ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #29 : ตอนพิเศษ 01

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.56K
      339
      1 ส.ค. 58









    โอบตะวัน
    ตอนพิเศษ 01




    เสียงของฝีเท้าเหยียบพื้นแฉะ ๆ ดังหนัก ๆ จากด้านหลัง ผมนั่งบนโขดหิน มองเหม่อออกไปในธารน้ำเล็ก ๆ ท้ายไร่สะดุ้งตัวเล็กน้อย เมื่อหันหน้ากลับไปก็พบว่าเป็นไอ้โจ้หิ้วปิ่นโตมาฝาก มันยิ้มกว้าง กระโดดข้ามก้อนหินแล้วทิ้งตัวลงนั่งด้วยกันใกล้ ๆ


    “เห็นว่าเลยเที่ยงแล้วนายน้อยยังไม่กลับ โจ้เลยเอาข้าวมาส่ง”

    อดีตคนสนิทของกฤชยื่นเถาปิ่นโตสองชั้นเล็ก ๆ ให้ ข้างในเป็นปลาทูทอดกับผักนึ่ง มีถ้วยน้ำพริกไว้กินกับข้าว เมนูง่าย ๆ ที่เห็นแล้วชวนน้ำลายสอ 

    “นายน้อยกินเป็นหรือเปล่า เห็นป้าสายใจทำให้คุณกฤชไปกินที่โรงพยาบาล ปลาทูตัวโต๊โต โจ้เห็นแล้วอยากให้คุณหนึ่งได้กิน”

    “เออ กินได้น่า” ผมว่า “ทำไมต้องกินไม่ได้”

    “เอ้า ก็ของมันบ้าน ๆ”

    “เลิกมองฉันเป็นคุณหนูตีนแดงได้แล้ว อยู่นี่มาสามจะสี่ปีอยู่แล้ว เดี๋ยวก็หักเงินเดือนเสียเลย”

    “ที่พูดนี่โจ้เป็นห่วงนา ยังจะมาหักเงินเดือนกันลงคอ ใจร้ายเหมือนที่คุณกฤชว่าจริง ๆ ด้วย”

    ผมลอยหน้าลอยตาไม่ตอบ ไอ้โจ้เป็นสมุนที่ถูกซื้อตัวหลังจากผมมาอยู่ที่ไร่ได้ไม่นาน แรก ๆ ทำตัวเป็นนกสองหัว วิ่งโร่หาคนโน้นทีคนนี้ที หลังจากที่ทะเลาะกับกฤชจนถูกทิ้งครั้งนั้นมันก็ผันตัวมาอยู่ทีมผมเต็มรูปแบบ

    มันโทรมาหาผม หลังจากที่กฤชกลับมาไร่ได้สักพัก พอป้าจิ๋วบอกว่ามีโทรศัพท์จากไร่ตะวันฉายหัวใจที่ห่อเหี่ยวก็โลดแล่นพองโต ทว่าเมื่อพบว่าปลายสายคือไอ้โจ้ ไม่ใช่คนที่รออยู่แต่แรกก็ร้องไห้ให้มันได้ยินจนได้


    “คุณกฤชเองก็ซึมกะทือเหมือนคนป่วย”

    คำบอกเล่าของไอ้โจ้ตอนนั้นชวนโมโห ผมคิดเสมอว่าถ้ายังรักกันอยู่ก็น่าจะโทรมาง้อบ้าง ไม่ว่ากฤชจะพูดจาไม่ดีกับผมกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็มาขอโทษทีหลังไม่ใช่เหรอ

    ความเคยชินครั้งก่อนเก่าถือเป็นทิฐิที่พอกหนาขึ้นเรื่อย ๆ ผมอดทน รอคอย กฤชต้องเข้าใจ ต้องเคารพการตัดสินใจของผมเพราะผมเป็นพี่ ไม่มีอะไรที่ทำโดยไม่ไตร่ตรองล่วงหน้าอยู่แล้ว พอร์ชเองก็บอกว่าคุยให้แล้ว ตกลงกันได้ มันไม่ได้บอกกฤชเรื่องที่ผมคิดจะบอกพ่อเรื่องที่คบกันแต่คนรักของผมก็เข้าใจดี

    กระทั่งวันที่เขาโทรมาลา...ความมั่นใจทั้งหมดก็ดับสิ้นมลายสูญไป


    “นี่คุณหนึ่ง โจ้ถามอะไรหน่อยสิ” เสียงของเด็กหนุ่มตัวอวบล่ำดังขึ้นเมื่อผมตักข้าวเข้าปากพลางนึกถึงเรื่องก่อนเก่า เมื่อพยักหน้าอนุญาตมันก็ถามเสียงแผ่ว ไอ้โจ้เป็นคนช่างซัก บางทีก็ถามในเรื่องที่ไม่ควรถาม แต่พอมองตาใส คู่นั้นแล้วก็ไม่เคยโกรธลง

    “ทั้ง ๆ ที่เสียใจมากที่คุณกฤชทิ้งไปตอนนั้น ทำไมถึงยอมให้เขาง้อง่ายดายเสียล่ะ โจ้นึกว่าคุณหนึ่งจะโกรธมากกว่านี้เสียอีก แค่ให้แหวนก็อ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งลนไฟเชียว”

    “ซื่อบื้อทั้งนายทั้งบ่าว” ผมบ่นพลางใช้ช้อนสั้นอันเดิมคลุกน้ำพริกให้เข้ากับข้าวสวยในปิ่นโต “เพราะว่าอยากได้รักครั้งนั้นคืนมามากน่ะสิ ยิ่งได้ยินเรื่องที่กฤชเคยรับปากไว้แล้วยิ่งคิดถึง ถึงจะทิ้งกันไปตั้งนาน ยังอุตส่าห์จำได้ว่าเคยรับปากอะไรกัน”

    “อ้าว แล้วจะไปงอนเขาทำไม ไม่ไปง้อเสียตั้งแต่ตอนนั้น”

    “อยากง้อนะ แต่พอร์ชมันพูดให้คิด ตอนนั้นทั้งฉันทั้งกฤช ต่อให้กลับมาคุยกันก็ทะเลาะกันเรื่องเดิม ๆ กฤชคาใจกับคำสบประมาท ฉันเองก็ต้องพยายามเป็นคนที่ดีไม่ให้ถูกพ่อว่าไม่เอาไหนจนต้องมีกฤชคอยดูแลตลอดเวลาให้ได้ อีกอย่าง...พอกฤชทิ้งไปแบบนั้น ฉันก็ไม่มั่นใจเลยว่ากฤชรักกันจริง ๆ ไหม นายเข้าใจหรือเปล่า ฉันเองก็เจอแต่ความรักจอมปลอมมาตลอด”

    “แต่คุณหนึ่งก็เชื่อว่าคุณกฤชจะกลับมา สุดยอดเลย แต่โจ้ไม่คิดว่านายน้อยจะคิดเรื่องคุณกฤชเยอะขนาดนี้เลยนะ”

    “คิดสิวะ” ผมถอนหายใจยาวเหยียด “คิดแต่ว่าจะทำยังไงให้ยืนคู่กับกฤชได้ เขาไม่ใช่แค่คนงานทั่วไป เป็นถึงคนโปรดของพ่อ เป็นลูกชายของผู้หญิงที่พ่อเคยรัก ไม่รู้สิ เรื่องพวกนี้นอกจากพอร์ชแล้วฉันก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังหรอก”

    “โถ โจ้เอ็นดูคุณหนึ่งจัง แต่ถ้าเปิดใจพูดกันตรง ๆ ตั้งแต่ตอนนั้นเรื่องก็ไม่ยืดเยื้อบานปลายมาขนาดนี้”

    “แต่มันก็ดีไม่ใช่เหรอ” ผมมองสายน้ำที่ไหลพาใบไม้แห้งลอยห่างออกไป วันเวลาเหล่านั้นผ่านมาแล้ว ไม่คิดว่าจะผ่านมาได้ แต่ก็กล้ำกลืนฝืนทนด้วยความหวังอันริบหรี่ว่าปลายทางว่าสักวันหนึ่ง กฤชอาจจะกลับมา

    “อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ทั้งตัวฉันและตัวกฤชว่าเราต่างมีคุณค่าในตัวเองแบบที่ไม่ให้ใครมาดูถูกได้อีกแล้ว กับเรื่องที่เกิดขึ้น มันก็เป็นเรื่องดี ๆ ที่ทำให้ฉันกับกฤชรักและเข้าใจกันมากขึ้นล่ะนะ”

    ไอ้โจ้พยักหน้าเห็นด้วย ถอดรองเท้าเพื่อหย่อนปลายเท้าลงในน้ำ ลูกปลาตัวเล็ก ๆ กระเจิงหนีในทีแรก ก่อนวนกลับมาตอดส้นเท้าดำ ๆ ของเด็กหนุ่มในเวลาถัดมา 


    “แต่จริง ๆ เลิกกันไปตอนนั้นโจ้ก็ว่าดี คุณหนึ่งเปลี่ยนไปตั้งเยอะ อย่างน้อยก็แคร์ความรู้สึกคนรอบข้างเป็นบ้าง”

    ผมตวัดหางตามองมัน ไอ้คนไร่ปากเปราะยังสนุกอยู่กับตีเท้าในน้ำไม่รู้ร้อนรู้หนาว

    “ฉันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง”

    “โห แย่กว่าคุณหนึ่งจะคิดถึงตัวเองได้เลยครับ อุ้ย...โจ้ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ”

    “ไม่ทันแล้วมึง” 

    ไอ้โจ้หดคอเข้าหากันราวกับเต่าที่ซุกตัวในกระดองเพื่อหาความปลอดภัย ผมจิ๊ปาก ตักข้าวทานต่อจากนั้นเพียงไม่กี่คำก็ส่งคืน หยิบกระติกน้ำเล็ก ๆ ที่พกมาด้วยขึ้นดื่ม ระหว่างนั้นเสียงฝีเท้าของบุคคลที่สามก็ดังขึ้นจากด้านหลัง สมุนตัวล่ำหันกลับไปก่อน แล้วกระทุ้งศอกใส่ผมจนน้ำหก ตั้งใจจะด่าสักรอบแต่เงาที่ทอดลงมายังผืนน้ำก็ทำให้ผมหันกลับไปมองตามมัน

    “ไหนว่ามีเคสด่วนที่โรงพยาบาล”

    “พี่นุ่นจัดการไปแล้วครับ”

    ผมพยักหน้า หลิ่วตาเชิงสัญลักษณ์เพื่อไล่ไอ้โจ้ มันอ้าปากค้าง พักหนึ่งก็กระวีกระวาดลุกจนเซล้มไปในน้ำ กฤชเลิกคิ้วมอง ไอ้โจ้รีบปัดมือเป็นพัลวันว่าไม่เป็นไร ใส่รองเท้าสลับข้างหลังจากลุกยืนด้วยท่าทางทุลักทุเล เห็นแล้วหงุดหงิดลูกตา ไอ้ห่านี่ ไม่เนียนเอาเสียเลย 


    “โจ้...โจ้นึกขึ้นได้ว่าทำงานค้างไว้ คุณกฤชมาก็ดีแล้ว โจ้เอาปิ่นโตกลับเลยนะครับ”

    “อือ” ผมยื่นคืนให้มัน สมุนตัวเล็กวิ่งปรู๊ดหายไปจากบริเวณในทันที นายเก่าได้แต่มองตามแผ่นหลังแล้วหันหน้ากลับมาหาผมอีกครั้ง

    “เป็นอะไรของมัน พิลึกคน ว่าแต่มานั่งที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่เหรอครับ ผมตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว ยังไม่กลับบ้านอีก”

    “อืม ตื่นเช้าจนติดเป็นนิสัยน่ะ เห็นนายหลับสบายเลยไม่ปลุก เมื่อคืนเพิ่งปิดบัญชีเสร็จด้วยเลยอยากมาพักผ่อน”

    “ทีหลังเรียกผมมาด้วยก็ได้”

    “ก็อยากให้นอนเยอะ ๆ ทำทั้งคลินิก ทั้งโรงพยาบาล ไหนจะงานที่ไร่อีก ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ”

    ปลายเท้าของชายหนุ่มขยับเข้ามาเรื่อย ๆ ผมเงยหน้าขึ้นจนสุด กระทั่งอีกฝ่ายนั่งยอง ๆ ก็ลดองศาคางที่เงยแหงนลงตาม กฤชวางมือลงบนศีรษะผม โยกเบา ๆ แล้วโน้มตัวเอาหน้าผากมาชน

    “ใครจะยอมให้หนึ่งเหนื่อยคนเดียว”

    “ก็นั่นแหละ แล้วคุณนุ่นไม่บ่นแย่เหรอ เห็นโจ้ว่าตอนคุณนุ่นโทรมาเจ้าของหมาจะไม่ยอมให้ใครรักษานอกจากกฤชเลยนี่”

    “มัวแต่รอก็ตายพอดีแหละครับ” สัตวแพทย์สุดหล่อว่า ไม่ทุกข์ร้อน “ไม่ยอมเข้าบ้านสักทีเพราะหึงที่พี่นุ่นโทรตามผมหรือเปล่า”

    “บ้าน่า” ผมปฏิเสธ มานั่งดูพระอาทิตย์ของวันใหม่ขึ้นตั้งแต่รุ่งสาง เดิมทีว่าสาย ๆ จะเข้าไปชวนกฤชมาเดินเล่นที่ไร่ด้วยกัน แต่ม้าเร็วรีบมาบอกเสียก่อนว่าหมอหมาโดนตามตัวด่วนเลยใช้เวลาช่วงที่เหลือนั่งเรื่อยเปื่อยเพื่อนึกถึงครั้งแรกที่ถูกกุมมือไว้ทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน ณ ที่แห่งนี้ 

    “มาถึงจุดนี้แล้วยังต้องตามหึงหวงอีกเหรอ ปล่อยให้นายไปอยู่กับคนอื่นตั้งสามปี”

    “ผมไปทำงานจริง ๆ เคยบอกแล้วนี่”

    “รู้แล้วน่า ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้หึงไง” อ้อมแอ้มตอบในลำคอ ความรู้สึกปลอดภัยแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อกฤชกลับมาหาและพูดว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใคร ไม่ได้นอกใจผมแม้แต่นาทีเดียว

    ลมหายใจอุ่นกระทบข้างแก้ม ปลายจมูกคมไล้ผ่านผิวผมไปช้า ๆ ก่อนเจ้าของสันจมูกจะพูดเสียงแผ่ว “แต่ผมยังหึงหนึ่งกับคุณตุลย์อยู่นะ” 

    ผมพยักหน้าเข้าใจ กฤชเป็นคนขี้หึง ขี้หึงขั้นรุนแรงแบบที่ผมไม่อาจประเมินได้ว่าต้องรับมือแบบไหน ที่ผ่านมา จากที่เคยคบใคร ๆ ผมไม่เคยแคร์ ไม่ชอบการถูกแสดงความเป็นเจ้าของ ผมไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่จำเป็นต้องอยู่ในโอวาท หากแต่กับผู้ชายตรงหน้า น่าแปลกที่ผมยอมศิโรราบให้อย่างไม่มีข้อแม้

    “ฉันเข้าใจว่ากฤชไม่สบายใจ แต่จะให้พูดตรง ๆ ฉันกับพี่ตุลย์คงเลิกติดต่อกันไปเลยไม่ได้ โลกของธุรกิจ ฉันคือหนึ่งตะวันที่มีเขี้ยวคมในแบบของตัวเอง แต่ฉันจะทำให้กฤชไว้ใจ ไม่รับของหรือความสัมพันธ์อะไรแปลก ๆ มาอีกเด็ดขาด”

    “ผมเชื่อ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ถ้ารอมาตลอดสามปีผมก็ควรหมดทุกข้อกังขาแล้วเหมือนกัน ผมจะให้เกียรติหนึ่ง เชื่อคำพูดของหนึ่งที่ว่าจะซื่อสัตย์กับผม”

    ผมพยักหน้า เมื่อเงยขึ้นสบแววตาคู่นั้นก็เผลอหลบตาลงอีก ดวงตาสีดำนิลดุดัน เหี้ยมเกรียม ไม่ทันพูดถึงบทลงโทษหากผมเผลอทำอะไรทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สองไรขนอ่อนก็ลุกขึ้นเกรียว ผมเอนตัว หนีสายตาคาดโทษนั่นด้วยการซบลงบนบ่า เอาหน้าผากถูเสื้อเชิ้ตเนื้อดีไปมาอย่างออดอ้อน

    “อย่าทำหน้าดุแบบนั้นสิ กลัวแล้ว”

    “เฮ้อ...ให้ตาย ผมก็แพ้หนึ่งเวลาอ้อนแบบนี้ทุกที”

    เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจนั่นก็กล้าเงยหน้าขึ้นมาหน่อย ใช้คางเกย โอบกอดอีกฝ่ายด้วยสองมือ ขณะที่กฤชทำกลับมาในลักษณะเดียวกัน เสียงของน้ำไหลริน ใบไม้เสียดสี ความรักเป็นสิ่งเดียวที่คั่นกลางระหว่างใจสองดวง นกร้องแม้แดดจะจ้า ใต้ดวงตะวันสุกสว่างเราสองคนก็ไม่คิดจะผละจากกันไปไหน

    “จำได้หรือเปล่าว่าที่นี่กฤชบอกชอบฉันครั้งแรก”

    “จำได้ทุกอย่างครับ”

    “บอกอีกครั้งได้ไหม”

    อ้อมกอดเดิมกระชับแน่นขึ้น หัวใจของเราแนบสนิทกันคนละฝั่งของอกฝ่ายตรงข้าม ผมสูดกลิ่นธรรมชาติ กลิ่นของไอรัก ความรู้สึกทุกอย่างแล่นพล่านทั่วสรรพางค์กาย ความรู้สึกรักแบบไม่ต้องใช้ถ้อยคำใด ๆ

    แสงที่ลอดจากรูโหว่ของใบไม้กระทบแหวนเพชร เจิดจรัสสว่างจ้าจนแสบตา ผมจูบที่บ่า กกหู ก่อนกระซิบเสียงพร่า


    “อยากมีความทรงจำดี ๆ ที่นี่อีกครั้งจัง”

    “ครับ?”

    “ทำกันไหม”

    “คุณหนึ่งงงง” คนที่กอดอยู่ผละออกมาลากเสียงยาว กฤชหัวเราะต่ำ หยิกแก้มผมที่ยิ้มตาปิดจนย้วยติดมือ “ทำไมเป็นคนทะเล้นแบบนี้ครับ”

    “พูดเล่นหรอกน่า เฮ้ย ๆ ถอดเสื้อทำไม”

    “อย่ามาล้อเล่นกับผมนะ ผมคิดจริง”

    “ไม่เอา ๆ เกิดไอ้โจ้มาเห็นจะทำยังไง”

    “มันกลับไปแล้ว”

    “ใช่ ๆ โจ้กลับไปแล้ว” เสียงสุดท้ายดังจากพุ่มไม้ไม่ไกลกันนัก ผมกับกฤชเหลือบตาไปมอง เริ่มเห็นจากปลายเท้าที่โผล่ออกมาแม้ทั้งตัวจะใช้ต้นไม้บังจนมิด กฤชลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวเท้าไปเล็กน้อยไม้พุ่มเดิมสั่นไหว ก่อนเสียงเท้าย่ำกับพื้นดินแฉะจะดังกระชั้น ชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกเห็นแผ่นหลังไอ้โจ้ไกลออกไป เผลอทำหน้าบูดบึ้งเมื่อไอ้สมุนตัวดีเผลอทำแผนล่มอีกจนได้

    “ไอ้โจ้นี่มันกวนใจจริง เฮ้อ กลับกันเถอะครับ”

    “อ้าว” 

    ไหนเมื่อกี๊ยังบอกว่าคิดจริงอยู่เลย จับได้ว่าโดนแอบมองหน่อยก็ถอยแล้วเหรอไอ้เด็กบ้า

    “หรือหนึ่งอยากให้ผมทำที่นี่จริง?”

    “เหอะ! ใครจะอยาก”

    “นั่นน่ะสิครับ” กฤชว่า ดึงข้อมือผมให้เดินตาม ไอ้เด็กเปรต ถ้าไม่อยากจะพูดทำไมล่ะ ต้องให้ตรงไปถึงไหน เหลือยางอายให้กันบ้างไม่ได้เลยหรือไงเล่า!

    “ถ้าทำที่นี่คุณหนึ่งจะเจ็บหัวเข่ากับมือ หินตรงนี้มันคมมาก”

    “ก็อย่าใช้ท่าหมาสิ”

    “ท่าเบสิคก็จะเจ็บหลังเอา หรือถ้าเป็นยืนก็กลัวว่าจะลื่นล้ม” กฤชหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ ตวัดแขนรอบเอวผมไว้แล้วงับเบา ๆ ที่บ่า
    “กลับไปทำที่ห้องเถอะครับ ปลอดภัยสุด จะเอาใจจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่เลย”

    เมื่อเจอสายตารู้ทันจับจ้องเข้าให้ก็รู้สึกเห่อร้อนไปทั้งหน้า หยิกเอวแข็ง ๆ แก้เขินไปหลายทีแม้จะไม่มีเสียงโอดครวญมาให้ได้ยิน เบียดกระแซะเข้าหาร่างใหญ่มากขึ้น รู้สึกเหมือนถูกโอบกอดไว้ทั้งร่างด้วยความรักจากอีกฝ่าย

    “ไอ้เด็กเวร” สบถในลำคอด้วยความหมั่นไส้ แต่ดูเหมือนจะดังเกินไป ไอ้เด็กเวรที่พูดถึงเลยได้ยินเต็มสองหู

    “แล้วหนึ่งรักไอ้เด็กเวรคนนี้หรือเปล่า”

    “ยังต้องให้พูดอีกหรือไงเล่า!”

    เสียงหัวเราะดังคลอ หนทางจากลำธารสู่ตัวบ้านทอดยาวออกไกล แสงแดดร้อนแรงแผดจ้า แต่ผมรู้ว่าเราจะไม่ห่างกันไปไหนอีก
    หัวใจดวงนั้นพองโตและอุ่นซ่าน กฤชทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ หากผมหวังจะมีรักนิรันดร์ ความรักของเขาก็จะเป็นนิรันดร์ตามที่ผมพร่ำหา

    “นี่กฤช”

    “ครับ”

    “อยู่แบบนี้ไปจนแก่ตายเลยเนอะ”

    ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หัวเราะร่วน เอนตัวเพียงน้อยนิดเพื่อจูบบนเส้นผมเหนือศีรษะ “คิดว่าผมจะไปไหนรอดล่ะครับ ใจอยู่ที่ไร่ อยู่ที่เจ้าของไร่เสียขนาดนี้”

    “ขอบคุณนะ”

    ผมยิ้มจนตาปิด ยิ้มจนแสงจ้าของพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันมืดหายไป กฤชเองก็ไม่ต่างกัน เขายิ้มจนเห็นฟันขาวที่ซ่อนไว้ใต้ริมฝีปากได้รูป สองมือเกี่ยวกระชับ จับกันไว้ไม่ห่างหาย

    เรารู้โดยดุษณีว่าจะไม่มีความรักของใครเปลี่ยนไป


    ตราบจนกว่าความนิรันดร์จะสิ้นสลายไปตลอดกาล






    End of special

    ตอนพิเศษวันนี้มาสั้น ๆ ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาอีกตอนน้า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×