มาตรงนี้ครับ นี่เรียกว่าโกลน คุณหนึ่งเหยียบโกลน จับอานกับสายบังเหียนไว้ด้วย แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้าได้เลย” หลังจากสอนวิธีเบื้องต้นแล้วอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย นายน้อยปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังของอาชาได้ในครั้งเดียวและนุ่มนิ่มจนแสงเพชรไม่มีทีท่าตกใจ 

    “นั่งหลังตรงครับ ให้หู ไหล่ และส้นเท้าอยู่ในแนวเดียวกัน ตามองไปข้างหน้า น่องแนบอยู่ที่ลำตัวม้า น่องกับบังเหียนจะเป็นตัวควบคุมทิศทางของม้า คุณหนึ่งต้องระวังตรงนี้ดี ๆ นั่งชิดหัวอานกว่านี้นิดครับ”

    “ได้หรือยัง” เขาถาม ในเวลานี้หนึ่งตะวันดูสง่างามเหลือเกิน 

    “ครับ ใช้น่องกดน้ำหนักลง สลับข้าง ส่งเสียงกระตุ้นให้แสงเพชรเดินด้วย ถ้าจะเลี้ยวให้ดึงบังเหียนที่จะเลี้ยวเข้าหาตัว แนบขาข้างที่จะเลี้ยวไว้ข้างลำตัวม้า ส่วนอีกข้างก็เคาะเบา ๆ ที่ท้องม้า เอี้ยวตัวถ่ายน้ำหนักข้างที่จะเลี้ยว ส่วนถ้าจะหยุดให้ดึงสายบังเหียนให้สั้นลง ร้องว่าหยุด เอนตัวไปด้านหลัง อย่าดึงสูงหรือแรงไปจะตกม้าได้”

    หนึ่งตะวันพยักหน้าหงึกหงัก ผมเดินเลียบข้างไปเมื่อนายน้อยเริ่มบังคับให้แสงเพชรเดินช้า ๆ

    “เวลาที่คุณหนึ่งจะขี่ม้า อย่าเริ่มขี่ที่คอกม้าแต่เวลาขี่เสร็จต้องไปลงที่คอกม้านะครับ แล้วก็สังเกตปฏิกิริยาดี ๆ ด้วย ถ้าหูสองข้างแกว่งไปมาสลับกันแปลว่ากำลังอารมณ์ดี ถ้าลู่ไปด้านหลังคือกำลังโกรธ”

    “แปลว่าเมื่อกี้มันอารมณ์ดีใช่ไหม”

    “ครับ” ผมตอบพลางเดินเคียงไปด้วย หนึ่งตะวันไม่เร่งเร้า เขาค่อย ๆ บังคับให้ม้าเดิน ยังไม่ใช่วิ่ง “คุณหนึ่งต้องทำความคุ้นเคยกับเขามาก ๆ เช้า ๆ ผมจะพาเขาออกไปวิ่งด้านนอก ม้าจำเป็นต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ คนขี่ม้าเองก็ต้องมีกำลังร่างกายที่แข็งแรง”

    “ฉันจะพามันออกมาวิ่งทุกวัน”

    “ได้เท่าที่คุณหนึ่งอยากตื่นเลยครับ”

    “หมายความว่าไง”

    ผมหัวเราะ เงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่บนหลังอาน เกลียดจริง ๆ สิน่า เวลาที่ถูกดูแคลนไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

    “ไม่ได้หมายความว่ายังไงครับ ถ้าคุณหนึ่งตื่นมาขี่ม้าด้วยกันทุกเช้าก็ดี มีม้าสองตัวพอดี ผมจะได้ไม่ต้องสลับกันออกมาวิ่ง ไอ้โจ้ก็ไม่ชอบขี่ม้าเสียด้วย”

    หนึ่งตะวันแก้มแดงนิด ๆ แต่สมาธิยังดี เขามองตรงไปข้างหน้า เตะน่องตัวเองกับท้องม้าเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย

    “แต่ห้ามมาขี่คนเดียวเด็ดขาดนะครับ คุณหนึ่งยังไม่คล่องพอ”

    “รู้แล้วน่า” เสียงทุ้มรับคำตัดรำคาญ หลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ เดินกันไปเรื่อย ๆ รับสายลมแสงแดดของธรรมชาติกระทั่งไปโผล่ยังพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นปลายทาง

    “ไม่อยากจะเชื่อว่ามีที่แบบนี้อยู่หลังบ้านตัวเอง” นายน้อยตาโตเมื่อภาพตรงหน้าปรากฏ ไม่ใช่พื้นที่สวยงามจนสะกดสายตา หากแต่ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย หนึ่งตะวันลงจากหลังม้าโดยการช่วยเหลือจากผม แสงเพชรถูกผูกไว้ใกล้ธารน้ำ สะบัดหางไปมาอารมณ์ดี

    “เล่นน้ำได้ไหม”

    “ไม่ได้เอาชุดมานะครับ”

    “แต่น้ำมันน่าเล่นจริง ๆ นะ ใสแจ๋วเลย” หนึ่งตะวันถอดรองเท้ากับถุงเท้า หาที่นั่งใต้ร่มไม้เหมาะ ๆ แล้วยื่นขาลงไปแตะ รอยยิ้มสวยผุดขึ้นบนโครงหน้าในแบบของผู้ชายกลับทำให้มันดูน่ามองยิ่งกว่าครั้งไหน

    “เย็นเจี๊ยบ”

    “ใส่บ็อกเซอร์มาหรือเปล่าครับ ถ้าใส่มาก็ถอดเสื้อผ้าอย่างอื่นไว้แล้วลงไปเล่นน้ำได้ ขากลับจะได้ไม่เปียก”

    “หา! ให้แก้ผ้าน่ะเหรอ ตลก” 

    “ถอดทั้งหมดเสียเมื่อไร อีกอย่าง ตอนทายานั่น–”

    “สถานการณ์มันบังคับหรอก!” หนึ่งตะวันเถียงเสียงสั่น เบือนหน้าหนี “ใครอยากจะแก้ผ้าต่อหน้าคนที่...”

    ผมเติมคำว่า’ชอบ’ของอีกฝ่ายในใจ เห็นแก้มเจือสีเลือดฝาดแล้วก็เผลอยิ้ม บ่อยครั้งที่ตัวเองเป็นแบบนี้ มีความสุขกับท่าทางเคอะเขินของคนตรงหน้า หนึ่งตะวันนิ่งเงียบ เชิดหน้ากลับไปอีกฟาก

    “ถอดกางเกงขายาวก่อนแล้วเอาขาจุ่มก็ได้ครับ ใส่เสื้อกับบ็อกเซอร์ไม่ถือว่าโป๊หรอก”

    ผมช่วยเสนอทางแก้อีกอย่าง ชายหนุ่มมีทีท่าคิดอยู่นาน ลังเลกว่าจะตัดสินใจ น้ำใสไหลเย็นและธรรมชาติอันเงียบสงบขับกล่อมให้หนึ่งตะวันยินยอมที่จะเปลื้องอาภรณ์อันเป็นอุปสรรคต่อการเที่ยวเล่นในที่สุด เขาวางพาดกางเกงตัวนั้นบนเนินดินที่สูงขึ้นจากน้ำ แล้วตัวเองก็เดินย่ำไปบนพื้นแฉะกระทั่งน้ำท่วมมิดหัวเข่า

    “เย็นมากกกก” หนุ่มวัย 29 ปีร้องออกมา เขาเดินไปบนก้อนหินในลำธารอย่างระมัดระวังก่อนไปหยุดนั่งที่โขดหิน ผมนั่งเล่นกิ่งไม้ใกล้ ๆ น้ำ มองอีกฝ่ายตื่นตาตื่นใจกับฝูงปลาเล็ก ๆ ที่ว่ายวนมาตอดผิวหนังเพลินตา

    ใจหนึ่งนึกอยากลงไปว่ายเล่นด้วย กระโดดลงไปกลางน้ำ ฟัดนายน้อยให้ล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน ทำเหมือนที่เพื่อนผู้ชายมักจะเล่น แม้ว่าผมจะห่างหายจากพฤติกรรมเหล่านั้นมานานแสนนาน

    ครั้งหนึ่งผมก็เคยเป็นที่รักและเข้ากันดีในกลุ่มเพื่อน กระทั่งเจอพี่นุ่น เธอก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต นอกจากเรียนหนังสือ ดูแลไร่และแม่แล้ว สิ่งที่สำคัญกับผมก็มีเพียงพี่นุ่นเท่านั้น
    กระทั่งผมสูญเสียเธอไป
    ความสนุกสนานของวัยเด็กก็ถูกลบเลือนโดยไม่อาจย้อนหวนคืนมาได้ใหม่ คล้ายถูกจุดขึ้นเมื่อเห็นท่าทางสดใสของคนตรงหน้า

    “ไม่ลงมาเล่นด้วยกันเหรอ”

    “ไม่ครับ” ผมตะโกนตอบ นายน้อยมุ่ยหน้าลงเล็กน้อยแต่ก็ก้มตัวลงไปวักน้ำขึ้นมาแตะแขนต่อ

    “น้ำเย็นโคตร ๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลย เหมือนใส่น้ำแข็ง”

    “คุณหนึ่งไม่เคยเล่นน้ำตกเหรอครับ”

    หนึ่งตะวันส่ายหน้า เขายิ้มจนตาปิดแต่ประโยคที่พูดออกมากลับฟังแล้วหดหู่ “ฉันเที่ยวแค่ในกรุงเทพกับหอพักเท่านั้นแหละ อ้อ มีช่วงที่ได้เปิดหูเปิดตาตอนไปอังกฤษกับพอร์ชอีกสองปี แต่ไม่เหมือนที่ไทยหรอก อยู่นั่นก็หมกตัวอยู่กับเหล้ายา นายก็รู้ ไลฟ์สไตล์ของลูกคนมีเงินตามเมืองนอก”

    “ไม่ดีเลย”

    “ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะติดหรอก ลองเทคไปเรื่อย ไม่ได้พอร์ชคงกู่ไม่กลับเหมือนกัน” หนึ่งตะวันยังพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเคย แต่ผมไม่เห็นดีเห็นงามไปด้วย ไม่เลยแม้แต่น้อย

    “จากนี้เป็นคนที่ดีขึ้นได้ไหมครับคุณหนึ่ง”

    เขาหันหน้ามามองผม เราสบตากัน ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมโกรธอีกฝ่ายเมื่อรับรู้ถึงเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวจากที่คิดเอาไว้แบบนี้

    หนึ่งตะวันไม่ได้ขาวบริสุทธิ์อย่างที่วาดภาพไว้โดยสิ้นเชิง
    มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดหวัง แม้จะใกล้เคียงกันมากก็ตาม

    “ผมเป็นห่วง”



    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×