ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 15
โอบตะวัน
Chapter 15
การปรากฏตัวของคุณชนินทร์มักเกิดขึ้นโดยไม่มีใครได้เตรียมตัวล่วงหน้า มักเป็นแบบนี้เสมอ ในวันที่แดดจ้า บางทีก็เป็นวันที่ฝนตก หรือเมฆหนา
วันนี้ก็เช่นกัน พระอาทิตย์โผล่พ้นเทือกเขาที่รายล้อมรอบไร่ได้ไม่พ้นดี ผมกับหนึ่งตะวันพากันเอาแสงฟ้ากับแสงเพชรเข้าคอกที่คุ้นเคย เมื่อเดินกลับมา ระหว่างที่สนทนาเรื่องสัพเพเหระก็พบซีอาร์วีสีบลอนด์เงินจอดอยู่หน้าบ้าน ไอ้โจ้เองก็คงยังไม่รู้ ไม่อย่างนั้นคงพารถคันเก่งของนายท่านกลับเข้าโรงรถไปแล้ว
หนึ่งตะวันก้มมองมือที่จับผมเอาไว้ ลังเลว่าควรจะถือไว้อย่างนั้นต่อไปหรือปล่อยออกก่อนดีกว่ากัน
“คุณหนึ่งขึ้นไปอาบน้ำอาบท่านะครับ เดี๋ยวผมไปรับนายท่านก่อน”
นายน้อยส่ายหน้าเมื่อผมผละมือออกไป “ขึ้นไปกับฉัน”
“ครับ?”
“ฉันกลัว”
เป็นครั้งแรกที่เขาสารภาพ ดวงตาคู่นั้นหลุกหลิก ลบลี้ ผมไม่ทราบได้ว่าสิ่งที่นายน้อยกังวลคืออะไร ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่น ไม่ขยายความ กระทั่งผมเอ่ยถาม “เป็นอะไรครับคุณหนึ่ง”
“แม่นายรู้เรื่องที่...” เสียงนั้นกลืนหาย ผมทราบดีจากสายตาว่าเขาหมายถึงที่ผมเข้ามายุ่งกับหนึ่งตะวันเกินจำเป็นแบบนี้
“ที่ผมคุยกับคุณ แม่ผมทราบดี ทำไมหรือครับ”
“แม่นายบอกพ่อให้มากันนายออกไปหรือเปล่า ไม่รู้สิ นายเอง...”
ผมหัวเราะร่วน เป็นความขลาดกลัวที่ดูน่าขันกว่าเด็กน้อยกลัวผีสาง ผมดึงมือออก โยกหัวของคนอายุมากกว่าเบา ๆ ตากลมตวัดค้อน
“ผมไม่คิดว่าคุณหนึ่งจะชอบผมขนาดนี้”
พูดพลางทำตาเป็นประกายวาววับ จับจ้องคนที่หน้าเห่อแดงขึ้นมาด้วยประโยคง่าย ๆ หนึ่งตะวันไม่ปฏิเสธ เขาไม่โกหก แม้จะไม่เคยพูดมันออกมาจากปากตัวเองสักครั้งก็ตาม
“ฉันกังวลมันแปลกหรือไงล่ะ ใครจะอยากให้ลูกตัวเองเป็นเกย์ อีกอย่าง แม่นายเองก็คงไม่ชอบฉันนัก”
“เปล่าเลยครับ” ผมยิ้มรื่น คุณหนึ่งต่างหากที่เป็นฝ่ายอคติมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ยังไม่มาเหยียบที่ไร่นี้ด้วยซ้ำ “แม่ผมไม่ว่าอะไรสักคำ มิหนำซ้ำยังกำชับให้ผมดูแลคุณดี ๆ ต่างหาก”
“แม่นายก็พิลึก ฉันเป็นลูกของคนที่แม่นายไม่ชอบด้วยซ้ำ” เขาบ่นงุบงิบในประโยคหลัง ผมไม่ทราบได้ว่าหนึ่งตะวันไปฟังความมาจากไหน แลดูเป็นละครคนละม้วนกับที่ผมทราบมาโดยสิ้นเชิง
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ แม่ผมใจกว้าง กว้างกว่าใจแม่ผมเห็นจะมีแค่ท้องฟ้าเท่านั้นแล้ว”
“นี่ก็เวอร์”
“ผมพูดจริงนะ”
มือที่วางบนศีรษะเลื่อนมาวางบนบ่าลาด ไม่แน่ใจว่าฝ่ามือผมใหญ่ไปหรือไหล่ของหนึ่งตะวันเล็กเกิน ผมถึงสามารถกอบกำหัวไหล่ไว้ด้วยอุ้งมือได้ไม่ยากเย็น
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณท่านก็แวะมาไร่ตามปกตินี่แหละ”
“รอบก่อนพ่อมาเพราะเห็นว่าฝนตก คราวนี้จู่ ๆ นึกจะมาก็มาน่ะเหรอ”
“ครับ” ผมตอบตามความจริง “นายท่านเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คุณหนึ่งไม่ต้องกังวลหรอกว่าผมจะจีบคุณหนึ่งได้ไม่นาน”
แรกเริ่มมันแดงอยู่ที่ปรางแก้ม พักเดียวก็ลามลงมาถึงลำคอและลึกมากไปกว่านั้น ผมชอบที่อีกฝ่ายผิวขาวจัดก็ตรงนี้ เลือดลมเดินดีจนน่าเอ็นดู
“ยังไงครับ จะให้ผมขึ้นไปส่งที่ห้องหรือเปล่า”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวพ่อสงสัย”
“อ้าว ที่คุณมาล่อลวงผมนี่ตั้งใจจะปิดเป็นความลับอย่างนั้นเหรอ ไม่ดีเลยนะพี่หนึ่ง”
“ไอ้กฤช” เขาตวาดเสียงลั่น เหมือนว่าปรอทวัดอุณหภูมิในร่างกายจะระเบิดแตก ถูกแซวตรง ๆ เข้าหน่อยหนึ่งตะวันก็อยู่ไม่นิ่ง กำมือแน่นเตรียมลงมือกับผมตามนิสัย
“หุบปากไปเลยนะ จะไปไหนก็ไป”
“เมื่อกี้ยังจับมือผมแน่น รักง่ายหน่ายเร็วหรือครับ”
“ฉันเกลียดนาย!” คล้ายกับคำนี้เป็นประโยคแก้เก้อ ผมหัวเราะ ไม่ถือสาหาความ หนึ่งตะวันเดินชนไหล่เดินปึงปังกลับเข้าไปในบ้านก่อน ขณะที่ผมยังไม่หุบยิ้มเดินตามมาในระยะที่ไม่ทิ้งห่างกันมากนัก
“ยังทะเลาะกันอยู่อีกเหรอ” คุณชนินทร์ถามเมื่อเห็นผมเดินหน้าบานเข้ามาในบ้าน ในมือเขายังคงถือหนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นท่าประจำ มีกาแฟดำตั้งอยู่ทางด้านขวา และถุงยาถุงใหญ่ทางด้านซ้ายมือ
“แซวคุณหนึ่งแล้วสนุกดีครับ แต่ไม่ได้โกรธกันจริง ๆ”
“เริ่มสนิทกันแล้วล่ะสิ” ชายวัยกลางคนถามกลั้วหัวเราะ ผมไม่ได้ตอบ รับผ้าชุบน้ำจากแม่มาซับหน้า “มาถึงเมื่อเช้า เห็นสายใจบอกว่าเด็ก ๆ พากันไปขี่ม้าเล่น”
“ครับ” ผมว่า “พักหลัง ๆ คุณหนึ่งทำแต่งานเอกสารไม่ได้ออกแรง เลยชวนกันไปกวาดคอกม้าตั้งแต่รุ่งสาง แล้วก็ขี่แสงเพชรกับแสงฟ้าต่อเลย”
“ดีแล้วแหละ ยังหนุ่มยังแน่น ออกแรงกันเสียบ้างจะได้ไม่ป่วยไข้”
แม่กลับเข้าไปในครัวและมาอีกครั้งพร้อมน้ำอุ่น คุณชนินทร์แกะยาออกจากฟรอยด์ เห็นโดยสายตาแล้วเกือบ ๆ หนึ่งกำมือ กรอกเข้าปากรวดเดียวก่อนดื่มน้ำตามหมดแก้ว
“แก่แล้วก็แบบนี้ สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไร พี่หนึ่งเป็นยังไงบ้างล่ะ งอแงมากไหมเวลาสอนงาน”
“ไม่ครับ” ผมปฏิเสธ “คุณหนึ่งตั้งใจกับงานมาก คราวก่อนคุณพอร์ช มายังชมเปาะว่าเทียบกับจบใหม่ ๆ ไม่ได้เลย”
“เจ้าพอร์ชมาด้วยเหรอ จับห่างกันไม่ได้เลยนะสองคนนี้” คุณชนินทร์ถามกลัวหัวเราะ แววตาเต็มไปด้วยความเมตตาเมื่อเอ่ยถึงเพื่อนคนพิเศษของลูกชายตัวเอง “ฉันยังคิดอยู่ว่าถ้ากลับจากอังกฤษแล้วเจ้าหนึ่งยังติดพอร์ชแจคงลากมาทำงานที่ไร่ไม่ได้ง่าย ๆ นี่ก็ลงทุนธุรกิจกับครอบครัวทางนั้นไปหลายตัว เห็นว่าสนิทกัน ยังไงก็อยากฝากผีฝากไข้ไปด้วย”
ผมไม่แสดงความเห็น นั่งฟังคุณชนินทร์เอ่ยถึงอีกฝ่ายราวกับชื่นชมในตัวลูกเขยก็ไม่ปาน แต่จะว่าไปแล้ว ด้วยฐานะทางครอบครัว ภูดิศเองก็เหมาะกับหนึ่งตะวันอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ผมถอนหายใจ เริ่มมีความรู้สึกบางอย่างฟุ้งขึ้นมาในอก เป็นความรู้สึกถึงสัญญาณไม่ค่อยจะสู้ดีระหว่างผมกับนายน้อยเท่าใดนัก
“วันก่อนหมอตรวจเจอโรคประจำตัว ตามประสาคนแก่น่ะนะ ไม่รุนแรงมากแต่ได้ยามาโข ไม่รู้จะตายวันนี้วันพรุ่ง” ชายวัยกลางคนพูดต่ออย่างปลง ๆ “เงินทองมากมายมันยื้อชีวิตไม่ได้จริง ๆ เลยสิน่า”
“อย่าพูดอย่างนั้นไปครับ ท่านยังแข็งแรง เดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวไม่มีปัญหา”
“มันก็มีวูบบ้างแหละ แต่อาศัยรู้เท่าทันตัวเอง ยังตายตอนนี้ไม่ได้” เขายักยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี ถึงแม้จะเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่น่าฟังอยู่ก็ตาม “จนกว่าเจ้าหนึ่งจะยืนได้ด้วยตัวเองจริง ๆ นั่นแหละถึงจะสบายใจ ธุรกิจก็ห่วง ลูกชายก็ห่วง นอนไม่ค่อยหลับ”
“เรื่องคุณหนึ่งไม่ต้องกังวลเลยครับ ทางนี้เรียบร้อยดีมาก เผลอ ๆ ผมไม่ต้องช่วยเหลืออะไรก็จัดการทุกอย่างได้เอง คุณหนึ่งตัดสินใจเฉียบขาดมาก แถมในหลาย ๆ เรื่องยังหัวสมัยใหม่มากกว่าผม”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ออกไปเปิดคลินิกตามที่ใจอยากได้แล้วสิ”
ผมอึกอักในลำคอก่อนปฏิเสธ “บางทีอาจจะไม่อยากเปิดแล้วก็ได้ครับ”
“ทำไมเสียล่ะ”
คุณชนินทร์เลิกคิ้วถาม เขาแน่ใจมาตลอดว่าผมอยากทำงานตรงสายที่เรียนมามากกว่าดูแลไร่ที่มีโอกาสได้วิ่งเล่นกับเพื่อนรักบ้างก็เพียงบางครั้งบางคราว “เราจะมาจมกับไร่นี้ไม่ได้นะกฤช ฉันดีใจมากที่นายมีความฝัน หาตัวเองเจอตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น จู่ ๆ จะมาละทิ้งสิ่งที่ตัวเองรักได้ยังไง ไม่สมกับเป็นนายเลย สู้อุตส่าห์มานะเรียนมาตั้งหลายปี”
“บางทีอาจเพราะผมรักอย่างอื่นด้วยแล้วมั้งครับ”
“เหลวไหล” นายท่านบ่นในลำคอ “ถ้าอย่างนั้นบอกมาซิว่ารักอะไร อยากทำอะไร”
กลายเป็นผมที่ก้มหน้านิ่ง ไม่สามารถพูดออกไปได้ คุณชนินทร์ถอนหายใจยาว “อย่าตามใจพี่หนึ่งมากนัก เขางี่เง่าไปหน่อยไม่ได้หมายความว่าอยู่เองไม่ได้ อะไรกัน เป็นคนบอกเองแท้ ๆ ว่าพี่หนึ่งเก่งแล้ว ตัวเองกลับกังวลไม่กล้าปล่อยมือ ฉันเข้าใจว่าเรารักไร่นี้เหมือนไร่ของตัวเอง เปิดคลินิกแล้วก็กลับมาเยี่ยมบ่อย ๆ ได้ ไม่เห็นต้องละทิ้งอนาคตเลย”
“ผม...”
“ลองกลับไปคิดให้ดีนะกฤช ชีวิตของเราเป็นของเรา ฉันไม่อยากให้นายต้องมาจมกับที่นี่ ออกไปโบยบินเสียเถอะ”
ผมทราบดีถึงความหวังดีที่จริงใจนั่น แต่เมื่อเหลือบตามองขึ้นไปด้านบน สบตากับหนึ่งตะวันที่เท้าแขนมองลงมาจากระเบียงแล้วก็ถอนใจ การออกไปเปิดคลินิกเป็นของตัวเองนั่นหมายถึงระยะห่างระหว่างผมกับเขาที่กำลังดำเนินไปได้ดีต้องชะงัก ผมอาจไม่ได้อยู่กับหนึ่งตะวันตลอดเวลา ซึ่งแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจว่าลึกซึ้งกับอีกฝ่ายมากพอให้คุณหนึ่งรอได้หรือไม่
บางที ความหวั่นไหวของนายน้อย อาจเกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิด
และหากถึงตอนนั้นคนที่อยู่ข้าง ๆ คนขี้เหงาไม่ใช่ผมแล้ว ผมจะต่างอะไรกับภูดิศกัน
แสงไฟจากฝั่งห้องนอนของนายน้อยยังไม่ดับลงแม้ห้องฝั่งตรงข้ามของคุณชนินทร์จะมืดลงไปนานแล้ว ทั้งวัน ผมออกไปขลุกอยู่ในไร่ ปล่อยให้พ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกันตามลำพัง กลับมากินข้าวกับแม่และป้าแวว มองจากชั้นล่างขึ้นไปคล้ายหมามองเครื่องบิน
ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดกังวลเรื่องความฝัน ฝันของผมบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่างเสมอด้วยปัจจัยภายนอก ผมไม่ใช่ชายผู้มีความตั้งมั่นแรงกล้า เป็นแค่คนธรรมดา ๆ ที่อยากใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด
เรื่องเปิดคลินิก เท่าที่คิดเอาไว้ ผมยอมรับว่าอยากรักษาสัตว์มากกว่าอยู่ที่ไร่ตลอดไป คุณชนินทร์พูดถูก ผมอยากใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาครอบครัวท่านแบบนี้ อยากพาแม่ออกไปข้างนอก เปิดโลกกว้าง ใช้ชีวิตบั้นปลายแบบที่ไม่ต้องเหนื่อย
แต่ดูก็รู้ว่าแม่ผมเองรักไร่มากขนาดไหน
ลึกซึ้งกว่าไร่ บางทีอาจรักมิตรภาพของคุณชนินทร์ที่มอบให้มาตลอดนั่นด้วย
“คิดมากอะไรตากฤช” สตรีอันเป็นที่รักถามเสียงนุ่ม ลูบหลังผมไปมาคล้ายปลอบประโลม
“แม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
“ไม่ล่ะจ้ะ” หล่อนว่า มองขึ้นไปบนฟ้า วันนี้ไม่มีเมฆบังเงาของดวงจันทร์ยามทอแสงนวลเต็มดวง “แต่สักพักว่าจะนอนแล้ว ยังไม่ถึงเวลานอนของนายน้อยนี่นะ ทำไมวันนี้ไม่เล่นเปียโนก็ไม่รู้”
“ผมอุ่นนมขึ้นไปให้คุณหนึ่งดีกว่า”
“จะลงมาค้างที่บ้านหรือนอนข้างบนเลยล่ะ” รอยยิ้มหยอกล้อยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมยกมือขึ้นเกาต้นคอแก้เก้อได้เสมอ เหลือบมาฝั่งห้องคุณชนินทร์แล้ว ก็เปลี่ยนใจ
“กลับมานอนบ้านเราดีกว่าครับ”
ประตูห้องนอนบานเดิมถูกผลักออก นายน้อยหนึ่งตะวันไม่ชอบล็อกห้อง แต่ทุกครั้งที่ผมเข้ามามือก็จะไปกดล็อกที่ลูกบิดโดยบังเอิญ คนที่ยืนอยู่นอกระเบียงเปิดประตูหลังห้องทิ้งไว้สะดุ้ง หันกลับมามองผมแล้วเท้าแขนทอดสายตามองออกไปไกลแสนไกล
“วันนี้ไม่เล่นเปียโนหรือครับ”
หนึ่งตะวันพยักหน้า รับแก้วนมอุ่น ๆ จากมือผมไปดื่ม
“พรุ่งนี้คุณพ่อไปขอนแก่นต่อ ไม่อยากให้ท่านนอนดึก”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย วางมือลงบนลูกกรงเตี้ย ๆ ของระเบียง “นึกว่าจะเข้ามาเห็นคุณคุยสไกป์กับคุณภูดิศเสียอีก”
“ก็อยากอยู่” เจ้าของห้องว่า “แต่เดี๋ยวนายคงขึ้นมา เลยอยู่รอดีกว่า”
“ชักจะรู้ใจผมมากไปแล้วนะครับ”
“ฉันรู้ใจนายก่อนนายจะรู้ตัวเองเสียอีก” เสียงทุ้มค่อนแคะจนผมหลุดหัวเราะ รับแก้วเปล่าเข้ามาวางเก็บบนโต๊ะทำงานในห้อง
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้รู้หรือเปล่าว่าผมคิดอะไรอยู่”
หนึ่งตะวันเงียบเสียงไป ผมกลับมายืนข้างเขาอีกครั้ง มือเราวางอยู่บนระเบียงเดียวกัน สักพักก็เลื่อนมาใกล้กระทั่งปลายนิ้วก้อยสัมผัส
“นายคิดจะไปจากที่นี่หรือเปล่า”
นายน้อยถาม ถามในสิ่งที่ผมเฝ้าเพียรคิดมาตลอดทั้งวัน ที่บอกว่าเขารู้ใจผม เห็นทีว่าจะจริง
“ถ้านายน้อยทำงานทุกอย่างเป็นโดยไม่ต้องมีผมคอยแนะนำอีกแล้ว จะเฉดหัวผมไปจากที่นี่ตามที่เคยพูดหรือเปล่าครับ”
“อย่าบอกนะว่านายถือคำพูดของฉันจริง ๆ”
“แล้วพูดจริงหรือเปล่า”
“ถ้าก่อนหน้านี้ก็คงเป็นแบบนั้น” หนึ่งตะวันเงยหน้ามองกระต่ายบนดวงจันทร์ สีเหลืองนวลกลมดิกงดงามกว่าคืนไหน “แต่ตอนนี้ฉันอยากให้นายอยู่ที่นี่ตลอดไป”
“ผมเคยคิดว่าอยากออกไปจากไร่ตะวันฉาย ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ทำงานที่ตัวเองรัก บางทีอาจจะได้แต่งงานกับสาว ๆ สักคนที่พาสัตว์มารักษา ส่วนใหญ่ผู้หญิงน่ารัก ๆ จะเลี้ยงหมาตัวเล็ก ๆ ไม่ก็ลูกแมวพันธุ์ดี”
ผมพูดลอย ๆ นึกถึงตอนฝึกงานตลอดปีสุดท้ายของการเรียน
“ผมเคยถูกใจกับเจ้าของแมวอเมริกันช็อตแฮร์ ตอนนั้นเพิ่งเลิกกับพี่นุ่นใหม่ ๆ คุยกันได้สองสามสัปดาห์ก็เบื่อเสียก่อน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นสัตวแพทย์นี่ดีจริง ๆ”
“สรุปคืออยากเป็นเพราะจะได้หม้อสาว?”
“เปล่าครับ” ผมหัวเราะ “ก็แค่ผลพลอยได้ อยู่ที่ไร่ไม่ได้เจอใคร บางทีมันก็ห่อเหี่ยว”
“นายแม่ง...แย่ว่ะ”
“คุณหนึ่งกำลังหึงอดีตของผม” ว่าพลางยิ้มพราว เมื่อเห็นดวงตะวันหน้างอหงิก ราวกับว่าคุณหนึ่งจะงอแงเป็นเด็กเล็ก ๆ เมื่อถูกผมหยอกเย้า
“แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่หรือครับ ถ้าผมต้องการหาคนรักสักคน อยู่แต่ในไร่ มิวายได้ลูกชายเจ้าของไร่มาเป็นคู่”
“ลูกชายเจ้าของไร่มันไม่ดีตรงไหน อ้อ หรือติดที่ฉันเป็นผู้ชายเหมือนนายอีก”
“ก่อนหน้านี้ก็คงอย่างนั้น”
ผมหันมองเสี้ยวหน้าของคนที่เม้มปากแน่นสนิท รู้ชัดว่าหนึ่งตะวันเริ่มโกรธเข้าจริง ๆ “แต่ตอนนี้ไม่แล้ว...”
“...อยู่กับคุณหนึ่งก็สนุกดี”
“ฉันไม่ใช่ของเล่นแก้เบื่อของนายหรอกนะ”
“ผมทราบดีครับว่าไม่ใช่” เมื่อฝ่ามือเลื่อนไปทาบทับ หนึ่งตะวันก็ไม่ใคร่จะเถียงต่อ เขายังคงทอดสายตาไปไกลสุดไกล ไม่สามารถหาที่บรรจบได้ในความมืดมิด “ผมเองเสียต่างหากที่จะเป็นของเล่นให้คุณหนึ่งไม่รู้ตัว”
“พูดอะไรของนาย”
“ก่อนหน้านี้คุณหนึ่งก็ปั่นหัวผมเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน ที่ผ่านมาจงใจใช่ไหมครับ”
“รู้ช้าเอง ช่วยไม่ได้” หนึ่งตะวันมุบมิบตอบในลำคอ แต่ผมกลับไม่ถือโทษโกรธอีกฝ่าย “นายต่างหากที่เดินเข้าแผนฉันไวเสียจนไม่ทันตั้งตัว แทนที่จะเสียหลักสักหน่อย กลับมาจู่โจมกันกลับเสียอย่างนั้น”
ผมยิ้ม กระชับมือจับอีกฝ่ายแน่น
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะย้ายออกไปทำไมล่ะครับ จริงไหม”
ท้ายที่สุดเมื่อวกกลับมาเรื่องเดิมได้หนึ่งตะวันก็หันหน้ากลับมามอง ดวงตาคู่สวยมีประกายวาววับ ใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางเสียงหรีดหริ่งกลางไพร เสมือนกับโลกนี้มีเพียงผมและเขา กุมมือ มองตา ปล่อยให้สายลมโชยผ่าน
ผมขยับขาเดินเข้าใกล้ นายน้อยหลุบสายตาลง ยกมือขึ้นวางบนอกผม บางทีเขาอาจจะอยากวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ผมปกติดี ใจสั่นไหวกว่าเดิมเล็กน้อย แต่คนที่ดูแล้วน่าเป็นห่วงกลับเป็นเจ้าแมวตัวแดงตรงหน้ามากกว่า
“กฤช จูบได้ไหม”
ผมไม่ตอบในทันที แต่ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแทน ริมฝีปากของหนึ่งตะวันน่าสัมผัส แน่นอนว่าผมเองก็อยากทำอย่างนั้น แต่ทุกอย่างอาจเร็วเกินไป ผมซุกจมูกลงบนเรือนผม ไล่ลงมาต่ำเรื่อย ๆ และบรรจงจุมพิตลงบนแก้มขาว ตัวหนึ่งตะวันอุ่นจนร้อน เลือดฝาดคล้ายเดือดพล่าน เขาหลับตาปี๋เมื่อผมสูดลมหายใจเข้าฟอดใหญ่ สลับกับกดริมฝีปากหนัก ๆ ลงบนผิวนุ่ม
กลิ่นหอมอ่อน ๆ เป็นกลิ่นสบู่ผสมกับกลิ่นกายเฉพาะอย่างของชายหนุ่ม ไม่ได้สาบสางแต่ไม่ได้หวานรันจวนคล้ายเนื้อสาวแต่กลับสะกดให้ผมเฝ้าคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง หลังจากจูบแก้มจนหนำใจแล้วก็ไซ้ลงมาที่ซอกคอ ฝังจมูกดอมดมไว้อย่างนั้นไม่ยอมคลาย
“ฉัน....” หนึ่งตะวันครางในลำคอ อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขน “จะขาดใจเสียให้ได้”
“ผมแค่หอมเท่านั้นเอง”
นายน้อยซุกหน้าลงกับบ่า หัวใจเต้นแรงจนผมรู้สึก
“คืนนี้ผมลงไปนอนกับแม่นะครับ”
“ทะ...ทำไมล่ะ”
“ผมยังไม่อยากให้คุณท่านทราบ” อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ ที่แม้แต่หนึ่งตะวันก็ยังไม่มั่นใจว่าคำตอบของคุณชนินทร์จะออกมาเช่นไร “เพราะงั้นคงบอกได้แค่ตรงนี้ว่าหลับฝันดีนะครับ”
“ใครมันจะไปนอนหลับ”
“ผมอนุญาตให้คุณคุยกับคุณพอร์ชคืนนี้” ว่าพลางยักยิ้มเจ้าเล่ห์แบบไม่ให้เจ้าตัวสังเกตเห็น
“อย่าลืมเล่าให้คุณพอร์ชฟังด้วยว่าเวลาผมหอม...คุณจะขาดใจ”
TBC
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น