ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โอบตะวัน

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 05

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.95K
      408
      20 เม.ย. 58














    โอบตะวัน
    Chapter 5



    เพราะฝนลงเม็ดหนักเมื่อคืน ใบองุ่นตามค้างไม้ไผ่พากันชูช่อสีเขียวสด โชคร้ายก็แต่ผลองุ่นที่สุกแล้วเสียหายไปบ้าง แต่ไร่ตะวันฉายก็ยังชุ่มฉ่ำชื่นบานไปด้วยน้ำฝนค้างคืน

    ผมเดินผ่านตัวไร่เข้าไปในโรงบ่ม ไอ้โจ้นั่งเล่นมือถือใหม่ที่เพิ่งถอยมาเมื่อวันก่อนในเมือง และกลายเป็นมนุษย์โซเชียลมีเดียทันตาเห็น

    “เวลางาน เดี๋ยวจะโดน”

    “อุ้ย คุณกฤช นึกยังไงมาถึงนี่ได้ครับเนี่ย” ไอ้ตัวดีซุกมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกง ยิ้มยิงฟันขาวประจบสอพลอ “แหม ไม่มาตอนโจ้กำลังขยัน เพิ่งหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเดี๋ยวนี้เอง”

    “เออ” ผมรับคำอย่างขอไปที จะว่ารำคาญก็ไม่เชิง แต่ขี้เกียจจะฟังมากกว่า

    “วันนี้นายน้อยไม่มาด้วยหรือครับ”

    “ให้เขาพักบ้าง วันนี้พื้นเฉอะแฉะไม่อยากให้ลงมาเดินเล่น เดี๋ยวจะลื่นล้มกันเปล่า ๆ”

    “คุณกฤชนี่ห่วงนายน้อยอย่างกับลูก”

    “พ่อเขาฝากไว้ก็ต้องดูแลอย่างดีสิวะ” ตอบแล้วเดินไปดูหยิบเอกสารตรวจรอบการทำงาน “เช็คอุณหภูมิบ้างหรือเปล่า”

    “เช็คครับคุณท่าน นี่รายงานครับ”

    “อืม อย่ามัวแต่เล่นมือถือ เมื่อวานไอ้ก้องมาบอกว่าเครื่องแยกก้านตัวในสุดเสีย ช่างมาดูหรือยัง”

    “นัดแล้วครับ มาตอนบ่าย ๆ คุณกฤชจะอยู่ทดสอบด้วยไหม”

    “ดูก่อนแล้วกันว่าในไร่มีอะไรหรือเปล่า หรือเอ็งจัดการกับไอ้ก้องไม่ได้”

    “โธ่ ทำเสียงแบบนี้ใส่โจ้จะปฏิเสธได้เหรอครับคุณ” มันบ่นกระปอดกระแปด “ทีตอนสอนนายน้อยล่ะเสียงอ่อนเสียงหวาน”

    “อะไรของเอ็ง”

    “ให้ความหวังเขาบ่อย ๆ ระวังเขาจะหวังจริง ๆ นะครับ”

    ผมพลิกแผ่นรายงานการดำเนินงานกลับมาที่หน้าแรก เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังลอยหน้าลอยตาพูด “เลอะเทอะใหญ่แล้ว เดี๋ยวจะฟ้องนายให้ตัดเงินเดือนเอ็งให้เหี้ยน”

    “นี่ คุณกฤช ไม่รู้ตัวเลยหรือ” คราวนี้น้ำเสียงของไอ้โจ้เปลี่ยนเป็นจริงจัง มันขมวดคิ้วเข้าหากัน นับเป็นภาพหายากเลยทีเดียว "นายน้อยน่ะเขาตุ้งติ้งเกินผู้ชายทั่วไป”

    “ข้าทาสอย่างเอ็งจะไปเข้าใจอะไรพวกคุณหนูวะ อย่าพูดอะไรพล่อย ๆ ใครได้ยินมันจะไม่ดี”

    “คนเดียวที่ยังไม่รู้ก็คุณกฤชนั่นแหละ ที่โจ้พูดไม่ได้อยากให้คุณกฤชรังเกียจนายน้อยหรอกนะ แต่คุณกฤชดูแลเขาดีเกินไประวังนายน้อยจะหวั่นไหว คุณกฤชเองก็หน้าตาดีจะตายไป พวกผู้หญิงในไร่ชม้ายชายมองกันตาละห้อย”

    ถึงแม้ไอ้โจ้จะพยายามโน้มน้าว แต่ผมก็ยังเถียงคอเป็นเอ็น “ข้าเห็นเขาตั้งแต่ยังเด็กก็เป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไร จะมาเป็นตุ๊ดเป็นเกย์อะไรตอนนี้”

    “คุณกฤชไม่รู้หรอกว่านายน้อยชอบฟันดาบตั้งแต่อายุเท่าไร อย่าด่วนตัดสินไปเลย เขาอาจจะเป็นตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้วก็ได้”

    ผมใช้แผ่นพลาสติกสำหรับรองรายงานเคาะหัวคนพูดไปหนึ่งทีแล้วยื่นให้มัน “เพ้อเจ้อ เอาคืนไปแล้วตั้งใจทำงานด้วย ถ้าข้าโผล่มาเห็นเอ็งบังเอิญหยิบโทรศัพท์มาเล่นอีกที ริบ!”

    พูดจบก็เดินออกมา มีเพียงเสียงบ่นโอดครวญของลูกสมุนปากดีคล้อยอยู่เบื้องหลังเท่านั้น



    “กฤช!”

    นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่นายน้อยหนึ่งตะวันจะเรียกชื่อผม ถึงมันจะไม่อ่อนหวานและสุภาพแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจไม่น้อย เจ้าของเสียงวิ่งหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมาจากโซนของบ้านพัก ท่าทางดีใจที่ตื่นมาแล้วได้เจอบิดาก่อนอีกฝ่ายจะไปทำธุระต่อ

    “ค่อย ๆ เดินครับนายน้อย พื้นมันเป็นโคลน”

    “ทำอะไร”

    “จัดพุ่มครับ นายไปแล้วหรือครับ”

    “อืม ไปแล้ว”

    “ที่จริงวันนี้นายน้อยพักก็ได้นะครับ เมื่อคืนท่าทางหลับไม่สนิท”

    “ไม่เป็นไร นายยุ่งหรือเปล่า”

    “ก็...ไม่ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

    “พาเข้าไปในเมืองหน่อยสิ” ไม่พูดเปล่า แต่เดินมาจับต้นแขนผมเขย่าไปมา ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มนิด ๆ ไม่เต็มที่ แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีจัด “พ่ออนุญาตให้ซื้อเปียโนมาไว้ที่บ้านสักหลัง นี่กำลังให้ป้าสายใจขยับขยายห้องนั่งเล่นเตรียมพื้นที่วางเปียโน พาฉันไปหน่อยสิ ไม่รู้จักเมืองที่นี่เลย อยู่ไกลมากไหม อยู่ไกลแค่ไหน รู้จักร้านขายเครื่องดนตรีดี ๆ หรือเปล่า”

    “ใจเย็น ๆ ครับ” ผมรีบปราม เห็นดวงตาเป็นประกายกับท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ แล้วก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าคือผู้ชายอายุ 29 ปีเต็ม เกิดก่อนผมถึงสามปี

    “ขอผมไปอาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวไปตาม นายน้อยกลับไปรอผมที่เรือนใหญ่เถอะครับ”

    เขาพยักหน้าถี่ ผมเส้นเล็กที่ปรกอยู่บนหน้าผากปลิวกระจัดกระจาย เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ “แล้วอย่าวิ่งนะครับ เดี๋ยวลื่นล้ม”

    “รู้แล้วน่า เดินมาจะสามสิบปีอยู่แล้วใครจะล้ม”

    “ครับ” ผมต่อคำว่า ‘พ่อคนเก่ง’ ในใจ



    ท่าทางจะอารมณ์ดีจริง ๆ

    ระยะทางจากบ้านมาถึงตัวเมืองใช้เวลาประมาณ 20 นาที ส่วนสาเหตุที่ยังไม่ถึงห้างสรรพสินค้าที่มีร้านเครื่องดนตรีตั้งอยู่เพราะในตัวเมืองรถค่อนข้างติด นครราชสีมาเป็นหัวเมืองใหญ่ที่นักเดินทางต้องผ่านสัญจรไปมา ไม่ว่าจะวันธรรมดา หรือเสาร์อาทิตย์แบบนี้บนถนนก็เบียดเสียดไม่ต่างจากในเขตกรุงเทพและเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ

    นายน้อยหนึ่งตะวันมองออกไปนอกกระจก ฮัมเพลงตามแผ่นซีดีที่เปิดอยู่ เป็นเพลงฝรั่ง ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไร แต่ก็รู้จักเพลงนี้ดี

    “ฉันชอบเพลงนี้” จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้น โคลงหัวไปด้วย เป็นเพลงประกอบหนังรักเมื่อไม่นานมานี้ เนื้อหาเพราะ ฟังดูเหงา ๆ ชอบกล “ปกตินายฟังเพลงแนวไหน”

    “ฟังได้หมดครับ ผมชอบเพลงฟังสบาย ๆ”

    “ไว้ฉันแกะคอร์ดเพลงนี้เสร็จมาฟังสิ”

    เสียงนั่นไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นได้ ท่าทางจะชอบเล่นเปียโนมากจริง ๆ “แม่ฉันเป็นคนสอน แต่ว่าตั้งแต่ไปอังกฤษก็ไม่ได้เล่นเลย กลับมาได้สักพักพ่อก็ส่งมานี่”

    “ปกติที่กรุงเทพนายน้อยอยู่กับใครครับ ผมเห็นนายไป ๆ มา ๆ ไม่น่าจะติดบ้านเท่าไร”

    “อยู่กับพี่เลี้ยง” เขาว่า ยังไม่ละสายตาออกมาจากกระจกใส “พ่อไม่ค่อยอยู่จริง ๆ นั่นแหละ แต่ในหมู่บ้านมีเพื่อนที่สนิทกันสมัยมัธยมอยู่หนึ่งคน มานอนที่บ้านบ่อย ๆ”

    “เพื่อนสนิทเหรอครับ”

    “อืม ตอนไปอังกฤษก็ไปเรียนด้วยกัน แต่ทางนั้นขึ้นเป็นCFOแล้ว ไม่ค่อยว่างมาอยู่ด้วยหรอก พอร์ชน่ะ พอร์ช ภูดิศ รู้จักไหม”

    “เคยได้ยินชื่อครับ”

    “คนดังเลยแหละ” ว่าพลางยืดอกนิด ๆ “มีข่าวควงสาวไม่เว้นแต่ละวัน ถ้านักข่าวรู้ว่ามันเป็นเกย์คงอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ไปตั้งฉายามันว่าคาสโนว่าหน้าใหม่ ตลกชะมัด”

    ผมพยักหน้ารับรู้ ที่เห็นพาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ดาราก็ประมาณนี้ เป็นลูกหลานไฮโซที่เปลี่ยนดาราควงเป็นว่าเล่น

    “เขาก็ดูคาสโนว่าจริง ๆ แหละครับ”

    “คบโปรโมทงานให้น้องสาวเพื่อนน่ะ ตัวมันเองก็เจ้าชู้ เปลี่ยนคนควงบ่อยเลยต้องหาเรื่องสาว ๆ มากลบกระแส เป็นผู้ชายนิสัยแย่ แต่เป็นเพื่อนที่ดี”

    ถึงจะด่าอีกฝ่ายไม่หยุดแต่ริมฝีปากก็ยังประดับยิ้ม “วันนี้นายน้อยดูอารมณ์ดีจริง ๆ นะครับ”

    “อืม...ก็ประมาณนั้นแหละ เมื่อคืนหลับสนิท”

    “แต่สะดุ้งตลอด?”

    “จริงเหรอ ไม่รู้ตัวเลยนะ ปกติชอบตื่นมากลางดึก อย่างที่รู้ เรือนใหญ่นั่นก็วังเวงอย่างกับอะไรดี กว่าจะข่มตานอนได้ก็ปาไปหลายชั่วโมง ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะคุ้น”

    เมื่อถึงทางเข้าห้างสรรพสินค้าผมก็ตีไฟเลี้ยว นายน้อยหนึ่งตะวันยังคงฮัมเพลงไปเรื่อย ๆ สลับกับบทสนทนาที่มากกว่าปกติเป็นเท่าตัว 

    “นี่ ฉันลองมาคิด ๆ ดูแล้วเรามาสมานฉันท์กันดีไหม ยังไงเสียนอกจากไอ้โจ้แล้วนายก็ไม่ค่อยสนิทกับใคร ถ้าเราผูกมิตรกันไว้น่าจะดี” ผมเลิกคิ้ว คนที่ตั้งแง่ก็ตัวเองแท้ ๆ จะมาชวนคนอื่นสมานฉันท์ทำไม “อีกอย่าง จริง ๆ นายก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร”

    “ผมเป็นคนดีครับ”

    “ก็ได้” เขาว่า แต่ก็มิวายสำทับ “เป็นคนดีนิดหนึ่ง ฉันอนุญาตให้นายเรียกฉันว่าพี่หนึ่งอย่างที่พ่อพยายามชักจูงให้นายเรียก โอเคไหม”

    “ไม่ค่อยคุ้นครับ”

    “ก็หัดสิ ฉันจะลดตัวลงมาเป็นพี่ชายคอยดูแลนาย ยังจะเรื่องมากอีก เดี๋ยวก็ไม่ให้เป็นน้องเสียหรอก คนอุตส่าห์เอ็นดูที่เสียพ่อไปตั้งแต่เล็ก ฉันก็เสียแม่ไปตอนเด็ก ๆ เหมือนกัน”

    จบประโยคนั้นผมก็เผลอหลุดหัวเราะออกมา คนสั่งยกมือขึ้นกอดอก เริ่มมีสีหน้าแบบที่เห็นบ่อย ๆ อีกแล้ว 

    “ตลกอะไรของนาย”

    “เปล่าครับ กำลังจะตกลง ขอบคุณมากครับ ผมจะพยายามเรียกว่าพี่หนึ่งแล้วกันนะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

    “ทำยังไง”

    “คิ้วชนกันแล้ว” ขับวนหาที่ทางในลานจอดรถ เหลือบตามองหน้าอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลัง “เวลาคุณหนึ่งอารมณ์ดีน่ารักกว่าตั้งเยอะ”

    “อย่ามาเที่ยวชมคนอื่นว่าน่ารักน่า” แก้มของเขาขึ้นสีเล็กน้อย แม้อยู่ในที่แสงสลัวก็ยังสังเกตเห็นได้ หนึ่งตะวันเม้มปากเข้าหากัน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเขิน “แล้วไหนว่าจะเรียกพี่หนึ่ง”

    “เอาเป็นคุณหนึ่งจะสะดวกกว่าครับ แค่นี้ก็พิเศษกว่าใครในไร่แล้ว”

    จบประโยคเอาใจ สีหน้าเครียดขมึงของอีกฝ่ายก็คลายลง หนึ่งตะวันผิวปากฮัมเพลงเดิม ผมลอบมองผ่านกระจก หลุดยิ้มตามริมฝีปากบางที่ยกมุมขึ้นนิด ๆ นั้นพร้อมกัน



    เปียโนสีดำขลับเป็นสิ่งที่นายน้อยตัดสินใจเลือกหลังจากเดินวนอยู่ในร้านเครื่องดนตรีนานนับชั่วโมง ผมนั่งรออยู่ตรงเก้าอี้สำหรับลูกค้า ปล่อยคนอยากมาให้เพลิดเพลินไปกับการเลือกซื้อของเล่นตัวเองจนสาแกใจก็รูดบัตรเครดิตชำระเงินไปอย่างง่ายดาย
    ทางร้านแจ้งว่ารถจะเข้าไปส่งเปียโนแบบที่นายน้อยสั่งพรุ่งนี้เช้า สีหน้าเขาตื่นเต้นราวกับจะรอนานกว่านี้สักนาทีก็ไม่ไหว เมื่อได้ของที่อยากได้สมใจก็เดินผิวปากออกจากร้านด้วยอารมณ์ที่เบิกบานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว 

    “แวะซุปเปอร์ก่อน อยากกินต้มยำทะเล”

    “ให้แม่กับป้าแววออกไปซื้อที่ตลาดพรุ่งนี้ก็ได้ครับคุณหนึ่ง สองคนนั้นถนัดเลือกซื้ออาหารสด”

    “ฉันก็ถนัด” เขาว่า ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ

    “ตอนอยู่อังกฤษแย่หน่อย ไม่ค่อยมีของให้เลือกมาก อยากกินต้มยำต้องไปเด็ดใบที่ขายตามไชน่าทาวน์ว่าถ้าไม่มีวัตถุดิบแบบไทย ๆ ใช้แทนได้บ้าง อย่างมะกรูดนี่ดีสุดก็ใบเลมอน แต่ไม่ไหว รสชาติสู้ของไทยไม่ได้”

    “ชอบทำกับข้าวเหรอครับ”

    “แล้วแต่อารมณ์” ดูจากนิสัยแล้วก็เป็นแบบนั้น เมื่อถึงซุปเปอร์ผมก็หยิบรถเข็นลากตามเจ้านายมาติด ๆ นายน้อยดูคล่องแคล่ว เลือกซื้อของสดได้อย่างชำนาญผิดกับผมที่ได้แต่ยืนมอง

    “กฤช!”

    เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้ผมหันหลังกลับไป เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวรุ่นพี่ เรียนจบที่เดียวกันกับผมโบกไม้โบกมือมาทางนี้ เธอดูสวยขึ้นกว่าสมัยที่เรายังคบกัน ดูสวยสง่ามากกว่าเป็นนักศึกษาสัตวแพทย์ที่ร่าเริงคนเก่า

    “โอ๊ะ เพิ่งเห็นว่ามากับเพื่อน”

    “ครับ คุณหนึ่งตะวันเป็นลูกชายเจ้าของไร่ที่ผมทำงานอยู่”

    “อ้อ สวัสดีค่ะ” พี่นุ่นยกมือไหว้ ถึงเธอจะแก่กว่าผมแต่ก็ยังเด็กกว่าคุณหนึ่ง อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วหันไปสนใจผักในชั้นวางต่อ “เข้าเมืองมาไม่เห็นบอกกันบ้าง”

    “พอดีมาธุระน่ะ ไว้คราวหลังถ้ามาเองผมจะโทรหาพี่นุ่นคนแรกเลย”

    “แหม ปากหวาน” หล่อนพูดยิ้ม ๆ ชวนให้ผมยกริมฝีปากขึ้นตาม “ถ้าตอนคบกันหัดปากหวานแบบนี้บ้างก็ดีน่ะสิ”

    “อย่าพูดเลยครับ สุดท้ายพี่ก็ทิ้งผมอยู่ดี”

    “ล้อเล่นน่า สบายดีไหม ดำขึ้นหรือเปล่า แต่ล่ำขึ้นเยอะเชียว”

    “คนสวนก็แบบนี้แหละครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ความสัมพันธ์ของผมกับรุ่นพี่จบลงไปหลายปีแล้ว แต่ยังคงเป็นมิตรที่ดีต่อกัน พี่นุ่นเป็นคนน่ารัก และตอนนั้นผมก็รักเขามากเสียด้วย “พี่นุ่นสบายดีนะ”

    “ช่วงนี้ระหองระแหงกับปูนน่ะ อย่าให้พูดเลย เซ็ง”

    “มีอะไรปรึกษาผมได้นะ ถ้าพี่ปูนไม่หึง”

    “คงได้โทรไปร้องไห้ให้ฟังเร็ว ๆ นี้แหละ” ถึงจะพูดแบบนั้นใบหน้าสวยก็ยังยิ้มแย้ม พี่นุ่นเป็นแบบนี้ แม้เลิกกันไปนานแล้วผมก็ยังเป็นห่วง

    “ผมพูดจริง ๆ นะ”

    “อื้ม ขอบใจมาก แต่ตอนนี้ยังไหวน่ะ กฤชเถอะ ที่ไร่เป็นไง ไหนว่าอยากออกมาเปิดคลินิกเป็นของตัวเอง มาลองงานในโรงพยาบาลก่อนไหม หรือมาช่วยที่คลินิกพี่ก่อนก็ได้”

    “ยังไม่ใช่ช่วงนี้หรอกครับ” ผมหันหน้าไปมองนายน้อย เขายังคงเลือกผักจากชั้นวาง ไม่สนใจบทสนทนาของเพื่อนเก่า “ต้องจัดการหลาย ๆ อย่าง”

    “ถ้าเป็นเรื่องทุนไม่ต้องห่วงเลยนะ ดูทำเลไว้หรือเปล่า”

    “ช่วงแรกอาจต้องมาฝากตัวเป็นหมอในคลินิกพี่นุ่นก่อนครับ ให้ชำนาญกว่านี้หน่อย สักพักน่าจะหาที่ทางในอำเภอ ละแวกนั้นสัตวแพทย์ค่อนข้างน้อย ส่วนเรื่องเงินทุนผมก็พอมีเก็บหอมรอมริบไว้บ้าง”

    “อืม ก็ดีนะ มีอะไรก็ปรึกษาแล้วกัน ปูนบอกว่าที่โรงพยาบาลไม่มีหมอหนุ่ม ๆ หล่อล่ำเก่ง ๆ เลย อยากมีสักคนจะได้ดึงดูดเจ้าของสัตว์สาว ๆ มาบ้าง” พี่นุ่นยิ้มจนตาปิด ก่อนยกมือขึ้นดูนาฬิกา  “เดี๋ยวไปแล้ว นัดเพื่อนไว้ เห็นหน้าคุ้น ๆ เลยแวะมาทักทายหน่อย ไว้ค่อยคุยกันนะ มีอะไรก็ทักแชทมา บ๊ายบาย ลาแล้วนะคะคุณหนึ่งตะวัน”

    เจ้าของชื่อหันกลับมาพยักหน้าก่อนวางผักสดลงในรถเข็น เมื่อคนแปลกหน้าห่างรัศมีออกไปแล้วถึงได้ชะเง้อคอมองตาม “แฟนเหรอ”

    “แฟนเก่าครับ”

    “สวย” เขาพูดลอย ๆ ก่อนขยายความ “ทำไมเลิกกันล่ะ”

    “หลายอย่างครับ เรื่องแบบนี้ห้ามกันไม่ได้ ถ้าใครคนหนึ่งไม่ได้รักต่อให้พยายามแค่ไหนมันก็ไม่รอด”

    “ก็ดูรักกันดีออก”

    “ผมเข้าไปจีบตอนที่พี่นุ่นเพิ่งเลิกกับแฟนครับ” นึกแล้วสมเพชตัวเองที่หยิบยื่นความดีแลกกับโอกาสที่พี่นุ่นจะหันมามอง “เธอเป็นดาวคณะ แย่ตรงที่เจอแต่ผู้ชายนิสัยไม่ดี แต่ความดีก็ไม่ใช่ความรัก”

    “จะบอกว่าตัวเองเป็นคนดี ว่างั้น?” นายน้อยหนึ่งตะวันเบะปากก่อนถามต่อ “คบกันนานไหม”

    “ก็...หลายปีครับ”

    “น่าเสียดาย”

    “พี่นุ่นโตกว่าด้วย ผู้หญิงส่วนมากต้องการความมั่นคงในชีวิตครับ ช่วงนั้นผมเองก็ยังเรียนไม่จบ แถมวางแผนอนาคตว่าจะทำงานอยู่ไร่พักใหญ่ ๆ กว่าจะออกมาทำงานตรงสายที่จบ ความฝันของพี่นุ่นคืออยากมีคลินิกเป็นของตัวเอง ซึ่งผมคงช่วยสานฝันตอนนั้นไม่ได้”

    “นายชอบคนอายุมากกว่าเหรอ” ผมพยักหน้า อีกฝ่ายพูดต่อ “ถามอะไรหน่อยสิ ที่เขาบอกว่าคนอายุมากกว่าจะจัดจ้าน จริงหรือเปล่า”

    ผมหัวเราะ นึกถึงบทรักของตัวเองกับหญิงสาวแล้วกกหูทั้งสองข้างก็เห่อร้อน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาที่หน้าแดงไม่ต่างกันก็ยิ่งหัวเราะมากกว่าเก่า 

    “นายเคยนอนกับผู้หญิงแล้วจริง ๆ ด้วย”

    “คุณหนึ่งหลอกถามอะไรผมครับเนี่ย”

    “แค่อยากรู้ไม่ได้หรือไงเล่า”

    “ได้ครับ” ผมว่า จากที่เขินตอนนี้กลายเป็นขำเต็มรูปแบบ นายน้อยทำหน้ายุ่งเหมือนที่ถนัด “คุณหนึ่งอย่าบอกนะว่ายังไม่เคย?”

    “ต้องเคยสิ! อย่าพูดอะไรให้ฉันดูอินโนเซนท์หน่อยเลยได้ไหม หน้าตาฉันก็ไม่ได้แย่นะ อายุปูนนี้แล้วด้วย”

    “ถ้าอย่างนั้นจะเขินทำไมล่ะครับ”

    “ไม่ได้เขิน! อย่าพูดมากน่า เดินตามมาเร็ว ๆ สิ จะไปดูขนม” ผมครางรับว่าครับ ๆ ในลำคอ เข็นรถตามอีกฝ่ายอย่างใจเย็น มองจากมุมนี้จะเห็นต้นคอที่ผมซอยสั้นสีน้ำตาลเข้มระลงมาเหนือปกเสื้อ มันเคยขาวจัด และคล้ำลงเมื่อย้ายภูมิลำเนามาอยู่โคราชสักพักหนึ่ง แต่เวลานี้มันค่อนไปในทางที่แดงระเรื่อ
    นายน้อยหนึ่งตะวันน่ารัก และช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองเสียเหลือเกิน เมื่อหันกลับมาเห็นว่าผมเดินไปยิ้มไปก็ถลึงตาดุกลบเกลื่อนเลือดฝาดที่ฉายชัดอยู่บนปรางค์แก้ม

    “เลิกมองได้แล้ว บ้าหรือไง มองไปยิ้มไป กวนประสาท”

    “ก็เวลาที่คุณหนึ่งเขินมันน่ามองนี่ครับ เหมือนเด็กสาวเวลาขี้อาย”

    “ไอ้เด็กเวร” หนึ่งตะวันคำรามในลำคอ “หุบปาก”

    คำสั่งนั้นไม่ได้รับการตอบสนอง ผมกลับฉีกยิ้มมากกว่าเก่า หนึ่งตะวันเริ่มโกรธจริง สีหน้ากลับมาบึ้งตึงอีกครั้ง คราวนี้ผมถึงยอมลดมุมปากลงนิด ๆ เร่งฝีเท้าเข็นรถไปขนาบข้าง

    “ไม่ได้แปลว่าไม่ดีสักหน่อย” กระซิบให้พอได้ยินกันสองคน หนึ่งตะวันชะลอฝีเท้า มองผมด้วยหางตา ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีไปใหม่เมื่อประโยคสุดท้ายของผมสิ้นสุดลง 

    “แปลว่าน่ารักมากต่างหาก”




    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×