ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 03

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.49K
      422
      11 เม.ย. 58














    โอบตะวัน
    Chapter 3






    เช้าวันต่อมา ผมตื่นตามเวลาปกติของนาฬิกาชีวิต ทำกิจวัตรเดิม ๆ คือออกมากวาดคอกม้า พาแสงเพชรกับแสงฟ้าวิ่งเหยาะ ๆ เมื่อเห็นว่าอาการเสียดท้องมันดีขึ้นแล้วกลับมาให้อาหาร กว่าจะรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็เริ่มเป็นสีสว่าง ฤดูร้อนพระอาทิตย์โผล่พ้นภูเขาไวกว่าทุกฤดู แต่ให้เดานายน้อยของไร่ตะวันฉายคงยังไม่ลุกจากที่นอน

    เสียงกระทะดังสลับกับน้ำมันร้อนฉ่าเมื่ออะไรบางอย่างถูกหย่อนลงไปดังเป็นสิ่งที่ผมเคยชินเมื่อเดินผ่านหลังครัว จัดแจงอาบน้ำ แต่ไม่กินข้าวก่อน มื้อเช้าของเมื่อวานนายน้อยยอมทานคนเดียวแต่โดยดีเพราะเขาโมโหผม แต่ในมื้อถัดมาไม่ใช่ ผมต้องแสดงทีท่ากึ่งอ้อนวอนกึ่งร้องขอที่จะทานข้าวร่วมโต๊ะกับเขาทั้ง ๆ ที่เป็นความต้องการของอีกฝ่ายแต่เพียงผู้เดียว
    ถ้าเป็นศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้ คงหนีไม่พ้นคำว่าซึนเดเระ
    ผมเห็นบ่อย ๆ ตามเว็บบอร์ด หรือฟอรั่มการ์ตูนที่เข้าไปอ่านฟรี ตามแฟนเพจหรือเว็บไซต์ที่เป็นที่นิยมหลาย ๆ แห่งก็พบคำนี้ได้โดยทั่วไป เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้เจอคนอย่างนั้นในชีวิตจริงมาก่อน
    เขาน่าปวดหัว แต่ก็ตลก
    อันที่จริงก็ต้องยอมรับว่าเขาทำให้ผมกระตือรือร้นที่จะลุกขึ้นมาก่อนแสงตะวันในเช้าวันใหม่จะมาเยือนมากกว่าทุกวันที่ผ่านมาได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน

    “ทำอะไรกินครับแม่”

    “ข้าวผัดอเมริกันจ้ะ เมื่อวานคุณหนึ่งบอกว่าอยากทาน”

    “โอ้ วันนี้ได้กินของแปลก” ผมตอบยิ้ม ๆ เดินไปกอดแม่จากด้านหลัง ป้าแววทอดไก่อยู่ใกล้ ๆ กัน หันมายิ้มแซวแต่รุ่งสาง

    “อ้อนแม่ใหญ่เชียวกฤช กลัวแม่จะรักนายน้อยมากกว่าหรือไง”

    “นั่นน่ะสิครับ ถ้าเป็นเรื่องนายน้อยผมโดนดุตลอดเลย สงสัยแม่ไม่รักแล้ว”

    “ก็เรามันกวนโมโห” แม่พูดพลางตบเบา ๆ ที่หลังมือผม ปากยิ้มแย้มอย่างคนอารมณ์ดี “ไปหยิบจานมาเลย เดี๋ยวแม่ตักให้ก่อนแล้วค่อยขึ้นไปปลุกนายน้อย”

    “เดี๋ยวผมรอกินพร้อมเขาดีกว่า ไม่เอาใจเดี๋ยวจะโดนคาดโทษอีก”

    “ช่างประชดประชัน ถ้าจะปลุกก็ขึ้นไป แล้วไปเรียกพี่เขาดี ๆ ล่ะ ไม่ใช่กวนโมโหให้เขาปึงปังมาแต่เช้า”

    ผมไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ หอมแก้มแม่หนัก ๆ หนึ่งทีแล้วผิวปากอารมณ์ดีขึ้นมาชั้นบน



    ห้องล็อก

    ค่อนข้างจะผิดแผนไปนิดหน่อย เพราะเมื่อวานหนึ่งตะวันก็ไม่เห็นจะหวงแหนพื้นที่ส่วนตัวมากเท่านี้ หรือว่าไม่อยากให้ปลุก ไม่น่าเป็นไปได้เพราะก่อนหน้านี้ยังดึงดันจะเป็นผู้ใหญ่ สมกับที่เป็นลูกชายคนเดียวของคุณชนินทร์อยู่เลย

    ผมเคาะประตูห้องสองสามครั้งพลางเรียกอีกฝ่ายอย่างสุภาพ นายน้อยไม่ตอบเป็นคำพูด แต่ครางออกมาอย่างคนอารมณ์เสียตั้งแต่หัววัน
    จะว่าผมกวนโมโหโดยไม่ตั้งใจอีกก็ไม่ใช่ แค่เคาะประตูห้องเท่านั้นเอง

    “นายน้อยครับ ถ้าตื่นแล้วช่วยเปิดประตูให้หน่อยครับ ผมจะช่วยไปเก็บเตียงให้แล้วลงมาทานอาหารเช้ากัน สาย ๆ จะพาไปที่โรงบ่มไวน์ท้ายไร่”

    “ไม่ไป” เขาตะโกนตอบกลับมาก่อนพูดต่อ “ข้าวก็เอาวางไว้หน้าห้องนั่นแหละ เดี๋ยวหิวแล้วไปหยิบเอง”

    “ไม่สบายหรือเปล่าครับ”

    “อือ อยากนอนเฉย ๆ”

    “ให้ผมเข้าไปดูหน่อยไหมครับ” 

    คู่สนทนาไม่ตอบ แต่ก็ไม่มีเสียงคลายล็อก ไม่แม้แต่มีเสียงฝีเท้าเดินย่ำลงบนพื้นไม้เลยด้วยซ้ำ บ้านหลังนี้ปลูกด้วยไม้สักทั้งหลัง เป็นมรดกตกทอดมาหลายรุ่นแล้วแต่หมั่นบูรณะจึงเป็นแบบบ้านที่ร่วมสมัยระหว่างสมัยเก่าและใหม่ได้อย่างลงตัว ผมกับแม่บ้านทั้งสองคนไม่มีปัญหากับการเดินบนพื้นไม้ แต่ไม่ใช่กับคนเดินบนกระเบื้องหรือปูนเป็นประจำอย่างนายน้อยหนึ่งตะวัน เสียงฝีเท้าของเขาจะทำไม้ลั่นออดแอด ยิ่งถ้าโมโห เสียงปึงปังจะชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก

    “นายน้อย”

    “ไปไหนก็ไป ฉันไม่อยากเจอใคร”

    เขายืนยันคำเดิม ผมเองก็เลิกเซ้าซี้ เดินลงมาด้านล่าง มีตู้สำหรับไขกุญแจทุกห้องตั้งอยู่กลางบ้าน มีกุญแจตู้นี้ก็มีแค่ผมกับแม่เท่านั้น อันที่จริงก็ไม่อยากรุกรานความเป็นส่วนตัวหรอก แต่ดื้อแบบนั้นผมก็ต้องใช้ไม้นี้เหมือนกัน

    “ทำอะไรน่ะกฤช”

    “แก้วตาของแม่ไม่ยอมเปิดประตูให้น่ะครับ ไม่รู้ว่าไม่สบายหรือเปล่า”

    “แม่ขึ้นไปดูให้ไหม”

    “ผมจัดการเองดีกว่า แม่เตรียมกับข้าวเสร็จก็พักเถอะครับ ทางนี้ผมรับมือเอง”

    “อย่าไปกวนโมโหพี่เขาล่ะ” ผมครางรับในลำคอเมื่อถูกย้ำเป็นครั้งที่สองของวัน รื้อหากุญแจห้องนอนของนายน้อยหนึ่งตะวันไปด้วย “ถ้ามีปัญหาหนักหนาอะไรก็รีบลงมาบอกแม่รู้ไหม”

    “รับทราบครับ โอเค เจอแล้ว ขอตัวนะครับ”

    นางสายใจพยักหน้า ผมเดินผ่านแม่กลับขึ้นมาชั้นบนแล้วจัดการไขกุญแจลูกบิดอย่างเงียบเชียบ เมื่อประตูถูกผลักออกคนที่นอนอุตุอยู่ในมุ้งก็ตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทันที

    “เข้ามาทำไม”

    “อาการเป็นยังไงครับ เดี๋ยวผมหายามาให้”

    “ไม่ใช่หมอ อย่าจุ้นจ้านได้ไหม”

    “ที่จริงชาวบ้านแถวนี้ก็เรียกผมว่าหมอกฤช” เพียงแต่ไม่ใช่แพทย์รักษาคนเท่านั้นเอง คนในมุ้งสะบัดผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่ง 

    “อย่ากวนโมโหได้ไหม ไม่อยากคุยกับใคร ออกไป”

    “หงุดหงิดอะไรล่ะครับนี่” ผมถามพลางสาวเท้าเข้าใกล้เรื่อย ๆ จับปลายมุ้งแล้วอนุญาตตัวเองเข้าไปในอาณาบริเวณของเตียงสี่เสาขนาดหกฟุต นายน้อยหนึ่งตะวันล้มตัวลงนอน ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง

    “อย่าวุ่นวาย”

    “ประจำเดือนครั้งสุดท้ายมาเมื่อไรครับ”

    “ไอ้เด็กเวร กวนประสาท!”

    เจ้าของเตียงผุดลุกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มือเล็ก ๆ ผลักอกผมออกห่างไปด้วย หากแต่เรี่ยวแรงคนเมืองไม่มีทางเอาชนะคนงานอย่างผมได้อยู่แล้ว นอกจากไม่สะดุ้งสะเทือน ผมยังสามารถกำข้อมือเล็กนั่นไว้ได้อย่างง่ายดายในเวลาไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ

    ตาเขายังดุเหมือนเดิม แต่สาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดห้องมาเจอใครปรากฏอยู่บนหน้า รอยสีคล้ำเข้มตามพวงแก้มและหน้าผากบอกชัดว่าสิ่งที่ผมกับป้าแววเตือนไว้เกิดขึ้นจริง ๆ

    “แสบหรือเปล่าครับ”

    เขาคงอยากด่าผมว่าเสือก แต่ด้วยความเป็นผู้ดีจึงได้แต่เม้มปากไว้แน่น พยายามบิดข้อมือออกจากพันธนาการ แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ตัวเองเป็นอิสระได้แม้แต่น้อย

    “วันนี้หลบแดดอยู่ในบ้านแหละครับ ไว้วันหลังค่อยออกไปด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวผมไปปรึกษาป้าแววให้ว่าเอาอะไรมารักษาได้”

    “ไม่ยุ่งสักเรื่องได้ไหม”

    “คุณหนู” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอา จะทิฐิแรงกล้าไปถึงไหน “ไม่มีใครว่าคุณสำออยหรอกนะ แค่หน้าไหม้แดด มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อวานผมก็เตือนแล้ว”

    “จะซ้ำเติมที่ฉันไม่รับหมวกนายมาใช่ไหม”

    “เลิกทีเถอะนิสัยคิดเองเออเองน่ะ คุณอาจจะหมั่นไส้ผม หรืออะไรไม่รู้นะ แต่คุณไม่ได้สำคัญสำหรับผมขนาดต้องเอามาคิดเล็กคิดน้อยจ้องจะเหยียบย่ำความผิดพลาดหรอก”

    ผมมองเขาด้วยแววตาที่อ่อนลง แต่หนึ่งตะวันยังดูโกรธเคืองไม่หาย ไม่สิ ดูจะโกรธผมมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ขอโทษเถอะ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเหยียบหางเขาเมื่อไรถึงได้จงเกลียดจงชังกันขนาดนี้

    “ผมรู้ว่าคุณคงไม่พอใจเท่าไรที่มีพี่เลี้ยงสอนงานยศต่ำกว่าแบบนี้ แต่ช่วยทน ๆ ผมหน่อยเถอะ ผมเองก็กำลังพยายามทนคุณเหมือนกัน”

    “ฉันมีอะไรให้ทนด้วยรึไง”

    เอาต้นยูคาลิปตัสพันไร่มาผลิตกระดาษก็บรรยายลงไปไม่พอว่าผมต้องทนอะไรกับเขา พยายามมองในแง่ดีก็แล้ว แต่เจอฤทธิ์เดชเข้าไปทีไรก็หงุดหงิดใจทุกที ทำไมไม่หัดทำตัวให้ว่าง่ายบ้างก็ไม่รู้

    “โอเคครับ เป็นความผิดผมเอง ช่างมันเถอะ แต่หน้าน่ะวันเดียวก็หาย ผมจำได้ว่าเคยใช้ว่านหางจระเข้ ถ้ายังไงจะไปถามวิธีจากป้าแววว่าต้องมีขั้นตอนยังไงบ้างก่อนเอามาใช้”

    “ฉันมีครีมของฉัน”

    “ลองวิธีของผมก่อนเถอะครับ ถ้าไม่ได้ผลค่อยใช้ครีมของคุณ หรือจะใช้ควบกันก็ได้ วันนี้ก็ไม่ต้องออกไปไหนหรอก เดี๋ยวผมยกข้าวเข้ามาให้”

    “มันก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้ว”

    ผมรับคำ กวาดตามองแก้มที่สีไม่เสมอกันแล้วนึกเสียดาย นายน้อยเป็นคนผิวพรรณดีมาก นายกับนายหญิงเป็นคนขาวแต่เดิมไม่คิดว่าลูกชายผิวจะขาวสุขภาพดีเสียยิ่งกว่า ทั้งจากกรรมพันธุ์และเครื่องประทินโฉมบนโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยอมรับว่าเขาเป็นผู้ชายที่ประหลาด แต่คนอะไรจะใส่ใจผิวพรรณได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นไอ้หม่อง เพื่อนในกลุ่มตอนเด็ก ๆ มาเห็นคงล้อว่าอีกฝ่ายเป็นตุ๊ดไม่เลิก

    “ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเถอะครับ จะได้สดชื่น เดี๋ยวผมยกข้าวมาทานเป็นเพื่อนข้างบน”

    “ใครอยากให้นายมากินกับฉัน”

    “ผมอยากทานกับนายน้อยเองครับ”

    บอกตรง ๆ เรื่องประจบสอพลอไม่ถนัดเลย แต่ถ้าทำให้เสียงทุ้มที่เอาแต่โวยวายทุกอย่างบนโลกสงบไปได้ ผมก็คงจำเป็นต้องทำต่อไป





    “ไม่พานายน้อยออกมาด้วยเหรอ คุณกฤช ผมอุตส่าห์มาแอบมอง”

    ไอ้โจ้อู้งานที่โรงบ่มอีกแล้ว มันเดินตามต้อย ๆ เป็นประโยชน์นิดหน่อยที่วันนี้มันช่วยแบกเข่งใส่องุ่นมาด้วย “เมื่อวานผมเห็นแป๊บเดียว ต้องรีบเข้าไปทำงาน แต่เห็นพวกคนงานผู้หญิงชมกันเปาะ”

    “มีอะไรให้น่าชมด้วยหรือไง” ผมถามพลางเลือกองุ่นที่ขั้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ใช้กรรไกรตัดแล้วบรรจงวางลงบนเข่งอย่างทะนุถนอม

    “เพ้อกันจะตาย อีแดงว่าเหมือนคุณชายในซีรีย์เกาหลีที่ช่อง 7 ฉายตอนสายวันเสาร์”

    “แล้วเอ็งว่าไงล่ะ”

    “เสียดาย นายน้อยไม่ได้ถอดแว่นกันแดด แต่ท่าทางหล่อเหลาเอาการอยู่นา ตัวเล็กไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดูเตี้ยม่อต้อ หรือเพราะยืนกับคุณกฤชไม่รู้เลยดูบางไปถนัด”

    “หึ นี่ขนาดเห็นผ่าน ๆ นะ” ค่อนแคะพลางใช้กรรไกรเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อ ยอมรับว่าไอ้โจ้เก็บข้อมูลจากนายคนใหม่ของมันได้ครบถ้วนทีเดียว

    “ผมอยากเห็นใกล้ ๆ มากกว่า ผิวขาวจั๊วะอย่างกับดารา เสียดายไม่เห็นตอนแก้มแดง ๆ คงหน้าตาน่าเอ็นดู”

    “เขาแก่กว่าเอ็งอีกไอ้โจ้ แก่กว่าข้าด้วย”

    “โกหกน่า หน้าตาเหมือนเพิ่งเรียนจบ”

    “เพิ่งจบจริง ปริญญาโท ก่อนหน้านี้ทำงานบริษัทในกรุงเทพหลายปีกว่าคุณชนินทร์จะบังคับให้กลับมาทำงานที่ไร่ได้”

    “แหม นายก็ช่างใจร้าย เห็นผิวสวย ๆ แบบนั้นแล้วกล้าให้โดนแดดได้ยังไง” ลูกมือพูดพลางรับองุ่นจากมือผมไปจัดในเข่งแล้วอุ้มตุเลง ๆ ตามมาเรื่อย “ผิวสวยกว่าผู้หญิงอีก”

    “ถ้าเอ็งได้เห็นใกล้ ๆ คงเพ้อแย่”

    “ใช่ไหม โจ้ก็ว่างั้นแหละคุณกฤช เขาดูดีจะตายไป แหม พูดแล้วก็อิจฉา คุณกฤชอยู่บ้านนั้นคงได้ใกล้ชิดกับนายน้อยบ่อย ๆ ถามจริงเถอะหวั่นไหวบ้างไหม”

    “หวั่นไหวอะไรของเอ็ง ข้าเป็นผู้ชาย แล้วเขาก็ไม่ใช่ตุ๊ดด้วย”

    “คุณกฤชรู้ได้ไง” เห็นว่าผมไม่ตอบไอ้โจ้ก็พูดต่อ “แต่ผิวสวยแบบนั้นให้ไอ้โจ้เอาก็เอานะคุณ”

    “ลามปามใหญ่แล้ว อย่าไปพูดให้ใครได้ยินล่ะถ้ายังไม่อยากตาย”

    “แหม กระผมก็ล้อเล่น” มันหัวเราะเสียงเอิ๊กอ๊ากในลำคอ ทำเป็นสนุกปากไปเถอะ ลองเจอฤทธิ์เดชแล้วจะไม่อยากพูดถึงอีกเลย

    “ว่าแต่เขาเป็นยังไงบ้างคุณกฤช นายน้อยน่ะ หยิ่งไหม หัวสูงหรือเปล่า เหยียดพวกเราไหม”

    ผมหัวเราะในลำคอด้วยเสียงที่เบาแสนเบา ทุกอย่างที่ไอ้โจ้เดาตรงตามนั้นไม่ผิดเพี้ยน แต่ถ้าเขาจะอยู่นานเรื่องแบบนี้ไม่ควรถึงหูคนงานจึงเลี่ยงคำตอบเป็นอย่างอื่น

    “แค่เอาแต่ใจมากไปหน่อย คงยังปรับตัวไม่ได้ ต่อไปก็น่าจะดีขึ้นเอง”

    “แหงสิ มีคุณกฤชเป็นพี่เลี้ยงทั้งคน”

    ไอ้โจ้ยิ้มกว้าง เห็นฟันสีเหลือง ๆ ของมันเกือบครบสามสิบสองซี่ ผมส่ายหัวไม่ใส่ใจในคำสอพลอมันแล้วผูกเถาองุ่นกับค้างให้ยึดเกาะไปด้วย “เอาไว้เขาน่ารักกว่านี้แล้วข้าจะพามาให้เอ็งรู้จัก”

    “แค่นี้ยังน่ารักไม่พออีกเหรอ ไอ้โจ้ต้องหวั่นไหวแน่ ๆ ถ้านายน้อยน่ารักมากกว่านี้”

    “อ้อ...อีกอย่าง เอาไว้ให้เอ็งหายปากมอมค่อยพามารู้จักด้วย โรงบ่มยังต้องมีคนทำงาน กลัวคนงานตายไปคนหนึ่งแล้วจะหามาแทนกันให้วุ่น”

    ลูกมือตัวดีหัวเราะร่วน มันคงคิดว่าผมแซวเล่นถึงยังเฮฮาไม่ทุกข์ไม่ร้อน
    ดวงจะถึงฆาตเพราะปากเอ็งนี่แหละ โจ้เอ๊ย



    ครั้นพระอาทิตย์ยามฤดูร้อนยังไม่ทันตกดินดีผมก็แบกร่างโซมเหงื่อของตัวเองกลับบ้านเสียแล้ว
    ไม่ใช่แค่แม่ แต่ป้าแววก็อดทักขึ้นอย่างแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นผมเลิกจากงานในไร่ก่อนโพล้เพล้ แปลกใจจนถึงขั้นแก้วในมือป้าแววแทบหล่นเมื่อผมยิ้มทักมาแต่ไกล

    “โลกวิปริตใหญ่แล้ว วันนี้ตากฤชกลับเข้าบ้านเร็วได้”

    “ป้าก็...ช่วงนี้แม่มีลูกคนใหม่ผมก็ต้องเข้ามาออเซาะบ้างสิครับ เดี๋ยวจะได้เป็นหมาหัวเน่าเข้าจริง ๆ” คนถูกค่อนแคะหัวเราะร่วน แม่กำลังร้อยดอกมะลิจากสวนข้างบ้านเข้าด้วยกันเป็นพวง พรุ่งนี้วันพระใหญ่ เห็นทีจะต้องออกไปส่งสองสหายที่วัดตั้งแต่รุ่งสาง ไม่ได้ไปทำความสะอาดคอกม้าเหมือนเคย

    “จะเข้ามาดูนายน้อยด้วยน่ะครับ ลงมาจากข้างบนแล้วหรือยัง”

    “ยังเลยจ้ะ แต่เมื่อเที่ยงให้แม่เอาถาดอาหารมาวางไว้หน้าห้อง ขึ้นไปอีกทีก็จัดการเรียบร้อย ไม่ดื้อไม่ซน”

    “ดูเอาสิครับป้าแวว” ผมบ่นกระปอดกระแปด “ลองให้คนนอนอุตุในห้องเป็นผมบ้าง แม่จะใช้คำว่าไม่ดื้อไม่ซนอีกไหม”

    “แหม ตากฤชก็ ความน่ารักน่าเอ็นดูต่างกัน”

    “ชัดเลย” ผมพูดพลางนั่งลงบนโซฟาไม้ใกล้ ๆ กัน แต่พอเอี้ยวตัวจะล้มลงนอนตักกลับถูกมือขาวยันห้ามเอาไว้

    “เหม็นเหงื่อน่า เราน่ะไปอาบน้ำอาบท่าก่อน จะได้ไปดูนายน้อยสักที เย็นนี้แม่ทำต้มจืดแฟงกับทอดปลาสามรสไว้ให้ จะได้ลงมากินกัน”

    “ยังไม่ถึงเวลาอาหารเลยครับ”

    “ถึงได้บอกให้ไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยไง ขึ้นไปคุยกับนายน้อยด้วย วันนี้ไม่ไปไหน คงเหงาแย่”

    ผมเลิกค่อนขอดลูกคนใหม่ของแม่สายใจเพราะรู้ว่าไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหยุดประคบประหงมนายน้อยหนึ่งตะวันได้แม้แต่น้อย ถอนหายใจระอาและยอมแพ้ด้วยการลุกขึ้นยืน

    “ถ้าอย่างนั้นผมไปอาบน้ำแล้วครับ ว่าแต่ว่านหางจระเข้ที่ป้าแววทำไปให้นายน้อยทาเมื่อเช้าเขาได้ใช้บ้างหรือเปล่า”

    “เอ...อันนี้ป้าก็ไม่รู้สิคะ กฤชขึ้นไปก็ถามนายน้อยดูสิ” ผมรับคำในลำคอ ก่อนยอมเดินกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าในที่สุด



    ประตูไม้สักบานเดิมยังคงถูกล็อกจากข้างใน ผมเคาะประตูสองสามครั้งแล้วค่อยส่งเสียงเรียกเจ้าของห้องจึงยอมลุกมาคลายลูกบิดให้

    ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง มีตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งรวมไปถึงโต๊ะทำงานถูกจัดไว้ตามความสะดวกของการใช้งาน ผ้าม่านสีขาวถูกรวบไว้มุมหนึ่งของหน้าต่าง ทำให้ในห้องสว่างพอไม่ต้องเปิดไฟเมื่อนายน้อยหนึ่งตะวันใช้คอมพิวเตอร์ทำงาน

    “ดูบัญชีเหรอครับ”

    “อืม กำลังทำความเข้าใจอยู่”

    “ขยันจังนะครับ” ตอนแรกนึกว่าจะถือโอกาสนอนอืดอย่างเดียวเสียอีก “มีตรงไหนไม่เข้าใจไหมครับ เดี๋ยวผมช่วยอธิบาย”

    “นายทำทั้งหมดเลยเหรอ”

    “ครับ?”

    “ทั้งงานในไร่ ในโรงบ่ม แล้วก็บัญชีแต่ละเดือน”

    “ถ้าโรงบ่มจะมีพี่ก้อยเป็นคนดูแล้วส่งยอดรายรับรายจ่ายแต่ละเดือนให้ผมครับ ส่วนของไร่ผมทำเอง เวลาสั่งปุ๋ย หรือส่งขายผมทำตรงนี้ตลอด รวบรวมส่งรายงานให้คุณชนินทร์อีกทีทุกสิ้นเดือน”

    “ทำงานหนักขนาดนี้เอาเวลาที่ไหนไปพักผ่อน” เห็นทีโลกวิปริตอย่างที่ป้าแววว่าจริง วันนี้นายน้อยถึงถามผมด้วยความเป็นห่วงได้ เขาเหยียดแขนยืดแล้วถอนหายใจหนัก ผิดกับผมที่เกาหัวแกรกรู้สึกอึดอัดชอบกล

    “จริง ๆ การลงไร่ก็เป็นวิธีผ่อนคลายของผมครับ ไม่ค่อยขอบทำตัวเลขเท่าไร ปวดหัว ว่าแต่นายน้อยเป็นยังไงบ้าง”

    “อะไร หน้าเหรอ ยังไม่ดีขึ้นเลย” เขาถอนหายใจ รู้สึกได้ว่าหงุดหงิดขึ้นมาหน่อย ๆ ผมเหลือบตามองถ้วยแก้วที่เป็นว่านหางจระเข้บดวางไว้ ไม่ได้พร่องลงจากเมื่อเช้าแม้แต่น้อย

    “ทำไมไม่ลองทาว่านหางจระเข้ล่ะครับ สรรพคุณรักษาผิวดีนะคุณ”

    “ลองดมแล้ว ไม่ไหว เหม็นเขียว”

    “ของดีเชียวนา นึกว่าอยากจะรีบ ๆ หายจะได้ลงไปดูที่ไร่เสียอีก” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเหมือนเกาหลีของไอ้โจ้หันกลับมามองค้อนแล้วเมินใหม่ แก้มเขายังเป็นรอยไหม้อยู่ ชัดกว่าช่วงเช้าด้วยซ้ำ 

    “แสบมากใช่ไหมครับ”

    “เรื่องของฉัน”

    “นายน้อยไปล้างหน้าล้างตาเถอะ เดี๋ยวผมช่วยทาให้”

    “ไม่ มันเหม็น”

    “ทนไม่ได้เหรอครับ หรือหาเรื่องอู้ ไม่ลงไร่ไปตากแดด?” พอถูกถามท้าทายคนตัวเล็กกว่าก็จ้องหน้าผมเขม็ง เลื่อนเก้าอี้ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำไป

    ผมหมุนตัวรอบห้อง ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสมกับที่เป็นห้องของนายน้อยทุกประการ หน้าจอคอมพิวเตอร์เปิดโปรแกรมเอ็กซ์เซลเอาไว้ซ้อนกันหลายหน้า เป็นรายรับรายจ่ายในส่วนต่าง ๆ ของไร่ที่ผมส่งให้นาย แรก ๆ ก็ทำไปตามความเข้าใจของตัวเอง ต่อมาเข้ารูปเข้ารอยขึ้นมาบ้าง คงไม่ยากต่อการทำความเข้าใจเท่าไร

    เสียงประตูห้องน้ำปิดลง นายน้อยหนึ่งตะวันในเสื้อยืดพอดีตัวคล้องผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ บนบ่าเดินกลับมาด้วยใบหน้าที่หมาดน้ำ

    “นั่งสิครับ”

    “ฉันทาเองได้”

    “ผมอยากช่วย” เขามองผมด้วยสายตาที่ดูสับสนเล็กน้อย ทีตัวเองมาเป็นห่วงคนอื่นนี่ไม่นึกว่าหัวใจผมจะวายตายบ้างทีคนอื่นจะทำดีให้บ้างทำเป็นงง

    ผมยิ้ม กดบ่าเขาให้นั่งบนปลายเตียงแล้วไปหยิบถ้วยว่านหางจระเข้บดละเอียดมา นั่งลงคุกเข่าก่อนบรรจงแตะสมุนไพรลงบนแก้มสีเข้มเบา ๆ

    “แสบหรือเปล่าครับ”

    ผิวของคุณหนึ่งตะวันนุ่มมาก นุ่มจนผมกลัวว่าถ้าแตะต้องแรงกว่านี้แก้มเขาจะเป็นรอยเพราะมือสาก ๆ ของตัวเอง ชายหนุ่มผิวขาวส่ายหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองผมหลุกหลิกไปมา
    ช่างเหมือนลูกกวางน้อยเหลือเกิน

    “ถ้าแสบบอกผมนะ”

    “อือ” นายน้อยรับคำ เวลาที่สิ้นฤทธิ์สิ้นเดชนั่งมองผมตาแป๋วแบบนี้ก็น่าคบค้าด้วยหรอก ทำไมชอบทำเรื่องให้ปวดหัวนักไม่รู้ เราสบตากันเป็นระลอก ก่อนเขาจะเบนสายตาไปทางอื่น

    แก้มสีเข้มเป็นด่าง ๆ จากรอยไหม้ค่อย ๆ เจือสีอื่นแทรกขึ้นมา ผมรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ปลายนิ้วสัมผัสรู้สึกว่ามันอุ่นขึ้นนิด ๆ แต่เช้าตัวก็ไม่ได้โวยวายว่าแสบร้อนแต่อย่างใด

    “รอสักยี่สิบนาที พอแห้งแล้วลุกไปล้าง ลงไปทานข้าวกันแล้วลองใช้แตงกวาพอกหน้านะครับ ป้าแววบอกว่าพอช่วยได้อยู่”
    หนึ่งตะวันไม่ตอบแต่ก็ไม่เถียง หลังจากไล้จนทั่วรอยไหม้ของผิวแล้วผมก็ผุดลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผมลงไปรอข้างล่างนะครับ”

    “แต่...”

    “ออกไปสูดอากาศบ้างเถอะนายน้อย มืดแล้วไม่มีใครทันสังเกตหรอกครับ”

    ผมว่าทิ้งท้ายก่อนยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวผมพาเดินเล่นรอบ ๆ บ้าน”

    เขาพยักหน้า
    เป็นอันว่าตกลง



    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×