ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #24 : ตอนที่ 23

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5K
      348
      28 มิ.ย. 58









    โอบตะวัน
    Chapter 23


    ความมันวาว แวววับของวัตถุบางอย่างบนซอกหลืบของโต๊ะเครื่องแป้งเป็นสิ่งสะท้อนสายตาผมเมื่อแสงแดดจากด้านนอกลอดผ่านผ้าม่าน วัสดุนั้นทำจากเงิน มีเพชรเม็ดเล็ก ๆ ฝังอยู่สะดุดตา มันเรียบง่าย หรูหรา ราคาแพง และขนาดก็น่าจะพอดีกันกับนิ้วนางของใครสักคนราวกับหยิบวาง มันน่าจะเป็นของหนึ่งตะวัน แน่นอนล่ะ เพราะมันไม่ใช่ของผม และห้องนอนนี้ก็มีเพียงผมกับเขาที่ใช้ร่วมกันเท่านั้น

    มันไม่เคยปรากฏตัวให้เกิดคำถามมาก่อน กระทั่งเมื่อวานนี้ วันเกิดของเจ้าของห้อง

    ผมเดินห้างสรรพสินค้านั่นจนขาลาก กว่าเพื่อนอีกสามคนของหนึ่งตะวันจะได้ของขวัญที่พอใจ ไม่มีใครให้แหวน ของแบบนั้นไม่สามารถสื่อความหมายอะไรได้นอกจากนัยยะเชิงชู้สาว

    มีอีกคนที่ผมลืมถามเสียสนิทใจว่าที่นายน้อยออกไป คุณตุลย์ให้อะไรเป็นของขวัญ

    สิ่งที่เกิดคำถามต่อจากนั้นคือของแบบนี้ไปรับมันมาได้ยังไง


    “อืออ...”

    เสียงบิดขี้เกียจของคนบนเตียงดังขึ้น ผ้าห่มที่ปกปิดร่างเปลือยเปล่าร่วงหล่น คนตัวขาวหยัดกายลุก ขยี้ตาเมื่อเห็นผมยืนแน่นิ่งอยู่หน้ากระจกเงา

    “กี่โมงแล้ว”

    “แปดโมงครับ คุณหนึ่งนอนต่อเถอะ เมื่อคืนก็ดึก” ผมหันไปบอก กำแหวนวงนั้นซุกซ่อนใต้ผ้าเช็ดตัวที่เดิมทีเอาพาดบ่า สองเท้าก้าวเข้ามาหาคนรัก ดึงผ้าห่มให้ชิดคอ “สักเก้าโมงผมปลุกอีกที นัดลูกค้าไว้ตอนสิบโมงครึ่งใช่ไหม”

    “นายก็อย่าเพิ่งลุกสิ หนาว”

    “เมื่อคืนคุณหนึ่งปรับอุณหภูมิไว้เสียต่ำ”

    “ก็ตอนนั้นมันร้อน” เขาว่าเสียงงัวเงีย ดึงแขนผมด้วยแรงที่ไม่มากนัก “กฤชครับ ลงมานอนกอดหน่อย ยังปวดหัวอยู่เลย”

    เมื่ออีกฝ่ายวอนขอด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ผมก็วางผ้าเช็ดตัวและแหวนออกห่าง ทิ้งตัวนอนเคียงข้างดวงตะวัน ดึงเขาเข้าอ้อมแขนอย่างที่เจ้าตัวต้องการ ดวงตายังคงมองเหม่อ รอบนี้คุณตุลย์ทำเกินไป ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าหนึ่งตะวันมีเจ้าของแต่ก็ดึงดันที่จะประกาศศึก หนึ่งตะวันเองก็รู้ เขารู้ดีว่าคนรักเก่าพยายามทำตัวสนิทสนมอีกครั้งเพราะอะไร

    ...แต่ก็ยังนิ่งเฉย...

    ความอดทนของผมแน่นตึง คล้ายจะขาดผึงอยู่รอมร่อ

    เมื่อลมหายใจของคนในอ้อมแขนสม่ำเสมอ ผมก็ขยับตัวลุกช้า ๆ หยิบโทรศัพท์ตัวเองกับหนึ่งตะวันออกมา กดเซฟเบอร์ของผู้ชายคนนั้นเข้าเครื่องก่อนเลี่ยงออกไปโทรนอกประตู


    “สวัสดีครับคุณตุลย์ ผมกฤชเอง...สะดวกพบหรือเปล่าครับ พอดีผมมีธุระจะขอคุยด้วยสักหน่อย”





    รถยนต์สองที่นั่งคันเก่งของหนึ่งตะวันส่งเจ้าของมันที่ตึกสูงใหญ่ นายน้อยในชุดสูทพอดีตัว แบรนด์เนมตลอดหัวจรดปลายหอบเอาโน้ตบุกตัวเดียวลงจากรถ ผมขออนุญาตเขาไปทำธุระส่วนตัวระหว่างรอ เอาไอ้โจ้มาอ้างว่ามันวานซื้อหนังสือการ์ตูนก่อนกลับโคราช

    หนึ่งตะวันหายลับไปบนตึก ผมขับรถมาห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมือง ระหว่างทางแวะซื้อหนังสือการ์ตูนโง่ ๆ สักเล่มไว้ตบตาแล้วเลยต่อไปยังร้านกาแฟเรียบหรูสไตล์คนเมือง

    ด้วยราคาที่แพงหูฉี่ ทำให้บรรยากาศสีสลัวด้านในไม่ค่อยครึกครื้นนัก ผมสั่งเครื่องดื่มง่าย ๆ หนึ่งแก้ว ส่วนเป้าหมายกดไอแพดนั่งรออยู่ก่อน


    “ผมไม่ได้มาสายใช่ไหมครับ”

    “เปล่า” ตุลย์ยักยิ้มแค่เพียงมุมปาก “นี่เป็นห้างของฉัน เผื่อนายไม่รู้ ตื่นเต้นที่จะได้เจอนายจนต้องลงมานั่งรอก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง”

    “ขอบคุณที่สละเวลาครับ” ผมตอบ เสียงไม่แข็งแต่ก็ไม่เป็นมิตร “ขอเข้าเรื่องเลยนะครับ ผมเอานี่มาคืน คิดว่าคงไม่เหมาะ”

    “แหวนน่ะเหรอ ถ้าหนึ่งไม่อยากได้น้องเขาคงไม่รับไว้ตั้งแต่เมื่อวาน”

    “ผมไม่ทราบหรอกนะครับว่าหนึ่งเกรงใจอะไรคุณ” สบตากับอีกฝ่ายไม่ลดละ “แต่ผมไม่จำเป็นต้องเกรงใจ และผมคิดว่านี่มันมากเกินไป”

    “เกินไปอะไร กฤช ความหมายของฉันก็สื่อไปในนี้อยู่แล้ว”

    “คู่หมั้นของคุณคงไม่ชอบใจถ้ารู้ว่าคุณซื้อของแบบนี้ให้คนรักเก่า”

    “แต่ถ้าเป็นคนรักในอนาคตก็ไม่ใช่ของที่ไม่เหมาะสมตรงไหนนี่”

    “คุณเลิกยุ่งกับหนึ่งดีกว่า” ผมว่าเสียงเรียบ พนักงานยกกาแฟมาเสิร์ฟด้วยท่าทีนอบน้อมแต่ไม่มีใครสนใจ ปล่อยให้ควันสีขาวลอยขึ้นสู่อากาศส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล

    “ผมจะไม่ว่าเลยถ้าคุณบริสุทธิ์ใจ แต่นี่คุณก็รู้ว่าผมกับหนึ่งคบกันแบบไหน เลิกยุ่งกับหนึ่งเถอะครับ”

    “ฉันก็คงไม่ว่าอะไรเหมือนกันถ้าผู้ชายที่หนึ่งคิดจะเล่นสนุกด้วยเป็นผู้ชายดี ๆ ไม่ใช่พวกเกาะคนอื่นกินตลอดเวลา”

    ตุลย์ยกกาแฟขึ้นจิบ เขายิ้มเย็นแต่แววตาดุดัน 

    “ถามจริงเถอะนะ มีศักดิ์ศรีบ้างไหม หรือแม่นายเกาะคุณชนินทร์ไม่ได้เลยส่งนายมาแทน ผู้หญิงทำฉันว่าน่าอายแล้ว แต่นี่นายเป็นผู้ชายแท้ ๆ ไม่ละอายบ้างเหรอ อยู่ใต้ร่มบารมีของเมีย เฮอะ ใช่สินะ เมียที่ว่านี่รวยเหลือเฟือ รสชาติของข้าวสารที่นายตกลงไปมันอร่อยไม่รู้ลืมเลยล่ะสิ ถึงไม่รู้จักกระดากอายเสียบ้าง”

    “ผมไม่ได้คิดกับหนึ่งแบบนั้น มีแต่คนจิตใจสกปรกเท่านั้นแหละครับที่จินตนาการได้ถึงเรื่องแบบนี้”

    “พูดได้ดี” เขาปรบมือ “สมกับที่พยายามเป็นพระเอก แต่ขอโทษเถอะ เรื่องแบบนี้มันใครดีใครได้ว่ะ ถึงนายจะเอาแหวนมาคืนฉัน ฉันก็จะเอาไปให้หนึ่งอีก ถึงนายจะมาขอร้อง ต่อให้กราบตีนฉันเลยก็เถอะ...แต่ฟังให้ดีนะไอ้หนู คนที่ไม่คู่ควรกับหนึ่งตะวันแบบนาย...”

    “กูแย่งเมียมึงมาได้ไม่ยากเลย”

    บางทีนั่น เป็นสิ่งที่ผมกลัวที่สุด





    หนึ่งตะวันกลับจากพบลูกค้าหลังจากผมจอดรถรอในลานกว้างไม่นานนัก หน้าตายิ้มแย้มแต่มีร่องรอยเหนื่อยล้าในแววตา ผมช่วยคาดเข็มขัดนิรภัย หอมแก้มขาวไปหนึ่งครั้งแล้วยีเส้นผมสีน้ำตาลที่เซ็ทเป็นทรงสวยให้ยุ่งเหยิง 

    “เรียบร้อยไหมครับ”

    “อืม ดีเลยล่ะ” เขาว่า “แต่เงื่อนไขเยอะไปหน่อย ถ้าจะให้เชียร์ลูกค้าต้องเพิ่มเปอร์เซนต์ให้อีก ที่กุ๊กบอกว่างานหินเห็นทีจะจริง ถึงว่า ให้มาร์เก็ตติ้งคุยไม่ได้ เจ้าของแม่งเค็มชะมัด นี่ขนาดฉันมาเองยังเก็บทุกรายละเอียด ไม่มีใครคุยง่ายเหมือนพี่ตุลย์แล้ว”

    ผมชะงัก แต่ก็พยักหน้ารับคำ รถเคลื่อนตัวออกจากตึกสูงเชื่องช้า การจราจรยามเย็นเป็นไปอย่างติดขัด หนึ่งตะวันยังคงพูดถึงงานวันนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนเล่ากิจวัตรในแต่ละวันให้ฟัง เสียงวิทยุเปิดคลอ ผมไม่ได้ขัด เรียกให้ถูกคืออาจจะไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่านายน้อยกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไรอยู่

    “กฤช...เป็นอะไรหรือเปล่า”

    “ครับ...เปล่า กำลังคิดว่าคุณหนึ่งหิวไหม แวะทานอะไรกันก่อนกลับบ้านไหมครับ”

    “ไม่อะ อยากกลับไปอาบน้ำนอนมากกว่า เครียดมาทั้งวันเลย ขนาดตอนเที่ยงยังต่อราคาไม่เลิก ขนาดพาไปเลี้ยงของหรู ๆ แล้วนะ”

    “ไปทานอะไรกันมาครับ”

    “อาหารญี่ปุ่น” คนข้าง ๆ ว่า “ปลาดิบ แพงโคตร แต่อร่อยดี ไว้วันหลังไปกัน”

    “ผมไม่ชอบอะไรแบบนั้น” ว่าพลางนึกถึงที่ภูดิศพูด ผมพร้อมแค่ไหนที่จะดูแลหนึ่งตะวัน อารมณ์ขุ่น ๆ ของผมถ่ายทอดออกผ่านลมหายใจ ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าภายใต้การสังเกตการณ์ของอีกฝ่าย

    “นี่ มีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ”

    “ไม่มีหรอกครับ”

    “เห็นถอนหายใจตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว”

    “คงนอนน้อยไปหน่อย” ผมว่า ไม่อยากพูดเรื่องที่ไปพบกับใครบางคนแล้วทำให้หงุดหงิดใจตลอดทั้งวัน แต่พักเดียวโทรศัพท์ของหนึ่งตะวันก็เข้า เจ้าตัวมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนกดรับ

    “ครับ พี่ตุลย์”

    ผมแน่นิ่ง มองยาวออกไปบนถนนเบื้องหน้า ไฟสีแดงของรถคันที่เพิ่งแซงไปกลายเป็นสิ่งน่ามองกว่าการสบสายตาเอาผิดจากคนที่นั่งข้างกัน

    ผมรู้ว่ามันไม่ควร
    แต่ก็รู้สึกว่าอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

    “ครับ ขอโทษด้วยครับ ไว้วันหลังค่อยนัดเจอกันอีกทีก็ได้ เดี๋ยวหนึ่งคุยกับกฤชเองครับ”

    เสียงท้ายอ่อนลง รถแล่นเช้าสู่ถนนเส้นรอง ไม่ติดเท่าทีแรก เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ตามความเร็วที่สามารถทำได้

    “ครับ สวัสดีครับ”

    เวลาไม่ถึงสิบนาทีแต่กลับรู้สึกเหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์ โทรศัพท์เครื่องเดิมถูกสอดลงกระเป๋า หนึ่งตะวันถอนหายใจ หลับตาเองตัวเอาหัวพิงกระจกอย่างเหนื่อยล้า ไม่มีคำพูดระหว่างเรา แม้เสียงเพลงที่เปิดคลอจะเป็นเพลงรักหวาน แต่ในความรู้สึกที่ไม่ได้เอ่ยออกมากลับกระอักกระอ่วนใจไม่ต่างกัน

    “ถึงแล้วขึ้นไปคุยกันบนห้องหน่อยนะ”

    ผมพยักหน้า ภาวนาจะยืดเวลาให้เส้นทางยาวกว่าเดิม...สักนิดก็ยังดี





    คล้ายกับตอนเด็ก ๆ ที่แอบกินขนมก่อนเข้านอนแล้วถูกแม่จับได้ ยืนถือก้านมะยมสีเขียวสดรูดใบทิ้งตลอดความยาว รอลงทัณฑ์รับโทษที่ทำผิดไว้ สายตามองมาเต็มไปด้วยความมผิดหวัง เหนื่อยอ่อน ย้อนนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ทะเลาะกับพี่นุ่นด้วยเรื่องราวทำนองนี้แต่รุนแรงกว่านี้หลายเท่าตัวนัก

    ผมยืนนิ่งหน้าประตู หนึ่งตะวันถอนหายใจ หันหลังให้ ถอดเสื้อสูทโยนลงบนเตียงตามด้วยเนกไท ปลดกระดุมที่ข้อมือเพื่อพับแขนเสื้อขึ้น

    “ไปหาพี่ตุลย์ทำไม”

    “เอาแหวนไปคืน”

    หนึ่งตะวันนิ่งไป เขาพลิกตัวมาเผชิญหน้า “นายไม่ควรทำแบบนั้น พี่ตุลย์เป็นลูกค้า”

    “ที่อยากได้คุณหนึ่งจนตัวสั่น”

    “งานก็ส่วนของงาน”

    “แล้วแหวนนั่นเกี่ยวอะไรกับงานเหรอครับ” ผมถามกลับ แม้รู้ตัวว่าผิดแต่ก็ไม่อาจรู้สึกเสียใจที่ทำอะไรไปโดยพลการ “ถ้าผมไม่เข้าไปคุย หนึ่งจะพูดตรง ๆ กับเขาหรือเปล่าว่ามีผมแล้ว”

    “พี่ตุลย์ก็รู้”

    “ไม่ได้หมายความว่ายอมรับ”

    “กฤช ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่ตุลย์จริง ๆ”

    “ตอนที่รับแหวนนั่นมา รู้สึกแบบไหนเหรอครับ ทำไมหนึ่งถึงรับของแบบนั้นจากคนรักเก่าได้ทั้ง ๆ ที่มีผมอยู่แล้วทั้งคน”

    “มันก็แค่สิ่งของ ฉันไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ”

    “ไม่สนใจกระทั่งความรู้สึกของผม” นั่นคือสิ่งที่เป็นสัจจริง ถ้าเขาเพียงนึกสักนิดว่าผมจะรู้สึกแบบไหนเรื่องก็คงไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก

    “แหวนนั่นมีความหมายมากกว่าของขวัญทั่วไป คุณก็รู้ แต่ก็ยังรับมันมา พอผมเอาไปคืนก็กลายเป็นว่าผมที่ผิด ผิดที่ประกาศตัวเป็นเจ้าของโดยไม่ปรึกษาคุณสักคำ”

    “เรื่องนี้มันมีผลกับงาน นายเข้าใจไหม นี่เป็นงานแรก งานที่พ่อมอบหมายให้ฉันทำด้วยตัวเอง งานแรกที่พ่อไว้ใจว่าฉันจัดการได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร ฉันจริงจังกับมันมาก ฉันอายุ30แล้วนะกฤช!”

    “คุณหนึ่งหมายถึง...ต่อให้เอาตัวเข้าแลกเพื่องานก็ยอมอย่างนั้นเหรอครับ”

    ผมได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างแตกหัก กระทบกันดังพลั่ก! ก่อนความชาจะแล่นริ้วไปทั่วสันกราม
    หน้าผมแทบไม่กระดิกเลยด้วยซ้ำ แต่กำปั้นที่กระทบลงมาเมื่อครู่แดงก่ำ เช่นเดียวกับกรอบตาที่จับจ้องตอนนี้ เมื่อเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม กลิ่นคาวของเลือดก็ลอยคลุ้ง รสเค็มปร่าเกิดขึ้นในทันที

    ไม่อยากจะเชื่อว่าหนึ่งตะวันจะชกผมด้วยเรื่องนี้

    “ดีครับ...ชัดเจนดีว่าคุณเลือกใคร”

    “อย่างี่เง่...”

    “ผมฟังมาพอแล้ว! นายน้อย! อย่างี่เง่าน่ะกฤช! แต่ขอโทษเถอะ ผมใช้ความอดทนที่มีมากที่สุดแล้ว ผมใจเย็นมามากพอแล้ว ลองถามดูเถอะว่ามีใครจะนั่งฟังผู้ชายคนอื่นประกาศใส่หน้าว่ากูจะแย่งเมียมึงแล้วเดินออกมาอย่างสงบนิ่งแบบผมบ้าง!”

    “พี่ตุลย์ไม่มีทางพูดแบบนั้น แต่ถึงพูดแบบนั้นมันจะสำคัญอะไรในเมื่อ–”

    “ใช่สิครับ พี่ตุลย์ของคุณไม่ใช่คนงี่เง่า”

    “หยุดเถียงนะ!” 

    ผมกระตุกยิ้มมุมปาก ยกข้างที่ไม่ถูกชกขึ้นหยัน ความรู้สึกแบบนี้ เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าเห็นหนึ่งตะวันขึ้นรถหายไปกับผู้ชายคนนั้นเสียอีก

    ความรักของเราทำไมเปราะบางยิ่งนัก
    หรือเพราะผมไม่มีอะไรจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้ตั้งแต่แรกแล้วกันแน่

    “คงไม่ต้องการผู้ช่วยที่นี่แล้วมั้งครับ เก่งแล้วนี่ ผมอยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้ เกะกะขวางทางเสียเปล่า ๆ”

    “ต้องการจะพูดอะไรกันแน่”

    “ผมจะกลับไปที่ไร่”

    เราสบตากัน ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น เสียงลมหายใจ ความโกรธเกรี้ยวลอยฟุ้งในอากาศ ที่แห่งนี้เคยมีความรัก เตียงกว้างหลังนั้นเราเคยกอดก่ายกันด้วยหัวใจสู่หัวใจ เป็นรักที่ยากจะอธิบาย มันยังสดร้อน กรุ่นไปด้วยอุ่นไอของความอบอุ่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแท้ ๆ แต่ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้ยังพอมีหลงเหลืออยู่หรือเปล่า

    หนึ่งตะวันกลืนน้ำลาย เสียงดังจนได้ยิน คราวนี้เขาไม่เดินมากอดผม ไม่ออเซาะร้องขอให้อยู่เหมือนทุกครั้ง ราวกับว่า เมื่อเทียบกับผู้ชายคนนั้นแล้วผมพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

    “ฉันไม่ให้นายกลับ” เสียงทุ้มของอีกฝ่ายสั่น ดวงตาไหวระริก มือขาวกำเข้าหากัน ผมรู้ว่าหนึ่งตะวันยังโกรธ “นี่คือคำสั่ง”

    และผมก็ยังคงเป็นเบี้ยล่างที่ต้องทำตามความปรารถนาของอีกฝ่ายอยู่ดี





    ดวงอาทิตย์อัศดงยามหกโมงกว่า ๆ ผมนั่งภายในห้องรับรองของแขก ย้ายเสื้อผ้าทั้งหมดมาใส่ตู้อีกห้องโดยไม่หวังจะกลับไปที่เดิมอีก ตราบใดที่หนึ่งตะวันยืนยันว่าจะคบหากับตุลย์ ไม่คิดจะฟัง ผมเองก็อ่อนแรงจะมองหน้าเพื่อพบความเปลี่ยนแปลงในแววตาของแต่ละวัน

    พอได้อยู่ลำพังแล้ว หนังสืออย่างThe one thing ที่สอนการพัฒนาตัวเองของภูดิศที่หยิบมาฝากเมื่อวานก็เป็นทางออกเดียวที่นึกออก แก่นของหนังสือเกี่ยวกับการจัดการลำดับความสำคัญของชีวิต เป็นหนังสือน่าเบื่อที่ในเวลานี้กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
    ผมรู้สึกเทอะทะ เมื่ออยู่ที่นี่ ความอึดอัดนี้พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่วันที่มีปากเสียงกับหนึ่งตะวัน กรุงเทพฯ ไม่ใช่ที่ของผม น่าจะพอ ๆ กับความอึดอัดแรกเริ่มเมื่อนายน้อยไปเรียนงานที่ไร่องุ่น

    มันค่อนข้างลำบากเมื่อพยายามข่มตานอน ยิ่งเมื่อข้างกายเคยมีคนเคียงแล้วกลับไม่มี อย่างน้อยคนที่เถียงกันจนหน้าดำหน้าแดงก็ได้ ทุกอย่างก็ว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก

    ผมอาศัยอยู่ในห้อง เหมือนราพันเชลที่ถูกขังไว้ในหอคอย คล้ายกับนกที่ถูกหักปีก ไร้การสื่อสาร ไม่ได้พูดคุย อันที่จริงแล้วล้วนแต่เป็นความต้องการของตัวเองทั้งสิ้น การประท้วงแบบเด็กขี้น้อยใจ รอคำตอบของหนึ่งตะวันจะเปลี่ยนสถานการณ์ตอนนี้ให้ดีกว่าเก่า

    แต่ก็ไม่เลย

    ผมถอนหายใจ ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก มองฝ้าเพดานอย่างเลื่อนลอย พักเดียวเสียงเปียโนบรรเลงเศร้าก็ลอยมา เราแทบไม่มองหน้า ไม่สบตากันเลยด้วยซ้ำ

    ไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันแล้ว

    แต่หัวใจผมคล้ายกับจะขาดอยู่รอน ๆ

    การตัดขาดกับตุลย์มันยากนักหรือ การที่เราไม่คุยกัน ปั้นปึ่งใส่กันแบบนี้มันชวนทำกว่าตรงไหนหนึ่งตะวันถึงรั้นนัก วันนั้นผมไม่ขอโทษ ยิ่งไม่กี่วันหลังจากนั้นเห็นแหวนสีเงินวาวบนนิ้วนางข้างซ้ายแวบ ๆ ยิ่งไม่คิดจะปริปากขอโทษที่พูดไปแบบนั้น

    เมื่อเทียบกับตุลย์แล้ว ราคาของผมมีสักเท่าไรเชียว

    ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวด คล้ายกับเป็นหนูติดจั่น โดนปั่นหัวโดยไม่มีใครมาเห็นใจ เจ้าหนูโง่ หากเขามีแมวตัวใหญ่จะมาสนใจไอ้สัตว์ซื่อบื้ออย่างนายทำไมกัน

    ผมถอนหายใจ ความคิดฟุ้งซ่านไม่เลือนหาย บางทีแล้วผมอาจจะแพ้พ่ายมานานแต่ดันทุรังที่จะไม่รับฟังเสมอมา

    หนึ่งตัววันสาแก่ใจหลังจากปั่นหัวผมมาเนิ่นนานแล้วหรือยัง

    ที่เก็บผมไว้ตรงนี้ คล้ายตุ๊กตาปั้นที่ไร้หัวใจ เพื่ออะไร





    เสียงบรรเลงเพลงหยุดลงเมื่อผมเดินลงมาชั้นล่าง กระเป๋าเป้ใส่สัมภาระไม่มากนักพาดอยู่เบื้องหลัง ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าไม่อาจฝืนรั้งทนอยู่ได้ ไม่เห็นหน้ากันเลยยังดีเสียกว่า บางทีความเจ็บปวดของผมมันอาจบรรเทาเมื่อระยะทางเข้ามาช่วย
    หากมันจะจบ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไป

    อย่างที่บอกว่าผมไม่มีอะไรรั้งเขาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นั่นคือเรื่องจริง

    “จะไปไหน” เสียงทุ้มถามห้วนคล้ายคนหมดเยื่อใย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองออกไปด้านหลัง ใต้ตาเขาโทรมคล้ำ หน้าหมองลงเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าผอมลงหรือเปล่า แต่ช่วงนี้กินข้าวนับคำได้ ผมไม่คะยั้นคะยอ ป่วยการจะพูด อายุสามสิบแล้วคงโตพอที่จะเรียนรู้การดูแลตัวเอง

    ไม่ใช่ไม่เป็นห่วง...แต่ไม่อยากจุดชนวนให้ทะเลาะกันอีกครั้ง แค่นี้ก็มากเกินพอแล้วด้วยซ้ำ

    “ผมจะกลับไร่”

    “ฉันสั่งไปแล้ว”

    “ต่อให้คุณล่ามโซ่ไว้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกครับ”

    ในเมื่อหน้ายังไม่มองกันแบบนี้...

    “ผมตัดสินใจแล้ว ถ้าคุณอยากกลับไร่ก็โทรมาเรียกอีกที”

    “นายจะยอมแพ้พี่ตุลย์แบบนี้น่ะเหรอ กฤช...”

    “ผมไม่ได้ยอมแพ้” ผมว่า “สิทธิ์การให้รางวัลผู้ชนะอยู่ที่คุณตั้งแต่แรก ไม่รู้ว่าจะดิ้นรนอะไรไปต่างหาก”

    “ฉันไม่ได้คิดกับพี่ตุลย์แบบนั้น”

    “ผมฟังมามากพอแล้วครับ” 

    นั่นคือเรื่องจริงที่ไม่อาจเลี่ยงได้ หนึ่งตะวันพูดแต่ว่าไม่ได้คิดอะไร เขาบริสุทธิ์ใจ พร่ำบอกว่ารัก ออดอ้อนผมเหมือนลูกแมวเชื่อง ๆ ผมเชื่อสนิทใจ คงเชื่อมากกว่านี้ถ้าไม่มีเรื่องแหวนบ้า ๆ วงนั้นเข้ามา 

    “ถ้าคุณไม่คิดว่าคุณตุลย์เป็นคู่แข่งผม คงไม่ถามว่าผมจะยอมแพ้คุณตุลย์หรือเปล่า”

    “ไม่...ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น กฤช แหวนนั่นฉันก็ทิ้งไปแล้ว แค่รับมาอีกครั้งเพราะทนรบเร้าไม่ไหวเท่านั้นเอง กฤช..ขอร้อง..ฉันรัก–”

    “ผมไม่ต้องการเป็นที่หนึ่ง ผมไม่อยากให้ใครเป็นที่สอง หนึ่งตะวัน”

    “.......”

    “ผมต้องการเป็นคนเดียว ถ้าเลือกผม ก็เลิกติดต่อกับผู้ชายคนนั้นซะ”

    นั่นอาจจะเห็นแก่ตัว
    แต่คือความจริงทั้งหมดที่ผมกลั่นกรองออกเป็นคำพูด ก่อนน้ำตาของคนตรงหน้าจะร่วงหล่นลง



    TBC

    เดาไม่ถูกเลยค่ะว่ากฤชกับหนึ่งควรตีใครมากกว่ากัน แต่อิพี่ตุ่นไม่น่ารอด ฮาาา 
    ตอนต่อไปน่าจะเป็นอีกตอนที่ดราม่ายังอยู่ แต่หลังจากนั้นจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วค่ะ 
    ใครคิดถึงโจโจ้ เดี๋ยวโจโจ้มา จะช่วยได้มั้ยนั่นอีกเรื่อง (กร๊ากก)
    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×